ตอนที่ 6 คุณค่า
อากาศในยามบ่ายร้อนขึ้นกว่าช่วงเช้าอยู่มากทำให้หลายๆ ฝ่ายในเทศบาลตำบลไทรหลวงต้องปิดประตูหน้าต่างและเปิดใช้เครื่องปรับอากาศคลายร้อน บัดนี้ด้านนอกของตัวอาคารร้างผู้คน อาจเพราะทุกคนหนีเข้าไปหลบร้อนอยู่ภายในตัวอาคารกันจนหมดแล้ว ไม่นับใครบางคนที่จำต้องหิ้วปิ่นโตออกมานั่งกินข้าวด้านนอก
เนื่องจากเนตรไพลินและแอมต้องออกไปลงพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเช้า กว่าพวกเธอจะกลับมาก็ปาไปกว่าบ่ายโมงแล้ว มันกินเวลาพักเที่ยงไปเกือบชั่วโมง ป้าแจ๋วหัวหน้าของพวกเธอจึงอนุญาตให้เนตรไพลินและแอมพักกลางวันเกินเวลาได้ และกลับเข้ามาทำงานก่อนเวลาบ่ายสองโมง แอมเลือกจะออกไปหาร้านอาหารด้านนอก เนื่องจากสำนักงานเทศบาลไม่อนุญาตให้นั่งกินข้าวที่โต๊ะทำงาน อนุญาตเพียงพื้นที่ห้องครัวหรือโรงอาหารเล็กๆ ด้านข้างเท่านั้น แต่ก็ร้อนอย่าบอกใครเชียว
“ร้อนจังเลยแฮะ...สงสัยตอนเย็นฝนน่าจะตก” เนตรไพลินป้องตาเธอในขณะที่ก้าวลงจากบันไดเล็กด้านหน้า หญิงสาวมองท้องฟ้าเหนือหัว แม้บัดนี้ฟ้าจะยังเปิดโล่ง แต่เมฆครึ้มก่อตัวขึ้นทางทิศเหนือของหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว อากาศที่ร้อนอบอ้าวบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า เย็นนี้อาจมีฝนตก
สายลมพัดความร้อนระอุเข้าปะทะแก้มขาวของเธอ ทำให้เธอรีบจ้ำเท้าลงจากบันไดและมุ่งหน้าไปยังสถานีอนามัยฝั่งตรงข้าม มือหนึ่งของเนตรไพลินกำหูปิ่นโตเถาเล็ก ตั้งใจว่าวันนี้จะไปนั่งกินข้าวกับผักกาด แต่เธอกลับไปสาย กว่าจะมาถึงยังสถานีอนามัย ก็เลยเวลาพักกลางวันของผักกาดไปแล้ว
“เนตรๆ!” ผักกาดร้องทักเสียงเจื้อยแจ้ว หล่อนกวักมือเรียกในขณะนั่งอยู่บนม้าหินอ่อนใต้ต้นมะม่วงใหญ่ ดูเหมือนจะเป็นร่มเงาเดียวที่พอให้หลบร้อนได้ เนื่องจากช่วงเช้าสถานีอนามัยค่อนข้างยุ่ง กว่าหล่อนจะได้พักเที่ยงก็เป็นเวลาเดียวกับเพื่อน
“นึกว่ากินข้าวไปแล้วเสียอีก” เนตรไพลินเอ่ยอย่างโล่งใจ ก่อนจะก้าวไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม ทั้งสองช่วยกันเอาปิ่นโตของกันและกันวางเรียงลงบนโต๊ะ และเริ่มจัดการอาหารเบื้องหน้ากันช้าๆ
อาหารกลางวันวันนี้อุ๊ยก่ำเตรียมไว้ให้ เป็นผัดกะหล่ำดอกใส่หมูสามชั้น หมูสามชั้นหั่นเต๋าเจียวลงกับกระทะร้อนๆ ให้กลิ่นหอมฉุย เติมเกลือเล็กน้อยให้มีรสชาติ แกตักน้ำมันส่วนเกินออก ก่อนจะนำกะหล่ำดอกหัวใหญ่ที่ล้างจนสะอาดหั่นซีกให้บาง นำลงผัดกับน้ำมันกากหมูจนนิ่ม เติมเครื่องปรุง ตบท้ายด้วยพริกไทยก็เป็นอันเสร็จ ตักใส่ปิ่นโตอบเอาไว้อีกสักหน่อยกะหล่ำดอกก็จะนิ่มขึ้น น่าเสียดายตรงที่กว่าเนตรไพลินจะได้กินข้าวกลางวันก็ปาไปกว่าครึ่งบ่ายแล้ว ผัดกะหล่ำดอกจึงเย็นชืด ถึงอย่างนั้นก็ยังคงอร่อยในแบบที่เธอเคยกิน
“อะไรอ่า” ผักกาดถาม
“กินเพื่อนผักกาดไง ผักกะหล่ำ” เนตรไพลินตอบพลางหัวเราะร่วน จิ้มส้อมคันเล็กกับผักนุ่มๆ เข้าปากคำหนึ่ง
“โอ้โฮ ฆาตกร...” ผักกาดแซว ตีมือเรียวของเพื่อนเธอเบาๆ อย่างมันเขี้ยวในทีแล้วเปิดฝาปิ่นโตของหล่อนบ้าง
ความอลังการงานสร้างภายในปิ่นโตสี่ชั้นของผักกาดทำให้เนตรไพลินถึงกับต้องชะโงกหน้ามอง ปิ่นโตชั้นล่างสุดเป็นข้าวไรซ์เบอร์รีผสมข้าวกล้องหน้าปลาซาบะย่างเกลือหอมกรุ่น โรยด้วยงาขาวและงาดำอย่างสวยงาม ชั้นถัดมาเป็นหมูสามชั้นต้มซีอิ๊วญี่ปุ่น เนื้อและมันหมูดูนุ่มแทบละลายในปาก ตกแต่งด้วยหัวไชเท้าตุ๋นที่ชุ่มฉ่ำด้วยซอสสีน้ำตาลสวย ชั้นที่สามเป็นผักนึ่งและไข่ต้มสีสันสดใส ปิดท้ายด้วยชั้นบนสุดเป็นแอปเปิลสีขาวนวล แกะสลักเป็นรูปคุณกระต่ายตัวเล็กๆ
เนตรไพลินถึงกับเงยหน้ามองเพื่อนสาว ไม่อยากเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของหล่อน
“ใครทำ?” เนตรถามอย่างคาดคั้นในทันที
ผักกาดได้แต่หัวเราะร่วน เพราะหากหล่อนตอบไปว่าทำเอง เนตรไพลินคงไม่มีวันเชื่อ คนที่จัดปิ่นโตให้สวยและน่ากินได้ขนาดนี้ หากไม่ใช่พ่อครัวฝีมือดีก็ต้องเป็นคนที่พิถีพิถันมาก
“พี่หมี” ผักกาดยอมสารภาพ
“พี่หมี?” เนตรไพลินครุ่นคิดอยู่นานสองนาน ชื่อนี้ฟังคุ้นๆ เธอต้องเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
“โอยเนตร! ก็พี่หมีที่มาสารภาพรักตอนวันเรียนจบไง!” ผักกาดกระแทกเสียงใส่อย่างโยเย
“เอ๋! พี่หมีที่ผักกาดเรียกเขาว่า ‘พี่หมู’ อะเหรอ!” เนตรไพลินถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เพราะในสถานการณ์ตอนนั้นผัก กาดปฏิเสธพี่หมีไปอย่างไร้เยื่อใย แล้วเหตุใดวันนี้จึงทำปิ่นโตให้กันได้
“เล่ามาเลยนะ!” เนตรไพลินรีบว่า เธอถือช้อนและส้อมเอาไว้ รอฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเพื่อน
แต่ยังไม่ทันที่ผักกาดจะได้เริ่มเล่า เนตรไพลินก็เห็นใครคนหนึ่งด้อมๆ มองๆ อยู่ตรงประตูรั้วใหญ่ของสถานีอนามัย จึงสะกิดเพื่อนสาวให้หันไปมอง หากเป็นผู้ป่วย ผักกาดจะได้ช่วยเหลือได้ทัน
“เป็นอะไรมาหนู” ผักกาดที่หันขวับไปมองพบเข้ากับเด็กสาวสวมชุดพละของโรงเรียนเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอ แต่เวลานี้เหตุใดจึงมายืนอยู่หน้าสถานีอนามัย
“เข้ามาก่อนสิ” เนตรไพลินร้องเรียก
เด็กสาวหันกลับมามองก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาพวกเธอ หน้าตาดูสะอาดสะอ้านดี รวมไปถึงเสื้อผ้าและกระเป๋าสะพายใบเล็กที่สะพายบ่าข้างหนึ่ง แต่อะไรบางอย่างทำให้เนตรไพลินเป็นกังวล
“มาตรวจเหรอ ไม่สบายรึเปล่า รอพี่แป๊บหนึ่งได้รึเปล่า พี่ยังไม่ได้กินข้าวเลย” ผักกาดเจรจาทำให้เนตรไพลินหันไปส่งสายตาดุใส่
“โถ~...” ผักกาดทำเสียงเล็กเสียงน้อย
“หนู...ไม่ได้มาตรวจ” แต่เด็กสาวปฏิเสธ ทำเอาทั้งสองงงเป็นไก่ตาแตก ผักกาดเกาหัวแสดงอาการงุนงง
“แล้วมีธุระอะไรกับอนามัยรึเปล่า” เนตรไพลินถามแทน
เด็กสาวกลับเงียบลง หล่อนขมวดคิ้วแน่นเข้าหากัน ในขณะที่สองมือกุมท้องของตัวเอง แสดงออกชัดเจนว่ามีปัญหา แต่กำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะบอกอย่างไร
“มีอะไรบอกพี่ได้นะ หรือหิวข้าวรึเปล่า กินข้าวด้วยกันมั้ย” เนตรไพลินลองเสนอ ดวงตากลมของเด็กสาวมองพวกเธออีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้ารับระรัว
“หิวข้าวนี่เอง มาๆ กินข้าวกัน” ผักกาดที่เห็นอาการของเด็กสาวรีบเรียกให้หล่อนมาร่วมวง หล่อนจึงเดินเข้ามาใกล้ และเลือกนั่งฝั่งซ้ายมือของเนตรไพลิน ในขณะที่ผักกาดเดินเข้าไปในสถานีอนามัย หยิบช้อนและจานมาเพิ่ม
“มีอะไรรึเปล่า” เนตรไพลินถามเสียงค่อยทำให้เด็กสาวรู้ว่าเนตรไพลินเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับหล่อนแล้ว แต่เด็กสาวยังคงส่ายหน้าอยู่เช่นเดิม
“มีอะไรก็บอกนะ เผื่อพี่ช่วยได้” เธอบอกด้วยรอยยิ้ม
เด็กสาวพยักหน้า ไม่พูดไม่จา ขณะที่มือเรียวข้างหนึ่งค่อยๆ ดึงแขนเสื้อของชุดพละของตัวเองลง พยายามปกปิดรอยแผลเส้นเล็กๆ เป็นที่เกิดจากของมีคม
เมื่อผักกาดกลับมา ทั้งสามคนจึงนั่งกินข้าวด้วยกันพลางคุยสัพเพเหระ บรรยากาศในวงสนทนาสดใสและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ผักกาดเล่าให้เนตรไพลินฟังว่าหลังจากปฏิเสธพี่หมีไปแล้ว เขาก็หายไปจากชีวิตของหล่อน การจากไปของเขาทำให้ผักกาดรู้ซึ้งถึงคำพูดที่ว่า ‘เราจะเห็นคุณค่าของสิ่งหนึ่งก็ต่อเมื่อเราได้สูญเสียมันไปแล้ว’ เพราะที่ผ่านมาเขาคอยดูแลเธออยู่โดยตลอด สำหรับผักกาด หล่อนคิดว่าพี่หมีเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง แต่รูปร่างหน้าตาไม่ถูกใจจึงไม่ยอมตกลงคบหา แต่อยู่มาวันหนึ่งหล่อนกลับพบพี่หมีเดินกับผู้หญิงคนอื่น จึงหึงหวงและรับรู้ความรู้สึกของตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ผักกาดตัดสินใจติดต่อไปหาพี่หมีอีกครั้งและได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเพียงแม่เลี้ยงของเขา จึงกลับมาติดต่อกันและตกลงคบหากันในเวลาต่อมา เรื่องราวความรักอันแสนหวานของผักกาดดูจะแตกต่างจากเรื่องราวของเนตรไพลินโดยสิ้นเชิง เพราะหลังจากเรียนจบเธอเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาลุยสนามสอบต่างๆ จนไม่มีเวลาเปิดใจกับใครหน้าไหน ปัจจุบันก็ยังไม่มีชายใดเข้ามาเป็นเจ้าของหัวใจของเธอ เรื่องเล่าส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องการสอบ เรื่องแมว และเรื่องของย่า
“พอมันเห็นจิ้งจกตกลงมานะ ไอ้ขาหมูก็ตกใจร้องใหญ่เลย!” ผักกาดขยับสองมือออกท่าออกทางประกอบการเล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับสุนัขของหล่อน เจ้าขาหมูที่เอ่ยถึงคือสุนัขพันธุ์ปั๊กตัวกระจิ๋วที่ผักกาดและพี่หมีรับมาเลี้ยงไว้เหมือนลูก มันมักก่อเรื่องจนทำให้ทั้งคู่ต้องคอยดูแลมันอย่างใกล้ชิด
“ไม่เหมือนหมิ่นเลย รายนั้นไม่สนใจอะไรสักอย่าง” เนตรไพลินออกความเห็นเกี่ยวกับแมวของเธอ เปรียบเทียบมันกับขาหมูที่ดูเหมือนจะเป็นสุนัขขวัญอ่อน ในขณะใช้ส้อมเล็กๆ จิ้มแอปเปิลส่งให้เด็กหญิงข้างๆ ซึ่งรับมันไว้และนั่งกินเงียบๆ
“เลี้ยงหมารึเปล่า” เนตรไพลินถามเด็กสาว
เด็กสาวไม่ตอบออกมาเป็นคำพูด แต่ส่ายหน้าน้อยๆ
“ว่าแต่อยู่แถวไหน ทำไมมาไกลจากโรงเรียนจัง” ผักกาดถามในขณะที่จัดการกับกับข้าวที่เหลือ
“หนู...” เป็นครั้งแรกในหลายนาทีที่หล่อนเปิดปาก “หนูหนีออกจากบ้านมา...ไม่ได้ไปเรียนสองสามวันแล้ว”
หล่อนยอมสารภาพทำให้ผักกาดเงียบลงในทันที บรรยากาศอึมครึมนี้ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก ดวงตากลมโตของผักกาดเหลือบมองยังเนตรไพลินอย่างต้องการบอกให้เธอเจรจาแทน
“ก็เลยหิวข้าวใช่มั้ย โชคดีนะเนี่ยที่เราเจอกัน” เนตรไพลินยังคงเลี่ยงจะถามหาเหตุผล เลือกใช้ประโยคที่ทำให้เด็กสาวรู้สึกว่า การพบกันของพวกเธอเป็นสิ่งที่ดี น้ำเสียงเนตรไพลินสดใสและเต็มไปด้วยความห่วงใย
“หนู...ไม่รู้จักทำยังไง หนูไม่อยากอยู่กับแม่...” เด็กสาวว่า ทันทีที่เอ่ยถึงแม่ น้ำตาหยดเล็กๆ ก็พลันไหลอาบแก้มอิ่ม
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” มือเรียวลูกลงกับหัวของเด็กสาว หล่อนยังคงเอาแต่ร่ำไห้อยู่อย่างนั้น
เนตรไพลินและผักกาดใช้เวลาที่เหลือในช่วงพักเที่ยงปลอบใจเด็กสาวก่อนรับรู้เรื่องราวทั้งหมด เด็กสาวที่ร้องห่มร้องไห้คนนี้ชื่อ ‘นิ่ม’ เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่ได้อบอุ่นเท่าไร เมื่อพ่อตัดสินใจแยกทางกับแม่ และแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนอื่น ชีวิตของพ่อดูเหมือนจะราบรื่นขึ้นในขณะที่แม่จมปลักอยู่กับอดีต
ในความทรงจำของนิ่มตั้งแต่เด็กมีเพียงเสียงทะเลาะวิวาทของพ่อกับแม่เท่านั้นที่ส่งหล่อนเข้านอน แม้จะหลับยากสักหน่อย แต่เมื่อถูกกรอกหูเช่นนี้ทุกวัน ก็จำต้องข่มตาให้นอนหลับสนิท น้ำตาอาจเป็นตัวช่วยหนึ่งที่ช่วยเชื่อมเปลือกตากับขอบตาให้ไม่ต้องมองภาพที่เจ็บปวด ก่อนจะตื่นมาในตอนเช้าและพบว่าข้าวของกระจัดกระจายไปทั่ว นิ่มและพ่อจะเป็นคนตื่นขึ้นมาเก็บกวาดมันในทุกเช้า กระทั่งเช้าวันหนึ่งที่พ่อช่วยหล่อนเก็บกวาดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเก็บกระเป๋าออกจากบ้านหลังนี้ไปโดยไม่ย้อนกลับมาอีกเลย
เมื่อพ่อจากไป ทุกๆ คืนก็เงียบสงบ แรกๆ แม่ยังทำเฉย เพราะไม่มีใครให้ทะเลาะด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อแกรับรู้ว่าพ่อจากไปแล้วจริงๆ นิ่มจึงกลายมาเป็นกระโถนใบใหม่ให้แม่แทน อาจเพราะความคาดหวังทั้งหมดของแม่ถูกส่งต่อให้นิ่ม นิ่มจึงกลายเป็นความหวังเดียว เมื่อนิ่มทำไม่ได้อย่างที่หวัง ก็คงต้องมีคนผิดหวังเป็นธรรมดา และในทุกครั้งที่มีคนผิดหวัง จะมีคนเสียน้ำตาเสมอ
“แม่ตีหนูรึเปล่า” ผักกาดรีบถามอย่างเป็นห่วง เด็กสาวส่ายหน้าปฏิเสธ
“แม่ไม่...ไม่ได้ตั้งใจ...แม่แค่...จะทำลายข้าวของ...” ดวงตาของนิ่มเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง อาการสะอื้นทำให้เด็กสาวพูดจากระท่อนกระแท่นฟังไม่เป็นประโยค
“หนู...อยากให้แม่ลืมเรื่องเก่าๆ และเริ่มต้นใหม่กับหนู เราอยู่กันสองคนก็ได้ หนูรักแม่ และหนูเชื่อว่าแม่ก็รักหนู...แต่บางครั้งแม่ก็ติดอยู่กับอดีตมากเกินไป...” นิ่มอธิบายทั้งน้ำตา ความคิดของหล่อนนั้นฟังดูมีเหตุผล แต่การกระทำของแม่นั้นเต็มไปด้วยข้อกังขา การหนีออกจากบ้านของนิ่มในครั้งนี้อาจเป็นผลมาจากพฤติกรรมของแม่
เนตรไพลินพยักหน้ารับ รู้อยู่แก่ใจว่าควรทำเช่นไรหากเจอกับเด็กที่หนีออกจากบ้าน แต่เธอยังอยากรู้เกี่ยวกับรอยแผลเป็นที่นิ่มปกปิดเอาไว้อยู่
“แผลที่หัวไหล่นี่รึเปล่า” เนตรไพลินถามพลางยื่นมือไปหาหัวไหล่เล็ก นิ่มรีบเอี้ยวตัวหนี สีหน้ายิ่งเป็นกังวลเข้า
แน่นอนว่าเนตรไพลินเลือกที่จะถอยก้าวหนึ่ง ให้นิ่มเป็นคนตัดสินใจเอ่ยเอื้อนด้วยตัวหล่อนเอง
“ตรงนี้หนูทำตัวเอง...แต่มัน...ก็นานมาแล้ว...” เด็กสาวทาบมือเล็กลงกับอกตัวเอง แสดงออกอย่างชัดเจนว่าหัวใจของหล่อนนั้นเจ็บปวดในทุกคราที่ต้องเผชิญปัญหาต่างๆ จึงตัดสินใจทำร้ายตัวเองเพื่อให้รู้สึกว่า ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับร่างกายนั้นมีมากกว่า แต่ดูเหมือนว่า...มันจะลบล้างความเจ็บปวดทางใจไม่ได้เลย
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” เนตรไพลินถามอย่างเป็นห่วง
เด็กสาวส่ายหน้าปฏิเสธเช่นเดิม
ตอนนั้นเองที่เนตรไพลินมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือตัวเอง อีกสิบนาทีจะหมดเวลาพักของเธอแล้ว แต่เธอคงทิ้งสถานการณ์ที่เกิดตอนนี้ไปไม่ได้
“อยากให้พี่ช่วยอะไรมั้ย พี่ทำงานที่เทศบาล พี่จะช่วยเต็มที่หากมีอะไรที่พี่ช่วยได้” เธอจ้องมองเด็กสาว สำหรับเนตรไพลินแล้วนิ่มเป็นเด็กสาวธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เพียงต้องการความอบอุ่นจากครอบครัว ไม่ใช่ความผิดของนิ่มที่เลือกจะหนีออกจากปัญหา เพราะคงเป็นทางออกทางเดียวสำหรับเด็กสาววัยสิบสี่ปี
“หนูเป็นห่วงแม่...แต่หนู...ก็ไม่กล้ากลับ...” นิ่มก้มหน้าในทันที หล่อนอาจมาถึงสุดทางแล้ว เพราะหล่อนไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท มิหนำซ้ำโทรศัพท์มือถือก็แบตเตอรี่หมดตั้งแต่วันแรกแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นให้เทศบาลช่วยมั้ย ที่นั่นมีพี่ๆ ที่พร้อมจะช่วย และเราจะทำให้มันดีขึ้น” เนตรไพลินยื่นข้อเสนอ
เด็กสาวนิ่งงัน ก่อนจะพยักหน้าตกลงให้เทศบาลไทรหลวงเข้าช่วยเหลือ เนตรไพลินฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ ทำให้เด็กสาวเบาใจลง ทั้งสามคนช่วยกันเก็บจานชามไปล้าง หลังจากนั้นเนตรไพลินจึงพานิ่มเดินกลับไปยังเทศบาล ไม่นานนิ่มก็รับรู้ว่าสิ่งที่เนตรไพลินให้สัญญากับหล่อนนั้นเป็นจริงทุกประการ เมื่อทุกคนรับรู้เรื่องราวทั้งหมด ทุกฝ่ายจึงช่วยกันประสานงานไปยังส่วนที่เกี่ยวข้อง กระทั่งติดต่อกับแม่ของนิ่มได้ แกรับปากกับทางเทศบาลว่า จะมารับนิ่มด้วยตัวเอง ทำให้ทุกคนตั้งตารอ
เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้วที่นิ่มถูกพาตัวมายังเทศบาลตำบลไทรหลวง ในเวลาสี่โมงเย็นเช่นนี้ทุกคนยังคงทำงานอยู่ นิ่มนั่งรออยู่บนโซฟารับแขกด้านหน้าเพียงลำพัง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ห่างๆ ความรู้สึกของนิ่มอาจไม่ต่างอะไรกับการเป็นนักโทษที่รอถูกลงโทษในตอนเย็น หล่อนนั่งเงียบอยู่อย่างนั้น บีบมือเล็กที่กุมกันบนตักแน่น หล่อนตกอยู่ในความตึงเครียด คิ้วเรียวยับยู่บนหน้าผากย่น แต่ดูเหมือนตำรวจจะไม่ทันได้สังเกต
“ร้อนมั้ย” แต่เสียงหวานของเนตรไพลินทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม เธอเดินเข้ามาหานิ่มพร้อมกับน้ำผลไม้แก้วเล็กๆ ยื่นให้เด็กสาวก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ
“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร” นิ่มตอบ ยื่นไปรับแก้วใบนั้นมาถือเอาไว้ จิบมันน้อยๆ ให้พอเป็นมารยาทเท่านั้น
“อากาศวันนี้ร้อนเนาะ ฝนน่าจะตก” เนตรไพลินพยายามชวนคุย นิ่มพยักหน้าเห็นด้วย
ดวงตางามของเนตรไพลินมองสำรวจหล่อนอีกครั้ง แน่นอนว่ามือเล็กๆ ของนิ่มที่บีบกันแน่นทำให้ปลายเล็บคมจิกเนื้อจนเกิดเป็นรอยแดง หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันทำให้หลังมือหล่อนช้ำไปหมดแล้ว
“กลัวอยู่รึเปล่า” เนตรไพลินหันเข้าหาเด็กสาวข้างๆ วางมือลงกับหลังมือนิ่ม ความอบอุ่นของเนตรไพลินทำให้นิ่มเบาใจอย่างบอกไม่ถูก บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่นิ่มต้องการจากแม่ เพียงความเข้าใจและคำถามห่วงใยไม่กี่ประโยคอาจทำให้หัวใจดวงน้อยดวงนี้ไม่เจ็บปวด
“ต้องโดนแม่ด่าแน่ๆ...” นิ่มสารภาพความรู้สึกออกมาผ่านริมฝีปากเล็กที่สั่นเทา กังวลจนไม่อาจเก็บความรู้สึกนี้ไว้ได้อีกแล้ว
“ทุกอย่างจะดีขึ้น ป้าแจ๋วและพวกพี่ๆ จะคุยกับคุณแม่ของนิ่มให้เอง เราจะช่วยกัน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นนะ” เนตรไพลินให้สัญญา รอยยิ้มนี้ทำให้หัวใจของนิ่มพองโต มีหวังจะกลับไปอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นอีกครั้งหนึ่งกับแม่คนเดิมที่ไม่จมปลักกับอดีต ไม่เกลียดพ่อ ไม่โกรธทุกสิ่ง หล่อนพร้อมจะอยู่เคียงข้างแม่ในวันที่แม่อ่อนแอ และเหนือสิ่งอื่นใดนิ่มอยากให้แม่เข้าใจในสิ่งที่หล่อนต้องการจะสื่อ
ทันใดนั้นเองรถคันหนึ่งขับเข้ามาจอดหน้าบันไดของอาคาร เสียงเครื่องยนต์ดังกึกก้องไปทั่วก่อนจะดับลงพร้อมกับประตูรถยนต์ฝั่งคนขับที่เปิดออก หญิงวัยกลางคนสวมเครื่องแบบสีฟ้าของโรงเรียนแห่งหนึ่งก้าวฉับๆ เข้ามาภายในอาคารพร้อมกับตะโกนเรียกหาลูกสาวด้วยเสียงอันดัง ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆ บัดนี้เปียกชุ่มด้วยน้ำตา
“นิ่มลูก!” คนเป็นแม่ร้องเรียกหา
“คุณแม่ของน้องนิ่มใช่มั้ยคะ” เนตรไพลินลุกขึ้นถามในขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ทยอยกันออกมาดู
คนเป็นแม่หันขวับมามองเนตรไพลิน แกขานรับพร้อมกับพยักหน้ารับระรัว ครั้นเห็นลูกสาวของตัวเอง ความรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอกของคนเป็นแม่ก็ทำเอาน้ำตาแกไหลพราก ก่อนจะวิ่งเข้าไปหา นิ่มก็เช่นกัน ลูกสาวคนนี้พร้อมเสมอที่จะโผเข้าสู่อ้อมอกของแม่ เสียงสะอื้นดังไปทั่วโถงชั้นล่าง คำขอโทษและคำสารภาพเอ่ยจากริมฝีปากที่สั่นเทาของทั้งคู่ บางทีทั้งสองอาจได้รับรู้ของความหมายของกันและกันเรียบร้อยแล้ว
“หนูหายไปไหนมา! แม่กลัวแทบแย่รู้รึเปล่า! นิ่มอย่าหนีไปจากแม่อีกเลยนะ แม่อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีหนู แม่เป็นห่วงหนูจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว” คำพูดของแม่ทำเอาป้าแจ๋วถึงกับต้องรีบหลบเข้าไปปาดน้ำตาด้านใน
“นิ่มขอโทษ...นิ่มขอโทษที่ทำให้แม่เสียใจ” มือเล็กๆ ของลูกสาวลูบใบหน้าแม่ จ้องมองใบหน้านี้อย่างเป็นห่วงสุดดวงใจ พลันกระชับกอดรับไออุ่นจากอกอิ่มของผู้เป็นแม่อย่างดีใจที่ได้พบหน้ากัน แม้ก่อนหน้าจะรู้สึกหวาดกลัว แต่เมื่อพบเจอและเห็นว่าแม่นั้นเป็นห่วงหล่อนมากเพียงใด เด็กสาวก็เอาแต่ร้องไห้และขอโทษอย่างสำนึกผิด
ทุกคนซาบซึ้งใจที่แม่ลูกได้พบหน้ากัน แต่สำหรับเนตรไพลินแล้วนี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เมื่ออยู่ๆ ทุกเสียงเงียบลงเฉกเช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ดวงตาสีดำสนิทของเนตรไพลินเหลือบมองนิ่มที่กอดแม่แน่น ริมฝีปากของทั้งสองคนขยับ แต่เสียงทั้งหมดกลับเงียบฉี่ ทันใดนั้นเองภาพนิมิตหนึ่งก็ปรากฏต่อสายตาเธอทำเอาหัวใจหญิงสาวแทบหยุดเต้น
ในภาพนิมิตร่างหญิงคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ในห้องพักเล็กๆ เบื้องหน้าจอโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ ลำตัวของศพเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน น่าจะทะลักออกมาจากบาดแผลใหญ่บริเวณลำคอ ก่อนหน้านี้หญิงผู้นี้คงพยายามหายใจสุดกำลัง แต่สิ่งที่ออกมาจากปากและจมูกกลับมีเพียงเลือดสีแดงสดเท่านั้น
เนตรไพลินถึงกับทรุดตัวลงบนโซฟา เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดเต็มใบหน้าเธอ เจ้าตัวหันกลับไปมองนิ่มและแม่ที่ยังคงกอดกันอยู่ใกล้ๆ ลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอเมื่อพบว่าคนที่เธอเห็นในนิมิตนั้นเป็นแม่ของนิ่มเอง...
“พี่เนตร” เสียงเล็กๆ ของนิ่มร้องเรียกเธอ เนตรไพลินถึงกับสะดุ้งโหยง
“คะ!”
“ดูสิร้องไห้ตามกันใหญ่เลย” พี่แอมหัวหน้านิติการแซวทุกๆ คน แม้ดวงตาของหล่อนจะชุ่มฉ่ำไม่แพ้กัน
เนตรไพลินหันไปมองนิ่มที่ฉีกยิ้มหวาน ก่อนจะรีบปาดเช็ดน้ำตาออก เพราะมันหาได้เป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจไม่ แต่เป็นน้ำตาแห่งความหวาดกลัว เธอไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่เธอต้องทำอะไรสักอย่าง
“พี่เนตรเป็นอะไรรึเปล่า” นิ่มถาม
ในตอนนี้เองที่แม่ของนิ่มจะต้องเข้าไปคุยกับทางเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนร่วมคนอื่นๆ เพื่อปรับความเข้าใจและพูดคุยถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตหากไม่มีการรับมือที่ดี นิ่มจึงอยู่กับเนตรไพลินสองคน อาจเป็นช่วงเวลาที่เนตรไพลินจะพูดคุยกับนิ่มได้ และทำให้นิมิตนั้นเป็นเพียงเรื่องไร้สาระที่เธอสร้างขึ้น...
ความคิดเห็น |
---|