ตอนที่ 7

ตอนที่ 7 ตัวการ

 

            เมฆหนาที่เกาะกลุ่มอยู่บนผืนฟ้าทิศเหนือเริ่มกลืนกินฟ้าใสไปทีละน้อย แสงตะวันในยามเย็นที่พอจะสาดส่องผ่านเมฆดำออกมาได้ฉาบชโลมท้องฟ้าสีครามที่เหลืออยู่ให้กลายเป็นสีส้มสด ครั้นถูกเมฆหนาดำทะมึนกลืนกินไปก็รังให้ทั่วทั้งพื้นที่มืดสลัวไปหมด ไฟกิ่งที่ติดอยู่กับเสาไฟฟ้าสว่างโร่อัตโนมัติ ในขณะที่เสียงคำรามจากฟ้าเบื้องบนเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ

            “ขอบคุณนะคะพี่” นิ่มเอ่ยในระหว่างที่หล่อนนั่งอยู่บนม้านั่งชิงช้าตัวหนึ่งหน้าอาคารห้องเช่าสี่ชั้น ใกล้ๆ กับโรงเรียนประจำตำบล ผู้เช่าห้องพักแห่งนี้มักจะเป็นพนักงานโรงงานอาหารกระป๋องในอำเภอข้างๆ หรือไม่ก็เป็นคุณครูที่ย้ายมาจากต่างจังหวัด สำหรับนิ่มและแม่นั้นย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ได้กว่าครึ่งปีแล้ว

            “ไม่เป็นไรหรอก แค่ขับรถมาส่งเอง” เนตรไพลินตอบ เธอนั่งอยู่บนม้านั่งชิงช้าข้างๆ กัน ยันเท้ากับพื้นดินให้ชิงช้าไกวน้อยๆ

            “หมายถึง...เรื่องทั้งหมดในวันนี้น่ะค่ะ” นิ่มขยายความ หล่อนก้มหน้ามองมือตัวเองที่ยังคงปรากฏรอยช้ำเขียว นิ่มรู้สึกว่าการทำร้ายตัวเองที่ผ่านมานั้นช่างไร้สาระเหลือเกิน เพราะหลังจากแม่ได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคนอื่นๆ ก็ดูจะเข้าใจอะไรมากขึ้น แม้จะพูดคุยกันเพียงหนึ่งชั่วโมงก็ตาม

            หลังจากที่แม่ของนิ่มคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ทางเจ้าหน้าที่จึงให้นิ่มและแม่ปรับความเข้าใจกัน บทสรุปของเรื่องนี้สำหรับทางเทศบาลและฝั่งตำรวจดูจะจบลงอย่างมีความสุข เนตรไพลินที่เห็นว่าเด็กสาวหน้าตาสดใสขึ้นก็เบาใจได้เปลาะหนึ่ง แต่ภาพในนิมิตที่เธอเห็นยังคงตามหลอกหลอนอยู่ทุกขณะจิต ก่อนนิ่มจะร้องขอให้เนตรไพลินขับรถกลับมาส่งที่บ้าน เพราะอยากขอบคุณเนตรไพลินสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการส่วนตัว เนตรไพลินตอบตกลงในทันที

            “พี่ดีใจนะที่ทำให้นิ่มกลับมายิ้มได้ ต่อจากนี้ไปนิ่มกับแม่ก็จะได้เข้าใจกันมากขึ้น” เธอมองเด็กสาวตรงหน้าพลางคิดว่า หากเธออยู่กับนิ่มให้ได้นานที่สุด บางทีคนร้ายหรือผู้ไม่หวังดีอาจไม่กล้าลงมือกับทั้งสองคน

ภาพในนิมิตทำให้เนตรไพลินเห็นบางสิ่งที่ระบุเวลาได้ชัดเจน ด้วยสิ่งที่ปรากฏในจอโทรทัศน์เป็นภาพรายการที่ฉายเฉพาะตอนเย็น และหากเธอยื้อเวลาได้ เรื่องราวในนิมิตก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องตลกที่ไม่ขำเอาเสียเลย เนตรไพลินครุ่นคิดหนักและตัดสินใจสลัดความคิดแย่ๆ ออกจากหัว คิดเข้าข้างตัวเองเอาว่า บางทีสิ่งที่เธอเห็นอาจเป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อ หรือไม่เธอก็คงกำลังจะเป็นบ้า

            “หนูขอเบอร์พี่ไว้ได้รึเปล่า” นิ่มว่า คว้าเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า หน้าจอโทรศัพท์มือถือนั้นปรากฏรอยแตกร้าวอยู่เต็ม แต่เพียงมองข้ามมันไปและกดเปิดหน้าจอให้สว่างโร่ รอยแตกร้าวเหล่านั้นก็จะถูกทำให้มองไม่เห็น ถึงกระนั้นก็ไม่อาจลบความจริงที่ว่า หน้าจอนั้นแตกร้าวไปมากแล้วได้

            “ได้สิ!” เนตรไพลินตอบโดยพลัน พลางก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ของนิ่มครู่หนึ่ง ก่อนพบว่าในรายการโทร. ปรากฏรายชื่อพ่อของนิ่มเต็มไปหมด แสดงให้เนตรไพลินรู้ว่านิ่มยังคงพยายามโทรติดต่อพ่อแท้ๆ อยู่ บางทีนิ่มอาจเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่บังเอิญเกิดมาในครอบครัวที่ไม่อบอุ่น แต่ความรักนั้นสร้างได้ แค่อาศัยความเข้าใจกันก็พอ

            เนตรไพลินแจ้งเบอร์โทรศัพท์ของเธอแก่นิ่ม ก่อนทั้งสองจะนั่งพูดคุยกันต่อยังที่เดิม เนตรไพลินรับฟังเรื่องราวของนิ่ม ในขณะที่เธอก็แบ่งปันเรื่องราวในฝั่งตัวเอง หารู้ไม่ว่าทุกการกระทำของทั้งคู่อยู่ในสายตาใครบางตน ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำยืนมองพวกเธออยู่อีกฟากหนึ่งของถนน ใต้ต้นงิ้วต้นใหญ่ใกล้ๆ กับศาลเพียงตา

            ‘เป็นรหัส 166 จริงๆ ท่านทายก’ ชายชุดดำตนหนึ่งบอก ดวงตาสีเข้มจ้องมองลงหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า ซึ่งก่อนหน้านี้ยังคงปรากฏชื่อของใครบางคนอยู่เลย

            ‘น่าแปลกเหลือเกิน ความจริงบัดนี้เด็กสาวผู้นั้นควรอยู่บนห้องแล้วมิใช่หรือนาคิน’ ทายกตอบอย่างสงสัยในสิ่งที่ตนเห็น เพราะรายละเอียดในสมุดก่อนหน้านี้ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า เขาต้องมารับดวงวิญญาณของหญิงคนหนึ่งพร้อมรายละเอียดการตายอย่างละเอียด

            ‘น่าสงสัยจริง’ นาคินออกความเห็น พวกเขาจ้องมองหญิงสาวทั้งสองที่ยังคงพูดคุยกันอย่างสนิทสนม กระทั่งหญิงอีกคนก้าวออกมาจากตัวอาคารใหญ่ แม่ของนิ่มออกมาเรียกให้ลูกกลับขึ้นไปบนห้องได้แล้ว

ความสงสัยมากมายยังคงประดังประเดเข้ามาในหัว ทั้งคู่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเพราะคงทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากกลับไปเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น จึงปิดสมุดลงและสอดเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อเตรียมตัวกลับ แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ก้าวไปยังสถานที่ใดต่อ ฝ่ามือร้อนระอุของใครบางตนก็ตบบ่าหนาของนาคิน แหวนนาควงโตประดับหัวแหวนด้วยไพลินสีดำสนิท บ่งบอกให้ทั้งคู่รับรู้ว่าเขาคือใคร

‘ทะ...ท่านพญายมราช!’ ฝ่ามือที่ร้อนผ่าวดังไฟเผานี้ทำเอานาคินสะดุ้งโหยง

กายาใหญ่ในชุดสูทสีขาวปรากฏต่อหน้าพวกเขาในทันที ท่านยังคงสวมชุดสูทสไตล์อิตาลีตัวเดิม เนกไทสีเทาอ่อนที่ก่อนหน้านี้ถูกปลดให้หลวมบัดนี้ดึงให้กระชับเข้าที่แล้ว เสื้อกั๊กสีขาวกลัดกระดุมกลางตัวด้านในสวมทับด้วยเสื้อสูทสีเดียวกัน คลุมบ่าหนาด้วยสูทตัวยาวอีกชั้นหนึ่ง

‘รอ’ พญายมราชเอ่ยเพียงสั้น ทำให้ยมทูตทั้งสองต้องทำตามอย่างปฏิเสธไม่ได้

 

ผ่านไปกว่าหลายชั่วโมง เมฆหนาดำทะมึนกลั่นตัวเป็นหยาดฝนมากมายโปรยปรายลงจากฟากฟ้าพร้อมกับเสียงอสุนีบาตที่ฟาดลงกับผืนพสุธาอยู่ตลอด สายลมแรงกระแทกหน้าต่างไม้บานใหญ่ของเรือนไม้บะเก่าจนสั่นไหว เจ้าของเรือนจำต้องหาเศษผ้ามาอุดตามร่องเล็กๆ ของขอบหน้าต่างเอาไว้ มิเช่นนั้นน้ำฝนคงได้ไหลเข้ามานองบนพื้นบ้านเป็นแน่

สายฝนยังคงกระหน่ำลงใส่หลังคากระเบื้องเก่า ไหลลู่ลงตามร่องกระเบื้องและตกสู่พื้นเบื้องล่าง ชะเอาดินทรายรายรอบเรือนแหวกเป็นร่อง เจิ่งนองเป็นแอ่งน้ำตื้นๆ ก่อนจะไหลไปรวมกันยังร่องน้ำด้านหลัง โดยปกติแล้วหากฝนตกไม่แรงมาก น้ำที่เจิ่งนองอยู่จะระบายออกทางท่อด้านหลังได้ทันเวลา แต่ถ้ามันยังคงเทกระหน่ำอยู่อย่างนี้ อีกไม่กี่ชั่วโมงคงนองขึ้นท่วมถึงพื้นปูนใต้ถุนเรือนแล้ว

เนตรไพลินนอนหลับอยู่ในห้องนอนของเธอบนชั้นสอง ในขณะที่หญิงชราสองคนนอนอยู่ด้วยกันที่ห้องนอนชั้นล่าง เดิมทีห้องนอนของอุ๊ยแก้วและอุ๊ยก่ำนั้นอยู่ชั้นบนตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามห้องนอนของเนตรไพลินและนิลพิราพ แต่เนื่องจากอุ๊ยแก้วและอุ๊ยก่ำขึ้นลงบันไดไม่สะดวก อุ๊ยแก้วจึงตัดสินใจต่อเติมห้องชั้นล่างให้เป็นห้องนอนอีกห้องหนึ่งแทน อาศัยนอนด้วยกันสองแม่ลูก สะดวกทั้งตอนตื่นนอนเข้าห้องน้ำ และในเวลาที่มีแขกมาหา

แสงไฟกิ่งด้านนอกยังคงสว่าง สาดส่องเข้ามาในห้องนอนของเนตรไพลินจากช่องแสงเหนือหน้าต่างไม้ ตกกระทบลงบนผ้าห่มผืนหนาที่คลุมหน้าอกอิ่ม เพราะฝนที่เทกระหน่ำลงมานี้ทำให้อากาศในตอนกลางคืนเย็นเฉียบไม่ต่างอะไรกับฤดูหนาว แม้ช่วงนี้จะเพิ่งเข้าฤดูฝนก็ตาม

“นิ่ม...” เนตรไพลินที่นอนอยู่บนเตียงนอนอยู่ๆ พลันเรียกชื่อเด็กสาวคนนั้น แม้ดวงตาทั้งสองข้างจะยังคงปิดลงสนิท สองมือเรียวกำผ้าห่มผืนหนา ใบหน้าที่แสนทุกข์ทรมานของเธอยับยู่ยี่ เหงื่อเม็ดโตผุดออกมาเสียจนเต็มใบหน้าขาว ฉาบชโลมเรือนกายให้ชุดนอนสีอ่อนแนบเนื้อกับอกอิ่ม กระทั่งร่างงามสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้าย ดวงตากลมเบิกขึ้นท่ามกลางความมืดที่มีแต่แสงไฟด้านนอกและแสงแลบของสายฟ้าฟาดที่พอทำให้เธอเห็นทุกอย่างภายในห้อง

“นิ่ม...นิ่ม...” ริมฝีปากอิ่มเอาแต่เอื้อนเอ่ยนามนี้ไม่ขาด พร้อมกับน้ำตาใสที่ไหลพราก เหงื่อและน้ำตาผสมปนเปกันหยดแหมะลงบนผ้าห่ม ก่อนมันจะซึมหายไปในพริบตาเดียว

            ทรวงอกอิ่มขยับถี่ ความโหวงเหวงปรากฏขึ้นในท้องน้อยของเธอเหมือนกับว่าตัวเธอนั้นกำลังตกจากที่สูงตลอดเวลา ดวงตางามของเนตรไพลินเหลือบมองนาฬิกาปลุกยังหัวนอน เวลาตอนนี้ปาเข้าไปกว่าดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว เสียงหอบยังคงดังแทรกเสียงฝนอยู่ไม่ขาด แม้อากาศภายนอกจะเย็นเฉียบ แต่ใจของเธอร้อนระอุด้วยภาพนิมิตตามหลอกหลอนเธออีกครั้ง แต่ครานี้ต่างจากที่เห็นเมื่อตอนเย็นอยู่มากเหลือเกิน

            “ฝัน...แค่ความฝัน...มันเป็นแค่ความฝัน” เนตรไพลินพยายามบอกตัวเอง ก่อนเสียงหนึ่งจะทำลายทุกอย่างในความคิดเธอ

หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอสว่างขึ้น เสียงเรียกเข้าที่ตั้งเอาไว้ดังขึ้นเสียจนเนตรไพลินหวาดหวั่น ยิ่งเห็นชื่อที่บันทึกไว้แล้ว เธอแทบไม่อยากรับสายนี้เลย 

‘นิ่ม’

เสียงโทรศัพท์ดังอยู่นานสองนาน กว่าเนตรไพลินจะตัดสินใจกดรับสาย

            “สวัสดีค่ะ” วินาทีนั้นเองหัวใจเธอแทบหยุดเต้น เป็นความรู้สึกราวกับท้องฟ้าถล่มใส่ตัวเธอ ความชาแผ่ซ่านลงไปถึงปลายนิ้วเท้าเมื่อเสียงจากปลายสายบอกบางสิ่งที่เธอแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

            “อยู่นั่นนะนิ่ม พี่จะไปหา” เนตรไพลินบอกปลายสายด้วยเสียงกดต่ำ บัดนี้สองมือที่เคยร้อนระอุของเธอเย็นเฉียบ ร่างงามกดวางสายและกระโจนลงจากเตียงนอนในทันที คว้าเพียงเสื้อแขนยาวสวมทับชุดนอนสีอ่อนก่อนจะคว้าเอากุญแจรถจักรยานยนต์ มุ่งหน้าออกไปจากห้องนอนแห่งนี้

            เสียงรถจักรยานยนต์ของเนตรไพลินดังขึ้นทำให้หญิงชราทั้งสองที่ชั้นล่างสะดุ้งตื่น ยังไม่ทันได้สอบถามเรื่องราว เนตรไพลินก็ขับรถออกจากบ้านเรียบร้อยแล้ว...

            สายฝนเย็นเฉียบตกกระทบใบหน้างามของเธอ ความรู้สึกเจ็บแปลบเกิดขึ้นในทุกคราที่ฝนเม็ดโตตกกระทบ ดวงตางามหรี่ลงน้อยๆ เพื่อไม่ให้น้ำฝนไหลเข้าดวงตาของเธอ แต่ยากเย็นเหลือเกิน จึงยกมือข้างหนึ่งปาดใบหน้าของตัวเอง ในขณะที่อีกมือนั้นต้องคอยประคองรถจักรยานยนต์ขับฝ่าสายฝนไป มุ่งไปยังบ้านของนิ่มที่ตั้งอยู่ห่างออกไปพอสมควร

            “ทำไมกัน...ทำไม” เนตรไพลินถามคำถามนี้กับตัวเองไปจนตลอดเส้นทางในความมืด แสงไฟข้างถนนพอให้ความสว่างเพียงระยะหนึ่งก่อนจะมืดลงจนแทบมองไม่เห็นทางเบื้องหน้า ยังดีที่ฟ้าแลบพอทำให้เนตรไพลินมองเห็นทางอยู่บ้าง

            เกือบยี่สิบนาทีกว่าหญิงสาวจะเดินทางมาถึง เธอขับรถจักรยานยนต์ไปยังลานจอดรถที่บัดนี้เต็มไปด้วยรถรากว่าหลายสิบคัน แสงไฟจากไซเรนรถตำรวจเปิดเอาไว้สว่างโร่ ผู้คนมากมายชะโงกหน้ามองลงมาจากชั้นบน อีกกว่าหลายสิบคนที่ยืนออกันมุงดูบางอย่างอยู่ใต้หลังคาโรงจอดรถ เนตรไพลินจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ กับประตูรั้วเหล็ก เธอกระชากกุญแจออกจากรถและวิ่งไปยังหน้าทางเข้าอาคารโดยเร็วที่สุด แต่ดูเหมือนว่าจะสายเกินไปเสียแล้ว

            ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเธอคือ เหล่าเจ้าหน้าที่แบกร่างหนึ่งในห่อผ้าสีขาวไปยังท้ายรถมูลนิธิคันเก่า ก่อนใครบางคนที่แสนคุ้นตาจะถูกพยุงผ่านหน้าเธอไป นิ่มก้าวไปพร้อมๆ กับชายอีกคน ดูเหมือนเขาจะเป็นพ่อของหล่อน ทั้งสองถูกพาตัวมุ่งหน้าไปยังรถสีดำคันใหญ่ เนตรไพลินจ้องมองใบหน้าของนิ่มที่กำลังจะก้าวผ่านเธอไป หล่อนหันกลับมาสบตา ก่อนริมฝีปากเล็กๆ นั้นจะเอื้อนเอ่ยคำสั้นๆ คำหนึ่ง

‘ขอโทษ’ มันเป็นคำพูดที่เงียบที่สุดเท่าที่เนตรไพลินเคยได้ยิน หลังจากนั้นทุกเสียงรอบกายเธอกลับแทนที่ด้วยเสียงวิ้งภายในโสตประสาท ไม่รู้ว่าสิ่งที่ไหลอาบแก้มนี้คือน้ำฝนหรือน้ำตา แต่มันทำให้หัวของเธอว่างเปล่า

สุดท้ายแล้วแม่ของนิ่มก็จากไปดั่งภาพนิมิต แต่เป็นนิมิตใหม่ที่เธอเห็นเมื่อครู่ ร่างของคนเป็นแม่นอนแน่นิ่งอยู่กลางห้องพักเล็กๆ บนพรมสีขาวที่บัดนี้แดงฉานด้วยเลือด หน้าโทรทัศน์เครื่องเดิม แต่มันไม่ฉายภาพใดๆ

‘สุดท้ายแล้วแม่ก็ไม่เคยเปลี่ยน’

‘หนูทำลงไปแล้ว’

‘หนูฆ่าแม่ไปแล้ว...’

            มีเพียงประโยคที่นิ่มบอกก่อนวางสายที่ยังวนเวียนอยู่ในสมอง เธอไม่รู้เลยว่าเวลานี้ควรรู้สึกเช่นไร เพราะสิ่งที่เธอคาดเอาไว้ผิดเพี้ยนไปหมด ที่เธอคาดเอาไว้ว่าแม่ของนิ่มจะตายในตอนเย็นก็กลับกลายเป็นตอนดึก ฆาตกรที่เนตรไพลินคาดไว้ว่าอาจเป็นโจร แท้ที่จริงคือตัวนิ่มเอง...

            “ผิดไปหมดเลย...”

ดวงตางามหลุบลงมองสองมือของตัวเอง มันคือสองมือที่กำลังเปื้อนเลือดหรือเปล่า เธอทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่หรือเปล่า สิ่งที่เธอทำลงไปช่วยอะไรได้บ้างหรือเปล่า หรือมันทำได้เพียงแค่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไป ริมฝีปากอิ่มของเธอเม้มแน่น แต่ร่างบางนี้สั่นเทาไปหมด เธอสะอึกสะอื้นอยู่ท่ามกลางสายฝน ในขณะที่ผู้คนต่างกลับไปยังบ้านของตัวเอง

“ในที่สุดข้าก็เจอตัวการเสียที!”

ทันใดนั้นฝ่ามือหนาพลันคว้าข้อมือเล็กของเธอ ท่านกระชากแขนเรียวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ร่างบางถึงกับเซถลาไปตามแรง แต่สาวเจ้ากลับไม่ส่งเสียงกรีดร้องโวยวายเลยสักแอะ เธอยังคงนิ่งเงียบก่อนจะเงยใบหน้างามมองตาท่าน ใบหน้าของเนตรไพลินเต็มไปด้วยคำถามมากมาย และดวงตางามอันแสนเว้าวอนนี้จ้องมองชายร่างใหญ่อย่างพยายามค้นหาคำตอบให้บางสิ่ง 

พญายมราชถึงกับพูดอะไรไม่ออก นอกเหนือไปกว่านั้น...ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ท่านตกตะลึง

กระทั่งเนตรไพลินออกแรงขืนเพียงนิด เธอก็กลับเป็นอิสระได้โดยง่าย เจ้าของกายาใหญ่ยืนมองสาวเจ้าที่ค่อยๆ หันหลังกลับ เธอเดินกลับไปยังรถของตัวเองและขับออกไปในทันที นัยน์ตาสีดำขลับจ้องมองตัวการที่หลุดไปจากเงื้อมมือของท่าน ในที่สุดพญายมราชก็เจอตัวการที่ทำให้เกิดรหัส 166 แต่กลับปล่อยเธอไปด้วยเหตุผลบางอย่าง ส่วนนาคินได้รับคำสั่งใหม่ซึ่งก็คือคำสั่งเดิมก่อนหน้านี้ เขาพาดวงวิญญาณของคนเป็นแม่กลับไปยังนรก แต่ทายกกลับยังคงติดที่รหัส 166

 

เสียงของสายฝนค่อยๆ ซาลง ทุกอย่างนอกชายคาเปียกปอนชุ่มไปหมด ละอองฝนเล็กๆ ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ สองหญิงชราอาศัยแสงไฟสลัวจากหลอดไส้สีส้มออกมานั่งคอยหลานสาวอยู่ใต้ถุนเรือน แม้อากาศในตอนนี้จะหนาวเหน็บอยู่มากก็ตาม อุ๊ยแก้วที่เป็นห่วงหลานเสียจนเดินวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่น ในขณะที่อุ๊ยก่ำนั่งอยู่บนแคร่ไม้ใหญ่ มือเล็กๆ แห้งเหี่ยวลูบขนสีดำปลอดของเจ้าหมิ่น เหมือนจะใจเย็น แต่หัวใจดวงเล็กๆ ของหญิงชราเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ

ไม่นานแสงไฟจากฝั่งถนนก็พอทำให้ทั้งสองมีความหวัง เสียงเบรกของรถจักรยานยนต์ดังเบาๆ ก่อนแสงไฟหน้ารถจะฉายเข้ามายังใต้ถุนเรือน เนตรไพลินเห็นย่าและหม่อนของเธอได้อย่างชัดเจน แต่สาวเจ้าเลือกจะขับรถเข้าไปจอดยังที่จอดประจำเสียก่อน ก่อนจะเดินเข้าไปหาหม่อนที่นั่งอยู่บนแคร่ใหญ่ด้วยร่างกายที่เปียกชุ่มไปหมด

เจ้าตัวเล็กของหม่อนก้าวมาคุกเข่าลงเบื้องหน้า ก่อนเธอจะโผเข้ากอดเอวเล็กๆ ของอุ๊ยก่ำ ซุกหน้าลงกับตักและร่ำไห้ด้วยความรู้สึกอัดอั้นทั้งหมด เธอไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร แต่ตอนนี้สิ่งที่เนตรไพลินต้องการคืออ้อมกอดของใครสักคนที่ทำให้เธอรู้สึกสงบ และนั่นคงหนีไม่พ้นตักอุ่นๆ ของหม่อนและย่า

“ชู่...จุๆๆ” หม่อนส่งเสียงปลอบขวัญหญิงสาวเบาๆ มือเล็กๆ ลูบหัวหลานสาวอย่างปลอบโยนในทันที ก่อนที่ย่าจะกลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบผ้าขนหนูออกมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เธอ

นิมิตแปลกๆ ที่ก่อเกิดขึ้นทำให้เนตรไพลินพบเจอกับสิ่งประหลาด ทั้งๆ ที่พยายามช่วยเหลือ แต่กลับกลายเป็นเลวร้ายลง ทั้งๆ ที่ต้องการทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเช่นเดิม กว่าหลายนาทีที่เนตรเอาแต่สะอึกสะอื้น เธอไม่หยุดร้องไห้ แต่หญิงชราทั้งสองกลับไม่ได้คาดคั้นคำตอบใดจากปากของเธอ พวกแกยังคงคอยปลอบโยนและปล่อยให้หลานสาวคนนี้ร้องไห้ออกมาให้หมดเสียก่อน

คืนนี้เนตรไพลินจึงลงมานอนอยู่กับหม่อนและย่า ให้หญิงชราทั้งสองเป็นดั่งปราการใหญ่ที่คอยปกป้องเธอ...


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น