10

บทที่ ๑๐

บทที่ ๑๐

 

“พี่ไม้ กินข้าวกัน”

เสียงสดใสที่เอ่ยชวนไม่ได้เรียกความสนใจจากหนุ่มรุ่นพี่ที่ขนถังแก๊สเข้ามาในร้านมากไปกว่าสายตาที่มองมา ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีคำโต้ตอบเช่นทุกที มาวินก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป ขณะที่ครอบครัวเพื่อนกินข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตา

“โอ๊ย เฮีย เตะขาเบลล์ทำไม” เบญจวรรณหันไปแหวใส่พี่ชาย

“คนเขาอกหัก เด็กอย่าเจ๋อ” บุรีกระซิบกระซาบ

“พี่ไม้น่ะเหรออกหัก นังนั่นมันเป็นใคร”

มารดาต้องออกโรงเตือนบุตรสาวที่พูดจาไม่ดี แล้วไม่วายกำชับไม่ให้คนพี่นำเรื่องเหลวไหลมาพูดอีก

ถึงอย่างนั้นมาวินก็ไม่มีกะจิตกะใจสนใจความเป็นไปรอบตัว เมื่อปิดประตูเหล็กม้วนหน้าร้านแล้วเรียบร้อย เขาก็ส่งกุญแจคืนสตรีวัยกลางคนที่ออกปากให้เขาไปพักผ่อนและทำรายงานอย่างหวังดี

บุรีมองตามเพื่อนที่มีท่าทางเคร่งเครียดตลอดทั้งวัน แล้วก่อนหน้านี้ยังถามคำถามแปลกๆ เกี่ยวกับพี่ชายคนโตของเขาที่มีกิจการร้านติดตั้งซ่อมแซมเครื่องปรับอากาศอยู่แถวชานเมืองฝั่งตะวันออก แต่กลับไม่ยอมปริปากถึงสาเหตุที่สนใจใคร่รู้เสียอย่างนั้น

ไม่มีใครรู้แผนการในใจนอกจากเจ้าตัว มาวินอยากพาตัวเองไปให้ไกลดังที่หญิงสาวขับไล่ไสส่ง ประชดที่เธอไม่สนใจไยดี และประเมินความรู้สึกเขาเสียต่ำต้อยด้อยค่า แต่แล้วอีกใจหนึ่งก็บอกให้เขาอย่าทำอะไรโง่ๆ อย่าละทิ้งความตั้งใจง่ายๆ เช่นนั้นแล้วเขาก็ไม่ต่างอะไรกับที่เธอดูแคลน ความคิดนั้นเองที่ทำให้มาวินเกิดแรงฮึด ความหวังที่หล่อเลี้ยงชีวิตเขามาตลอดทำหน้าที่ของมันอีกครั้งหนึ่ง

เด็กหนุ่มย้อนทบทวนทุกถ้อยคำทุกประโยคที่ปลายฝนบอกเขา น่าแปลกที่เขาจดจำทุกฉากทุกตอนตั้งแต่ที่เธอเข้าใจผิดว่าเขาบุกรุกเข้ามาที่มูลนิธิ วันที่เธอกับนักจิตวิทยาสาวไปเยี่ยมดูสภาพครอบครัวเขา เช้าที่เขาบังเอิญพบเธอบนรถประจำทาง ตลอดจนน้ำเสียงตื่นตระหนกที่เธอบอกให้เขาเก็บตัวในห้องจากพ่อที่หมายทำร้าย ไม่มีสักเสี้ยวความคิดเลยว่าวันหนึ่งไม่นานเขาจะรักเธอ รักที่ก่อเกิดขึ้นในหัวใจโดยไม่คิดฝัน ไม่ทันตั้งตัว กว่าจะรู้เธอก็ปรากฏในห้วงคำนึง สายเกินกว่าจะหักห้ามใจ

ยิ่งหวนคิดถึงความทรงจำที่มีร่วมกัน มาวินก็ไม่อาจทำใจเชื่อว่าความรู้สึกดีเกิดขึ้นกับเขาฝ่ายเดียว ไม่อย่างนั้นเธอคงหลบเลี่ยงนั่งรถประจำทางด้วยกันทุกเช้า พูดคุยและยิ้มหัวกับเด็กอย่างเขาอย่างไม่ถือตัว บางครั้งที่ชิดใกล้ เธอมีท่าทีเก้อเขิน แต่บางคราวเธอก็แกล้งยียวนโดยไม่มีความต่างของวัยมาคั่นกลาง แววตาและรอยยิ้มที่เขาได้รับไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างแน่นอน

‘กลับไปซะ ไปใช้ชีวิตของไม้ เลิกสนใจเรื่องของพี่’

เพิ่งไม่นานมานี้ที่ปลายฝนเอ่ยปากผลักไสไล่ส่งเขา บอกให้เขาเลิกสนใจเธอ แต่จะทำได้อย่างไรเมื่อเขามีเธอเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เป็นปัจจุบันและอนาคตที่วาดฝันไว้สวยงาม

มาวินจะต้องรู้สาเหตุที่หญิงสาวสร้างกำแพงปิดกั้นเขาให้จงได้ ถ้าเธอไม่เชื่อมั่นในตัวเขา เขาจะพิสูจน์ตัวเองให้เธอมั่นใจ ถ้าเธอมีปัญหาส่วนตัว เขาจะช่วยแก้ไข หรือถ้าเป็นเพราะเขายังเด็กเกินไป เขาก็จะรอจนถึงวันที่พร้อมดูแลเธอ ขอแค่บอกเท่านั้น...ขอแค่เขามีเธอเป็นกำลังใจ

ความคิดนั้นนำพาเด็กหนุ่มที่เพิ่งมีเวลาพักผ่อนกลับลงมาอีกครั้ง เขาไม่ได้ตอบคำถามของเพื่อนที่กินข้าวอยู่กับครอบครัวว่าจะไปไหน แต่เดินดุ่มออกไปทางประตูหลังร้าน

 

ราวกับเข็มนาฬิกาเดินเชื่องช้ากว่าปกติ วันนี้จึงคล้ายยาวนาน มีเหตุการณ์ต่างๆ เข้ามาทดสอบจิตใจไม่จบสิ้น

นิชาปลอดภัยแล้วก็จริง เด็กสาวยืนยันจะกลับมาอยู่ที่มูลนิธิ พ่อของเด็กสาวไม่วายข่มขู่จะหานักกฎหมายมาเอาผิดเจ้าหน้าที่ที่หละหลวม แม้ว่าตำรวจจะมาตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วพบภาพหลักฐานจากกล้องวงจรปิดตอนที่เด็กสาวลอบหยิบมีดปอกผลไม้ไปจากโรงครัวเช้านั้นก็ตาม

ปลายฝนยิ้มแห้งให้แก่ผู้หมวดประจำสถานีตำรวจท้องที่ ก่อนวางแก้วกาแฟและคุกกี้สิงคโปร์ฝีมือผู้พักพิงบนโต๊ะหน้าโซฟา เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาอุตส่าห์รับผิดชอบหน้าที่จนหมดเวลาราชการ

“จริงสิ คุณฝนเล่าเรื่องนายณรงค์แล้วใช่ไหมครับ” ผู้หมวดหนุ่มเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้ “แกตกคลองเสียชีวิต จ่าเข้าใจผิดว่าผมให้ติดต่อมูลนิธิกู้ภัย เขาก็เลยนำศพไปฝังที่สุสาน”

ปลายฝนสบตาเพื่อนร่วมงานไม่เต็มตา ก้อนเนื้อในอกวูบไหวอย่างคนมีชนักติดหลัง

“ฝนยังไม่ได้บอกเลยค่ะ มีเรื่องยุ่งๆ ซะก่อน” 

แทนที่จะพูดจาโดยตรงกับชไมพร หญิงสาวกลับตอบศุภณัฏ สร้างความแปลกใจแก่รุ่นพี่ที่ทำงาน

“ฝนยังเจอกับไม้อยู่หรือเปล่า ไม้รู้เรื่องนี้ไหม” นักจิตวิทยาสาวซักถาม พอรู้มาบ้างว่าที่พักทั้งสองอยู่ละแวกเดียวกัน

“ไม่เจอเลยค่ะ”

ปลายฝนข่มใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ สบตาชไมพรอยู่อึดใจ ครั้นอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เธอจึงออกมาจากห้องรับรองพร้อมกับที่ความรู้สึกผิดกัดกร่อนข้างใน

เธอไม่อยากโกหก เธอคงไม่ต้องทำเช่นนี้ถ้ามาวินไม่ได้แปะป้ายความผิดเด่นหราในใจเธอ ด้วยการสารภาพความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้น ขณะที่เธอพยายามแก้ไขเมล็ดพันธุ์รักร้ายที่ผู้มีวัยวุฒิมากกว่าปลูกฝังในจิตใต้สำนึกผู้เยาว์ เธอ...กลับกลายเป็นหนึ่งในคนประเภทเดียวกับผู้ใหญ่เหล่านั้นเสียเอง เพียงเพราะความรู้สึกอันเกินขอบเขตของมาวิน

หากความจริงปรากฏ ไม่แคล้วเธอคงสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจของทุกคนที่มูลนิธิ ความต่อสู้พยายามที่ผ่านมาคงสิ้นค่า และเธอคงไม่มีวันให้อภัยตนเองที่กลายเป็นคนที่ตนเองชิงชัง แค่คิดหัวใจก็แสบร้อนเกินทานทนราวกับถูกราดรดด้วยน้ำกรด กระบอกตาปวดร้าวขึ้นมา

เย็นนั้นหญิงสาวเดินออกมาจากมูลนิธิลำพัง เธอเดินไปตามทางเท้าเรื่อยๆ ระหว่างมองหารถจักรยานยนต์รับจ้างสักคัน ทว่าปลายฝนก็ต้องประหลาดใจเมื่อรถญี่ปุ่นสีบรอนซ์ทองจอดเทียบริมทางพร้อมกับลดกระจกลง

“เมื่อกี้คุณฝนว่าพักอยู่ย่านนี้ ขึ้นมาสิ ผมไปส่ง”

“ไม่เป็นไรค่ะผู้หมวด ฝนจะเดินออกไปป้ายรถเมล์พอดี” เธอโน้มตัวตอบผู้ที่ชะโงกหน้ามาเช่นกัน

“งั้นติดรถไปลงป้ายรถเมล์ก็ได้ครับ ไม่ต้องเกรงใจ”

ชายหนุ่มเอื้อมมาเปิดประตูให้ หญิงสาวจึงก้าวขึ้นไปอย่างเสียมิได้พร้อมกับกล่าวขอบคุณ

“ผู้หมวดต้องกลับสถานีไหมคะนี่” เธอถามไถ่

“ผมออกเวรแล้ว แต่ว่าจะแวะไปเอาของนิดหน่อย”

“ขอบคุณนะคะ เสียเวลากับพวกเรานานเลย”

“เป็นหน้าที่ผม แล้วผมก็สนใจงานด้านพิทักษ์คุ้มครองเด็กเหมือนที่พวกคุณทำอยู่แล้วด้วย”

“โชคดีที่พวกเราได้ทำงานกับผู้หมวดเหมือนกันค่ะ”

ศุภณัฏผินมองหญิงสาวหน้าตาหมดจด อายุอานามคงไม่ห่างจากเขาสักเท่าไร ก่อนยิ้มจางๆ เมื่อสะดุดตากับคราบโลหิตที่ทำความสะอาดออกไม่หมดบนเสื้อเธอ

“ผมไปส่งแล้วกัน ไม่อยากรับแจ้งความว่ามีหญิงสวมเสื้อเปื้อนเลือดขึ้นรถเมล์”

ปลายฝนหลุบตามองกลางลำตัวพร้อมกับหน้าถอดสี ครั้นสบตาที่ฉายแววขบขันของคนข้างกาย เธอก็ยิ้มเจื่อนพลางถอนหายใจ

 

ระหว่างติดรถมากับนายตำรวจหนุ่ม เธอและเขาได้พูดคุยกันจนรู้ว่าศุภณัฏเพิ่งถูกส่งมาประจำที่สถานีตำรวจท้องที่นี้เมื่อฤดูแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมา เขากับเธออายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างยังมีไฟในการทำงานและรักงานที่ทำดุจเดียวกัน

“ถ้ามีคดีผู้หญิงหรือเด็ก ผู้หมวดติดต่อฝนหรือที่มูลนิธิได้เลยนะคะ เรายินดีช่วย” ปลายฝนบอกและขอบคุณผู้ที่มาส่งตนถึงที่หมายอีกครั้ง

เธอเปิดประตูลงจากรถ แต่ไม่ทันเดินห่างออกไป ชายหนุ่มก็ลดกระจกเรียกเธอไว้แล้วตามลงมา หารู้ไม่ว่าเสียงเรียกนั้นสะดุดหูเด็กหนุ่มที่มารอพบหญิงสาวอยู่พักใหญ่

“นี่นามบัตรผม มีอะไรด่วนติดต่อได้เสมอ” 

“ขอบคุณมากค่ะ”

“อ้อ เรียกผมว่าณัฏก็ได้ เรารุ่นๆ เดียวกัน”

หญิงสาวยิ้มรับไมตรี ก่อนเสียงคุ้นหูจะดังขึ้นขัดบทสนทนา

“พี่...”

เธอไม่อยากหันไป ไม่อยากรับรู้ถึงการมีตัวตนของมาวิน แต่สายตาของนายตำรวจหนุ่มที่แลเลยผ่านเธอไปตอกย้ำความจริงที่เธอไม่อาจหลบหลีก 

“เด็กคนนั้นนี่”

เขาจำได้ ในที่สุดก็มีพยานรู้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับมาวิน ปลายฝนรู้สึกพังทลายและอับอาย เธออยากหายตัวไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

“ฝนขอตัวนะคะ”

ทางเดียวที่ทำได้คือเดินจากมา เธอไม่แม้แต่หันไปดูว่าชายทั้งสองมีสีหน้าอย่างไร แล้วรีบจ้ำเดินเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้าใคร

ทว่ามาวินเปรียบเสมือนเงาความผิดที่ไม่หยุดไล่ล่า เธอคิดว่าได้พูดกับเขาชัดเจนแล้วเมื่อวาน แต่แล้วเขาก็มาปรากฏตัวอีก...ต่อหน้าผู้ที่เธอเพิ่งปกปิดความจริง ราวกับต้องการประจานความผิดเธอ

เสียงฝีเท้าที่ดังไล่หลังเรียกให้หญิงสาวหันมอง ก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นบันไดหนีเด็กหนุ่มที่ตามมา เธอไขกุญแจห้องมือไม้สั่น ขณะที่ร่างสูงพุ่งตรงมาผลักประตูที่กำลังจะปิดสนิท เบียดแทรกกายเข้ามา

“ออกไปนะ!” เธอขู่ฟ่อ โกรธจนแทบขาดสติ

“ผมไม่ไป พี่จะเรียกตำรวจมาจับก็เอาเลย” มาวินเดือดดาลไม่น้อยกว่ากัน

ตอนที่เห็นเธอลงมาจากรถ พูดคุยทอดไมตรีแก่คนที่มาส่ง เขาเจ็บแค่ไหน เธอรู้ไหม แต่มันเจ็บลึกได้ยิ่งกว่านั้นเมื่อเธอเดินหนี ตวาดไล่เขาเหมือนเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ไม่น่าพิสมัย เขาเจ็บอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“กลับไป ไม้” ปลายฝนกดเสียงเตือน พยายามตั้งสติเอาตัวรอดในห้องที่มีแค่เธอกับเด็กหนุ่ม “อย่าทำแบบนี้ ไม้กำลังคุกคามพี่”

“คุกคามเหรอ” เขาย้อน น้ำเสียงเย้ยหยันกรีดลึกบนเนื้อหัวใจตนเอง “ผมเป็นตัวอันตรายในสายตาพี่ตั้งแต่เมื่อไร ผมทำอะไรเลวทรามต่ำช้ากับพี่หรือไง ผมทำผิดอะไรนักเหรอ พี่ถึงเปลี่ยนไป”

“ก็ที่ไม้ทำอยู่นี่ไง มันผิด!” หญิงสาวกระแทกเสียงตอบ

“ถ้าการที่ผมรักพี่มันผิด แล้วแบบไหนถึงจะถูก พี่บอกมาสิ ผมจะได้ทำให้ถูกใจพี่”

“ไม้ก็ไปรักกับคนรุ่นตัวเอง สนใจเรื่องตัวเอง เลิกทำอะไรบ้าๆ แบบนี้”

มาวินกล้ำกลืนความเจ็บช้ำ เอ่ยออกไป “แบบที่พี่กับตำรวจนั่นทำได้หรือไง”

ก้อนเนื้อในอกหญิงสาวปวดปลาบ ครั้งนี้เธอจะไม่ยอมยืนอยู่ตรงข้ามความถูกต้อง ต่อให้เขาพยายามป้ายความผิดติดตัวเธอ

“ใช่”

มาวินไม่อยากเชื่อ และไม่มีสักเสี้ยวส่วนความคิดจะหลงเชื่อว่าสาวรุ่นพี่คบหาตำรวจผู้นั้น เพราะถ้าเป็นจริง ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายหายไปไหน ทำไมไม่ดูแลเธอ ปล่อยให้เธอขึ้นรถประจำทางร้อนอบอ้าว เหตุใดถึงปล่อยให้เธออยู่กับเขาในคืนข้ามปี

“ผมไม่เชื่อ” มาวินเค้นเสียงพลางส่ายศีรษะ

แม้รู้ทั้งรู้ว่าเธอแค่ยกบุคคลที่สามขึ้นมาอ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาเจ็บปวดน้อยลงเลย

“แล้วผมก็ไม่เชื่อว่าพี่รังเกียจผม ไม่อย่างนั้นพี่จะกล้าไปไหนกับเด็กส่งแก๊สอย่างผมได้ไง”

“เพราะไม้คือเด็กที่มูลนิธิเคยช่วยเหลือ”

คำตอบนั้นฟาดผ่ากลางใจ ดวงตาแดงเรื่อจ้องมองหญิงสาวอย่างเลื่อนลอยราวกับเธอไม่ใช่คนที่เขารู้จัก 

“พี่ผิดเองที่มอบความสนิทสนมให้ไม้ ไม่ทันสังเกตและระวังว่าไม้อาจเข้าใจความหมายของมันผิด” ปลายฝนยอมรับอย่างขื่นขม 

“เหรอ” มาวินย้อนก่อนรีบยกหลังมือปาดน้ำตา “ถ้านั่นคือสิ่งที่พี่คิด ผมก็จะบอกให้รู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับพี่ไหมหรือใครอื่น พี่ยังคิดว่ามันเป็นแค่ความหวั่นไหวของเด็กอย่างผมอีกรึเปล่า”

“ใช่ เพราะพี่เจอไม้บ่อยกว่าใคร”

เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีพร้อมกับแหงนเงยไม่ให้น้ำตาหยาดหยด เขาสู้อุตส่าห์พยายามพิสูจน์ตัวเอง ไม่ข้องเกี่ยวกับมูลนิธิอีก โดยไม่รู้เลยว่าความพยายามทั้งหมดสูญเปล่า มันไม่ได้เปลี่ยนทัศนคติที่เธอมีต่อเขาแม้แต่น้อย ไม่เลย...

“พี่อยากให้ผมกลับไปอยู่ในโลกของผม คบคนวัยเดียวกัน ใช้ชีวิตไร้แก่นสารไปวันๆ ใช่ไหม”

ปลายฝนเม้มปากจับจ้องผู้ที่เอ่ยวาจาประชดประชัน บีบคั้นให้เธอหวาดกลัวความผิด

“อย่าประชดพี่นะ” เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “อยากทำอะไรก็เรื่องของไม้ ไม่ต้องมาบอกให้พี่รู้ ไม่ต้องดึงพี่ไปเกี่ยวข้อง”

“ในเมื่อพี่ไม่สนใจแล้ว พี่จะสนทำไมว่าผมจะประชดทำอะไรลงไป มันชีวิตผม” เขาเอ่ยเสียงกระด้าง

คำท้าและท่าทีที่เปลี่ยนไปเป็นอีกคนสร้างความหวาดระแวงให้เกาะกุมจิตใจหญิงสาว เธอจ้องตอบเขาอย่างผิดหวังรุนแรง ทั้งที่เธอดีกับเขามาตลอด แต่สุดท้ายก็ไม่วายที่เขาจะตอบแทนเธอด้วยการฝากรอยแผล สร้างตราบาปบนความรู้สึกเธออีกคน

“อย่าใช้วิธีนี้ อย่าบีบพี่เหมือนที่ไม้ทำกับแม่อีกคน”

มาวินจ้องลึกเข้าไปในดวงตาแดงก่ำอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดเลยว่าลึกสุดลึกในใจเธอจะกล่าวโทษว่าเขาคือต้นเหตุที่ทำให้แม่เลือกหนีปัญหา ใช่สิ...เหมือนที่เธอพยายามตัดตัวปัญหาอย่างเขาออกจากชีวิต

หยดน้ำตาทิ้งตัวลงมา เด็กหนุ่มไม่มีแม้เสียงเปล่งคำที่ตั้งใจมาบอก มาขอโอกาสกับเธอ ไม่มีหน้าจะอยู่ในชีวิตเธออีกต่อไป ในเมื่อปลายฝนบอกชัดว่าเขาบีบคั้นกดดันเธอถึงเพียงนั้น เขาก็จะไปเอง...ไปยังที่ที่ไม่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ใคร แม้ไม่รู้ว่ามีที่แห่งนั้นบนโลกสำหรับเขาหรือไม่ก็ตาม

หญิงสาวได้แต่มองตามร่างสูงที่หันหลังจากไป เพิ่งตระหนักเดี๋ยวนั้นว่าเธอหลุดปากอะไรออกไป แล้วยังเป็นครั้งแรกที่มาวินเป็นฝ่ายเดินจากเธอ

 

จู่ๆ สายฝนก็พร่างพรมโดยไม่มีวี่แววล่วงหน้า มาวินเดินลากขาอย่างสิ้นไร้กำลังไปตามถนนหนทางคับแคบในซอย 

ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดรุนแรงกว่าการถูกผู้หญิงที่ตนรักเอ่ยเหมือนเขาเป็นคนที่สร้างความเดือดร้อนให้เธอ ความรู้สึกของเขาทำให้เธอทุกข์ใจถึงขนาดหยิบยกความตายมาพูดถึง ประโยคคำพูดนั้นดังสะท้อนในจิตใต้สำนึก ทำลายทุกความหวังและความตั้งใจ และคร่าเสี้ยวส่วนของตัวตนเขาไปให้ตายลงเดี๋ยวนั้น 

อดีตตามมาซ้ำเติมเด็กหนุ่ม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เขาจะไม่ออกจากบ้านเช้าวันนั้น เขาจะไม่บีบคั้นกดดันให้แม่ตัดสินใจเช่นเดียวกับเขาจนท่านเลือกหนีปัญหาละทิ้งเขาไป ถ้ารู้ว่าทุกอย่างที่เขาทำบนความถูกต้องจะมีจุดจบเช่นนี้ เขาขอเลือกทางผิด ให้ผลของการกระทำและการตัดสินใจเกิดขึ้นกับเขาฝ่ายเดียว

แต่ในเมื่อไม่อาจย้อนไปแก้ไขอดีต ก็คงเป็นโอกาสนี้ที่เขาจะแก้ไขตอนจบให้แตกต่างออกไป ความรู้สึกของเขาจะไม่มีวันทำร้ายปลายฝน เธอจะไม่ต้องแบกรับมันอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชีวิต ความหวัง หรือหัวใจของคนที่เธอไม่ต้องการ

มาวินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดินกลับมาที่ตึกแถวร้านค้าที่ตนพำนักพักพิงได้อย่างไร เมื่อความคิดและจิตใจยังคงผนึกแน่นอยู่กับอดีต บุรียืนอยู่ใต้หลังคากันสาดหน้าร้าน ทว่ามาวินเพียงมองผ่านเพื่อนอย่างไร้ซึ่งความรู้สึกใด 

“ไปไหนมาวะ กูเห็นมึงเดินออกไปไม่พูดไม่จาเลยมารอมึงเนี่ย”

“ใครให้มึงรอ”

“อ้าว ไอ้...” บุรีสบถ “กูอุตส่าห์หวังดีเป็นห่วง เสือกพูดหมาๆ”

“แล้วมาห่วงกูทำเหี้ยไร ใครขอ!” มาวินขึ้นเสียงวอนหาเรื่อง

เขาจงใจกระแทกไหล่เพื่อนที่ตัวเท่าๆ กันขณะเดินผ่าน การกระทำนั้นยั่วยุคนใจร้อนได้ผล บุรีกระชากไหล่พร้อมกับที่มาวินเหวี่ยงหมัดใส่ 

“เด็กตีกัน! เด็กตีกัน!”

เสียงตะโกนของผู้เห็นเหตุการณ์ไม่อาจแทรกซึมผ่านโทสะที่ครอบงำคู่เพื่อนสนิท สองหนุ่มตะลุมบอนกันหน้าร้าน ก่อนมาวินจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำล้มลง บุรีที่ถูกหาเรื่องตามไปเสยกำปั้นใส่โหนกแก้มจนอีกฝ่ายหน้าหัน เขาง้างหมัดจะเหวี่ยงใส่อีก แต่นอกจากมาวินจะไม่ต่อสู้กลับ ใบหน้าบวมช้ำยังหันมองอย่างท้าทาย

“มึงชกกูสิ ต่อยกู!”

บุรีผลักอกเพื่อนหงายผลึ่ง เขาลุกขึ้นกดหลังมือกับมุมปากพลางจ้องตอบอีกฝ่ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“กูไม่ทำมึงหรอก ไอ้กระจอก! มึงไปจากบ้านกูซะ จะไปไหนก็ไป!”

ขาดคำนั้นมาวินก็ทิ้งกายนอนแผ่หลาบนทางเท้าชื้นแฉะ เขาเงยหน้าหัวเราะชะตากรรมของตนเอง เสียงหัวเราะที่เสียดแทง สั่นสะท้านไปถึงสันหลังของเพื่อนที่จ้องมอง

มิตรภาพ ความหวังต่ออนาคต หรือความถูกต้องของปัจจุบัน ไม่มีสิ่งใดสำคัญ ไม่แล้วนับจากนี้ไป...


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น