บทที่ ๘
ปีใหม่มาพร้อมกับความรู้สึกแปลกใหม่ ปลายฝนยังคงเดินทางไปทำงานด้วยรถประจำทางสายเดียวกับมาวินเช่นเคย ทว่านับแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนข้ามปี เธอก็ระมัดระวังคำพูดและการกระทำของตนมากกว่าเดิม
มาวินพยายามคลี่คลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนระหว่างกันด้วยการชวนเธอพูดคุยสัพเพเหระหรือเย้าแหย่ดังก่อน หญิงสาวยอมรับว่าเขามีความพยายามมากกว่าเธอที่มักจะนิ่งเงียบ หรือไม่ก็แค่ยิ้มน้อยๆ ปลายฝนไม่กลัวว่าเขาจะมองตนเปลี่ยนไป เพราะเธอพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองจริงๆ
สิ่งที่พอหันเหความคิดของหญิงสาวจากมาวินได้มีเพียงความคืบหน้าเรื่องงาน หลังผ่านพ้นปีใหม่ไม่กี่วัน มูลนิธิก็ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพบตัวครูผู้นั้นแล้ว และยินดีให้ส่งตัวแทนเข้าฟังการสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรในจังหวัดสุพรรณบุรี ปลายฝนได้รับโอกาสติดตามไปกับชไมพรแทนนักสังคมสงเคราะห์รุ่นพี่ที่ตั้งครรภ์
กว่าจะขับรถไปถึงที่นั่นก็บ่ายแก่ ครั้นแนะนำตัวแก่เจ้าหน้าที่ภายในสถานีตำรวจ อีกฝ่ายก็ชี้ไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่มีชายหญิงนั่งอยู่ ฝ่ายชายมีรูปร่างหน้าตาดี น่าเชื่อถือ ตรงกับรูปถ่ายที่พวกเธอเคยเห็น ทว่าสุภาพสตรีที่นั่งอยู่ข้างเขานี่สิที่ทำให้ชไมพรกับปลายฝนสบตากัน เธอผู้นั้นอยู่ในชุดกระโปรงสีหวาน ยาวคลุมครรภ์ที่ยื่นออกมา
ราวกับมีดปลายแหลมพุ่งแทงเนื้อหัวใจ ปลายฝนเจ็บและจุกแทนเด็กสาวผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่จนดวงตาพร่าเบลอ ความหวังและสายตามองโลกในแง่ดีที่ยังพอหลงเหลือก่อนหน้านี้ถูกทำลายเสียสิ้นซาก เธอน่าจะรู้ดีว่าไม่มีทางที่ความรักบริสุทธิ์และสวยงามจะเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความจริงใจ เมื่อฝ่ายหนึ่งอยู่ใต้การปกครองของอีกฝ่าย ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นครูบาอาจารย์ สมาชิกครอบครัว หรือผู้ที่เลี้ยงดูอุปการะกันมา
ยิ่งได้รู้ว่าครูผู้นั้นเลือกภรรยาและกล่าวโทษว่าลูกศิษย์ให้ท่า มิหนำซ้ำยังไม่เชื่อว่านิชาตั้งครรภ์กับตน ก่อนได้รับการประกันตัวออกไป ปลายฝนก็สาบานกับตนเองว่าเธอจะทำให้อีกฝ่ายได้รับโทษตามกฎหมายให้จงได้
ระหว่างทางขากลับมีแต่ความเงียบงัน สองเจ้าหน้าที่สาวจมจ่อมกับความคิดตนเองอยู่พักใหญ่ ต่างสลดหดหู่ใจที่หัวใจพิสุทธิ์อีกดวงถูกผู้ใหญ่จงใจปาดป้ายระบายความโสมม
“คราวนี้ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่ถึงสอง” ปลายฝนเอ่ยออกมาในที่สุด “เด็กในท้องนิชา...”
“ถึงเวลาที่นิชาต้องตัดสินใจแล้วละ ขึ้นอยู่กับแกแล้วจริงๆ”
“ฝนมองหาทางออกดีๆ ของเรื่องนี้ไม่ได้เลย”
“มีสิ ทุกปัญหามันมีทางแก้ไขเสมอแหละ เราเคยผ่านมันมาด้วยกันแล้วไง”
ปลายฝนหันไปสบนัยน์ตาที่ฉายแววเชื่อมั่นของเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ พร้อมกับภาวนาให้เด็กสาวผู้นั้นเข้มแข็งและข้ามผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้เช่นกัน
เพราะออกไปธุระต่างจังหวัด กว่าจะกลับมาถึงมูลนิธิก็ล่วงเลยเวลาเลิกงาน ทว่ายังไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดกลับไปก่อน ทุกคนรอฟังความคืบหน้าเรื่องครูคนนั้นจากพวกเธอ พูดคุยติดพันกันจนฟ้าเริ่มมืดถึงแยกย้ายกัน
ปลายฝนติดรถเรวดีมาลงที่ป้ายรถประจำทางหน้าปากซอยมูลนิธิ สัปดาห์หน้านักสังคมสงเคราะห์รุ่นพี่ก็จะลาคลอดแล้ว เธอพลอยตื่นเต้นยินดีที่จะได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ รวมทั้งบังเกิดความหวังว่าตนจะมีโอกาสได้ทำหน้าที่แทนเรวดีในการพูดคุยกับนิชา
แม้เลิกงานแล้ว แต่ก็ยากที่จะสลัดความคิดรบกวนจิตใจทิ้งไว้ที่ที่ทำงาน ไม่ช้าไม่นานนิชาจะรู้ความจริง หญิงสาวเฝ้าครุ่นคิดถึงสภาพจิตใจของเด็กสาวตลอดทางกลับที่พัก จนไม่ทันสังเกตว่ามีใครยืนรอเธอในเงามืดข้างกำแพงอะพาร์ตเมนต์ กระทั่งลงจากรถจักรยานยนต์รับจ้างหน้าตึกสี่เหลี่ยม ร่างสูงของมาวินถึงก้าวออกมา
ปลายฝนไม่ทันหายข้องใจที่เขามารอเธอ มาวินก็เป็นฝ่ายยิงคำถามเสียเอง
“ทำไมวันนี้พี่กลับดึก”
ประโยคนั้นขัดหูคนฟังไม่น้อย มันไม่เหมือนคำถามแสดงความห่วงใยในความรู้สึกเธออีกต่อไป
“ไม้มีอะไรหรือเปล่า”
มาวินเบือนหน้าไปอีกทาง ขบกรามข่มกลั้นความน้อยใจที่เธอเลี่ยงตอบคำถามเขาตรงๆ
“ผมแค่มารอบอกพี่ว่าไอ้บีมันสอบตรงติดแล้ว อีกหน่อยผมก็จะได้ใช้มอ’ไซค์มันขี่รถส่งอาหารอย่างที่เคยบอกพี่”
ปลายฝนพยักหน้ารับรู้ เธอยินดีกับเขาและเพื่อน ขณะเดียวกันก็ไม่วายสะท้อนใจที่มาวินอุตส่าห์มารอบอกข่าวคราวแก่เธอด้วยตนเอง ทั้งที่เขาควรได้ใช้เวลานี้พักผ่อนหรือทำหน้าที่ของตนเอง
“ต่อไปมีอะไรไม้ไลน์บอกพี่ก็ได้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอไง”
ถ้อยคำนั้นทิ่มแทงใจเด็กหนุ่มให้ปวดปลาบ เขาจ้องมองเธออย่างตัดพ้อ ยิ่งหญิงสาวหันหลังทำท่าจะเดินจากไป ความปรีดาและความหวังที่เรืองโรจน์ในใจก่อนหน้านี้ก็พลันเลือนดับ ดังเช่นพลุที่ทิ้งไว้แต่ท้องฟ้ามืดดำในคืนข้ามปี
“เดี๋ยวนี้เรื่องของผมไม่สำคัญสำหรับพี่แล้วใช่ไหม” เขาโพล่งถามออกไป
ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงขึ้นเมื่อเธอค่อยๆ หันมา ก่อนที่มาวินจะรู้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป เธอเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่ไม้รู้จักรับผิดชอบตัวเอง ไม่ทำให้ใครเป็นห่วง”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงภูมิใจ ดีใจที่ไม่ใช่ตัวปัญหาสำหรับเธอ แต่แม้บัดนี้ปลายฝนจะเอ่ยเช่นนั้น เขากลับรู้สึกเหมือนที่ผ่านมาตนเป็นภาระที่เจ้าหล่อนต้องการตัดออกจากชีวิต
“ไหนๆ ไม้ก็มาแล้ว รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวพี่ขึ้นไปเอาแจ็กเกตให้”
มาวินเบนสายตาไปทางอื่น หญิงสาวจึงไม่มีโอกาสเห็นสายตาร้าวรานที่สะท้อนออกมาจากก้นบึ้งจิตใจ
ปลายฝนขึ้นไปหยิบแจ็กเกตยีนที่เด็กหนุ่มเคยให้ยืมสวมใส่ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายในคืนหนาวเย็น แต่เมื่อกลับลงมาอีกครั้ง เธอก็พบเพียงความว่างเปล่าอันส่งผลให้หัวอกวูบโหวง
มาวินไม่ได้อยู่ตรงนั้น เขาไม่ได้อยู่รอเธออีกต่อไป
เช้าวันถัดมา หญิงสาวไม่พบเพื่อนร่วมทางที่ป้ายรถประจำทางเช่นทุกวัน คำพูดตัดพ้อของมาวินเมื่อคืนสะท้อนดังในโสตประสาทให้เธอว้าวุ่นใจถึงเขาไม่คลาย
‘เดี๋ยวนี้เรื่องของผมไม่สำคัญสำหรับพี่แล้วใช่ไหม’
เขาเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง เธอไม่เคยให้ความสำคัญแก่ใคร เปิดใจให้ใครเข้ามาใกล้ชิดมากเท่าเขาต่างหาก กระทั่งเหตุการณ์คืนข้ามปีทำให้เธอฉุกคิดได้ว่ามาวินชิดใกล้ความรู้สึกเธอเกินไป ไม่ว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำในคืนนั้นเกิดจากความหวั่นไหวหรือความรู้สึกใด มันก็ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เธอซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่าควรวางตัวให้ดี ไม่ให้คนอื่นหรือแม้แต่มาวินว่าได้ว่าเธอลวงหลอกเขา
ปลายฝนไม่โกรธเด็กหนุ่ม เขาอยู่ในวัยที่หวั่นไหวต่อสิ่งเร้าอย่างง่ายดาย การที่มาวินสูญเสียแม่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขายึดติดเธอ...ผู้ที่ก้าวเข้ามาในชีวิต มอบความเอาใจใส่ห่วงใยให้โดยไม่ทันคิดถึงผลที่ตามมา แต่จะให้เปลี่ยนใจหันหลังให้เขาทันทีทันใดในตอนนี้เธอก็ทำไม่ได้เช่นกัน มาวินเป็นเด็กดี ไม่ควรเลยที่เขาต้องไร้ญาติขาดมิตร ตัวคนเดียวบนโลกนี้ลำพัง เมื่อเขายังมีครอบครัว
หญิงสาวย้อนนึกถึงใครต่อใครที่มาร่วมงานศพมารดาของเด็กหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวฝั่งแม่ คนรู้จักของมาลัย หรือพ่อของเขา ก่อนจะคิดได้ว่าเธอคงหมดห่วงในตัวมาวิน หากแน่ใจว่าณรงค์ผู้เป็นพ่อเลิกตามหาหรือคุกคามบุตรชาย
ทว่าไม่ทันปรึกษาหารือกับชไมพรเรื่องนั้น เสียงกรีดร้องอย่างเสียสติของนิชาก็ดังขึ้น ปฏิกิริยาของเด็กสาวที่รับรู้ความจริงว่าครูคนรักมีภรรยาอยู่แล้วสร้างความวิตกกังวลแก่ทุกคน จนปลายฝนซึ่งพูดคุยอยู่กับเด็กคนอื่นที่มาอาศัยพักพิงที่มูลนิธิ อดหันไปมองห้องที่ชไมพร เรวดี และนิชาอยู่ไม่ได้
“พี่ไม่ต้องไปดูเหรอ”
เสียงถามดึงความสนใจของปลายฝนกลับมาที่ใบเตย เด็กสาวซึ่งถูกควบคุมตัวขณะนอนพักหลังเสียเลือดจากการยุติการตั้งครรภ์ พร้อมกับเจ้าของคลินิกเวชกรรมที่ลักลอบให้บริการทำแท้งผิดกฎหมาย ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะประสานงานส่งตัวเด็กสาวมาที่มูลนิธิเพื่อเด็กและสตรี
“มีพี่ไหมกับพี่เรอยู่ ไม่เป็นไร เรามาคุยเรื่องของเราต่อเถอะ” นักสังคมสงเคราะห์สาวแย้มยิ้มน้อยๆ หวังลดทอนความน่าตระหนกตกใจต่อเสียงกรีดร้องที่ยังดังแว่วออกมา
“นิชาเคยบอกพวกเราว่าจะหนีไปจากที่นี่ ถ้าพวกพี่ขัดขวางความรักของเขากับครู” ใบเตยบอก “เตยยังถามเลยว่าถ้าที่ผ่านมาครูนั่นแค่หลอกฟันล่ะ จะหนีไปให้ลำบากเพื่อ? นิชามองเตยตาขวางเลยละ ถ้าไม่กลัวเตยตบกลับคงตบเตยแล้วมั้ง”
ปลายฝนคิดตามคำพูดนั้นด้วยความไม่สบายใจ ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามกลบเกลื่อนสีหน้าพลางแตะต้นแขนอีกฝ่ายแผ่วเบา
“ขอบใจเตยนะที่นำความห่วงใยมาบอกพี่”
“ห่วงเหิ่งที่ไหนล่ะ” เด็กสาวตอบอ้อมแอ้ม “เตยหมั่นไส้นางจะตาย อะไรจะไร้เดียงสาขนาดไม่รู้ว่าใครรักจริงหรือหลอก แล้วทำเป็นวางตัวเหนือกว่าเด็กใจแตกแบบเตย”
“เราทุกคนมองไม่เห็นผงที่เข้าตาตัวเอง บางทีการมองจากมุมคนนอกก็เห็นอะไรชัดเจนกว่า เราถึงต้องช่วยกันไง จริงไหม”
ใบเตยยักไหล่เล็กน้อย ก่อนเปิดดูหนังสือวิชาสามัญของการศึกษานอกระบบ สีหน้าท่าทางซังกะตายเรียกรอยยิ้มจางๆ จากคนมอง
บ่ายวันนั้นปลายฝนไม่ลืมนำข้อความจากใบเตยมาบอกให้ชไมพรรับรู้ ทว่าเธอลืมปรึกษาเรื่องมาวินไปเสียสนิทใจ
แม้มูลนิธิกัญญามิตรจะมีรั้วรอบขอบชิดแน่นหนา ไม่มีมุมไหนเล็ดลอดการบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิด แต่ปลายฝนก็ได้รับมอบหมายจากเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ให้มาประสานงานกับสถานีตำรวจเพื่อขอเจ้าหน้าที่ตรวจตราเป็นพิเศษ
ร้อยเวรที่รับเรื่องคือคนเดียวกับผู้ช่วยคลี่คลายเหตุวิวาทที่บ้านของมาวินเมื่อหลายเดือนก่อน เนื่องจากอยู่ในท้องที่เดียวกัน หลังเสร็จธุระที่ได้รับมอบหมาย หญิงสาวจึงอดถามไถ่ถึงชายขี้เมาที่เคยต้องคดีทำร้ายร่างกายไม่ได้
“ผู้หมวดจำฝนได้ แล้วจำคดีทำร้ายร่างกายในครอบครัวได้ไหมคะ”
“ที่คนแม่ฆ่าตัวตายใช่ไหม” ศุภณัฏรื้อฟื้นความจำ
“ใช่ค่ะ ไม่รู้ตอนนี้นายณรงค์เป็นไงบ้าง ยังอยู่ที่บ้านเช่าเดิมรึเปล่า”
“ผมนึกว่าลูกน้องแจ้งไปที่มูลนิธิแล้วซะอีก” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
ทว่าหญิงสาวแปลกใจยิ่งกว่า เธอมองตามสายตาของอีกฝ่ายแล้วถึงเห็นว่าเขาโบกมือเรียกตำรวจชั้นประทวนคนหนึ่ง
“จ่า คดีชายตกคลองถูกนำศพไปไว้ที่ไหนนะ”
หัวใจคนฟังแทบหยุดเต้น ปลายฝนหวังว่าพวกเขากำลังพูดถึงคดีอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่พูดคุยค้างไว้ แต่คำตอบที่ได้ยินก็ตีแสกหน้าเธอ
“อ๋อ นายณรงค์เหรอผู้หมวด ไม่มีญาติมาติดต่อรับศพ มูลนิธิจัดการนำไปฝังที่สุสานศพไร้ญาติที่ชลบุรีแล้ว”
“ปัดโธ่ ผมหมายถึงให้จ่าติดต่อมูลนิธิกัญญามิตร เจ้าหน้าที่เขารู้จักลูกผู้ตาย”
บทสนทนาของตำรวจทั้งสองนายแทบไม่แทรกซึมสู่การรับรู้ของหญิงสาว เธอตกตะลึงและใจหาย แล้วที่คืบคลานเกาะกุมหัวใจจนรวดร้าวก็คือความห่วงใยที่มีต่อมาวิน
“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไรคะ” เธอถามเสียงแผ่วพร่า
“นานแล้วเหมือนกันนะ” นายตำรวจหนุ่มเรียบเรียงความคิด “ทีแรกผมได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าเจ้าของบ้านเช่ากับนายณรงค์มีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ทางเจ้าของบ้านต้องการไล่ผู้เช่าที่ค้างค่าเช่าออก ต่อมานายณรงค์ก็กลายเป็นคนเร่ร่อน จนเมื่อประมาณสองเดือนก่อน เราได้รับแจ้งเหตุคนจมน้ำเสียชีวิต สอบถามชาวบ้านแถวนั้นบอกว่าผู้ตายน่าจะพลัดตกคลองเพราะความเมา”
“สองเดือนก่อน...”
“ใช่ ราวๆ นั้นไม่ผิดแน่”
สิ่งที่ตามมาพร้อมกับข่าวร้ายคือความจริงอันเลวร้ายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ไม่ถึงสองเดือนก่อน มาวินนัดพบเธอพร้อมกับเล่าเรื่องที่เขาถูกพ่อตามมาคุกคามถึงโรงเรียน บัดนี้เธอรู้แล้วว่าเหตุการณ์นั้นไม่มีทางเกิดขึ้น ทุกความห่วงใยที่เธอมีต่อเขาจวบจนกระทั่งนาทีที่แล้วล้วนสูญเปล่า ในเมื่อณรงค์ไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้มาก่อนหน้านั้นนานแล้ว
เขาโกหกเธอ ปลายฝนไม่อยากเชื่อเลยว่ามาวินสร้างเรื่องทั้งหมดขึ้นมาโกหกเธอ
“ว่าแต่คุณฝนจะถามถึงนายณรงค์ว่าไงนะครับ”
คำถามนั้นเรียกสติหญิงสาวกลับมา เธอสั่นศีรษะพลางปฏิเสธ ไม่มีความจำเป็นที่เธอต้องไถ่ถามถึงพ่อใจยักษ์เพราะห่วงใยมาวินอีกต่อไป
“ไม่มีอะไรแล้วค่ะ แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”
ปลายฝนกลับออกมาจากสถานีตำรวจเมื่อเสร็จสิ้นธุระอย่างแท้จริง ระหว่างยืนรอรถประจำทางขากลับ เธอก็เปลี่ยนใจกะทันหันแล้วโบกแท็กซี่แทน
ทุกอย่างผิดพลาดไปหมด ทั้งความคาดหวังในแง่ดีต่อปลายทางความรักระหว่างครูหนุ่มกับลูกศิษย์สาว ความกดดันที่มาลัยไม่อาจแบกรับ การเพิกเฉยต่อการให้ความช่วยเหลือหัวหน้าครอบครัวที่ติดสุรา บทบาทหน้าที่ในการทำงานที่ส่งผลกระทบต่อทุกคนในครอบครัว และร้ายที่สุด...เธอหลงไว้ใจคนผิด ไม่คิดเลยว่ามาวินจะหลอกลวงกันได้ลง
ความคิดเห็น |
---|