บทที่ 1
หม่อมราชวงศ์ฟ้าพราว ดุษฎีรังสรรค์ ยืนมองเงาสะท้อนของตัวเองผ่านกระจกเงาแบบตั้งพื้นบานใหญ่อยู่ในห้องแต่งตัวเจ้าสาว ซึ่งก็คือห้องนอนของเธอภายในวังดุษฎีรังสรรค์นั่นเอง
ภาพที่เห็นคือ หญิงสาวรูปร่างบอบบางอยู่ในชุดไทยจักรพรรดิประยุกต์สีแดงเลือดนกปักดิ้นทอง ซึ่งขับให้ผิวขาวจัดของเธอดูผุดผาดน่ามองยิ่งขึ้น ผมดำขลับนุ่มสลวยดุจเส้นไหมที่ยาวถึงกลางหลังถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยต่ำอย่างเรียบง่ายไว้บริเวณท้ายทอย ส่งให้ใบหน้ารีรูปไข่ที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีตสมกับที่วันนี้เป็นวันพิเศษโดดเด่นชวนมอง ฟ้าพราวจัดว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมาก เครื่องหน้าทุกส่วนสอดรับกันอย่างลงตัว วันนี้ควรเป็นวันที่เธอมีความสุขที่สุดในชีวิต ทว่าดวงตาสีคาราเมลกลับฉายแววเศร้าสร้อยอย่างปิดไม่มิด
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย นี่งานแต่งงานนะ ไม่ใช่งานศพ ทำหน้าอย่างกับมีใครตาย”
น้ำเสียงแดกดันของหม่อมมาลินีที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้ราชนิกุลสาวต้องหลับตานิ่ง สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับแม่เลี้ยง
หม่อมเจ้าดนัยเทพ ดุษฎีรังสรรค์ ท่านพ่อของเธอเสกสมรสกับหม่อมมาลินีหลังจากหม่อมแม่ของเธอเสียชีวิตไปเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นเธอเพิ่งอายุสิบสองปี หม่อมมาลินีมีลูกติดหนึ่งคน อายุเท่ากับเธอ แต่ไม่ค่อยลงรอยกัน ขนาดวันนี้ที่วังมีงานสำคัญ วาสิตาก็ยังหนีไปล่องเรือยอชต์ฉลองวันเกิดกับเพื่อนๆ ในแวดวงไฮโซ
“หม่อมมีอะไรกับ ‘ฉัน’ เหรอ” ฟ้าพราวไม่เคยแทนตัวเองว่า ‘หญิง’ กับหม่อมมาลินีเหมือนเวลาที่พูดกับท่านพ่อหรือญาติผู้ใหญ่ท่านอื่นเลย อีกทั้งไม่เคยลงหางเสียงอย่างให้ความเคารพสักครั้ง
แน่ละ...ใครจะให้ความเคารพแม่เลี้ยงที่ทำตัวเป็นแม่มด!
“ใกล้ถึงเวลาฤกษ์แล้ว ท่านชายดนัยให้มาตามลงไปข้างล่าง” มาลินีเชิดหน้าบอกอย่างจงเกลียดจงชังลูกเลี้ยงที่ทำตัวกระด้างกระเดื่องมาตั้งแต่เล็กจนโต “แต่จะเป็นม่ายขันหมากหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เพราะป่านนี้เจ้าบ่าวชาวไร่ของคุณหญิงยังไม่โผล่หัวมาเลย ก็อย่างว่า คนชั้นต่ำแบบนั้นจะไปรู้ธรรมเนียมอะไร โดยเฉพาะธรรมเนียมชาววัง”
ฟ้าพราวที่หน้าตึงอยู่แล้วยิ่งตึงมากขึ้นเป็นสองเท่า ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่รู้จักกับว่าที่เจ้าบ่าว แต่เพราะมีนิสัยที่ไม่ชอบคนดูถูกคนอยู่แล้วจึงทำให้อดที่จะตอกกลับอย่างเจ็บแสบไม่ได้ “แต่คนชั้นต่ำที่หม่อมกำลังพูดถึงเขาช่วยรักษาเกียรติยศของดุษฎีรังสรรค์เอาไว้นะ แล้วที่หม่อมยังเชิดหน้าชูคออยู่ได้อย่างทุกวันนี้ก็เพราะเงินของเขา เพราะฉะนั้นหม่อมไม่มีสิทธิ์พูดจาดูถูกเขาแบบนี้”
“ยังไม่ทันไรก็ออกหน้าปกป้องผัว เอ๊ย...ว่าที่สามีแล้วเหรอ” หม่อมมาลินียิ้มเยาะ “เป็นแค่ชาวไร่กระจอกๆ จะมีเงินสักเท่าไหร่กันเชียว”
“อย่างน้อยสิบล้านที่เขาให้ท่านพ่อมาไถ่วังนี้คืนจากเจ้าหนี้ก็ทำให้หม่อมยังมีที่ซุกหัวนอนนั่นแหละ”
“ก็คงเทหมดหน้าตัก เพราะหวังจะได้เมียเจ้ามายกระดับตัวเอง แต่คนชั้นต่ำยังไงก็เป็นคนชั้นต่ำอยู่วันยังค่ำ” มาลินียังไม่เลิกเหยียดหยาม “ต่อไปคุณหญิงก็คงต้องไปเป็นคุณนายบ้านไร่ ตื่นมาเก็บใบชาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น นางฟ้าตกสวรรค์ชัดๆ น่าสงสารจริงจริ๊ง”
หม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวกำมือแน่น พยายามข่มอารมณ์ ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเพราะไม่อยากให้ท่านพ่อที่เพิ่งผ่าตัดหัวใจมาเมื่อสามเดือนก่อนไม่สบายใจ ถ้าเป็นเวลาปกติใครฟาดมา เธอก็ฟาดกลับ ไม่เคยกลัวอยู่แล้ว “หม่อมลงไปก่อน เดี๋ยวฉันตามลงไป”
“เร็วๆ ด้วยล่ะ อย่าให้ท่านชายรอนาน” พูดจบก็สะบัดหน้าเดินออกไปอย่างน่าหมั่นไส้
ฟ้าพราวหันกลับไปมองสำรวจความเรียบร้อยของชุดเจ้าสาวผ่านกระจกเงาบานใหญ่อีกครั้ง หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วยิ้มให้ตัวเองอย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลน้ำเน่า ไม่ใช่เพราะความรัก แต่เธอก็จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนพระคุณของท่านพ่อ
เธอกับว่าที่เจ้าบ่าวไม่ได้รักกัน แม้แต่หน้าเขา เธอก็ยังไม่เคยเห็นสักครั้ง รู้แค่ว่าเขาชื่อภูริดลหรือดิน เป็นลูกชายของเพื่อนสนิทของหม่อมเจ้าดนัยเทพ ทำไร่ชาอยู่ที่จังหวัดเชียงราย
บรรยากาศภายในห้องโถงของวังดุษฎีรังสรรค์เงียบกริบ ผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาวซึ่งมีเพียงพ่อและแม่ของทั้งสองฝ่ายมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะใกล้ถึงฤกษ์สวมแหวนแล้ว แต่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าบ่าว
“ตกลงลูกชายแกจะมามั้ยนที” หม่อมเจ้าดนัยเทพกระซิบถามเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนประจำ และยังไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษด้วยกันอีกหลายปี
“มันรับปากกระหม่อมแล้วว่าจะมา มันก็ต้องมา” นทีรู้จักนิสัยลูกชายตัวเองดีว่าเป็นคนรักษาคำพูดมากขนาดไหน ถึงแม้ว่าภูริดลจะไม่เต็มใจแต่งงานกับหม่อมราชวงศ์ฟ้าพราว และกว่าที่จะยอมแต่งงานได้ก็ต้องทะเลาะกันบ้านแทบแตก แต่นทีก็มั่นใจว่าลูกชายจะต้องมา
“ถ้าคุณดินไม่มาเข้าพิธี ฟ้าจะเป็นคนไปหาเขาที่ไร่เอง ไม่ต้องมีงานแต่งงานก็ได้” เจ้าสาวที่นั่งพับเพียบอยู่บนพื้นหินอ่อนซึ่งปูด้วยพรมเปอร์เซียราคาแพงเงยหน้าขึ้นบอกพ่อและแม่ของเจ้าบ่าว
“ไม่ได้นะคะคุณหญิง ทำแบบนั้นถือเป็นการไม่ให้เกียรติคุณหญิงกับท่านชายดนัยอย่างรุนแรง” น้ำมณีผู้เป็นแม่ของเจ้าบ่าวรีบแย้งด้วยความเกรงใจแล้วแก้ตัวแทนลูกชาย “ดินอาจจะรถติดอยู่ใกล้ๆ นี่แหละค่ะ ป้าจะโทร. ตามเดี๋ยวนี้ละค่ะ ใจเย็นๆ นะคะคุณหญิง ยังไงดินก็ต้องมาค่ะ” ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร. หาลูกชาย
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือจากเครื่องปลายทางก็ดังแว่วมาจากด้านนอกห้องโถง และดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนปรากฏร่างของหนุ่มชาวไร่รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำกร้านแดด หนวดเครารกรุงรัง เขาไม่ได้มาในชุดเจ้าบ่าว แต่มาในชุด ‘ชาวไร่’ ที่เป็นเสื้อเชิ้ตตัวเก่าสีมอซอสวมทับด้วยแจ็กเกตที่ไม่ได้ดูใหม่ไปกว่ากันเลย กางเกงยีนสีเข้มมีดอกหญ้าแห้งติดอยู่ที่ปลายขา รองเท้าหนังคอมแบตมีเศษดินเศษโคลนเปรอะเปื้อนเกรอะกรัง
“ไอ้ดิน!” นทีเรียกลูกชายเสียงลอดไรฟันพลางเหลือบมองเพื่อนรักที่เป็นถึงหม่อมเจ้าด้วยความเกรงใจอย่างถึงที่สุด ทว่าอีกฝ่ายกลับมีสีหน้าเรียบเฉยแบบที่คาดเดาอารมณ์และความรู้สึกไม่ออก
“ตายแล้วลูกชายฉัน ทำไมแต่งตัวแบบนี้ ชุดเจ้าบ่าวแม่ก็เตรียมไว้ให้แล้ว ทำไมไม่ใส่มา” น้ำมณีอยากจะเป็นลม ถึงแม้ว่าครอบครัวของเธอจะเป็นเศรษฐีที่ชอบทำตัวติดดิน แต่ลูกชายคนเดียวของเธอจะแต่งตัวคลุกดินคลุกโคลนมาเข้าพิธีแต่งงานกับราชนิกุลสาวผู้สูงศักดิ์แบบนี้ไม่ได้
ภูริดลทำเป็นหูทวนลม ไม่สนใจคำตำหนิของพ่อกับแม่ ดวงตาสีนิลคมกริบจ้องเขม็งไปที่วงหน้างดงามของเจ้าสาว สองเท้าก้าวเข้าไปหาเธอด้วยท่าทีแข็งกระด้าง จงใจใช้รองเท้าที่สกปรกเหยียบย่ำลงบนพรมเปอร์เซียราคาครึ่งล้านที่เธอนั่งอยู่
“หยุดทำตัวไร้มารยาทเดี๋ยวนี้นะดิน นั่งลง!” นทีสั่งลูกชายที่ยืนค้ำหัวผู้หลักผู้ใหญ่และเจ้าสาวที่นั่งปั้นหน้านิ่งอยู่กับพรม
ชายหนุ่มกระแทกตัวลงนั่งขัดสมาธิอย่างตั้งใจกวนประสาท ฝุ่นจากเสื้อผ้าฟุ้งกระจายออกมาจนหม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวสำลัก ทำให้หนุ่มชาวไร่อดที่จะยิ้มเยาะความเป็นผู้ดีของว่าที่ภรรยาไม่ได้
“ผมมีเวลาไม่มาก สวมแหวนเลยก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็หยิบแหวนทองเกลี้ยงวงเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเกต แล้วสวมเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าสาว ทว่าแหวนวงใหญ่เกินไป เขาจึงถอดออกแล้วสวมเข้าที่นิ้วกลางให้แทน “นิ้วไหนก็เหมือนกัน สวมให้มันจบพิธีไป”
เจ้าสาวนั่งหลังเหยียดตรง เม้มปากแน่น พยายามอดทนอดกลั้นกับกิริยาป่าเถื่อนไร้อารยะของเจ้าบ่าว เธอไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะให้เกียรติ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะหยามเกียรติเธอถึงขนาดนี้
“เอาแหวนเพชรที่แม่เตรียมไว้สวมให้คุณหญิงสิดิน” น้ำมณีท้วง เธอเตรียมแหวนเพชรน้ำงามสิบกะรัตวางไว้บนพานทองที่ตกแต่งด้วยดอกไม้สวยงามให้แล้ว แต่ลูกชายตัวดีกลับทำเป็นมองเมินไม่สนใจ
“เพชรเม็ดใหญ่เท่าไข่ห่านไม่เหมาะกับเมียชาวไร่ที่ต้องจับจอบจับเสียมทำงานทั้งวันหรอกครับ แม่เก็บไว้เถอะ”
“ใครบอกว่าจะให้คุณหญิงฟ้าไปทำไร่” น้ำมณีรีบแย้งด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เพราะกลัวหม่อมเจ้าดนัยเทพจะเข้าใจผิดว่าขอลูกสาวท่านไปตกระกำลำบาก
“เป็นเมียผมก็ต้องช่วยผมทำงาน จะมานั่งกินนอนกิน ทำตัวเป็นคุณหญิงคุณนายไม่ได้ เงินมันหายาก เท่าที่เราเสียไปก็มากเกินพอแล้ว ต่อไปคุณหญิงต้องช่วยผมทำงานในไร่”
“งานแบบนั้นคุณหญิงฟ้าจะทำได้ยังไงเจ้าดิน พูดไม่คิดอีกแล้วลูกคนนี้” น้ำมณีมองลูกชายตาเขียว
“ฟ้าทำได้ค่ะ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ฟ้าก็จะอดทน” หม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวบอกกับน้ำมณีอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วหันไปบอกท่านพ่อของเธอ “ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหญิงนะเพคะ หญิงอยู่ได้”
หม่อมเจ้าดนัยเทพมองบุตรสาวที่เลี้ยงดูมาอย่างดียิ่งกว่าไข่ในหินด้วยความรู้สึกผิดและสงสารจับใจ ถ้าเขาไม่ถูกเพื่อนที่เป็นนักการเมืองใหญ่โกงจนสิ้นเนื้อประดาตัว วังที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาร่วมร้อยปีก็จะไม่ถูกยึด บุตรสาวคนเดียวของเขาก็คงไม่ต้องตกที่นั่งลำบากแบบนี้
ในวันที่หมดสิ้นหนทาง นทียื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ โดยมีข้อแม้ว่าต้องให้ลูกชายและลูกสาวของแต่ละฝ่ายแต่งงานกัน ฟ้าพราวเต็มใจช่วยเหลือครอบครัว แต่ดูเหมือนว่าพ่อหนุ่มชาวไร่จะไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
“ผมพา ‘เมีย’ ไปได้หรือยัง”
“จดทะเบียนสมรสก่อน” หม่อมเจ้าดนัยเทพบอกด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมแล้วหันไปพยักหน้าบอกเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเขตให้นำเอกสารมาให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวเซ็น
ภูริดลและหม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวต่างคนต่างเซ็นชื่อในทะเบียนสมรสโดยไม่มองหน้ากัน เสร็จแล้วชายหนุ่มก็ฉุดข้อมือหญิงสาวให้ลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้คนที่นั่งพับเพียบอยู่กับพื้นนานเป็นชั่วโมงเข่าอ่อนจนเกือบล้ม แต่เขาก็ไม่ได้สนใจที่จะช่วยประคอง ปล่อยให้เธอซวนเซหาทางทรงตัวเอาเอง
“ไปกันได้แล้ว”
“จะพาคุณหญิงไปไหนเจ้าดิน” น้ำมณีถามหน้าตาตื่นตระหนก
“กลับไร่สิครับ ผมมีงานรออยู่อีกเยอะ ไม่มีเวลามาทำเรื่องไร้สาระนานหรอกครับ แค่นี้ก็เสียเวลามากแล้ว” ว่าแล้วก็กึ่งลากกึ่งจูงภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายและประเพณีออกไป โดยไม่สนใจว่าคนตัวเล็กกว่ามากซึ่งอยู่ในชุดไทยกรอมเท้าจะซอยเท้าตามทันหรือไม่
“โอ๊ย ตายๆ ฉันอยากจะเป็นลม” น้ำมณีหยิบยาดมออกมาสูดปื้ดๆ แล้วหันไปบอกหม่อมเจ้าดนัยเทพด้วยความเกรงใจอย่างที่สุด “หม่อมฉันต้องกราบขอประทานอภัยฝ่าบาทด้วยนะเพคะ ที่ลูกชายของหม่อมฉันทำกิริยาไม่เหมาะสม”
“ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วงคุณหญิงฟ้านะกระหม่อม กระหม่อมสัญญาว่าจะดูแลคุณหญิงฟ้าแทนฝ่าบาทเป็นอย่างดี” นทีรีบเสริมด้วยความเกรงใจมากเช่นเดียวกัน
“ลูกชายแกท่าทางเอาเรื่องอยู่นะ ฉันเป็นห่วงลูกสาวฉัน” หม่อมเจ้าดนัยเทพบอกด้วยสีหน้าไม่สบายใจ แล้วทำท่าเหมือนจะวูบ มาลินีที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องรีบประคองให้เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วหยิบยาประจำตัวมาให้กิน
“เจ้าดินมันปากร้ายไปอย่างนั้นเอง ความจริงมันเป็นคนใจอ่อนมาก ที่สำคัญ มันไม่ทำร้ายผู้หญิง ถ้ากระหม่อมไม่มั่นใจในตัวลูกชายก็คงไม่กล้าขอคุณหญิงฟ้ามาเป็นลูกสะใภ้”
หม่อมเจ้าดนัยเทพพยักหน้ารับเนิบนาบ ไม่ว่านทีจะยืนยันหนักแน่นเพียงใด แต่การเห็นบุตรสาวอันเป็นที่รักถูกหนุ่มชาวไร่ฉุดกระชากออกไปแบบนั้นก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
ภูริดลกำข้อมือเล็กของหม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวไว้แน่นขณะลากตัวเธอออกมาที่หน้าตึกใหญ่โดยไม่สนใจว่าเท้าเปลือยเปล่าของหญิงสาวที่กำลังเหยียบย่ำไปบนพื้นซีเมนต์ร้อนระอุเพราะดูดซับความร้อนจากไอแดดเอาไว้จะแสบร้อนเพียงใด
“อู้ย...” ฟ้าพราวส่งเสียงซี้ดซ้าดในลำคอพลางกระโดดด้วยปลายเท้าสลับข้างกันไปมา
“เป็นอะไร”
“พื้นมันร้อน แสบเท้าไปหมดแล้วเนี่ย” เธอตอบพลางหงายฝ่าเท้าแดงจัดให้อีกฝ่ายดู
หนุ่มชาวไร่ยิ้มหยัน แทนที่จะเห็นใจ เขากลับพูดค่อนแคะ “ผู้ดีตีนแดง”
“คุณก็ลองเดินเท้าเปล่าบนปูนซีเมนต์ร้อนๆ นี่ดูมั่งสิ จะได้รู้ว่ามันร้อนแค่ไหน”
“พื้นร้อนแค่นี้ผมไม่สะดุ้งสะเทือนหรอก”
“หนังหนา” เธอว่าเบาๆ แต่เขาก็ได้ยิน
“ไม่ทันไรก็ด่า ‘ผัว’ แล้วเหรอ”
“คนเถื่อน หยาบคาย”
“แค่นี้ยังน้อย ผมเถื่อนได้มากกว่านี้อีกร้อยเท่า คุณหญิงเตรียมตัวรับมือกับผัวเถื่อนคนนี้เอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็ช้อนร่างเล็กขึ้นอุ้มหน้าตาเฉย
“ว้าย!” ราชนิกุลสาวกรีดร้องด้วยความตกใจ “จะทำอะไร ปล่อยฉันนะ”
“บอกว่าร้อนเท้าไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำในลำคอแบบรำคาญความเรื่องมากของผู้ดีเต็มทน
“ร้อน แต่เดินเองได้”
“ให้ผัวบริการเมียสักวันก็แล้วกัน เพราะต่อไปคุณหญิงต้องบริการผัวชาวไร่คนนี้ให้ ‘ถึงใจ’ ทุกคืน”
“พูดจาน่าเกลียด!” ต่อว่าพร้อมกับตวัดมือฟาดซีกแก้มสากกระด้างไปเต็มแรงให้สาสมกับความหยาบคายของเขา
“ตบผัวเหรอ” ภูริดลจ้องหน้าคนในวงแขนตาดุแล้วก้มลงฉกริมฝีปากอิ่ม
“อร๊าย!” กรี๊ดใส่แล้วก็ตบเขาไปอีกหนึ่งที แล้วก็โดนตอบโต้ด้วยจูบที่ดุดันจนแทบหายใจไม่ทันอีกหนึ่งที
“ผัวจูบปากแค่นี้ไม่ต้องกรี๊ด ยังไงคืนนี้คุณหญิงก็ต้องโดนจูบทั้งตัวอยู่แล้ว อยากเป็นเมียชาวไร่มากนัก ผมก็จะจัดหนักให้แบบที่ต้องร้องขอชีวิตกันเลย”
หม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวอยากจะตบหน้าคนเถื่อนอีกสักฉาด แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงให้ถูกจูบโดยไม่จำเป็นอีก จึงยอมเก็บมือ สงบปากสงบคำแล้วปล่อยให้เขาอุ้มไปวางในรถเอสยูวีสีดำที่ดูเหมือนจะไม่ได้ล้างมาเป็นปี
“เรื่องเข้าหอคืนนี้ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ทำใจรอไว้ได้เลย”
ภูริดลยิ้มร้ายใส่นัยน์ตาเจ้าสาวแล้วขโมยจุ๊บที่ริมฝีปากเธออย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งก่อนปิดประตูรถให้ แล้วเดินอ้อมไปนั่งตรงที่นั่งด้านคนขับแล้วเคลื่อนรถออกไป
หม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวนั่งเงียบมาในรถหลายชั่วโมง ใบหน้าสวยหวานเชิดขึ้นอย่างดื้อรั้น สายตามองตรงไปเบื้องหน้า แผ่นหลังตั้งตรงไม่แตะพนักพิง
“นั่งเชิดหน้าคอตั้งแบบนั้นไม่เมื่อยหรือไงคุณหญิง” ในที่สุดภูริดลก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนเพราะทนความเงียบไม่ไหว
“มีหน้าที่ขับรถก็ขับไป ไม่ต้องพูดมาก”
“นี่ผัวนะ ไม่ใช่คนขับรถ” ชายหนุ่มดุเสียงเข้ม
“ไม่ต้องย้ำมากก็ได้ ฉันรู้ว่าเราแต่งงานกันแล้ว คุณเป็น ‘สามี’ ของฉัน แต่ตอนนี้หน้าที่ของคุณคือขับรถก็ขับไป ไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องการนั่งของฉัน” ราชนิกุลสาวบอกด้วยเสียงนิ่งเรียบ ไม่แม้แต่จะชายตามองคนกวนประสาทข้างตัว
“ไม่ต้องมาทำเป็นผู้ดีเรียกผมว่าสามีหรอก เรียกผมว่า ‘ผัว’ น่าจะเหมาะกับฐานะชาวไร่อย่างผมมากกว่า”
“ฉันเรียกแบบนี้เพราะต้องการให้เกียรติคุณ แต่ถ้าคุณคิดว่าตัวเองไม่มีเกียรติพอที่จะใช้คำนี้ก็แล้วแต่...” ฟ้าพราวทำปากเบ้แบบไม่แคร์
“นี่คือด่าแบบผู้ดีใช่มั้ย” ภูริดลหัวเราะในลำคอแล้วแกล้งถามประชด “ด่าแรงขนาดนี้ผมต้องเจ็บปะ”
“คนหนังหนาป่าเถื่อนอย่างคุณ ด่าแค่นี้ไม่เจ็บหรอก” คราวนี้เธอหันมาแว้ดใส่อย่างเหลืออด ส่งผลให้หนุ่มชาวไร่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นรถ “หัวเราะอะไร”
“ดีใจ” เขาตอบสั้นห้วน
“ดีใจที่ถูกด่าเนี่ยนะ”
“ดีใจที่เราเพิ่งแต่งงานกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง เมียก็รู้ ‘สันดาน’ ผัวแล้ว”
หม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวกัดปากพร้อมกำหมัดแน่นเพื่อข่มความโมโหแล้วถามเขาไปตรงๆ “คุณเป็นคนหยาบคายแบบนี้อยู่แล้ว หรือแกล้งทำเฉพาะเวลาอยู่กับฉัน”
“ทำไมผมต้องแกล้งทำแบบนั้นด้วย” เขาถามเสียงเรียบท่าทีจริงจังขึ้นมาทันที
“คุณก็คงรังเกียจ คิดว่าฉันเป็นผู้หญิงหิวเงินก็เลยไม่อยากทำดีด้วย”
“แล้วคุณหญิงเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่าล่ะ” เขาย้อนถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ฟ้าพราวยอมรับด้วยความขมขื่น ภาพที่ท่านพ่อของเธอใช้ปืนจ่อขมับตัวเอง หวังจะปลิดชีพหนีหนี้สินและความอับอายยังติดตาอยู่จนถึงทุกวันนี้ และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้เธอยอมแต่งงานกับภูริดลเพื่อเงินโดยไม่มีข้อแม้
สำหรับหม่อมเจ้าดนัยเทพ เกียรติยศของวงศ์ตระกูลอยู่เหนือทุกสิ่ง ท่านยอมเสียชีพ แต่ไม่ยอมถูกหยามเกียรติ แต่สำหรับหม่อมราชวงศ์ฟ้าพราว เกียรติยศเป็นเพียงหัวโขน ถ้าแบกไว้แล้วหนัก เธอก็พร้อมจะโยนมันทิ้ง
“ถ้าไม่ใช่ผม แต่เป็นผู้ชายคนอื่น คุณหญิงก็จะยอมแต่งงานด้วยเหรอ”
“ใครก็ได้ที่มีเงินมาให้ท่านพ่อของฉันใช้หนี้ ฉันยอมแต่งงานด้วยทั้งนั้น” หญิงสาวตอบชัดถ้อยชัดคำ ทว่าในใจกลับปวดร้าวจนน้ำตาแทบไหล
“ถ้าเป็นตาแก่รุ่นพ่อ หัวล้าน พุงย้อย คุณหญิงก็จะแต่งเหรอ”
“แต่ง” ฟ้าพราวตอบหนักแน่นจากใจจริง “ไม่ว่าเขาจะอัปลักษณ์มากขนาดไหน แต่ถ้ามีเงิน ฉันก็ยอมแต่งด้วย”
ภูริดลกำพวงมาลัยรถแน่น กรามแกร่งบดเข้าหากัน คำตอบของหม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวยิ่งตอกย้ำความคิดของเขาที่ว่า ผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นราชนิกุลผู้สูงศักดิ์หรือคนเดินถนนทั่วไปก็เห็นแก่เงินเหมือนกันหมด
‘ก้อยจะทิ้งผมไปแต่งงานกับตาแก่นั่นจริงๆ เหรอ’
‘ตาแก่ที่คุณกำลังพูดถึงเขาเป็นถึงหม่อมเจ้า มีเงิน มีเกียรติ ฉันไม่ยอมจมปลักอยู่กับชาวไร่กระจอกๆ แบบคุณหรอก ฉันเกลียดไร่ ฉันทนอยู่ที่ไร่บนดอยกับคุณไม่ได้ แล้วไม่ใช่แค่ฉันนะที่ทนไม่ได้ ผู้หญิงคนไหนก็ทนไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าคุณอยากมีเมีย ก็คงต้องเป็นพวกคนงานในไร่นั่นแหละถึงจะทนอยู่กับคุณได้’
“ผู้หญิงแม่งก็เห็นแก่เงินเหมือนกันหมดทุกคน!” ภูริดลสบถด้วยเสียงแข็งกร้าวแล้วเหยียบคันเร่งเกือบมิด
หม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวทิ้งหลังพิงพนักเบาะอย่างอ่อนแรง แล้วปิดเปลือกตาลงเพื่อซ่อนรอยน้ำตาที่รื้นขึ้นมาคลอหน่วย เธอรับเอาคำด่านั้นไว้จนหนักอึ้งไปทั้งกายและใจ
ความคิดเห็น |
---|