2

บทที่ ๒

บทที่ ๒

 

ใช่แต่เพียงรับเรื่องร้องเรียน มูลนิธิกัญญามิตรยังคอยติดตามทุกๆ ปัญหาที่ได้รับการแก้ไขและยังไม่ได้แก้ไข เป็นหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงของนักสังคมสงเคราะห์ประจำมูลนิธิเช่นปลายฝน

แต่เพราะเจ้าหน้าที่เลือดใหม่ไฟแรงไม่ได้ร่วมพูดคุยและรับฟังปัญหาของสองแม่ลูกแต่แรก การออกเยี่ยมเยียนคราวนี้จึงมีชไมพรมาเป็นเพื่อน สองสาวไม่ต้องมองหาบ้านซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางให้ลำบาก เพราะตำแหน่งที่อยู่ถูกบันทึกเก็บไว้ตั้งแต่วันที่รับเรื่องขอความช่วยเหลือ หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิจะได้มาถึงโดยเร็วที่สุด

รถยนต์คันเล็กจอดหน้าประตูรั้วบ้านที่ปิดสนิท สองสาวสบตากันด้วยไม่แน่ใจว่ามาเสียเที่ยวหรือไม่ หลังจากไม่มีใครรับสายพวกเธอก่อนหน้านี้ แล้วบัดนี้ก็ครบหนึ่งสัปดาห์พอดีนับแต่วันที่สองแม่ลูกเข้าไปที่มูลนิธิ

“ไหนๆ ก็มาแล้ว ลงไปดูหน่อยแล้วกัน” ชไมพรตัดสินใจ

ปลายฝนเปิดประตูลงจากรถเช่นกัน เธอสอดส่ายสายตาผ่านซี่รั้วขึ้นสนิมเข้าไปในบ้าน ขณะที่เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่กดกริ่ง

“หรือพวกเขาจะออกไปทำงานกันคะ”

“นั่นสิ เห็นว่าค้าขายตามตลาดนัด” ชไมพรเปรย “พี่ไม่น่าตัดสินใจมาโดยไม่ได้นัด”

นักจิตวิทยาสาวไม่ได้บอกไปว่าเธอสังหรณ์ใจประหลาด ไม่สิ ต้องเรียกว่ารู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตรายบางอย่างจากสตรีวัยกลางคนที่ได้พูดคุย แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยัน อีกทั้งมาลัยยังไม่ค่อยเต็มใจให้ความร่วมมือ

“ฝนเห็นหน้าปากซอยมีร้านขายของชำ เราแวะไปซื้อน้ำก่อนดีไหมคะ”

คำพูดเสนอความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่คนใหม่สร้างรอยยิ้มพึงใจให้แก่ชไมพร เพราะนอกจากปลายฝนจะรู้จักสังเกตสภาพแวดล้อมในสังคมที่ไปเยี่ยมเยือน หญิงสาวยังให้ความสำคัญเรื่องการผูกสัมพันธ์กับผู้คนในพื้นที่

ทว่าหญิงสาวทั้งสองไม่ทันกลับขึ้นรถ เสียงกุกกักจากภายในบ้านก็ดึงความสนใจไว้เสียก่อน สองสาวสบตากันอย่างโล่งใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินออกมา

“พี่ไหม” มาวินเอ่ยอย่างคาดไม่ถึง ก่อนปรายตามองผู้ที่มาด้วยอีกคน

“นึกว่าไม่มีใครอยู่ซะแล้ว พี่โทร. หาพี่มาลัยกับไม้ แต่ไม่มีคนรับสาย เลยลองแวะมาหาสักหน่อย”

แม้ชไมพรจะพูดจาอย่างเป็นกันเอง แต่ครั้งนี้คนฟังกลับมีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย

“เราขอเข้าไปได้หรือเปล่า” ปลายฝนเอ่ยขึ้นบ้าง

มาวินเปิดประตูรั้วให้แขกที่ไม่คาดคิดเข้ามาในบ้าน แล้วเดินไปนั่งบนม้าหินซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่จอดรถหน้าบ้าน ขวดสุราเปล่ายังคงวางอยู่บนโต๊ะให้เขาเบือนหน้าหนีอย่างนึกเซ็ง

“ผมไม่คิดว่าพี่จะมา พี่มาเสียเที่ยวเปล่าๆ แม่เขาไม่ยอมหย่ากับพ่อหรอก” เขาเอ่ยเสียงขื่น

“พี่ไม่ได้มาเพราะเหตุผลนั้น พี่มาดูว่าไม้กับแม่เป็นไงบ้าง มีอะไรอยากพูดคุยกับเราไหม”

“ไม่มีหรอกฮะ ผมก็คงทำได้แค่ทนอยู่ไปแบบนี้ จนกว่าจะถึงวันที่หมดความอดทน”

ปลายฝนสังเกตเห็นแผลแตกเล็กๆ บนโหนกแก้มเด็กหนุ่ม แล้วยิ่งสะท้อนใจ ด้วยแน่ใจว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวยังคงดำเนินต่อไป

“พ่อรู้หรือเปล่าว่าไม้กับแม่ยังมีพวกเรา”

มาวินเหลือบมองผู้ที่เรียกชื่อเขาอย่างสนิทสนม ทั้งที่วันนั้นหญิงสาวไม่ได้อยู่ร่วมรับฟังปัญหาที่มูลนิธิ แล้วยังวางท่ากล่าวหาเหมือนเขาเป็นผู้บุกรุก

“อ้อ พี่ชื่อฝน เป็นนักสังคมสงเคราะห์ประจำมูลนิธิ” ปลายฝนแนะนำตัวพลางยิ้มน้อยๆ

เด็กหนุ่มเสหลบสายตาที่จับจ้องแผลบนแก้มตนอย่างอดสู สมเพชตนเอง ก่อนเค้นเสียงตอบอย่างโกรธเคืองโชคชะตา

“ไม่รู้ฮะ แม่ไม่ให้บอก แม่กลัวมันจะยิ่งทำร้ายเรา”

คำตอบที่ได้ยินไม่เกินการคาดการณ์ของชไมพร แม้เธอจะให้ความมั่นใจแก่มาลัยว่ามูลนิธิสามารถช่วยเหลือนางจากความรุนแรงในครัวเรือนได้ แต่อีกฝ่ายกลับรับฟังอย่างเหม่อลอย ราวคำพูดเกลี้ยกล่อมไม่อาจฝ่ากำแพงปิดกั้นความคิด

“ไม้ล่ะ ไม้เชื่อใจพวกเราไหมว่าเราจะพาไม้กับแม่ผ่านเรื่องนี้ไปได้” ชไมพรถามหยั่งท่าที

“พี่จะทำยังไง ในเมื่อแม่ไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง”

“ถ้าเขาทำร้ายร่างกายไม้กับแม่อีก ไม้ต้องพาแม่เก็บตัวในห้องที่ปลอดภัย แล้วติดต่อหาพี่หรือฝนทันที ตกลงไหม”

“การทำร้ายร่างกายเป็นความผิดตามกฎหมาย ต่อให้เป็นเรื่องในครอบครัวก็เถอะ” ปลายฝนเสริม “พวกพี่จะประสานตำรวจอีกแรง ไม่ให้เพิกเฉยต่อคดีแบบนี้”

มาวินมองหญิงสาวสองคนสลับกัน พร้อมกันนั้นก็คล้ายจะมองเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์จากถ้อยคำให้ความมั่นใจและทางออกที่ทั้งสองชี้ให้เห็น

เด็กหนุ่มเผยยิ้มเล็กน้อยในรอบหลายวัน ครั้นจิตใจปลอดโปร่งขึ้นก็มีแก่ใจแสดงน้ำใจ

“ผมลืมหาน้ำให้พี่สองคน”

คล้อยหลังผู้ที่ลุกไปอย่างกระตือรือร้น ชไมพรและปลายฝนก็ยิ้มน้อยๆ ให้แก่กัน

“ถ้าพี่เป็นพ่อแม่ คงภูมิใจนะที่มีลูกอย่างนี้”

“แต่คนส่วนใหญ่ยังคิดว่าการนำไฟในบ้านไปบอกคนอื่น เป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นี่สิคะ”

“เราเปลี่ยนความคิดคนทุกคนในสังคมไม่ได้หรอก พี่คิดแค่ว่าแต่ละเคสที่เราให้ความช่วยเหลือ เท่ากับเปลี่ยนอนาคตคนคนหนึ่งหรือครอบครัวหนึ่ง แค่นั้นพี่ก็พอใจแล้ว”

นับแต่รู้จักและทำงานกับมูลนิธิกัญญามิตร ปลายฝนก็เชื่อเช่นนั้นหมดใจ

 

หลังการมาเยี่ยมเยียนของเจ้าหน้าที่มูลนิธิ มาวินก็บังเกิดความหวังอีกครั้ง ไม่รู้สึกมืดมนโดดเดี่ยวจนเกินไป

เขาหาโอกาสบอกแม่ที่กลับจากการค้าขาย ขณะช่วยเตรียมวัตถุดิบสำหรับค้าขายวันถัดไปอยู่หลังบ้าน ทว่าปฏิกิริยาของแม่ก็ทำให้เขาปวดใจ

“ไม้ไม่น่าให้พวกเขาเข้ามา ถ้าคนแถวนี้เห็นแล้วเอาไปบอกพ่อก็จะเป็นเรื่องใหญ่อีก”

“ช่างมันสิ ถ้ามันทำร้ายไม้กับแม่อีก คราวนี้ไม้จะทำอย่างที่พี่ไหมแนะนำจริงๆ”

“ไม้อยากให้แม่บ้าตายจริงๆ ใช่ไหม แค่นี้เรายังมีปัญหาไม่พอหรือไง”

เสียงกริ่งดังขัดบทสนทนาของแม่ลูก มาลัยเบิกตาโพลงแสดงความตื่นตระหนกระคนหวาดกลัว แต่ครั้นเห็นว่าผู้ที่ยืนอยู่นอกรั้วไม่ใช่เจ้าหน้าที่ดังที่ตนหวาดระแวง หญิงวัยกลางคนก็เปิดประตูออกไป

ตอนที่แม่อ้อนวอนขอผัดผ่อนค่าเช่าบ้านนั่นเอง ชายขี้เมาก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ค้นหาเงินเก็บในขวดโหลเพื่อนำไปซื้อเหล้าต่อหน้าต่อตาลูกชาย

“มองหน้ากูหาส้นตีนเหรอ”

“ตีนมันอยู่บนหน้าพ่อไหมล่ะ”

“ไอ้เหี้ยไม้!”

ณรงค์ขว้างขวดโหลแตกกระจายกับพื้น เสียงอึกทึกครึกโครมเรียกให้มาลัยรีบกลับเข้ามาในบ้าน พร้อมกับเข้าขวางไม่ให้พ่อลูกต่อยตีกัน

“ไม้ หยุด แม่บอกให้หยุด!”

เด็กหนุ่มถูกแม่ยื้อยุดสุดแรงไม่ให้ทำร้ายพ่อบังเกิดเกล้า เปิดโอกาสให้ผู้เป็นพ่อทุบตีหนักมือกว่าครั้งไหนๆ

“พี่...ฉันขอ อย่าทำลูกเลยนะ ฉันไหว้ละ”

“มึงไม่ต้องมาไหว้กู! มึงเลี้ยงยังไงให้มันทำร้ายกูฮะ อีมาลัย!”

ชายวัยกลางคนตวัดฝ่ามือใส่ใบหน้าภรรยา ก่อนมองกราดไปยังสองแม่ลูกราวกับจะฆ่าแกง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจกวาดเก็บเงินที่หล่นเกลื่อนพื้น แล้วออกจากบ้านไปแทน

“เอาเงินแม่กูคืนมา!” มาวินตะโกนไล่หลัง ทว่าไม่อาจตามไปยื้อแย่ง เพราะถูกแม่ฉุดรั้งไว้ทั้งตัว

“ช่างมันเถอะไม้ ช่างมันเถอะ!”

“ช่างมันได้ไงแม่ นั่นมันเงินเก็บแม่ ค่าเช่าบ้าน ค่าเทอมไม้ก็ยังไม่ได้จ่าย มันจะถลุงคนเดียวได้ไง”

มาลัยส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา คนหนึ่งจะเอาอย่างนั้น อีกคนจะดื้อดึงอย่างนี้ นางเหนื่อยเหลือเกินแล้วกับการเป็นคนกลางที่ต้องประนีประนอม ยอมลงให้ทั้งพ่อทั้งลูกมาตลอด

“ไม้จะโทร. บอกพี่ไหม คอยดู ไม้จะเอามันเข้าคุก” มาวินประกาศอย่างเคืองแค้น

“เอาเลย ไม้อยากทำอะไรก็ทำเลย” ผู้เป็นแม่ท้าทายประชดชีวิต “ทั้งลูกทั้งผัวไม่มีใครเห็นหัวฉันสักคน ฉันก็ไม่รู้จะทนได้ถึงเมื่อไร ต้องรอให้ฉันตายต่อหน้าต่อตาใช่ไหม จะได้พอใจทั้งสองคน”

“แล้วทำไมแม่ต้องตาย มันต่างหากที่ผิด”

“ไม่มีใครเห็นแก่ฉันอยู่แล้วนี่ ดีแต่สร้างปัญหากันนัก”

“โธ่เว้ย! ไม้ทำเพื่อแม่ แม่เอาไม้ไปเปรียบกับคนที่ดีแต่ล้างผลาญ ทำร้ายเราได้ไง”

มาวินเหวี่ยงกำปั้นทุบผนัง เจ็บราวกับหัวใจจะฉีกขาดเสียให้ได้ เมื่อแม่กล่าวโทษเขาเหมือนเป็นต้นเหตุปัญหาทั้งหมดฝ่ายเดียว

“แม่ไม่น่าไปมูลนิธินั่นกับไม้เลย ไม่น่าเลย...”

น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล เขาสบตาแดงก่ำของแม่อย่างเจ็บช้ำน้ำใจที่สุดในชีวิต ปวดร้าวจนสูญสิ้นศรัทธาต่อความดี ความถูกต้อง เจ็บปวดจนไม่อยากเป็นผู้เป็นคน

เด็กหนุ่มหนีขึ้นไปเก็บตัวในห้อง อาละวาดทำลายข้าวของไม่ต่างจากที่เห็นพ่อกระทำ

 

มาวินไม่ได้พยายามติดต่อชไมพรหรือสาวรุ่นพี่อีกคน แม้ว่าอยากทำแค่ไหน เขาออกจากบ้านแต่เช้าก่อนที่จะมีใครตื่น เดินเตร่สวนกับรถจักรยานยนต์และรถราของผู้ที่ตื่นแต่เช้าไปทำงาน ออกไปยังป้ายรถประจำทางติดถนนใหญ่

เขานอนไม่หลับทั้งคืน คิดหาทางออกให้แก่ชีวิตตนเองอย่างไรก็คิดไม่ออก เพราะทางออกเดียวที่คิดได้ถูกแม่ปัดตกไม่ไยดี ท้ายที่สุดจึงเลือกเดินหนี แม้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก็ยังดี

มาวินนึกถึงเพื่อนร่วมชั้นเรียน เขาอยากให้ช่วงเวลาเปิดภาคเรียนมาถึง อย่างน้อยก็จะได้พบปะเพื่อนฝูง มีชีวิตอย่างวัยรุ่นทั่วไป แต่ปิดเทอมแบบนี้ไม่เพียงแต่เขาจะไม่มีเงินพอไปเที่ยวกินข้าวทำกิจกรรมกับเพื่อน มาวินไม่ได้เรียนพิเศษอย่างเพื่อนคนอื่นเสียด้วยซ้ำ ถ้าพ่อไม่เห็นแก่ตัวอย่างร้าย และถ้าแม่เห็นแก่เขาบ้าง อนาคตของเขาคงไม่มืดมนเช่นนี้

มาวินตัดสินใจขึ้นรถประจำทางสายหนึ่ง เขาไม่รู้หรอกว่ามันจะพาไปยังจุดหมายปลายทางใด แค่ได้หนีห่างจากบ้านที่เป็นดั่งนรกชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี

เด็กหนุ่มที่ขึ้นรถจากต้นสายได้ที่นั่งเกือบสุดแถวหลัง เขายกหน้าต่างที่มีคราบฝุ่นเกรอะขึ้นจนสุด พิงศีรษะกับกรอบหน้าต่าง เหม่อมองการจราจรยามเช้าอย่างเลื่อนลอย 

บนทางเท้าเต็มไปด้วยชีวิตหลากหลาย ทั้งคนเร่ร่อนอาศัยหลับนอนอยู่หน้าตึกแถวร้านรวงที่ยังไม่เปิดกิจการ พ่อค้าแม่ขายที่ออกมาตั้งร้านค้าริมทางหากินแต่เช้า และคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่หนุ่มสาวจนวัยกลางคนที่ตื่นไปทำงาน แล้วที่ป้ายรถประจำทางหนึ่งนั่นเอง มาวินสังเกตเห็นหญิงสาวในเสื้อโปโลสีชมพูกำลังขึ้นรถประจำทางคันที่เขาโดยสาร ก้อนเนื้อในอกเด็กหนุ่มโลดแรงขึ้นอย่างไร้สาเหตุ เขาจดจำนักสังคมสงเคราะห์สาวที่ไว้ผมม้าแสกข้าง รวบหางม้า ใบหน้าอ่อนเยาว์เสมือนเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับตนได้ทันที

มาวินลังเลระหว่างการแสร้งเมินเฉย มองไม่เห็นอีกฝ่าย กับการแสดงออกว่าจดจำเจ้าหล่อนได้ เขาคิดว่าวิธีแรกคงอึดอัดน้อยกว่า แต่ก็สายไปเมื่อหญิงสาวที่เพิ่งขึ้นรถประจำทางหันมาสบตาเขาเข้าระหว่างเดินหาที่นั่ง ปลายฝนฉีกยิ้มด้วยสีหน้าประหลาดใจ เดินตรงมาหาเขาอย่างไม่ลังเล

“บังเอิญจังเลยนะ” เธอทักทายพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างเด็กหนุ่ม “จำพี่ได้ไหม พี่ฝน...ที่เคยไปที่บ้านกับพี่ไหม”

ประโยคที่เท้าความราวกับเหตุการณ์นั้นผ่านไปนานทั้งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานสร้างรอยยิ้มบนมุมปากมาวิน

“จำได้ บังเอิญจริงๆ นั่นแหละ” เขาพึมพำ

ไม่เรียกว่าบังเอิญแล้วจะเรียกว่าอะไรได้ เขาหรืออุตส่าห์ตัดใจไม่ดึงเจ้าหน้าที่มูลนิธิมาเกี่ยวข้อง ด้วยละอายและผิดหวังที่แม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของพวกเขา แต่ทั้งเมื่อวานและวันนี้บ่งบอกว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ดูดายต่อปัญหาของเขา มิหนำซ้ำยังมีมิตรจิตมิตรใจเข้ามาพูดคุยนอกเหนือเวลางาน

“แล้วนี่จะไปไหนแต่เช้า”

“พี่ล่ะ”

“พี่ไปทำงาน”

“อ๋อ” มาวินทำเสียงรับรู้ในลำคอ ก่อนหันมองป้ายรถประจำทางที่ผ่านมา “พี่อยู่แถวนี้เหรอ”

“เรายังไม่ได้ตอบคำถามแรกเลย”

แม้หญิงสาวไม่ได้ตอบข้อสงสัย เขาก็จดจำป้ายรถประจำทางซึ่งตรงกับซอยทางลัดสู่ถนนอีกสายได้แล้ว

“ผมเหรอ ผมแค่อยากนั่งรถเล่น”

ปลายฝนพิศมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่ม เธอแน่ใจว่ารอยแผลบนโหนกแก้มของเขาบวมช้ำกว่าเมื่อวาน

“แวะไปที่มูลนิธิกับพี่ไหม” เธอเอ่ยชวนอย่างเข้าใจ ทว่ามาวินส่ายศีรษะน้อยๆ

“ไม่ดีกว่า ผมไม่อยากรบกวนพวกพี่” เขาตอบเสียงขื่น

“รบกวนอะไรกัน ถ้าไม่มีคนมาหาหรือนึกถึงพวกเราเลยนี่สิ งานของพวกเราคงไร้ความหมาย”

เด็กหนุ่มก้มหน้าเล็กน้อย เก็บซ่อนคำพูดและแววตา

“แล้วแต่ไม้นะ อยากแวะไปเมื่อไรก็ได้ พี่คงไม่เข้าใจผิดว่าเป็นผู้บุกรุกแล้วละ ไม่ต้องห่วง”

วาจาเป็นกันเองเรียกรอยยิ้มจางๆ จากเด็กหนุ่ม ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างโดยสารรถประจำทางไปเงียบๆ เสมือนเพื่อนร่วมทางคนหนึ่ง 

มาวินหันมองออกนอกหน้าต่างอีกครั้ง ไม่รู้เพราะสายลมอบอุ่นปะทะใบหน้าช่วยปลอบประโลมจิตใจร้อนรุ่ม หรือเป็นเพราะการได้พบพูดคุยกับคนที่มอบความห่วงใยให้กันแน่ ไฟที่แผดเผาในอกจึงค่อยๆ มอดลง ความอ่อนเพลียทำให้มาวินตาปรือโดยไม่รู้ตัว รถที่ขับเคลื่อนช้าๆ เห่กล่อมให้เขาคืบคลานสู่ห้วงนิทรา

ครั้นรถเบรก ศีรษะผู้ที่นั่งสัปหงกก็กระแทกเข้ากับหญิงสาว ปลายฝนสะดุ้งเล็กน้อย ทว่ามาวินตื่นไม่เต็มตา เขาขยับไปอิงศีรษะกับกรอบหน้าต่าง คนข้างๆ หันมองด้วยความสะท้อนใจ

แม้รู้ว่าไม่ควร หญิงสาวก็ยกโทรศัพท์มือถือแอบถ่ายภาพรอยฟกช้ำบนใบหน้าเด็กหนุ่ม เผื่อใช้เป็นหลักฐานยามจำเป็นในอนาคต ทว่าขณะที่เธอลดโทรศัพท์ลง รถประจำทางก็ปาดออกจากช่องทางซ้าย ศีรษะของผู้ที่ผล็อยหลับเอียงมาเอนอิงไหล่เธอ ปลายฝนลืมตัวกลั้นหายใจ ก่อนหลุบตามองคนที่ยังคงหลับต่อไม่รู้ตัว

อีกสองป้ายข้างหน้าจะถึงจุดหมายปลายทาง แต่คนที่ซบไหล่เธอหลับสนิทก็ทำให้ลังเลว่าควรปลุกเขาหรือไม่ เขาทำให้เธอนึกถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่หนีออกจากบ้าน ปลายฝนใคร่รู้ว่ามาวินกำลังคิดทำอย่างเดียวกันหรือไม่ เขาถึงนั่งรถประจำทางออกมาจากบ้านแต่เช้า แผลบนใบหน้าบอกว่าเขาเพิ่งถูกทำร้าย แต่กลับไม่ติดต่อมูลนิธิเพื่อขอความช่วยเหลืออย่างที่ตกลงกัน เพราะอะไร...

ในที่สุดเธอก็ไม่อาจตัดใจปล่อยเขาเตลิดไปลำพัง เธอยังคงโดยสารบนรถประจำทางทั้งที่เลยจุดหมาย ทั้งที่เขาอาจไม่ต้องการเธอด้วยซ้ำไป มาวินหันกลับไปพิงศีรษะกับหน้าต่างอีกครา จวบจนอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น คนที่หลับสบายก็ขยับตัวลืมตา

“พี่...” เด็กหนุ่มมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อหันมาเห็นเพื่อนร่วมทาง แล้วหันมองข้างทางที่เปลี่ยนไปเป็นถนนอีกสาย “เลยมูลนิธิแล้วนี่”

“พี่เผลอหลับเลยป้ายน่ะ”

มาวินหรี่ตามองคล้ายไม่เชื่อถือ “เหรอ ไม่ใช่เพราะพี่กลัวผมหนีออกจากบ้านใช่ไหม”

“เปล่า” ปลายฝนปฏิเสธพร้อมกับนึกหมั่นไส้คนที่เกิดหัวไวขึ้นมา “แล้วไม้คิดจะทำอย่างนั้นหรือเปล่าล่ะ”

“คิด” เขาตอบทันควัน หายง่วงงุนหลังได้งีบหลับ “แต่ผมทำไม่ได้หรอก ห่วงแม่ ถึงแม่จะไม่เคยห่วงผมก็เถอะ”

หัวอกหญิงสาวปวดหนึบเมื่อสบตาที่ฉายแววรวดร้าว เธอไม่เคยพบหน้าแม่ของเด็กหนุ่มตรงๆ ก็จริง แต่จากที่ได้ยินได้ฟังจากรุ่นพี่ที่ทำงาน ผู้หญิงคนนั้นยังดีกว่าแม่หลายๆ คน นางรักลูก เพียงแต่อาจไม่เข้มแข็งพอที่จะก้าวออกมา

“ถ้าแม่ไม่ห่วงไม้ ก็คงไม่ยอมไปที่มูลนิธิกับไม้แต่แรก”

“แม่อาจห่วงว่าผมจะฆ่าพ่อก็ได้”

“พี่รู้ว่าไม้ไม่ทำหรอก ไม้ฉลาดกว่านั้น ดีกว่านั้น มีหรือแม่จะไม่รู้”

มาวินโคลงศีรษะอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะยิ่งโตขึ้นพอจะปกป้องตนเองได้ เขาก็ไม่อาจงอมืองอเท้าให้พ่อทำร้ายตนฝ่ายเดียว แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาอาจบันดาลโทสะทำอะไรรุนแรงเกินกว่าการปกป้องตนเอง

“ลงป้ายหน้าไหม พี่ไม่ต้องรีบไปทำงานเหรอ” 

คำถามเบี่ยงเบนความสนใจใช้ได้ผล ปลายฝนมีสีหน้าตกใจเหมือนเพิ่งนึกได้ เธอสะพายกระเป๋าแล้วลุกขึ้นเตรียมลงจากรถประจำทาง โดยมีมาวินซึ่งสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนซีดขาดลุกตาม

หญิงสาวไม่ได้ทักท้วงคนที่เดินข้ามสะพานลอยมาด้วยกัน ดีเสียอีกถ้าเขาเปลี่ยนใจไปที่มูลนิธิกับเธอ ชไมพรอาจซักถามและช่วยเหลือได้ดีกว่าเธอ หรือถ้ามาวินเปลี่ยนใจกลับบ้าน เธอก็ต้องการแน่ใจว่าเด็กหนุ่มจะให้โอกาสพวกเธอได้ช่วยแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

ระหว่างรอรถประจำทาง ปลายฝนจึงตัดสินใจเลี้ยงข้าวอีกฝ่าย หวังว่าเขาจะผ่อนคลายและเปิดใจพูดคุยมากกว่าเดิม

“รถติดแบบนี้ยืนรอก็เสียเวลาเปล่า แวะกินข้าวมันไก่กันเถอะ” เธอบุ้ยใบ้ไปที่ตึกแถวร้านค้าหลังป้ายรถประจำทาง

“ผมไม่ได้เอาตังค์มา” มาวินแก้ตัวเก้อๆ

“ถ้ากินไม่เกินสองจาน พี่เลี้ยงได้”

น้ำใจและความจริงใจที่สัมผัสได้จากหญิงสาวจุดประกายมากกว่ารอยยิ้ม สร้างความประทับใจให้แก่เด็กหนุ่ม เขายอมตามเธอเข้าไปในร้าน สั่งข้าวมันไก่ธรรมดาและไก่ทอดในจานเดียว

“ไว้ผมเลี้ยงพี่คืนนะ”

“ได้เลย” ปลายฝนตอบรับด้วยความเต็มใจ

แม้ไม่รู้ว่าเมื่อไร บัดนี้มาวินมีเป้าหมายเล็กๆ ให้มองไปข้างหน้า

“แล้วไม้จะไปไหนต่อ”

“คงกลับบ้าน” เขาบอกเซ็งๆ “ไม่รู้จะไปไหน เพื่อนก็ไปเที่ยวหรือไปกวดวิชากัน”

“จริงๆ ทำงานพิเศษก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจนะ ถ้าไม้ไม่อยากอยู่บ้านทั้งวัน แล้วก็จะได้ลืมเรื่องไม่สบายใจชั่วคราว”

“เออเนอะ ทำไมผมไม่เคยคิดวะพี่”

เขาคิดแต่ว่าจะปกป้องแม่จากคนชั่วร้ายอย่างไร คิดแต่จะหาทางออกจากชีวิตเส็งเคร็งนี่ จนไม่เหลือความคิดความสนใจจะทำสิ่งอื่นใด แต่ถ้าเขาเริ่มทำงานพิเศษ มีรายได้เล็กๆ น้อยๆ แม่อาจเชื่อมั่นว่าเขาสามารถรับผิดชอบดูแลตนเองและแม่ก็เป็นได้

‘ไม้เป็นเด็ก ไม้ก็คิดอะไรง่ายๆ ถ้าไปจากที่นี่เราจะไปอยู่ที่ไหน ทำอะไร ไม้คิดบ้างไหม’

ทุกลมหายใจเข้าออกของเด็กหนุ่มมีแต่แม่ ทันทีที่คิดได้ เขาก็รีบกินข้าว อยากรีบกลับไปจัดการชีวิตตนเอง

“ไม้อาจจะมีเรื่องให้คิดหลายเรื่อง ถ้าสนใจหรือติดใจสงสัยอะไรก็ปรึกษาพี่ได้เสมอ”

รอยยิ้มเต็มปากส่งผลให้คนมองพลอยยิ้มตาม เวลาเขายิ้มอย่างนี้ มาวินค่อยดูเหมือนวัยรุ่นทั่วไปอย่างที่ควรเป็น

ตลอดทางขากลับ เด็กหนุ่มเริ่มค้นหางานพิเศษที่รับพนักงานพาร์ตไทม์ เหลืออีกสองสัปดาห์ก่อนเปิดภาคเรียนที่สอง บางทีเขาอาจไม่ต้องทนอยู่บ้านทั้งวันและหาเงินพอช่วยเหลือจุนเจือแม่กับตนเอง

ครั้นถึงป้ายรถประจำทางหน้าปากซอยมูลนิธิ มาวินก็ล่ำลานักสังคมสงเคราะห์สาวด้วยความสนิทสนมมากขึ้น

“ขอบคุณมากนะพี่...สำหรับทุกอย่าง”

ปลายฝนไม่ถือที่เขาเอ่ยปากเปล่า ไม่ได้ยกมือไหว้อย่างเมื่อวาน แต่กลับสัมผัสได้ถึงความหมายแท้จริงในคำขอบคุณที่เขาเอ่ยออกมา

“แล้วส่งข่าวพี่บ้างนะ เผื่อไปให้เลี้ยงคืน”

เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก เขาเอี้ยวตัวมองตามหญิงสาวที่ลงจากรถไปจนลับตา ครั้นรถแล่นต่อมาถึงป้ายหน้าซอยหมู่บ้าน ร่างสูงก็กระโดดลงจากบันไดรถด้วยท่าทางมีชีวิตชีวาขึ้น 

ระยะทางกว่าแปดร้อยเมตรไม่เป็นปัญหาต่อคนที่เดินเข้าออกจากซอยเป็นประจำ เขาเปิดประตูรั้วเข้าไปในบ้านที่เงียบสงบราวไร้ผู้คน ทั้งที่เวลาสายเช่นนี้แม่จะวุ่นกับการจัดเตรียมของไปค้าขาย ส่วนพ่อกว่าจะตื่นก็เลยเที่ยงวัน มาวินขึ้นบันไดไปชั้นบน เขาหาเอกสารสำหรับสมัครงานในห้องของตนไม่เจอ เด็กหนุ่มคิดจะถามหาจากแม่ เขาลองแง้มประตูห้องนอนติดกันแผ่วเบา ทว่าภาพที่เห็นก็ทำเอาแทบทรุดทั้งยืน

“แม่!”

มาวินตะโกนลั่น เขาก้าวข้ามพ่อที่สะดุ้งตื่นไปรวบร่างมารดาที่ห้อยลงมาจากราวผ้าม่าน ถึงอย่างนั้นร่างที่เย็นเฉียบของแม่ก็บอกให้รู้ว่าสายเกินไป

“แม่!”


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น