ตอนที่ 5

ตอนที่ 5 กลิ่น?

            เสียงฝีเท้าย่ำเสื่อน้ำมันเก่าๆ ดังไปตลอดเส้นทางแสนคุ้นตา ความเย็นยะเยือกที่ฝ่าเท้าขาวสัมผัสได้ทำให้เนตรไพลินเย็นสันหลังวาบ หญิงสาวมองเห็นได้เพียงทัศนวิสัยเบื้องหน้าห่างออกไปเพียงสองเมตรเท่านั้น ครั้นเพ่งมองก็กลับเพียงความมืดมิด ความกลัวเริ่มเข้ามาเกาะหัวใจดวงเล็กๆ จนสองขาเรียวของเธอสั่นเทา เนตรไพลินรู้สึกแปลกๆ ยิ่งเธอก้าวเดิน กลับยิ่งเหมือนเธอเดินอยู่กับที่

            “ย่า!” เนตรไพลินตะโกนเรียกหาย่า แต่สิ่งที่ตอบกลับมากลับเป็นเสียงร่ำไห้ของใครบางคน

            วินาทีนั้นสองขาเธอหยุดนิ่ง มือเรียวกุมอกอิ่มอย่างระแวดระวัง เหตุใดเธอจึงมายืนอยู่จุดนี้ เธอไม่รู้เลยเสียด้วยซ้ำว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใดกันแน่ ไม่นานเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น เมื่อเบื้องหน้าปรากฏดวงไฟเล็กสุกใสดั่งกระจกสะท้อนแสงไฟเจิดจ้า เนตรไพลินทำได้เพียงหรี่ตามอง ก่อนจะพบว่าสิ่งนั้นคือดวงตาดวงเล็กๆ ของแมว

            “แมว...เหรอ...” เนตรไพลินเอ่ยเสียงค่อย หัวใจดวงน้อยยังคงบีบแน่นอยู่ในทุกขณะ 

กระทั่งเสียงสะอื้นร่ำดังขึ้นอีกครา เนตรไพลินก็ถึงกับตกตะลึงเมื่อดวงตาดวงเล็กๆ ของแมวกว่าหลายสิบตัวปรากฏขึ้นชัดเจน มันจ้องมองเธอพร้อมกับขู่เบาๆ ในลำคอ หญิงสาวหวนคิดถึงภาพนิมิตแรกที่เห็น...ภาพของป้าแรมที่นอนแน่นิ่งกับพื้น และทันทีที่เนตรไพลินระลึกได้ ร่างของแกก็พลันปรากฏอยู่ท่ามกลางฝูงแมว

ตุ้บ! 

เนตรไพลินตกใจแทบสิ้นสติ ตั้งใจจะออกวิ่งไปให้ไกลที่สุด แต่สองขากลับทรุดลงอย่างกับมีบางอย่างจับคว้าเอาไว้ ร่างบางสั่นเทิ้มท่ามกลางความมืดมิด กระทั่งหันไปมองร่างอันไร้วิญญาณของป้าแรมที่นอนอยู่กับพื้น แกเหลือกตามองเนตรไพลินคล้ายจะขอความช่วยเหลือ ร่างงามถึงกับหอบสะท้าน แขนของป้าแรมค่อยๆ ขยับ นิ้วมือที่เริ่มแข็งจากภาวะการแข็งตัวของกล้ามเนื้อหลังการตายขยับไหวกึกกักอย่างติดขัด พยายามตะเกียกตะกายเข้าหาเธอ วินาทีที่มือเย็นเฉียบของป้าแรมกำเรียวขา ไรขนเล็กๆ ทั่วทั้งตัวเนตรไพลินก็ลุกซู่

หญิงสาวลืมตาพึ่บและพบว่าตัวเธอนั้นนอนอยู่บนเตียงนอนตัวเอง เนื้อตัวเปียกชุ่มด้วยเหงื่อกาฬ ทำเอาชุดนอนสีขาวแนบลู่ไปกับเรือนกาย ทรวงอกอิ่มยังคงขยับถี่ เธอรีบเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์โคมไฟเล็กๆ ที่ตั้งเอาไว้บนโต๊ะข้างเตียง และกลับมาทิ้งตัวนอนแผ่หลา ดวงตางามจ้องมองฝ้าเพดานอยู่อย่างนั้น พยายามคิดถึงภาพที่เห็น มันเหมือนจริงเสียจนหัวใจสั่นไหวไม่หาย

หูเล็กได้ยินเสียงประตูชั้นล่างเปิดออก สนิมที่เกาะอยู่กับบานพับเหล็กทำให้ทุกคราที่เปิดใช้งานจะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าด เธอรับรู้ได้ในทันทีว่าบัดนี้คงเป็นเวลาประมาณตีห้าไม่ผิดแน่ เนตรไพลินถึงกับถอนหายใจ เลือกจะลุกออกจากที่นอนเพื่อเตรียมตัว เธอยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ทั่วทั้งใบหน้า หยัดกายลุกขึ้นยืนช้าๆ และคว้าเอาผ้าเช็ดตัวเดินออกจากห้อง มุ่งหน้าไปยังห้องน้ำชั้นล่าง ทิ้งความฉงนเอาไว้ข้างหลังและภาวนาให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายก็พอ

แสงตะวันสาดเข้ามาจากทางหน้าต่างฝั่งทิศตะวันออกหลังโต๊ะทำงานของเนตรไพลินพอดิบพอดี แสงสีทองอันอบอุ่นตกกระทบโต๊ะทำงานของเธอที่ทำความสะอาดเมื่อวานเย็น มีกระเป๋าใบเล็กและชุดเครื่องเขียนส่วนตัววางไว้บนนั้น ดอกกุหลาบสีชมพูดอกใหญ่ที่ตัดมาจากบ้านปักเอาไว้ในแจกันที่ใส่น้ำไว้ครึ่งหนึ่ง พอให้ดอกไม้ไม่แห้งเหี่ยว ทำให้บรรยากาศในห้องทำงานเธอสดชื่นขึ้นมากโข

มือเรียวปลดล็อกกลอนหน้าต่างอะลูมิเนียมที่ดูจะไม่ถูกใช้มานานมากแล้ว อากาศสดชื่นภายนอกพัดเข้ามาภายในห้อง ระบายกลิ่นเอกสารเก่าๆ ที่กองพะเนิน แต่ยังไม่ทันที่จะเปิดหน้าต่างจนสุด ใครคนหนึ่งก็ตะโกนบอกเธอ

“น้องปิดหน้าต่างหน่อยสิ! พี่จะเปิดแอร์แล้ว” ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินร้องสั่งจากโต๊ะทำงานของเขา ทรงผมเรียบแปล้เป็นมันวาวจัดทรงมาอย่างดี เข้ากับเนกไทผ้าไหมเป็นมัน เขาสวมแว่นตาราคาแพง ประดับเรือนกายด้วยทองคำ ไม่ว่าจะเป็นสร้อยข้อมือทองคำ แหวนทองคำวงโต และสร้อยคอห้อยพระเลี่ยมทององค์เล็ก หากไม่บอกว่าเขาชื่อ ‘สมชาย’ เป็นเจ้าพนักงานทะเบียน เธอคงคิดว่าเขามาติดต่อราชการ

“คะ? แต่ว่าตอนเช้าอากาศยังไม่ร้อนเลยนะคะ” เนตรไพลินแย้งในทันที เธอเห็นว่าเช้าที่อากาศดีเช่นนี้ เปิดหน้าต่างให้สายลมเอื่อยพัดเข้ามาดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

“โอย ร้อนจะตายอยู่แล้ว!” สมชายโวยวาย อาจเพราะตลอดมาห้องทำงานของสำนักปลัดเทศบาลเปิดใช้งานเครื่องปรับอากาศตั้งแต่ช่วงเช้า เจ้าหน้าที่หลายคนชินกับความเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศจนไม่อาจทนอุณหภูมิปกติได้ หน้าต่างหลายบานจึงแทบไม่เคยถูกเปิด 

“มีอะไรกันแต่เช้า?” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งร้องถาม แกหยุดยืนอยู่ตรงประตูกระจกด้านหน้า มือข้างหนึ่งกำหูกระเป๋าหนังใบโตราคาแพง สวมชุดพื้นเมืองประยุกต์ตัดเย็บด้วยผ้าทอมือให้เป็นชุดสูทสีครีมคู่กับรองเท้าส้นเตี้ยสีเดียวกัน ทรงผมซอยสั้นและดัดด้วยลอนใหญ่ ให้เส้นผมที่แม้จะย้อมมาก็ยังดูสวยเป็นธรรมชาติ การแต่งกายของแกนั้นเรียกได้ว่าดูภูมิฐาน สมวัยเป็นที่สุด เพราะจำต้องแต่งกายให้สมฐานะหัวหน้าสำนักปลัดเทศบาลไทรหลวง

“สวัสดีค่ะป้าแจ๋ว!” 

เจ้าหน้าที่ทุกคนกล่าวทักทาย ป้าแจ๋วรับไหว้ด้วยรอยยิ้มบางพลางหันดูทุกคนที่ยืนอยู่บริเวณ ก่อนจะเหลือบมองสมชายที่เงียบลงสนิท แกเลิกคิ้วน้อยๆ อย่างรอฟังคำตอบจากชายผู้นี้

“เอ่อ...ไม่มีอะไรจ้ะป้า” แต่สมชายเลือกจะปฏิเสธ เพราะเกรงจะถูกดุเรื่องที่เร่งให้เปิดเครื่องปรับอากาศ

“เนตรไพลินมาทำงานรึยัง” เมื่อสมชายไม่แสดงเจตจำนง ป้าแจ๋วจึงร้องหาเนตรไพลินเพื่อประสานงานเรื่องร้องเรียนของป้าแรม

“มาแล้วค่ะ” เนตรไพลินรีบขานรับ เธอโผล่หน้าออกมาจากบริเวณที่นั่งของเธอ “สวัสดีค่ะหัวหน้า” ยกมือไหว้สวัสดีป้าแจ๋วด้วยเช่นกัน

“เดี๋ยวมาเอาใบอนุญาต ยายแอมมันรออยู่ข้างหน้าแล้ว” ป้าแจ๋วร้องสั่งเสียงฉะฉานก่อนจะก้าวเข้าในส่วนห้องทำงานที่กั้นด้วยกระจกใส มีเครื่องปรับอากาศอีกตัวเป็นของตัวเอง ถึงกระนั้นเครื่องปรับอากาศตัวนั้นจะใช้ในยามป้าแจ๋วร้อนจนทนไม่ไหวจริงๆ เพราะแกเป็นคนขี้หนาว 

เมื่อเนตรไพลินได้ยินว่าแอมรออยู่ด้านนอกจึงรีบเก็บกระเป๋าและตระเตรียมข้าวของเพื่อมุ่งหน้าไปสำรวจพื้นที่ ไม่ลืมหยิบเอกสารข้อมูลเก่าๆ ที่พี่ส้มเก็บเอาไว้ติดมือไปด้วย สองมือที่หอบหิ้วของพะรุงพะรังยกไว้แนบชิดอก เธอรีบซอยเท้าออกไปจากโต๊ะทำงาน ครั้นเดินผ่านหน้าสมชาย เธอจึงค้อมศีรษะให้เขาและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ อย่างขออนุญาตออกไป แม้สมชายจะแสดงท่าทีไม่สบอารมณ์อยู่มากก็ตาม หญิงสาวแสนกระอักกระอ่วนเมื่อถูกมองด้วยสายตานั้น 

เมื่อก้าวออกจากห้องทำงานใหญ่ได้แล้ว เนตรไพลินถึงกับโล่งอก เธอสูดหายใจเข้าเสียจนเต็มปอด ก่อนจะพ่นมันออกมาทางริมฝีปากอย่างคนที่ยกภูเขาออกจากอก ท่าทางของเธอทำให้แอมที่ยืนรออยู่ถึงกับหัวเราะร่วน ดูจะเข้าใจความหนักอกหนักใจของเนตรไพลินดีทีเดียว

“เป็นไง โดนรับน้องเหรอ” หัวหน้านิติการสาวแซว วันนี้หล่อนทาริมฝีปากเป็นสีส้มสวย สวมเสื้อยืดคอปกสีเขียวอ่อน โทนสีเดียวกันกับสีที่ใช้ทาตัวอาคาร ซึ่งถือเป็นสีประจำเทศบาลไทรหลวง นุ่งกางเกงขายาวสีดำ และรองเท้าผ้าใบ ในขณะที่เนตรไพลินแม้จะสวมเสื้อสีเดียวกัน แต่ยังคงสวมกระโปรง

“ก็...เกือบไปแล้วค่ะ” เนตรไพลินยิ้มเจื่อน เธอคงต้องใช้ความพยายามมากขึ้นอีกระดับ หากอยากทำงานในเทศบาลแห่งนี้จนตลอดรอดฝั่ง

“ให้เดานะ...อีสมชายใช่มั้ย” แอมกวักมือเรียกให้เนตรไพลินก้าวตามมา หล่อนไปยังประตูรั้วด้านหน้าของเทศบาล เหลียวมองซ้ายทีขวาทีให้แน่ใจว่าไม่มีรถรา ก่อนจะก้าวข้ามถนนสองเลนนี้ไปยังฝั่งป่าช้าใหญ่ 

เนตรไพลินทำได้เพียงพยักหน้ารับและก้าวตามหล่อนไป

“อย่าไปถือสามันเลย มันก็แค่ปากดีกับเด็กใหม่ไปอย่างงั้นแหละ ไม่ค่อยกล้าหรอก” 

เสียงสัญญาณปลดล็อกประตูรถซีดานคันเล็กดังขึ้นเบาๆ ก่อนแอมจะเปิดประตูฝั่งที่นั่งคนขับ เนตรไพลินจึงเอื้อมไปเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับอย่างรู้งาน แต่แอมรีบร้องปรามเธอเบาๆ

“โนๆๆ เอามอ’ไซค์ไป พี่หยิบหมวกเฉยๆ”

เนตรไพลินถึงกับชะงักไปในทันที เธอรีบปิดประตูพลางคิดว่าคนอะไรทำไมถึงมาทำงานด้วยรถสองคัน มิหนำซ้ำยังเป็นรถเก๋งซีดานคันหนึ่ง และจักรยานยนต์คันหนึ่งอีกด้วย ก่อนจะฉุกคิดได้ว่าหรือบางทีแอมอาจหมายถึงจักรยานยนต์ของเธอ

“ใกล้ๆ แค่นี้เอง เอามอ’ไซค์เนตรไปแหละ รถพี่มันเปลืองน้ำมัน” แอมอธิบายเนตรไพลินด้วยเหตุผล แม้สุดท้ายแล้วปัญหานั้นจะได้ด้วยการใช้รถคนอื่น

เนตรไพลินกะพริบตาปริบๆ กระทั่งตั้งสติได้ จึงหันหลังมุ่งไปยังรถจักรยานยนต์ของเธอ ไม่ลืมวางข้าวของสัมภาระในตะกร้าหน้ารถ จัดแจงรั้งกระโปรงขึ้นน้อยๆ ก้าวคร่อมรถมอเตอร์ไซค์และรอให้แอมขึ้นซ้อนท้าย ไม่กี่วินาทีรถจักรยานยนต์คันใหม่จึงมุ่งหน้าไปตามทางถนนสายเล็กตามคำบอกของแอมที่ดูจะไม่ชำนาญทางเท่าไร บางครั้งก็จำต้องเลี้ยวรถกลับไปกลับมาเพื่อเข้าตามตรอกซอกซอย กว่าจะไปถูกทางก็เล่นเอาเนตรไพลินเหนื่อยจนต้องคว้าเอาแผนที่หมู่บ้านมาดูเอง

“แหะๆ โทษทีนะ พอดีพี่ไม่ค่อยมาเส้นนี้” แอมยิ้มแห้งๆ เพราะทำให้ทั้งคู่เสียเวลาวกไปวนมากว่าสามสิบนาทีแล้ว ในความเป็นจริงเวลานี้พวกเธอจะต้องถึงบ้านของป้าแรมแล้ว

กระทั่งย่างเข้าเวลาสาย นาฬิกาบนหน้าปัดจักรยานยนต์บอกเวลาว่าเป็นเวลากว่าสิบโมงครึ่งแล้ว ทั้งสองยังคงไม่ถึงที่หมาย ดวงตากลมของเนตรไพลินมองหาร้านขายของชำที่พอจะให้ถามทางได้ พบว่าทางข้างหน้ามีร้านขายของชำตั้งอยู่ปั๊มน้ำมันหลอด เนตรไพลินตัดสินใจแวะ

“สวัสดีค่ะ ขอโทษค่ะ ขอถามทางหน่อยค่ะ” เมื่อรถจักรยานยนต์คันใหม่ของเนตรไพลินจอดหน้าร้านขายของชำก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในร้านแห่งนี้เลย แม้จะตะโกนถามสักกี่ครา สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบงันเท่านั้น

“สวัสดีค่า!” สาวเจ้าจึงร้องบอกด้วยเสียงดังขึ้น แน่นอนว่ามันยังคงเป็นเช่นเดิม

“ลุงแหวน!” แอมตะโกนเรียกบ้าง เสียงหล่อนดังก้องจนทั่ว ทำเอาเนตรสะดุ้งโหยงไปด้วยอีกคนไม่ต่างกับชายชราที่งีบหลับอยู่ภายในร้าน

“ครับ!”

            แกกุลีกุจอลุกขึ้นจากแคร่ไม้ด้านใน เดินลากเท้าออกมาหน้าร้านขายของชำของเมีย ไม่ใช่เพียงท่าทาง...กลิ่นตัวและขวดเหล้าโรงที่เหน็บไว้ใต้รักแร้ก็ทำให้เนตรไพลินรู้ได้ในทันทีว่า ชายชราคนนี้มอมตัวเองด้วยเหล้าโรงสี่สิบดีกรีไปตั้งแต่หัววัน

            “อาว เท่า หร่าย~” ชายชราถามเสียงยานคางอย่างคนเมาสุรา พลางขยี้ตาลึกโบ๋ด้วยมือเหี่ยวแห้ง ครั้นเห็นภาพเบื้องหน้าชัดเจนขึ้นก็ถึงกับแสดงอาการชีกอใส่เนตรไพลินในทันที “อ้าว! นี่นางฟ้านี่นา~ ทำไมมาขี่รถเคี่ยง~ ได้ล่ะจ๊ะ~” น้ำเสียงแกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

            “แน่ะ! ลุงแหวน! น้ำเสียงเปลี่ยนเชียวนะ ครั้งก่อนหมอบอกให้เพลาๆ เรื่องเหล้าลงบ้าง ดูเหมือนจะไม่ลดเลยนะ!” แอมแผดเสียงใส่ ด้วยลุงแหวนเป็นหนึ่งในสมาชิกชมรมผู้สูงอายุและเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักดื่ม

            “อุ๋ย! ทำมายมา...กับนางยักษ์ล่ะนั้น~” ชายชรายกขวดเหล้าโรงขึ้นกระดก แต่สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในขวดสีชามีเพียงกลิ่นแอลกอฮอล์ เพราะแกเล่นกระดกเสียจนหมดขวดตั้งแต่เก้าโมงเช้าแล้ว

            “เดี๋ยวเถอะลุงแหวน!” แอมโวยวายพลางยกสองมือเท้าสะเอวในทันที

            “จ้ะๆ กลัวแล้วจ้ะ~” ลุงแหวนไหว้สาขอขมาตามประสาคนเมา

            “ลุงรู้มั้ยคะว่าบ้านของป้าแรมอยู่ไหน” เนตรไพลินถามแทน

            “เรียกลุงได้ไง...ไม่บอกอ่า! ไปหาเอาเองก็แล้วกัน~” ชายชราเดินลากเท้ากลับเข้าไปในร้านในทันที แกล้มตัวลงนอนบนแคร่ไม้ตัวเดิม ปล่อยให้เนตรไพลินและแอมมองหน้ากันอย่างฉงนงงงวย จำต้องขับมอเตอร์ไซค์มุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ป้าแรมเขียนเอาไว้ น่าแปลกเหลือเกินที่เมื่อขับไปตามเส้นทางไว้ในแผนที่ ทั้งสองก็วนมาที่เดิมทุกที

            “พี่ว่าป้าแรมแกเขียนที่อยู่ผิดแน่ๆ” แอมออกความเห็น ยอมกดโทรศัพท์มือถือติดต่อไปตามเบอร์ที่ป้าแรมให้เอาไว้ สอบถามเส้นทางจากปากป้าแรมโดยตรงก่อนจะพบว่าเส้นทางที่ป้าแรมไว้ให้นั้นผิดทั้งหมด ทั้งบ้านเลขที่และเลขซอย ยิ่งทำให้แอมมีน้ำโห

            ปกติแล้วฝ่ายงานสาธารณสุขจะทำงานร่วมกันสองคน ยกเว้นกรณีที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขป่วยหรือขาดงาน จึงจะให้คนจากสำนักปลัดเทศบาลตำแหน่งอื่นๆ ดำเนินการแทนชั่วคราว สำหรับเทศบาลตำบลไทรหลวงนั้นส้มดำเนินงานเองทั้งหมด แต่เมื่อส้มลาคลอด คนที่ต้องดูแลแทนแท้ที่จริงควรจะเป็นป้าแจ๋ว แต่แกให้เหตุผลว่าแกแก่แล้วและติดธุระต้องรอประชุมกับนายกเทศมนตรี จึงให้แอมที่เป็นหัวหน้านิติการมาทำงานกับเนตรซึ่งเป็นเด็กใหม่ เมื่อความไม่ชำนาญงานและผู้อ่อนประสบการณ์มาร่วมงานกัน ผลจึงเป็นเช่นนี้แล

            “ชิดขวาเลยเนตร ชิดขวาๆ” แอมบอกทางให้เนตรไพลินจนกระทั่งถึงทางเข้าหมู่บ้านเล็กๆ ที่ดูจะเป็นหมู่บ้านจัดสรรเก่าแก่ ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านในหมู่บ้านต้องคัดเลือกนิติบุคคลให้เข้ามาดูแลแทนผู้จัดการโครงการที่ทิ้งหมู่บ้านไปเมื่อประมาณสิบปีก่อน การจัดการภายในยังคงราบรื่น มีก็แต่ป้าแรมที่ดูจะมีปัญหามากกว่าคนอื่นๆ

            “นี่แหละๆ เนตร หลังนี้แหละที่มีเสาไฟฟ้าใหญ่อยู่หน้าบ้าน” แอมตบบ่าเล็กให้เนตรไพลินชะลอความเร็วลง เธอจอดรถจักรยานยนต์ไว้ยังใต้ต้นหูกระจงบ้านป้าแรม แอมก้าวลงจากรถในทันที

            “โอ๊ย! ปวดหลังปวดเอวไปหมดแล้ว” หล่อนบิดขี้เกียจ เสียงกร๊อบแกร๊บของกระดูกลั่นเบาๆ ตามประสาคนวัยทำงาน

            “มาช้ากันจริง!” 

ไม่กี่วินาทีเสียงเล็กแหลมของป้าแรมจึงดังขึ้น แกเดินออกมาจากบ้านพร้อมกับผ้าปิดจมูก ชี้มือเล็กไปยังบ้านข้างๆ เนตรไพลินเดาได้ในทันทีว่าบ้านหลังนี้คงเป็นบ้านคู่กรณีป้าแรมไม่ผิดแน่

            วินาทีนั้นเองที่แอมหันกลับมามองใบหน้างามของเนตรไพลิน ทั้งคู่อาจมีคำถามเดียวกันผุดขึ้นในใจว่ากลิ่นไหนกันที่ทำให้ป้าแรมเป็นเดือดเป็นร้อน เพราะในตอนนี้ยังไม่มีใครได้กลิ่นอะไรเลย

            “เอาผ้าปิดจมูกมามั้ย แล้วก็ฟังเสียงด้วยนะ ดังมากเลย” ป้าแรมรีบชี้แจงใหญ่โต

            สองสาวที่ค่อยๆ เดินไปยังหน้าบ้านคู่กรณี ไม่ลืมหยิบเอกสารหลักฐานร้องเรียนและเอกสารสำหรับตรวจสอบไปด้วย ครั้นเมื่อมาถึงยังหน้าบ้านหลังใหญ่ แอมกดกริ่งประตูรั้วบ้านอยู่สองสามที ตะโกนร้องเรียกหาอยู่สองสามหน แต่ทุกอย่างเงียบกริบ หัวหน้านิติการปล่อยให้เนตรไพลินจัดการต่อ เนื่องจากนี่ไม่ใช่หน้าที่หลักของหล่อน แอมจึงถอยไปยืนรอห่างๆ

“สวัสดีค่ะ บ้านคุณยายดวงใช่มั้ยคะ” เนตรไพลินตะโกนถามอีกครั้ง เงี่ยหูฟังและได้ยินเสียงแมวหลายสิบตัว ภาพความทรงจำปรากฏขึ้นในหัวเธออีกคราก่อนจะรีบสลัดมันทิ้งไป ขมวดคิ้วเรียวแน่นอย่างพยายามนิ่งเอาไว้ เธอกวาดตามองไปรายรอบบริเวณ สำรวจดูว่าเจ้าของบ้านอยู่บ้านหรือเปล่า กระทั่งเจ้าของบ้านก้าวออกมาจากประตูด้านหลัง

“มีอะไร” หญิงชราเจ้าของบ้านถาม แกสวมเสื้อผ้าสบายๆ ที่ดูสะอาดสะอ้านดี ถึงตอนนี้เนตรและแอมก็ยังคงไม่ได้กลิ่นใดในขณะที่หญิงชราอุ้มลูกแมวตัวเล็กๆ ออกมาด้วยตัวหนึ่ง

“น่ารักจังเลย ลูกแมวของคุณยายเหรอคะ” เนตรไพลินเห็นเจ้าตัวเล็กจิ๋วดูดนมในขวดนมใบเล็ก เธอแสดงท่าทางตื่นเต้นอยู่น้อยๆ

“แม่มันเอามาทิ้งไว้...”

“เอามาทิ้งที่ไหน! ยายไปเอามันมามากกว่า!” แต่ยังไม่ทันที่ยายดวงจะได้ตอบสิ่งใด ป้าแรมก็พลันแทรกขึ้น น้ำเสียงไม่เป็นมิตรทำให้ยายดวงเริ่มไม่พอใจเช่นกัน

“เอ่อ...พอดีวันนี้...”

“มันไปร้องเรียนอะไรอีก” ยายดวงถามอย่างรู้สาเหตุที่พวกเธอมาก่อนเนตรไพลินจะได้ชี้แจง

เป็นเช่นนี้มานานมากแล้ว ความสงบสุขของป้าแรมที่เคยมีมาจึงถูกทำลายไปเมื่อยายดวงย้ายเข้ามาบ้านข้างๆ ภายหลัง โดยเฉพาะเรื่องกลิ่นและเสียงที่ไม่เคยมีปัญหา แม้ทางยายดวงและลูกสาวจะพยายามปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่ป้าแรมร้องเรียนทั้งหมด ก็ยังคงไม่ดีพอสำหรับป้าแรม กระทั่งลูกสาวของยายเดือนจากไปด้วยโรคมะเร็ง ป้าแรมก็ยังมิวายปล่อยข่าวลือว่า ลูกสาวของยายดวงนั้นตายเพราะเชื้อโรคจากแมว

“ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าสิ่งที่มันต้องการคืออะไร มันต้องการให้ฉันไปจากบ้านหลังนี้ ให้ฉันทิ้งแมวพวกนี้ แต่นี่คือบ้านของฉัน และลูกของฉันนะ...” ยายดวงว่า เสียงแกสั่นเครืออยู่ในทุกๆ ประโยคครั้นเมื่อเอ่ยถึงเรื่องลูกสาวทำให้ทั้งเนตรไพลินและแอมกระอักกระอ่วน

“หนูเข้าใจค่ะ ทางเทศบาลเองไม่มีสิทธิ์ไล่ให้คุณยายไปไหนหรอกนะคะ แต่เรามาเพื่อเจรจา...เอาอย่างนี้ดีมั้ยคะ หนูขอเดินดูรอบๆ ดูการจัดการเรื่องของความสะอาดได้มั้ย หากไม่มีปัญหาอะไร คุณยายก็จะได้อยู่ที่นี่โดยไม่ต้องกังวล หนูและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ก็จะคอยช่วยสอดส่องดูแลเรื่องสุขภาพของน้องแมวด้วย” เนตรไพลินพยายามเจรจาเสียงหวาน ยิ้มให้ยายดวงอย่างจริงใจที่สุด

“ฉันไม่ต้องย้ายไปจริงๆ ใช่มั้ย” ยายดวงถาม อาจเพราะหวั่นเกรงว่าจะถูกไล่ออกจากบ้าน หลังจากลูกสาวแกเสียไป แกจึงไม่ยอมเปิดประตูรับแขกคนใดอีกเลย

“ค่ะ ตามกฎหมายแล้วเราไม่มีสิทธิ์ไล่ใครออกจากบ้านทั้งนั้นค่ะ” หัวหน้านิติการสาวยืนยันด้วยอีกเสียงหนึ่ง

หญิงชราจึงยืนครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น แกอุ้มลูกแมวไว้กับอก ก่อนจะพยักหน้ารับและยอมเปิดประตูให้ เนตรไพลินและแอมจึงเดินสำรวจบ้านโดยมีหญิงชราเจ้าของบ้านเดิมตามอยู่ไม่ห่าง ครั้นก้าวไปด้านในตัวบ้านก็พบว่าในนี้มีแมวทั้งตัวเล็กตัวโตกว่ายี่สิบตัว เนตรไพลินถึงกับตกตะลึงกับจำนวนของแมว แต่เรื่องของความสะอาดภายในบ้าน สำหรับเนตรไพลินแล้ว เธอให้ผ่าน กลิ่นน้ำยาถูกพื้นจางๆ ทำให้รับรู้ว่ายายดวงถูบ้านอยู่เป็นประจำ แม้แต่มุมเพดานหรือแม้แต่หลังเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ก็ไม่มีแม้แต่ฝุ่นผง

“เพิ่งเคยเข้ามาครั้งแรก...สะอาดกว่าบ้านพี่อีก” แอมกระซิบ เนตรไพลินถึงกับยิ้มแหยเช่นเดียวกับแอม เพราะหากจะให้อธิบายถึงความสะอาด ยายดวงคงกินขาดกว่าอุ๊ยแก้วของเธออยู่มากโข

ตลอดเส้นทางที่เนตรและแอมเดินผ่านมานั้น มีเครื่องฟอกอากาศตัวเล็กติดตั้งเอาไว้ เธอคิดไม่ออกเลยเสียด้วยซ้ำว่า ป้าแรมได้กลิ่นจากส่วนไหนของบ้านหลังนี้ แต่จะสรุปตอนนี้มันก็คงเร็วเกินไป หากยังไม่ได้สำรวจในจุดสุดท้ายของบ้าน

“ทางนี้ห้องน้ำแมวใช่มั้ยคะ” เนตรไพลินหันมาสอบถามยายดวงเพื่อความแน่ใจ ทันทีที่เธอเปิดประตูก้าวออกไปก็พบสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน

กระบะทรายสำหรับใส่ทรายแมวเรียงรายอยู่กว่าหลายสิบใบ ปูรองด้วยพลาสติกสีขาวเพื่อให้มองเห็นว่าจุดใดสกปรก และถุงขยะใบเล็กๆ ที่เก็บไว้บนชั้นวาง ทางเดินด้านข้างของบ้านที่ดัดแปลงเป็นห้องน้ำแมวน่าแปลกใจเหลือเกินที่คุณยายจัดการเรื่องขยะและสิ่งปฏิกูลของแมวได้อย่างดีเยี่ยม ทรายที่เติมลงในกระบะนั้นแห้งสนิท กลิ่นของมันยังคงเป็นกลิ่นเดิมๆ ของทราย แม้พื้นที่ทั้งสองสาวเหยียบย่ำเข้าไปจะมาเม็ดทรายตกอยู่บ้าง แต่สถานที่แห่งนี้ก็ยังสะอาดสะอ้านดีอยู่

“สะอาดจังเลยค่ะ” เนตรไพลินชม

หลายนาทีที่เนตรไพลินและแอมใช้เวลาอยู่ในบ้านยาวดวง เธอพบว่าภายในบ้านแห่งนี้มีคนอาศัยอยู่เพียงคนเดียวคือยายดวง ในหนึ่งสัปดาห์จะมีแม่บ้านมาทำความสะอาด 2-3 ครั้ง จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกอย่างจะสะอาดสะอ้านดี พวกเธอทั้งสองไม่มีความผิดใดที่จะเอาผิดยายดวง เพราะตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้ยินเสียงโวยวายใดดังไปว่าเสียงป้าแรม มีก็แต่เสียงร้องปกติของแมวเท่านั้น แต่ไม่ดังพอจะสร้างความรำคาญได้

ทั้งสองขอตัวกลับเพื่อนำข้อมูลไปรายงานให้ป้าแจ๋ว ไม่ลืมไหว้ลาและขอโทษขอโพยที่วันนี้เข้ามารบกวนยายดวง

“เอาไงล่ะทีนี้” แอมถามอย่างดำเนินการอะไรไม่ถูกเมื่อคนร้องเรียนกลับมีปัญหาเสียเอง ทั้งคู่เดินออกมาพ้นระยะบ้านของยายดวงเรียบร้อยแล้ว

“ถ้าอย่างนั้น...เราเข้าไปดูอีกฝั่งก่อนดีมั้ยคะ จะได้รู้ว่ามีกลิ่นอะไรโชยออกมาบ้าง” เนตรไพลินเสนอให้เช็กบ้านของป้าแรมดูอีกหลังหนึ่ง เผื่อว่ากลิ่นที่ป้าแรมได้กลิ่นอาจจะไม่ใช่กลิ่นของแมว

“อี๋! สกปรก! กลับบ้านไปก็ไปอาบน้ำซะล่ะ! โอย! เหม็น! จะอ้วก!” แต่ยังไม่ทันได้ร้องขอสิ่งใดจากทางป้าแรม แกก็ทำท่าทีรังเกียจ ปิดประตูรั้วบ้านไม่ยอมให้เนตรไพลินและแอมเข้าไปในบ้านเสียอย่างนั้น หญิงสาวถึงกับขมวดคิ้วงุนงง เหตุใดป้าแรมจึงไม่บริสุทธิ์ใจให้เข้าไปตรวจดู หรือแท้ที่จริงตัวเธอและแอมมีกลิ่นเหม็น หากเป็นเช่นแกว่า จมูกของเธอและแอมคงมีปัญหาแล้วจริงๆ เพราะไม่ได้กลิ่นเหม็นอะไรเลย

พวกเธอจำใจเดินทางกลับไปรายงานป้าแจ๋วทั้งๆ อย่างนี้ แต่ก่อนเนตรไพลินจะไปถึงรถ นิมิตก็พลันปรากฏขึ้นอีกครา เธอเห็นดวงตาแวววาวมากมายกะพริบถี่และภาพการตายของป้าแรมอีกหน เนตรไพลินแทบล้มทั้งยืน โชคยังดีที่แอมคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน

“เนตร! เป็นอะไร!” แอมตะโกนเรียกอย่างตกใจ

“ปะ...เปล่าค่ะ! เปล่า...” เธอเลือกจะปฏิเสธ “อากาศ...น่าจะร้อนน่ะค่ะ ขับรถตากแดดนานเกินไปละมั้งคะ...” 

“ขับไหวมั้ย ให้พี่ขับได้นะ” แอมเสนอ น้ำเสียงชัดเจนว่าเป็นห่วงเธอมาก

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ ดีขึ้นแล้ว...” เนตรไพลินพยายามรวบรวมสติ รีบสลัดความความทรงจำนั้นออกไปเสียแล้วเหลือบมองประตูรั้วใหญ่ ป้าแรมยังคงยืนแอบมองพวกเธอทั้งสองผ่านช่องเล็กๆ ของรั้วไม้ เนตรไพลินจึงต้องกลับอย่างเลี่ยงไม่ได้


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น