9

บทที่ ๙

บทที่ ๙

 

“แดกเร็วๆ สิวะ เดี๋ยวก็ไม่ทันเล่นบาส หมดเวลาพักก่อนพอดี”

ถ้อยคำเร่งเร้าของเพื่อนพร้อมกับแรงตบบนหลังดึงความสนใจของมาวินออกจากความคิดว้าวุ่น เขาหลุบตามองจานข้าวพลางบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ

“พวกมึงไปเล่นกันเหอะ กูไม่มี’รมณ์”

เด็กหนุ่มลุกไปเก็บจานข้าวที่ตัวเองแทบไม่ได้แตะต้องอาหาร ก่อนที่บุรีจะโยนลูกบาสเกตบอลให้เพื่อนคนอื่นแล้วตามผู้ที่มีท่าทางผิดแปลกมาหลายวันไป

“เฮ้ย เป็นไรของมึง ไม้ พักนี้ทำท่าซังกะตาย”

มาวินปรายตามองเพื่อน ถ้าไม่ใช่บุรี เขาก็คงไม่รู้จะระบายเรื่องนี้กับใคร

“พี่เขาโกรธกู”

“ฮะ?” คนฟังงุนงงเล็กน้อย หลุดยิ้มขันด้วยความคาดไม่ถึงว่าเพื่อนจะเป็นเอามากขนาดนี้ “มึงไปทำไรให้พี่เขาโกรธ”

“กูเกือบจูบเขา”

“ฮะ!” บุรีร้องเสียงหลงกว่าเดิม

“มึงจะ ‘ฮะ’ เหี้ยไรนักวะ” มาวินชักหงุดหงิด

ผู้ที่ไม่เคยจริงจังกับสิ่งใดถึงกับหัวเราะพรืด ครั้นนัยน์ตาคมกริบตวัดมองอย่างฉุนโกรธ มิหนำซ้ำเพื่อนตัวดียังทำท่าจะเดินหนี เขาจึงรีบปรับสีหน้ามาเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

“เกือบก็แปลว่ายัง แล้วทำไมเขาต้องโกรธมึง”

ประโยคนั้นตรงกับคำถามที่มาวินครุ่นคิดมาหลายวัน ทว่าทุกครั้งที่คล้ายจะได้คำตอบที่มาของสาเหตุแท้จริง เขากลับรับไม่ได้ ไม่อาจบอกตัวเองให้เชื่อคำตอบที่ผุดพรายในใจ...ว่าเธอรังเกียจเด็กอย่างเขา

“แล้วมึงลองง้อพี่เขายัง” บุรีถามใหม่หลังจากไม่ได้รับคำตอบ

“กูพยายามแล้ว แต่ไม่รู้ดิวะ เขาทำตัวเปลี่ยนไป” มาวินถอนหายใจระบายความอึดอัด “ท่าทางเขาเหมือนไม่อยากคุยกับกู ไม่สนใจกูแล้ว ขนาดทุกวันนี้กูไม่ได้ขึ้นรถเมล์กับเขา เขายังไม่แม้แต่จะส่งข้อความมาถามไถ่กูสักคำ”

“มึงก็เลยงอนเขาอีกคน?”

“เชี่ย อย่าพูดเล่นได้ไหม กูจริงจัง”

บุรีหุบปากฉับ หรี่ตามองสีหน้าเคร่งเครียดที่ไม่ได้เห็นจากเพื่อนสนิทมานาน เขาเกือบลืมไปว่าเมื่อก่อนมาวินเคยมีปัญหาครอบครัวจนกลายเป็นคนจริงจังกับชีวิต หมอนั่นมักเลี่ยงทำสิ่งที่อาจก่อให้เกิดปัญหาเพิ่มขึ้น เช่นการโดดเรียนอย่างที่เขาทำบ่อยๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงอบายมุขทุกอย่าง บางครั้งเขามองว่าเพื่อนขี้ขลาดด้วยซ้ำไป

“กูถามหน่อย ที่ว่าเกือบจูบกัน แปลว่ามึงสารภาพความรู้สึกกับพี่เขาแล้วสิ?”

“เปล่า...ยัง”

“แสด...เขาก็เลยโกรธมึงเพราะอย่างนี้รึเปล่า”

มาวินเงยหน้ามองเพื่อน แววตาสับสนสะท้อนประกายแห่งความหวังอีกครา หรือถึงเวลาที่เขาควรสารภาพความในใจให้หญิงสาวรับรู้ ดีกว่าจมอยู่กับความคลุมเครืออันทรมานจิตใจ

บางทีท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอคงเพราะสถานะระหว่างเธอกับเขาขีดกั้นไว้ คืนนั้นเขาแน่ใจว่าสาวรุ่นพี่ไม่ได้รังเกียจความใกล้ชิด เธอหวั่นไหวเช่นเดียวกับที่เขารู้สึก แต่เป็นเธอที่ได้สติและวางตัวสมกับความเป็นผู้ใหญ่ อาจเพราะเธอไม่รู้ว่ามันไม่ใช่แค่ห้วงอารมณ์หวั่นไหวที่เกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยาม ทว่ามันเกิดจากความรักความผูกพันที่สุกงอมในใจเขาต่างหาก

“เย็นนี้ไปแดกเหล้ากัน” บุรีหวังดีอยากปลอบใจเพื่อน “กูไม่บอกม้าหรอก กูเลี้ยงมึงเลยเอ้า”

มาวินยิ้มออกจนได้ เขาตบไหล่เพื่อนสนิทด้วยสีหน้าแช่มชื่นขึ้น

“ไม่ละ ขอบใจมึง”

เขาไม่มีวันทำให้ผู้หญิงที่ตนรักผิดหวังด้วยการประชดชีวิตเช่นนั้น เธอทำให้เขาอยากเป็นคนที่เหมาะสมคู่ควรกับเธอ แม้กระทั่งบัดนี้เธอก็ยังคงเป็นแรงบันดาลใจของเขาในทุกวัน เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาสนใจอยากศึกษาเล่าเรียนด้านกฎหมาย เพื่อจะได้สนับสนุนงานของเธอและช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป เช่นที่ปลายฝนได้ให้ชีวิตใหม่แก่เขานั่นเอง

 

‘เย็นนี้ผมไปหานะ มีเรื่องสำคัญอยากคุยกับพี่’/

ข้อความใหม่จากเด็กหนุ่มบีบรัดก้อนเนื้อในอกปลายฝนให้ปวดหนึบ เธอเคยได้รับข้อความคล้ายกันนี้จากเขา แล้วก็พลอยห่วงกังวลว่าเขาอาจพบปัญหาหรือมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ โดยไม่แม้แต่จะฉุกคิดเลยว่านั่นอาจเป็นคำลวง

ทว่าเมื่อรู้ความจริงเช่นนี้แล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่เธอต้องมอบความห่วงใยเอาใจใส่แก่มาวินอีก หญิงสาวเพิกเฉยต่อข้อความนั้น แม้ภายในใจจะไม่อาจสลัดความรู้สึกบางอย่างที่รบกวนได้ก็ตาม

“ติดรถออกไปด้วยกันไหม ฝน” สาวท้องแก่ถามอย่างมีน้ำใจ

“ไม่เป็นไรค่ะพี่เร ขอบคุณนะคะ”

“อยากลาคลอดบ้างจังเว้ย” ชไมพรเย้าแหย่ผู้ที่จะหยุดงานตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป

“หาผัวให้ได้ก่อนเถอะแก” เรวดีสัพยอก เรียกเสียงหัวเราะจากสองสาวเพื่อนร่วมงาน

ครั้นเหลือเพียงปลายฝนและชไมพรภายในสำนักงาน หญิงสาวทั้งสองจึงแลกสายตากัน เป็นนักจิตวิทยาประจำมูลนิธิที่ทำลายความเงียบ

“ถ้าห่วงนิชา ไม่ต้องวิตกจนเกินไปหรอกนะ ทุกคนที่นี่ช่วยเป็นหูเป็นตาอยู่แล้ว”

“วันนี้พี่ไหมกับนิชาไปพบตำรวจเป็นไงบ้างคะ”

“แกสงบลงตอนเจ้าหน้าที่บอกว่ามีหลักฐานพร้อมดำเนินคดีครูคนนั้น แต่ก็ยังไม่ยอมพูดกับใคร”

ปลายฝนรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเรื่องใด นอกจากสภาพจิตใจของเด็กสาว อายุครรภ์ของนิชาก็มากขึ้นทุกวัน และอาจสายเกินกว่าจะตัดสินใจ

“ฝนขอช่วยเคสนี้แทนพี่เรได้ไหม พี่ไหม”

“ฝน...”

“ฝนอยากให้พี่ไหมไว้ใจ ฝนทำได้จริงๆ”

เพราะคำว่า ‘ไว้ใจ’ ทำให้ชไมพรตัดสินใจได้เด็ดขาด กว่าหนึ่งปีที่ปลายฝนเข้ามาทำงานที่มูลนิธิ ไม่เคยสักครั้งที่หญิงสาวจะทำให้เธอผิดหวังหรือสั่นคลอนความไว้เนื้อเชื่อใจ คนทุกคนคู่ควรกับโอกาส และโอกาสก็สร้างคน

ชไมพรพยักหน้าตกลง ถ้าเธอโชคดี โอกาสนี้อาจช่วยคนถึงสองคน

 

ปลายฝนอยู่คุยกับชไมพรจนเย็นย่ำ กว่าจะฝ่าการจราจรติดขัดกลับถึงที่พัก ความมืดก็โรยตัวปกคลุมโดยรอบ

เป็นความตั้งใจของเธอเองที่จะหลบเลี่ยงมาวิน ไม่ตอบรับนัดหมาย พร้อมทั้งหวังว่าหากเขามาดักรอก็คงย่อท้อกลับไปก่อน แต่เธอคิดผิด

ก้อนเนื้อในอกกระตุกผิดจังหวะ ทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มยืนลับๆ ล่อๆ รอเธอบริเวณที่ดินเปล่าซึ่งปล่อยเช่าเป็นที่จอดรถ บริเวณนั้นอยู่ติดกับอะพาร์ตเมนต์ที่พักของเธอก็จริง แต่ค่อนข้างมืดและลับตาผู้คน ถ้าไม่ใช่เพราะหวาดระแวงว่าเด็กหนุ่มอาจมารอพบตน เธอคงไม่ทันสังเกตเห็นเขาเป็นแน่

ทว่ามาถึงขั้นนี้ปลายฝนไม่อาจหลบเลี่ยงอีกต่อไป และเธอก็ไม่อยากทำเช่นนั้นอีกแล้ว อยากรู้เหมือนกันว่ามาวินจะแก้ตัวอย่างไร เหนือสิ่งอื่นใด เขาจะจัดการกับความสูญเสียบุพการีอีกคนอย่างไร

“ผมไม่เห็นพี่ตอบข้อความ เลยมารอ”

หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ รอดูท่าทีของคนที่บอกว่ามีธุระสำคัญ

มาวินเบนสายตาไปทางอื่นพลางยกมือวางบนท้ายทอย พยายามคิดหาทางเข้าเรื่อง แต่กลับยากเย็นนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับกำแพงที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นมา

“ไม้มาเรื่องพ่อใช่ไหม” เธอถามหยั่งเชิงออกไปในที่สุด 

“พ่อไปที่มูลนิธิหรือ”

ประโยคย้อนถามทันควันสร้างความผิดหวังร้าวลึกให้แก่ปลายฝน เธอไม่อาจสวมบทบาทตามเกมมาวินได้อีก

“เปล่า แต่พี่ได้คุยกับผู้หมวดเรื่องพ่อของไม้แล้ว”

สีหน้าตื่นตกใจของเด็กหนุ่มทำให้ปลายฝนยิ่งแน่ใจว่าที่ผ่านมาเขากุเรื่องหลอกเธอ

“พี่ไปหาตำรวจ?”

“ที่จริงพี่ไปเรื่องงาน แต่บังเอิญเจอผู้หมวด ก็เลยนึกถึงเรื่องพ่อที่ไม้เคยบอกขึ้นมาได้” เธอเอ่ยเสียงขื่น จ้องมองคนตรงหน้าแน่วนิ่ง “พี่ถึงเพิ่งรู้ว่าแกเสียแล้ว พ่อของไม้เสียมานานร่วมสองเดือนแล้ว”

มาวินเบิกตาโพลง ราวกับค้อนปอนด์ตกใส่ศีรษะ เขามึนงง จับต้นชนปลายไม่ถูกชั่วขณะ กว่าจะค่อยๆ ตระหนักถึงความสูญเสียที่เขาไม่คาดคิด

“ผมไม่รู้เลย” เขาพึมพำแผ่วเบา แววตาไม่คลายความสับสน

สองเดือน...นานพอๆ กับแม่ผู้จากไปก่อนล่วงหน้าเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น นับแต่พ่อมาดักรอพบเขาที่โรงเรียนหลังแม่จากไปไม่นาน เขาก็ไม่ได้ข่าวคราวของพ่อ รวมทั้งไม่มีเพื่อนคนใดบอกว่าพบเจอพ่ออีก

คิดมาถึงตรงนั้น มาวินก็จ้องตอบหญิงสาวรุ่นพี่พร้อมกับที่หัวอกวูบโหวง ความเศร้าหมองพลันแปรเปลี่ยนเป็นความว้าวุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างรู้เท่าทัน

“ไม้กลับไปคิดก่อนก็ได้ว่าจะทำยังไง อยากไปรับร่างพ่อมาประกอบพิธีทางศาสนาหรือจะเอายังไง ค่อยมาขอความช่วยเหลือที่มูลนิธิก็ได้ ทุกคนยังเต็มใจช่วยไม้”

“แล้วพี่ล่ะ” เขาโพล่งถาม ไม่ชอบเลยที่เธอทำเหมือนเขาเป็นคนอื่นคนไกล เป็นภาระที่ต้องผลักให้พ้นตัว

“พี่เป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิ พี่ก็ต้องช่วยสิ”

“งั้นพี่ช่วยเลิกพูดแบบนี้ได้ไหม!” มาวินเอ่ยเสียงดังขึ้นตามความอัดอั้นตันใจ 

“แล้วไม้จะให้พี่พูดอะไร ผิดหวังที่ไม้โกหกพี่งั้นเหรอ” 

มาวินสะอึก แววตาเจ็บช้ำน้ำใจของหญิงสาวกำลังลงโทษ ตอกลิ่มทิ่มแทงจิตใต้สำนึกเขาอย่างรุนแรง

“ผมขอโทษ” เขายอมรับผิด “ผมไม่ได้ตั้งใจ วันนั้นผมแค่อยากเจอพี่ แต่พอรู้ว่าพี่ไม่สบาย ผมก็ละอายที่ทำให้พี่ต้องออกมาพบ”

ยิ่งได้ฟังคำสารภาพของเด็กหนุ่ม ปลายฝนก็ยิ่งรู้สึกผิดพลาดและโง่งมที่หลงเชื่อเขาสนิทใจ

“ไม่ว่ายังไงมันก็ฟังไม่ขึ้น” เธอเอ่ย ไม่มีเหตุผลใดดีพอที่จะสนับสนุนการโกหก ไม่มี...

หญิงสาวหันหลังจะเดินจากมา ทว่าคำสารภาพจากปากมาวินก็หยุดเธอไว้ให้ก้าวขาไม่ออก

“ผมชอบพี่!” เด็กหนุ่มประกาศลั่น “ผมชอบพี่ พี่ฝน ผิดมากหรือที่ผมอยากเจอพี่ อยากใช้เวลาด้วยกัน อยากทำให้พี่รู้สึกดีเหมือนที่ผมรู้สึก”

หัวใจเธอเต้นแรง แต่จะหาความปีติยินดีที่ได้รับความรักก็หามีไม่ ตรงกันข้าม ปลายฝนตกอยู่ในความตื่นตะลึงแกมตระหนก ราวกับมีใครพยายามป้ายความผิดมาที่เธอ

“ผมเสียใจตั้งแต่วินาทีแรกที่โกหกพี่ หลังจากนั้นผมไม่เคยทำอีก ไม่เคยแม้แต่โกหกตัวเองว่ารู้สึกยังไงกับพี่ ทุกอย่างที่ผมทำ ผมทำด้วยความตั้งใจ รวมทั้งตอนที่เราเกือบจูบกัน ผมก็อยากให้มันเกิดขึ้น”

หญิงสาวหันขวับมองเด็กหนุ่มด้วยแววตากรุ่นโกรธระคนสะเทือนใจ

“สิ่งที่ไม้รู้สึก มันไม่ใช่ความรัก”

“พี่จะรู้ดีกว่าผมได้ไง” มาวินโต้กลับ

“เพราะไม้ยังเด็ก”

“ผมแค่เด็กกว่าพี่ แต่ผมไม่ใช่เด็ก”

“ใช่สิ ไม้ยังเด็กในสายตาพี่” ปลายฝนเน้นย้ำ “ไม้ไม่รู้หรอกว่าความรักแท้จริงเป็นยังไง ไม้แค่ยึดติดพี่เพราะไม่มีใคร นั่นไม่ใช่ความรัก”

มาวินขบกรามกล้ำกลืนความรวดร้าว แม้จะเผื่อใจว่าปลายฝนอาจปฏิเสธความรู้สึกเขา แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะฉีกทำลายอย่างไม่ไยดีและตีค่าหัวใจเขาเป็นแค่ความพลั้งผิด

“กลับไปซะ ไปใช้ชีวิตของไม้ เลิกสนใจเรื่องของพี่”

“พี่ก็พูดได้” เขาแย้งขึ้นอีกครั้ง จ้องมองแผ่นหลังของหญิงสาวด้วยแววตาตัดพ้อระคนเจ็บช้ำ “พี่เคยรักใครสักคนไหม มันเลิกรักได้ง่ายหรือไง”

ความยึดมั่นอย่างดื้อด้านของมาวินยิ่งสร้างความรู้สึกผิดกัดกินใจเธอ เขากำลังทำให้เธอกลายเป็นคนผิด ป้ายมลทินให้ความปรารถนาดีที่เธอมีต่อเขาต้องมัวหมอง แล้วถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูคนอื่น หน้าที่การงานของเธอและชื่อเสียงของมูลนิธิที่เธอทำงานย่อมไม่แคล้วแปดเปื้อน

ปลายฝนแบกหัวใจที่ปวดร้าวเดินหนี เธอจะไม่มีวันยอมให้มาวินทำลายทุกอย่าง ไม่มีวันยอมให้ความรักทำลายชีวิตเธออีกครั้ง

 

ลำพังแค่หน้าที่รับผิดชอบก็ทำให้ผู้ที่ทุ่มเทช่วยเหลือผู้อื่นต้องขบคิดแทบไม่ได้ว่างเว้นแล้ว คำพูดของเด็กหนุ่มที่เธอเคยมีส่วนเกี่ยวข้องตามหน้าที่ยังคอยแต่รบกวนความรู้สึกนึกคิด ให้หญิงสาวกลัดกลุ้มทุกข์ใจเพิ่มพูน

ปลายฝนไม่คิดเลยว่าคนที่เคยเป็นความสบายใจของเธอ ทำให้เธอผ่อนคลาย ลืมความตึงเครียดของชีวิตในแต่ละวัน มาวันนี้จะเป็นสาเหตุให้หัวใจเธอหนักอึ้งที่สุด แต่ก็เป็นไปแล้ว เพราะความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขา เช่นเดียวกับที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับครูหนุ่มและนิชา

“กินข้าวเลยไหม ฝน เดี๋ยวบ่ายนี้พ่อนิชาจะเข้ามา”

คำชวนของเพื่อนร่วมงานผ่านหูผู้ที่จมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิด กระทั่งน้ำหนักมือที่วางบนไหล่เรียกให้รู้ตัว

“คะ? พี่ไหมว่าไงนะ”

“ใจลอยไปไหน”

ปลายฝนยิ้มเจื่อน พลันวิตกว่าชไมพรอาจผิดสังเกตในตัวเธอ

“ไป กินข้าว”

ครั้นได้ยินคำชวน หญิงสาวก็รีบลุกอย่างกระตือรือร้น สองสาวออกจากสำนักงานไปยังโรงอาหารซึ่งอยู่อีกปีกของอาคารมูลนิธิ พบเด็กๆ ไปจนถึงสาวรุ่นตั้งแต่อายุสิบสามถึงยี่สิบ บ้างกินข้าว บ้างนั่งคุยกันอย่างออกรส ขาดก็แต่นิชา

ทันทีที่ชไมพรสบตาปลายฝน ก็รู้ว่าอีกฝ่ายห่วงเรื่องใด

“กินข้าวกันหมดแล้วเหรอ” นักจิตวิทยาสาวถามโดยไม่เจาะจง “ทำไมแกงเหลือเยอะเชียว”

“พวกเราเบื่อแกงเขียวหวานแล้วพี่ไหม อาทิตย์นี้สามวันแล้ว” ใบเตยเป็นกระบอกเสียงแทนเพื่อนๆ เช่นเคย

“อืม ก็จริงนะ ไว้พี่บอกป้าแม่ครัวให้”

ปลายฝนมองแพขนมจีนในตะกร้าพร้อมกับที่ก้อนเนื้อในอกกระตุกรุนแรง ครั้นใบเตยรายงานว่านิชาไม่ยอมลงมากินข้าว เธอจึงดึงตัวเองออกจากความทรงจำที่มีร่วมกับมาวิน แล้วอาสาไปตามเด็กสาว

“พวกเราชวนแล้ว แต่นางไม่ยอมมา”

“ไม่เป็นไร ขอบใจทุกคนด้วย พี่ไปดูเอง”

หญิงสาวขึ้นบันไดไปยังชั้นสามซึ่งแบ่งเป็นห้องนอนขนาดใหญ่หลายห้อง แต่ละห้องมีสี่เตียง เธอเคาะประตูห้องห้องหนึ่งและหมุนลูกบิดประตู แต่พบว่ามันล็อกจากข้างใน

ทันทีที่มองผ่านหน้าต่างเข้าไปเห็นปลายเท้าเหยียดบนพื้นไม่ไหวติง หัวใจหญิงสาวก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เธอตบประตูพร้อมกับตะโกนเรียกนิชา

“นิชา เปิดประตูให้พี่เข้าไปหน่อย นิชา”

เสียงสะอื้นที่ดังเล็ดลอดออกมาบ่งบอกว่าคนข้างในยังปลอดภัย แต่จะมีสติมากน้อยแค่ไหนก็สุดรู้ ปลายฝนผละไปเกาะลูกกรงระเบียง ตะโกนเรียกกลุ่มเด็กสาวที่เดินลัดสนามไปทิ้งขยะพอดี

“ใบเตย! เรียกพี่ไหมที!”

คนข้างล่างแหงนมองขึ้นมา ก่อนทิ้งถุงขยะแล้ววิ่งเข้ามาในอาคาร 

“นิชา มีสติไว้นะ เชื่อพี่สิ ทุกอย่างแก้ไขได้” หญิงสาวส่งเสียงพูดคุยกับเด็กสาวผ่านประตูที่ปิดสนิทอีกครั้ง “เปิดประตูไหวไหม เปิดให้พี่เข้าไปหานะ นิชา”

ขาดคำนั้นชไมพรและเจ้าหน้าที่คนอื่นก็มาถึงพร้อมกุญแจ เด็กสาวคนอื่นที่กรูกันขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นถูกกันให้อยู่แค่ชานพักบันได จนเมื่อประตูเปิดผาง ปลายฝนถึงได้เข้าไปเห็นเด็กสาวนั่งทิ้งตัวพิงผนังร่ำไห้ มีดปอกผลไม้เปื้อนเลือดตกอยู่ข้างกาย

ปลายฝนกระชากผ้าห่มบนเตียงมากดปากแผลที่ข้อมือ ขณะที่ชไมพรบอกให้เจ้าหน้าที่เรียกรถพยาบาล

“โอ๊ย...” 

เสียงครวญแผ่วเบาไม่รอดหูหญิงสาวที่พยายามห้ามเลือด ดวงตาที่พร่าเบลอด้วยหยาดน้ำตาของปลายฝนมองสบดวงตาแดงช้ำของนิชา หัวใจสองดวงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

 

หลังรถพยาบาลมารับตัวผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาล พ่อของเด็กสาวซึ่งรู้ข่าวก็ตามไปต่อว่าเจ้าหน้าที่มูลนิธิถึงหน้าห้องพักฟื้น กล่าวโทษว่าเป็นความบกพร่องของพวกเธอที่ปล่อยให้เด็กในความดูแลใช้อาวุธทำร้ายตัวเองได้ 

“ถ้าที่มูลนิธิไม่ปลอดภัย ผมจะให้ลูกไปอยู่ที่นั่นทำไม” ผู้เป็นพ่อโวยลั่น “คดีก็คืบหน้าไม่ถึงไหน รู้งี้ผมน่าจะร้องเรียนผ่านนักข่าว ไอ้ครูนั่นจะได้ถูกสังคมประณาม ตำรวจจะได้จับมันให้รู้แล้วรู้รอด”

“เรื่องอาวุธจะต้องมีการตรวจสอบแน่นอนค่ะ ตอนนี้ตำรวจเข้าไปดูที่เกิดเหตุแล้ว” ชไมพรเอ่ยอย่างใจเย็นทว่าฉะฉาน “นิชาไม่ต้องการให้เรื่องนี้เป็นข่าวแต่แรก ไหมคิดว่าคุณพ่อทำถูกแล้วที่เคารพการตัดสินใจของแก”

“หึ! เพราะมันอยากปกป้องครูนั่นน่ะสิ ผมไม่น่าเชื่อพวกคุณกับลูกตัวดี”

คล้อยหลังชายหัวเสียผละไปสงบสติอารมณ์ ปลายฝนก็ทิ้งกายพิงผนัง เธอถอนหายใจระบายความอัดอั้นก่อนเงยหน้าสบตารุ่นพี่

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกเขามองไม่เห็นความผิดของตัวเอง” เธอเปรยอย่างสิ้นหวัง “เพราะมีพ่อที่ใช้อารมณ์แบบนี้ นิชาถึงขาดที่พึ่งทางใจ”

“ก็ถ้าทุกคนคิดได้ เราจะทำงานนี้ มาอยู่ตรงนี้ทำไมล่ะ จริงไหม”

ถูกของอีกฝ่าย เพราะตระหนักดีว่าการหยิบยื่นความช่วยเหลือและโอกาสให้ผู้อื่นเปลี่ยนชีวิตคนได้อย่างไร เธอถึงมายืนอยู่ตรงนี้ เผชิญแรงเสียดทานที่ทำเอาอ่อนล้าทั้งกายใจ

“มองมันเป็นเรื่องธรรมดาเถอะฝน อย่าแบกไว้ในใจหรือเก็บมาเป็นอารมณ์ ไม่อย่างนั้นเราเองจะทุกข์และท้อใจจนไม่สามารถช่วยใคร”

ถ้อยคำเปี่ยมด้วยความหวังดีเป็นทั้งคำแนะนำและเตือนสติ ปลายฝนสบตาผู้ที่อ่านใจเธอทะลุปรุโปร่ง ทว่าไม่ทันเอ่ยคำใด ประตูห้องฉุกเฉินก็เลื่อนเปิด

“ผู้ดูแลนางสาวนิชาใช่ไหมคะ คนไข้รู้สึกตัวแล้ว ชำระค่าใช้จ่ายที่ฝ่ายการเงินก็กลับได้ค่ะ”

ชไมพรรับใบแจ้งยอดมาจากพยาบาล ทว่ากลับเป็นหญิงสาวอีกคนที่โพล่งถามออกไป

“ขอเข้าไปหาน้องข้างในได้ไหมคะ”

“ได้ค่ะ”

หลังได้รับอนุญาต ปลายฝนก็หันมองเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่อย่างวอนขอโอกาส

“ขอฝนคุยกับนิชาเถอะนะคะพี่ไหม”

ชไมพรหลุบตามองคราบโลหิตบนเสื้อสีชมพู ก่อนจะเม้มปากอย่างชั่งใจ

“ฝนไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ พี่ไม่สนับสนุนวิธีนี้” 

“ฝนรู้ พี่ไหมไม่ได้บีบบังคับ แต่ฝนเต็มใจ ฝนอยากคุยกับนิชาจริงๆ” 

สาวผมสั้นลอบถอนหายใจ “ถ้าฝนอยากเข้าไป พี่ไปจ่ายเงินก่อนแล้วกัน”

ริมฝีปากบางสั่นน้อยๆ ปลายฝนคลี่ยิ้มให้ผู้ที่ให้โอกาสอย่างเต็มตื้น แล้วก้าวเข้าไปในห้องฉุกเฉินที่มีเตียงสังเกตอาการเรียงราย

ก้อนเนื้อในอกเธอสั่นไหว มือเย็น ยากจะคาดเดาว่าเป็นเพราะอุณหภูมิค่อนข้างเย็นจัดในห้องนี้หรือไม่ เธอลืมตัวบีบมือเข้าด้วยกันเมื่อเห็นเตียงของนิชา ครั้นก้าวไปใกล้ เด็กสาวใบหน้าเผือดสีก็ลืมตาราวกับรู้ตัว


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น