ตอนที่ 8

ตอนที่ 8 เนตร

            ฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เมื่อคืนทำให้น้ำในคูน้ำหน้าบ้านไม้บะเก่าไหลเชี่ยวกราก เสียงของน้ำดังกระหึ่มไปทั่วทั้งบริเวณ ชาวบ้านมากมายมามุงดูระดับน้ำที่สูงขึ้น บ้างก็เดินมาพร้อมกับจ๋ำหรือยอไม้ไผ่เพื่อจับปลาที่ไหลมากับน้ำเชี่ยว แม้สีของน้ำจะแดงเถือกไปด้วยโคลนที่ถูกชะมาพร้อมกับตะกอนดินจนมองไม่เห็นพื้นคูน้ำ แต่ชาวบ้านหลายคนก็ได้ปลากลับไปไม่มากก็น้อย

กลิ่นหอมๆ ของกาแฟร้อนโชยมาท่ามกลางอากาศเย็นเฉียบผสมปนเปไปกับกลิ่นสายฝนที่ยังคงฟุ้งอยู่ในอากาศ แม้ฝนจะเพิ่งหยุดตกไป แต่อุ๊ยแก้วก็ยังคงเปิดร้านกาแฟโบราณของแกตามปกติ หญิงชราเจ้าของร้านก้าวฉับๆ ไปมาระหว่างเรือนไม้บะเก่าหลังใหญ่ กับร้านที่ตั้งเอาไว้ตรงปากทางเข้า วุ่นอยู่กับการทำเครื่องดื่มร้อนและขนมปังนึ่งบนหม้อต้มน้ำใบโต ไม่ทันได้สนใจว่าใครจะได้ปลากลับไปกี่ตัว เพราะวันนี้แกตื่นสายกว่าทุกๆ วัน จึงเร่งรีบตระเตรียมทุกอย่างให้แล้วเสร็จ ร่มสีแดงคันใหญ่ถูกนำออกมากางเอาไว้ก่อน เพราะเกรงว่าฝนจะตกลงมาอีกระลอกหนึ่ง

            “แม่ๆ! เนตรลุกล่า!” (แม่ๆ! เนตรตื่นรึยัง!)

            อุ๊ยแก้วตะโกนถามแม่ที่ก้าวเข้ามาหาพร้อมกับถาดใบเล็กในมือ สองขาของหญิงชราวัย 86 ปียังใช้งานได้ดีเยี่ยม แม้จะก้าวไปอย่างช้าๆ แต่ว่ามั่นคงในทุกๆ ก้าว ถึงกระนั้นอุ๊ยแก้วก็เดินเข้าไปช่วยถือพลางถามถึงหลานสาวคนโตอย่างเป็นห่วง

            “เอ้อ! ลุกละ เปลี่ยนผ้าอยู่ก่า” (อือ! ตื่นแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ละมั้ง)

            หม่อนตอบเพียงสั้น ก่อนก้าวไปยังโต๊ะไม้ที่ตั้งไว้สำหรับลูกค้า เก็บแก้วที่ไม่ใช้แล้วลงพวงแก้วพลาสติกสี่ช่อง เพื่อนำไปแช่ก่อนที่กาแฟในแก้วจะแห้งจนทิ้งคราบเอาไว้ สองเท้าในรองเท้าแตะสีน้ำตาลเก่าๆ เดินไปทีละโต๊ะพร้อมกับทักทายลูกค้าขาประจำ แต่เมื่อหญิงชราไปหยุดยืนที่โต๊ะริมสุด ใกล้ๆ กับราวกันตก แกก็หรี่ดวงตาเล็กๆ มองใบหน้าของลูกค้าหน้าใหม่ ดูเหมือนแกจะไม่เคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

ชายผิวเข้มในชุดสูทสีขาวนั่งอยู่เพียงลำพังบนเก้าอี้ไม้ตัวเก่า ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ทำให้เก้าอี้ภายในร้านที่ตัวเล็กอยู่แล้วดูเล็กลงไปอีก บนโต๊ะไม้เข้าชุดกันนั้นมีหมวกฟีดอราสีขาววางอยู่

            “มาเตื้อแรกก๊ะ” (มาครั้งแรกเหรอ)

            หญิงชราถามอย่างเป็นมิตร ริมฝีปากเล็กๆ ยิ้มอย่างคนแก่อัธยาศัยดี ไม่รู้ตัวเลยว่าแท้ที่จริงแล้วแกคุยอยู่กับพญายมราช ก็แน่ละ เพราะคติไทยว่ากันว่าพญายมราชนั้นมีกายแดงดั่งแสงแรกของดวงตะวัน นุ่งห่มโจงกระเบนสีแดงสด และสวมเครื่องประดับที่ทำจากทองและทองแดงเอาไว้ มีกระบือเป็นพาหนะ ไม่มีใครคาดคิดว่าพญายมราชท่านจะปรากฏกายด้วยรูปกายเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังสวมชุดสูทเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ธรรมดา

            “ครั้งแรก” ชายในชุดสูทสีขาวตอบเพียงสั้น นัยน์ตาสีดำดั่งนิลจ้องมองเข้าไปในดวงตาเล็กๆ ของอุ๊ยก่ำ ก่อนจะหลุบตามองแก้วกาแฟร้อนสองแก้วที่ว่างเปล่า

            ดูเหมือนท่านจะนั่งอยู่ยังโต๊ะตัวนี้มาได้สักพักใหญ่ๆ แล้วตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่างกระทั่งบัดนี้ทุกอย่างสว่างพอจะมองเห็นทุกสิ่ง มือหนาขยับแก้วใบใสนั้นคืนให้ หญิงชราจึงเก็บมันไว้ในพวงแก้วเก่า

            “ลำก่อ? ลำเนาะ” (อร่อยมั้ย? อร่อยเนาะ)

            แกชวนคุยด้วยประโยคสั้นๆ ชายชุดขาวพยักหน้าตอบเพียงนิด ตอนนั้นเองที่เจ้าหมิ่นส่งเสียงร้อง อุ๊ยก่ำรีบหันมองหามันในทันที เพราะตลอดทางเดินที่โรยหินยังคงเปียกชื้น ปกติแล้วเวลานี้เจ้าหมิ่นจะนอนอยู่ใต้ถุนเรือนมากกว่า มันเลี่ยงสถานที่ชื้นแฉะเพราะไม่ชอบให้ตัวเปียก แต่เช้านี้มันกลับวิ่งตามออกมา ก่อนจะเงยมองชายในชุดขาวอย่างสงสัยในที และทันทีที่มันส่งเสียงร้อง มันก็กระโจนขึ้นบนตักหนา

            “เอ๋อ!~ นั่นเต๊อะ!” (เอ๋อ!~ ซะงั้นน่ะ!)

            อุ๊ยก่ำอุทานอย่างตกใจ รีบเข้ามาอุ้มเอาเจ้าแมวตัวโตที่ขยุ้มอุ้งเท้านุ่มๆ กับกางเกงสีขาว น้ำฝนที่ติดมากับอุ้งเท้าน้อยๆ ซึมลงกับกางเกงตัวนี้จนทิ้งคราบเหลือง วินาทีนั้นเนตรไพลินที่ก้าวออกมาจากใต้ถุนเรือนรีบวิ่งเข้ามาช่วยเหลือ สองมือเธออุ้มเอาเจ้าหมิ่นออกไปให้พ้นแขก ตีสะโพกหนั่นแน่นของหมิ่นเบาๆ ไล่ให้มันวิ่งกลับไปใต้ถุนเรือนก่อนจะคว้ากระดาษทิชชูยื่นให้แขก

            “ขอโทษด้วยค่ะ” เนตรไพลินรีบว่า เธอค้อมศีรษะขอโทษขอโพยชายเบื้องหน้าอย่างรู้สึกผิด แม้จะแปลกใจอยู่มาก เพราะในยามปกติแล้วหมิ่นหาใช่แมวที่จะเข้าหาคนอื่นก่อนไม่ จำเป็นต้องมีของขนมหรือของเล่นมาล่อเท่านั้นจึงจะก้าวเข้าไปหา เหตุใดกับชายผู้นี้หมิ่นจึงกระโจนเข้าใส่

            “ไม่เป็นไร” ชายในชุดขาวบอก ก้มลงมองยังชุดที่เปื้อนรอยเท้าแมวพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนนัยน์ตาสีดำขลับนั้นจะเหลือบมองเนตรไพลิน ดูเหมือนเธอจะจำท่านไม่ได้

“ให้ฉันช่วยออกค่าซักให้ก็ได้นะคะ ฉันรู้จักร้านที่รับซักชุดสูทอยู่บ้าง” เธอแสดงความรับผิดชอบ แต่ใบหน้าที่ดูขึงขังดุดันของเขาทำให้เนตรรู้สึกหวาดหวั่น คิ้วหนาขมวดแน่นอยู่แทบตลอดเวลา และใบหน้าของท่านไม่เคยแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มใดๆ 

แต่เจ้าของกายาใหญ่ยังคงจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น มองสำรวจไปเสียจนทั่วร่าง ไล่สายตาไปตามเรียวแขน เรียวขา หรือแม้แต่กระทั่งใบหน้าและอกอิ่มของเธอ ทำเอาเนตรไพลินถึงกับรีบป้องปิดหน้าอกหน้าใจของตัวเองในทันที ใบหน้างามแสดงสีหน้าไม่พอใจที่ชายผู้นี้ลวนลามเธอด้วยสายตา

“ถ้าคุณไม่พูดอะไรฉันจะถือว่าคุณไม่ต้องการอะไรนะคะ ขอโทษแทนแมวด้วย” เนตรไพลินกระแทกเสียงใส่ ก่อนจะรีบก้าวฉับๆ ออกไปจากบริเวณนั้นไปยังใต้ถุนบ้าน และหันกลับไปมองโต๊ะที่ชายในชุดขาวคนนั้นเคยนั่งอยู่ มันน่าแปลกเหลือเกินที่เมื่อเธอหันกลับไป กลับไม่พบใครเลยที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้น หญิงสาวเหลือบมองไปรายรอบที่ไร้วี่แววของเขา

“โรคจิต!” เนตรไพลินเอ่ยกับตัวเองด้วยเสียงขุ่น เธอไม่ชอบใจเลยที่ถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น

สาวเจ้ามองสำรวจหน้าร้านอีกครา ครั้นเมื่อแน่ใจว่าชายโรคจิตคนนั้นไปจากร้านกาแฟของย่าแล้ว จึงคว้ากระเป๋าถือสะพายบ่าเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน ไม่ลืมหยิบปิ่นโตที่หม่อนทำให้ติดมือไปด้วย

ไม่ถึงสิบห้านาทีเนตรไพลินก็มาถึงลานจอดรถฝั่งป่าช้าใหญ่ วันนี้ดูเหมือนเทศบาลจะมีเรื่องวุ่นวาย สาวเจ้าจึงต้องรีบก้าวลงจากรถ จ้ำเท้าเข้าไปยังสำนักงาน หัวใจดวงเล็กๆ เต้นโครมครามพร้อมกับที่ดวงตากลมชำเลืองมองรถคันใหญ่กว่าหลายสิบคัน ป้ายของสำนักข่าวแต่ละช่องที่ติดเอาไว้ทำให้เนตรไพลินใจคอไม่ดี ภาวนาขออย่าให้เธอต้องเป็นคนเอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเลย

กลุ่มนักข่าวพูดคุยสอบถามป้าแจ๋วที่โถงห้องรับแขก พวกเขาง่วนอยู่กับการถามเพื่อหาข้อมูลสำหรับเสนอข่าวให้ได้มากที่สุดเสียจนไม่ทันได้สังเกตว่าเธอเดินเข้ามาจากหน้าทางเข้าใหญ่ เนตรไพลินจึงเดินเข้าไปภายในห้องทำงานของสำนักปลัดเทศบาลอย่างเงียบๆ มุ่งตรงไปยังโต๊ะทำงานของเธอที่ตั้งอยู่ด้านในสุด ไม่พูดไม่จากับใครและเลือกที่จะอยู่กับตัวเอง แต่เสียงพูดคุยของคนในห้องกลับทำให้เนตรไพลินถึงกับทนฟังไม่ได้

“ไม่อยากเชื่อเลย เด็กสมัยนี้จะกล้าฆ่าแม่ตัวเองได้ลงคอ” สมชายเปิดประเด็นนินทาตามประสาของคนปากเบา แกบอกเล่าเรื่องราวที่แกได้ยินได้ฟังมาจากทางโทรทัศน์บ้าง จากคนในละแวกบ้านบ้าง หรือแม้แต่ต่อเติมเสริมแต่งขึ้นเองเพื่อให้เรื่องที่เล่าออกมานั้นน่าสนใจ และเป็นเรื่องเป็นราวให้พูดคุยกันสนุกปาก แต่สำหรับเนตรไพลินแล้ว มันไม่สนุกเลยสักนิด

“คนที่อยู่หอเดียวกับน้องคนนั้นน่ะ บอกว่าก่อนหน้าที่นางจะลงมือฆ่าแม่ตัวเองนะ เหมือนจะทะเลาะกัน นางก็เถียงแบบแว้ดๆ ใส่ คนเป็นแม่ก็โมโหไง ไล่ให้นางไปอยู่ที่อื่น นางไม่พอใจก็เลยเดินไปคว้ามีดในครัวมาปาดคอแม่ซะเลย” สมชายเล่าเป็นฉากๆ ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริงสักนิด

“แต่ที่เห็นในข่าวบอกว่าแม่นางทำร้ายนางไม่ใช่เหรอ” หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แย้งขึ้น เนื่องจากเห็นว่ารายละเอียดของคำบอกเล่าไม่ตรงกับที่หล่อนรู้มา

“นั่นแหละ ทะเลาะกันก็คงต้องลงไม้ลงมือกันบ้าง ก็เห็นไม่ใช่รึไงว่าเด็กคนนั้นน่ะเหลวไหลแค่ไหน เด็กดีที่ไหนจะหนีออกจากบ้าน” สมชายออกความเห็นอย่างออกรสออกชาติ ก่อนจะหันมาถามเนตรไพลินอย่างต้องการถามความเห็นของเธอด้วยเช่นกัน

“หนู รู้ข่าวรึยังว่าเด็กที่ช่วยเมื่อวานน่ะ ไม่น่าช่วยเลย ถ้าไม่ช่วยนะ ป่านนี้แม่ของเด็กอาจจะไม่ตายก็ได้” ว่าจบสมชายก็หันกลับไปมองยังเพื่อนร่วมวงสนทนา ยักไหล่น้อยๆ อย่างเห็นอกเห็นใจผู้ตายที่ต้องมาจากไปเพราะการกระทำของใครบางคน

คำพูดนี้ทำให้เนตรไพลินถึงกับสะอึก เพราะความผิดทั้งหมดถูกโยนให้เธอกลายๆ หญิงสาวขมวดคิ้วเรียวแน่น เธอช่วยเหลือนิ่มเพราะนิ่มต้องการความช่วยเหลือ สิ่งที่เธอทำไปทั้งหมดนั้นล้วนเกิดมาจากความหวังดี แต่เมื่อเนตรไพลินจะเอ่ยสวน ก็เปลี่ยนใจเม้มปากแน่นเสียอย่างนั้น สาวเจ้าสูดหายใจจนเต็มปอดแล้วพ่นออกมาผ่านปลายจมูก เลือกจะส่ายหน้าน้อยๆ สลัดความคิดและคำพูดแย่ๆ ของสมชายออกไป อย่างไรเสียพูดไปก็ได้เพียงสองไพเบี้ย สู้นิ่งเสียดีกว่าจึงได้ตำลึงทอง

“น่าเห็นใจเนาะ มีลูกผิดคิดจนตัวตาย” เมื่อสมชายเห็นว่าเนตรไพลินไม่โต้ตอบ จึงเอ่ยติดตลกด้วยเสียงดังขึ้นทำให้บางคนหลุดขำอย่างชอบอกชอบใจทีเดียว

ตอนนั้นเองที่เนตรไพลินถึงกับตบโต๊ะทำงานของเธอ เสียงตบโต๊ะเหล็กดังลั่นไปทั่วห้อง ทำเอาทุกคนเงียบกริบและหันมามองเนตรไพลินที่หมดความอดทนกับเรื่องที่ได้ยิน

“การที่เด็กคนหนึ่งจะทำเรื่องที่ผิดระดับนี้ มันไม่ใช่เพราะเด็กเลวมาแต่กมลสันดานหรอกนะคะ และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่คิดแค่ 5 นาที 10 นาที ด้วย ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมันเอง การที่เด็กหนีออกมาจากบ้าน นั่นหมายความว่า บ้านไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว! เด็กคนนั้นอาจจะถูกกดดันมานานแรมปี เคยคิดบ้างมั้ยคะ” เนตรไพลินกำมือแน่น 

คนอื่นๆ ทำได้เพียงนิ่งเงียบ บรรยากาศห้องทำงานของสำนักปลัดเทศบาลเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน เมื่อสมชายเห็นว่ากำลังจะแพ้เหตุผลของเด็กใหม่ เจ้าตัวก็รีบตะโกนด้วยเสียงอันดัง

“ก็ไม่รู้! ก็เขาว่ามาแบบนั้น!” 

“ถ้าไม่รู้ จริงๆ ก็ไม่ควรพูดนะคะ สำหรับหนูที่เป็นคนพานิ่มมาที่นี่ หนูยังไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะอะไรรู้มั้ยคะ เพราะหนูไม่ได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น น้องอาจทำเพราะเหตุผลใดก็ได้ อาจเพื่อความสะใจ อาจเพื่อระบายอารมณ์ หรือมันอาจเป็นแค่อุบัติเหตุ!” เนตรไพลินตวาดดังลั่น ตอนนั้นเองที่แอมเปิดประตูห้องเข้ามาพอดิบพอดี 

“หรือไม่....เธอก็อาจแค่ป้องกันตัว...และถ้ามันเป็นสองอย่างหลัง เราจะรับผิดชอบกับคำพูดของเรายังไงเหรอคะ อย่ามาพูดพล่อยๆ ว่าเราแค่พูดกันในวงสนทนา เพราะถึงขนาดออกปากว่าเห็นใจคนตาย ก็ควรเห็นใจคนที่อยู่ด้วย...” 

ดวงตากลมของเนตรไพลินแดงเรื่อ เธอกลั้นน้ำตา ไม่ยอมให้ไหลแม้สักหยด สองมือบีบแน่นเสียจนแดงแจ๋

“พอแล้วเนตร” หัวหน้านิติการร้องปรามเนตรไพลิน ก่อนจะหันมายังสมชายที่เป็นตัวการ

“หล่อนก็เหมือนกันสมชาย อย่างที่เนตรมันว่านั่นแหละ เพลาๆ ลงบ้าง...เข้าใจว่าสนุก แต่การสูญเสียก็ยังคงเป็นการสูญเสีย เราทำงานเทศบาล หน้าที่ของเราคือการบริการประชาชน แค่เราเริ่มตั้งแง่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมันก็ผิดแล้ว” แอมถึงกับถอนหายใจหนัก หล่อนจ้องสมชายที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ท่าทีไม่พอใจอย่างชัดเจน

“เนตร” ตอนนั้นเองที่แอมเรียกนามของเธอ แม้แอมจะเห็นว่าเนตรพูดสิ่งที่ถูกต้อง แต่การขึ้นเสียงกับผู้ใหญ่ก็คงดูไม่น่ารักเท่าไร “ขอโทษพี่เขาด้วย” หล่อนออกคำสั่ง

“ค่ะพี่” เนตรไพลินรีบขานรับ แม้ผู้ใหญ่บางคนจะทำตัวไม่น่าเคารพ แต่เธอยินดีจะกล่าวคำขอโทษ เพราะเข้าใจระบบอาวุโส ที่สำคัญ เธอยังอยากทำงานที่นี่ต่อจนหมดสัญญา

“หนูขอโทษค่ะพี่สมชาย หนูไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่รู้สึกไม่ดี” เนตรไพลินกล่าวขอโทษพร้อมกับยกมือไหว้เขา แม้สมชายจะมองไม่เห็นมันก็ตาม ดวงตางามเหลือบมองชายที่ยังคงนิ่งงัน ก่อนหน้านี้เขายังหัวเราะร่าอย่างสนุกปากแท้ๆ แต่เมื่อถูกต่อว่ากลับเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

“สมชาย” แอมถึงกับเรียกให้สมชายตอบ

“เออๆ ขอโทษด้วยก็แล้วกันที่พูดพล่อยๆ” สมชายกระแทกเสียงใส่ 

แอมถึงกับถอนหายใจอีกครา แต่ก็จำต้องให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปทำงานของตัวเอง

เรื่องราวของนิ่มสำหรับฝั่งเทศบาลอาจต้องจบลงเพียงเท่านี้ ด้วยไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วภายในห้องแห่งนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สิ่งที่ทุกคนต่างรับรู้มาล้วนมาจาก ‘เขาเล่าว่า’ ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาในที่นี้คือใคร และรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะมีเพียงนิ่มคนเดียวที่ทราบ และหากหล่อนไม่บอกความจริงกับใคร มันจะยังคงเป็นความจริงที่หล่อนรู้อยู่เพียงผู้เดียว

บนชั้น 4 ของอาคารอนันตกาลในใจกลางนรกที่ร้อนระอุ เป็นที่ตั้งของห้องปฐมกาลทั้งหมด 77 ห้อง ส่วนใหญ่แล้วห้องปฐมกาลใช้สำหรับสอบสวนหรือรายงานตัวของเหล่ายมทูตในกรณีที่มีข้อผิดพลาดหรือรายงานปัญหาเข้ามายังศูนย์ มันเป็นห้องสีขาวขนาดใหญ่ ที่ใจกลางห้องมีแท่นสี่เหลี่ยมขนาด 3 คูณ 3 เมตร สูงจากพื้น 30 เซนติเมตรเป็นจุดยืนรายงานตัวของเหล่ายมทูต

วันนี้เองที่ยมทูตนามทายกต้องรายงานเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น เนื่องจากคำสั่งที่เขาได้รับมอบหมายมาติดเลขรหัส 166 หรือก็คือคำสั่งงานถูกยกเลิกโดยไม่ทราบสาเหตุ ในความเป็นจริงแล้วรหัสที่ว่านี้ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเมื่อคำสั่งถูกจารลงในสมุดประจำตัวของยมทูต นั่นหมายความว่ามนุษย์ผู้นั้นจะสิ้นอายุขัยในวันเวลาที่กำหนดแน่นอนและจะเป็นไปตามสาเหตุที่ระบุไว้ในสมุด แม้ในโลกมนุษย์จะมีพิธีกรรมต่างๆ เพื่อยืดอายุขัยของคนเหล่านั้น เช่น พิธีสืบชะตา พิธีต่ออายุขัย หรือแม้แต่พิธีบังสุกุลหลอกเพื่อหลอกยมทูต แต่มันเป็นเรื่องตลกสำหรับผู้เชิญวิญญาณอย่างยมทูต เพราะเมื่อรายนามถูกจารลงยังสมุด ไม่ว่าใครหน้าไหนก็หลีกหนีไม่พ้น

            ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมาคำสั่งของยมทูตไม่เคยถูกยกเลิก มีบางกรณี เช่น เจ้าของดวงวิญญาณดวงนั้นได้ดื่มกินน้ำอมฤต หรือได้รับพรให้มีชีวิตยืนยาว แต่ทั้งหมดนั้นหาใช่คำสั่งที่ยกเลิกด้วยรหัส 166 ไม่ เพราะรหัสนี้ถูกใช้กรณีที่ไม่ทราบสาเหตุการยกเลิกเท่านั้น พูดให้เข้าใจง่ายคือ ณ สถานที่นั้นไม่มีดวงวิญญาณให้ไปรับ หรืออยู่ๆ เจ้าของดวงวิญญาณก็รอดจากความตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ

            ‘คำสั่ง 84490 โดยยมทูตทายก แจ้งรายละเอียดที่ท่านได้รับมอบหมายมา’ 

ตอนนั้นเองเบื้องหน้าทายกปรากฏยมทูตชายหญิงในชุดสูทสีดำทั้งหมดสามตน พวกเขายืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ใหญ่ยกพื้นสูงที่ตั้งตระหง่าน แต่บนบัลลังก์กลับว่างเปล่า

            ‘ขอรับ! ข้าพเจ้าทายกรับผิดชอบคำสั่ง 84490 รับผิดชอบดวงวิญญาณ ‘นิรมล’ อายุ 14 ปี กระดูกต้นคอหักบริเวณก้านสมอง การต่อสู้ยื้อแย่งอาวุธกับมาตาตนทำให้กระดูกส่วนนี้กระแทกกับเคาน์เตอร์บาร์สีฟ้าอ่อน เสียชีวิตทันทีในเวลา 17 นาฬิกา 32 นาทีของโลกมนุษย์’ ทายกรายงานอย่างฉะฉาน ด้วยเขานั้นจดจำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างครบถ้วน

            ‘แต่ท่านได้รับมอบหมายคำสั่งใหม่ไปแล้ว กับดวงวิญญาณดวงเดิม’ ยมทูตหญิงที่ยืนอยู่บนฐานบัลลังก์ใหญ่ร้องบอก ใบหน้าที่เรียบเฉยจ้องมองมายังทายกอย่างรอฟังคำตอบ

            โดยปกติแล้วเมื่อคำสั่งของยมทูตถูกยกเลิก จะมีการกำหนดวันตายขึ้นใหม่โดยอ้างอิงจากกรรมหรือผลของการกระทำของดวงวิญญาณดวงนั้นๆ นั่นหมายถึงวันเวลาที่กำหนดอาจเป็นเวลาใดก็ได้ หากเจ้าของดวงวิญญาณยังคงดำรงตนในทางประมาท วันเวลาที่กำหนดขึ้นใหม่อาจห่างจากเวลาเดิมเพียง 1-2 ชั่วโมง แต่หากเจ้าของดวงวิญญาณดวงนั้นดำรงตนอย่างมีสติ ประกอบผลบุญและดำเนินชีวิตอย่างถูกทำนองคลองธรรม เขาหรือเธออาจมีชีวิตยืนยาวจนแก่เฒ่าเลยก็ได้ แต่ดูเหมือนแม่ของนิ่มจะไม่ทันได้ใช้โอกาสนั้น

’23 นาฬิกา 42 นาทีขอรับ นางต้องกระทําอัตวินิบาตกรรม’ ทายกอธิบายเพียงสั้น เป็นที่รู้กันดีว่าการกระทําอัตวินิบาตกรรมถือเป็นบาปอันสูงสุด ด้วยถือเป็นการปิดทุกโอกาสในการทำความดีของมนุษย์ แต่อะไรทำให้หล่อนเปลี่ยนใจ

‘มีบางคนทำให้มันเปลี่ยนใจ’ ตอนนั้นเองที่เจ้าของกายาใหญ่ก้าวเข้ามายังบัลลังก์ของตน ชายในชุดสูทสีขาวย่างเท้าอย่างมั่งคง และทิ้งร่างลงกับบัลลังก์หินสีดำสนิท ถอดหมวกฟีดอราสีขาววางบนที่พักแขนด้านหนึ่ง ปัดมือกับเสื้อสูทที่เปื้อนรอยเท้าแมวและขนเส้นเล็กๆ สีดำ ยมทูตทั้งสี่ค้อมศีรษะทำความเคารพในทันที ก่อนร่างสูงใหญ่จะยกมือหนาเป็นสัญญาณให้พวกเขาทำตัวตามสบาย 

‘ข้าอยู่ที่นั่นด้วยตอนมันฝืนชะตาตัวเอง เพราะเสียงหนึ่งทำให้มันเปลี่ยนใจ’ พญายมราชเริ่มอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น นัยน์ตาคมจ้องมองทายกที่ยืนอยู่เบื้องล่าง

ท่ามกลางเสียงก่นด่าของคนเป็นแม่ที่คาดคั้นเอาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่นิ่มติดต่อไปหาพ่อ แกไม่เข้าใจว่าเหตุใดลูกสาวจำต้องติดต่อกับชายเห็นแก่ตัวที่ทิ้งทั้งคู่ไปมีชีวิตใหม่ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วสามีของแกนั้นทิ้งไปเพราะความโมโหร้ายของตัวแกเอง แม่ของนิ่มเอาแต่โทษพ่อและก่นด่านิ่มสารพัดที่หักหลังแกไปติดต่อกับพ่อ ก่อนจะเริ่มทำลายข้าวของเฉกเช่นที่ทำมาในทุกๆ วัน เด็กสาวจึงขังตัวเองอยู่ในห้อง ทำได้เพียงแค่กอดตัวเองอยู่ในความมืด สุดท้ายแล้วแม่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม คำพูดนี้วนเวียนอยู่ในหัวของนิ่ม และดูเหมือนความตายเท่านั้นที่เป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้

ในขณะที่นิ่มจ่อปลายมีดคมกริบกับข้อมือตัวเอง บอกลากับทุกคนผ่านริมฝีปากเล็กๆ ที่สั่นเทา เธอขอโทษพ่อแม้พ่อจะไม่ได้ยินคำขอโทษของเธอ ขอโทษแม่ที่เธอเกิดมาแล้วทำให้พ่อกับแม่ไม่มีความสุข แต่ตอนนั้นเองที่เสียงหนึ่งดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องนอนเป็นเสียงของเนตรไพลินที่ตะโกนบอกให้นิ่มหยุดการกระทำของตัวเอง นิ่มหยุดมือของหล่อนก่อนจะเอาแต่นั่งร้องห่มร้องไห้อยู่เพียงคนเดียว ตอนนั้นเองที่ประตูห้องนอนถูกเปิดด้วยกุญแจของแม่ แสงไฟในห้องสว่างขึ้น ทันทีที่แม่เห็นว่าลูกสาวคนนี้จะทำร้ายตัวเองก็รีบเข้าไปยื้อแย่ง ด้วยความตกใจ ทั้งสองยื้อแย่งอาวุธคมกริบนั้นไปมา ก่อนแม่จะพลาดถูกมีดเฉือนเข้าที่ลำคอ นิ่มกรีดร้องอย่างหวาดกลัว พยายามใช้ผ้ากดลำคอของแม่ที่ยังคงมีเลือดสีแดงฉานไหลทะลักออกมาเรื่อยๆ นิ่มตกอยู่ในอาการเสียขวัญ และคนแรกที่หล่อนติดต่อไปหาคือพ่อ...

‘เสียงหรือขอรับ’ คณะกรรมการสอบสวนตนหนึ่งถามอย่างสงสัย

‘ใช่ เสียงผู้หญิง’ พญายมราชตอบเพียงสั้น นิ้วโป้งหนาข้างหนึ่งลูบลงกับหัวแหวนไพลินสีดำสนิทไปด้วย

‘เป็นพวกแม่มดหมอผีหรือเปล่าเจ้าคะ’ หญิงเพียงตนเดียวภายในห้องถามพร้อมกับแสดงความเห็น

‘ไม่’ พญายมราชปฏิเสธ หวนคิดถึงเหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมา ยังคงจำใบหน้างามของหญิงสาวที่ท่านคว้าตัวเธอไว้ ดวงตากลมชุ่มฉ่ำน้ำตาใส สิ่งที่น่าแปลกใจคือสิ่งที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเธอ

‘นางมีตาที่สาม’

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น