3

บทที่ 3

บทที่ 3

 

ภูริดลตื่นตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนทุกวันด้วยความเคยชินทั้งที่เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสามเข้าไปแล้ว ทว่าเช้านี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป เขาไม่ได้นอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่นี้เพียงลำพังเหมือนทุกวัน ทว่ามีหญิงสาวอีกคนที่ถูกยัดเยียดให้มาเป็น ‘เมีย’ ของเขานอนอยู่ด้วย

                ฟ้าพราวนอนชิดขอบเตียงอีกด้าน ตะแคงข้างหันหลังให้เขา ซึ่งเป็นท่าที่เธอนอนเมื่อคืนนี้ ตอนที่เขาออกมาจากห้องน้ำ เธอไม่มองหน้าเขาเลย เขาเองก็หงุดหงิดเพราะอารมณ์ค้างจนไม่อยากสนใจเธอเหมือนกัน จึงต่างคนต่างนอนแล้วหลับไปเงียบๆ ทั้งคู่

                หนุ่มชาวไร่เห็นไหล่เนียนที่โผล่พ้นผ้าห่มแล้วอดจินตนาการถึงร่างกายเปลือยเปล่าเต็มตึงที่บิดเร่าอยู่ใต้ร่างเขาเมื่อคืนนี้ไม่ได้ แค่คิด บางสิ่งที่หลับใหลก็เริ่มเหยียดขยาย

            เขาขยับตัวเข้าไปแนบเธอจากทางด้านหลังภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน วางมือลงบนเนินสะโพกกลมกลึงแล้วลูบไล้แผ่วเบา ก่อนจะเลื่อนไปวางบนหน้าท้องแบนราบ ออกแรงรั้งเบาๆ ให้ร่างบางเข้ามาแนบชิดกันมากขึ้นแล้วบดเบียดความเป็นชายที่เริ่มเหยียดขยายเข้ากับบั้นท้ายนุ่ม

ชายหนุ่มเลื่อนมือขึ้นมาเคล้นคลึงทรวงอกอวบ ในขณะเดียวกันริมฝีปากร้อนจัดก็ระบายจูบไปทั่วลาดไหล่เล็กและซอกคอ ทิ้งรอยคิสมาร์กประกาศความเป็นเจ้าของเรือนร่างหอมหวานนี้ไว้หลายรอย

                “อื้อ” ฟ้าพราวครางเสียงแผ่วหวิวทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ในความรู้สึกที่เลือนรางกึ่งฝันกึ่งตื่น เธอเพลิดเพลินกับสัมผัสอบอุ่นที่นัวเนียอยู่บนเรือนกาย แต่ก็ยังอยากนอนต่อ 

“ที่รัก หญิงขอนอนต่ออีกนิดนะ อื้อ...อย่ากวนหญิงสิที่รัก” หญิงสาวบอกเสียงงึมงำพลางเอียงคอหนีหนวดเคราที่คลอเคลียอยู่บนผิวเนื้อเปลือยเปล่าซึ่งก่อให้เกิดความวาบหวาม

                คำว่า ‘ที่รัก’ ที่หลุดออกจากปากหญิงสาวที่ยังหลับตาพริ้มทำให้ภูริดลชะงักกึก กรามแกร่งบดเข้าหากันจนเป็นสันนูน 

เธอเป็นเมียเขา นอนอยู่บนเตียงของเขา แต่กลับละเมอถึงผู้ชายคนอื่น! 

เขาเกลียดที่สุดคือการคบชู้ การนอกใจ การไม่ซื่อสัตย์ ทำไมผู้หญิงทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขาต้องเป็นแบบนี้ รวมถึงแม่ที่แท้จริงที่ทิ้งรอยแผลลึกไว้ในใจของเขาด้วย

            โลกเฮงซวย ทำไมไม่ให้เขาเจอผู้หญิงดีๆ บ้าง!

 

ฟ้าพราวตื่นขึ้นมาตอนสายมากแล้ว สิ่งแรกที่เธอมองหาคือ ‘สามีจอมเถื่อน’ เมื่อไม่เห็นเขาอยู่ในห้องก็โล่งอก ขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแล้วหลับตาโคลงศีรษะไปมาเพราะรู้สึกปวดหัวตุบๆ น่าจะเป็นผลมาจากกอญักที่ถูกกรอกปากเมื่อคืนนี้

                “ตื่นได้สักทีนะคุณหญิง” 

หญิงสาวลืมตาเมื่อเสียงห้าวดังขึ้นที่ข้างเตียง เธอเงยหน้ามองหน้าเขา เห็นว่าเขาจ้องมองมาที่บริเวณทรวงอกของเธอตาไม่กะพริบ จึงก้มมองตัวเองแล้วกรีดร้องเสียงดังสนั่นพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาพันร่างกายเปลือยเปล่าเอาไว้จนมิดถึงคอ

                “กรี๊ด!!!”

                “จะกรี๊ดทำไม เมื่อคืนนี้ผมเห็นหมดแล้ว จับ จูบ ลูบ คลำมาหมดแล้วด้วย” เขานั่งลงที่ขอบเตียง กระชากผ้าห่มออกจากร่างบางแล้วก้มหน้าลงดูดกลืนทรวงอกข้างหนึ่งของเธออย่างหยาบคาย 

“อืม...นมค้างคืนก็ยังไม่บูดเนอะ ยังหวานอยู่เลย”

                “ป่าเถื่อน! หยาบคาย!” ฟ้าพราวตวาดเสียงแหลมพร้อมกับตบหน้าเขาไปอย่างแรงสามครั้งติดอย่างเหลืออด 

เขาหยาบคาย และดูถูกเหยียดหยามเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมหยุด

“ทำไมต้องทำกับฉันแบบนี้ด้วย ถ้าเกลียดกันมากนักก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉันสิ ไม่ต้องมาแตะต้องตัวฉัน ต่างคนต่างอยู่” ว่าแล้วน้ำตาก็ร่วงพรูด้วยความอัดอั้น

                “ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้เสียเงินสิบล้านเพื่อซื้อตัวคุณหญิงมาไว้ดูเล่น” หนุ่มชาวไร่ฟันกรอด ไม่คิดว่ามือเล็กๆ นุ่มๆ จะตบได้เจ็บขนาดนี้

                “ตอนแรกฉันก็เตรียมใจมาแล้วว่าจะยอมเป็นของคุณให้คุ้มกับเงินที่คุณเสียให้ท่านพ่อ แต่ตอนนี้อย่าหวังเลยว่าจะได้แตะต้องตัวฉันอีก” เธอพูดแล้วก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากสองแก้มอย่างลวกๆ พยายามทำตัวให้เข้มแข็ง 

ถ้าจะต้องอยู่กับคนป่าเถื่อน เธอก็ต้องร้ายให้ได้มากกว่าเขา และที่สำคัญ เธอจะต้องไม่เสียน้ำตาเพราะเขาอีก

                “เหอะ! ผู้หญิงที่ผ่านผู้ชายมาไม่รู้กี่คนต่อกี่คนอย่างคุณหญิง คิดว่าผมอยากแตะต้องนักหรือไง ผมก็แค่ไม่อยากขาดทุน”

                ฟ้าพราวชะงักไปนิดหนึ่ง อะไรที่ทำให้เขาคิดว่าเธอเคยผ่านผู้ชายมาแล้ว 

“งั้นฉันก็จะทำงานใช้แรงงานให้คุ้มกับเงินของคุณ ฉันจะยอมทำทุกอย่างตามคำสั่งคุณ ยกเว้นเรื่องเดียวคือ ฉันจะไม่นอนกับคุณเด็ดขาด”

                “แค่ผมกระดิกนิ้ว ก็มีผู้หญิงพร้อมจะกระโดดขึ้นเตียงกับผมนับไม่ถ้วน ผมไม่จำเป็นต้องนอนกับผู้หญิงอย่างคุณหญิงหรอก”

                “ผู้หญิงอย่างฉันมันเป็นยังไงไม่ทราบ” หญิงสาวปรี๊ดแตก รู้สึกเหมือนโดนสบประมาทอย่างรุนแรง

                “ก็เป็นผู้หญิงที่นอนอยู่กับผัว แต่ละเมอหาผู้ชายคนอื่นไง”

                “ฉันเนี่ยนะ ละเมอหาผู้ชาย?”

                ภูริดลแค่นยิ้มแล้วทำเสียงเล็กเสียงน้อยน่าหมั่นไส้ 

“ที่รักคะ อย่ากวนหญิงสิ หญิงจะนอน ที่รักคะ ที่รักขา”

                “ที่รักเหรอ” 

                “มีหลายคนจนจำไม่ได้สินะ ว่าเรียกใครว่าที่รักบ้าง”

                ฟ้าพราวกระตุกยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่งเมื่อนึกได้ว่า ‘ที่รัก’ ที่เธอเรียกหาก็คือ แมวพันธุ์สกอตติช โฟลด์ที่เธอเลี้ยงไว้ ซึ่งเป็นแมวตัวโปรดที่จะต้องนอนด้วยกันบนเตียงทุกคืน และทุกเช้าเจ้าแมวอ้วนก็ชอบมาเลียหน้ารบกวนการนอนของเธออยู่เสมอ แต่เธอจะไม่แก้ไขความเข้าใจผิดของเขา ปล่อยให้เขาคิดว่าเธอมีคนอื่นก็ดีแล้ว เขาจะได้ไม่อยากแตะต้องตัวเธอ 

“คุณพูดเองนะว่าจะไม่นอนกับฉัน อย่ากลืนน้ำลายตัวเองก็แล้วกัน”

                “ไม่มีทาง!” เขาแค่นเสียงในลำคออย่างมั่นใจในตัวเองขั้นสุด “ลุกขึ้นไปอาบน้ำได้แล้ว เสร็จแล้วผมจะบอกว่าอยู่ที่นี่คุณหญิงต้องทำอะไรบ้าง”

                ฟ้าพราวยิ้มร้ายที่มุมปากแล้วลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเขาทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า เมื่อคืนเขาเห็นหมดทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอแล้ว ไม่มีอะไรต้องอายอีก และจากเหตุการณ์เมื่อคืนประกอบกับสายตาเร่าร้อนที่เขาจ้องมองเธออยู่ตอนนี้ก็ทำให้เธอแน่ใจว่าเขากระสันใคร่อยากในตัวเธอมาก 

ถ้าอยากมากนักก็จะแกล้งให้กระอักเลือดตายไปเลย

                “ฉันหวังว่าคนเถื่อนอย่างคุณจะรักษาคำพูดนะ” หญิงสาวยิ้มหวานใส่นัยน์ตาเขาแล้วหมุนตัวเดินทิ้งสะโพกเข้าไปในห้องน้ำด้วยลีลายั่วยวนสุดฤทธิ์

                ภูริดลร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ไม่อาจละสายตาไปจากเรือนร่างขาวอมชมพูได้เลย ผู้หญิงคนนี้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขามาก แค่อยู่ใกล้ก็อยากกลืนกินเข้าไปทั้งตัว ยิ่งเห็นเธออยู่ในสภาพเปลือยเปล่าแบบนี้ ก็ยิ่งอยากฝังกายแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสียให้ได้

ฉับพลัน ชายหนุ่มก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาบอกว่าจะไม่ ‘นอน’ กับเธอ แต่ถ้า ‘ยืน’ ก็ไม่ได้ผิดคำพูดนี่

 

คนที่ทำเป็นใจกล้าเดินแก้ผ้ายั่วสามีพอเข้ามาถึงในห้องน้ำก็เข่าแทบทรุด ต้องเกาะขอบเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าเอาไว้เป็นหลักยึด ราชนิกุลสาวผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับการอบรมเรื่องกิริยามารยาทในวังมาตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยทำตัวว้าวซ่าขนาดนี้มาก่อนเลย 

ถ้าหม่อมแม่ยังมีชีวิตอยู่ เธอต้องโดนก้านมะยมตีจนน่องลายแน่นอน

                ฟ้าพราวทิ้งเวลาครู่หนึ่งให้ขาหายสั่นแล้วเงยหน้าขึ้นมองสภาพตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ เธอเห็นรอยแดงระเรื่อเป็นจ้ำกระจายอยู่ตามเนินอกและซอกคอหลายรอย พลันนั้นใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

                ‘คนหื่น!’

            คิดแล้วก็เริ่มกังวล ภูริดลหื่นมากขนาดนี้ การใช้แผนยั่วให้อยากแล้วปล่อยให้ค้างไม่น่าจะเป็นผลดีกับตัวเธอสักเท่าไร 

ยังไม่ทันไร ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดเข้ามา

                “คุณ! เข้ามาทำไม” หญิงสาวถอยกรูดไปชิดผนังห้องน้ำ กวาดตามองหาผ้าขนหนูเพื่อจะมาปกปิดร่างกาย ทว่าไม่มีสักผืน จึงรีบหันหลังให้เขา

                “เมื่อกี้ยัง ‘หน้าด้าน’ เดินแก้ผ้ายั่วผัวอยู่เลย แล้วตอนนี้จะมาอายอะไร” ภูริดลพูดพลางเดินเข้ามาลูบไล้บั้นท้ายเปลือยเปล่าเนียนนุ่มก่อนจะขยำเข้าเต็มมือ

                “หยุดหื่นกับฉันสักทีได้มั้ย ฮือ...” 

                “คุณหญิงอยากยั่วผมเอง แล้วคนเถื่อนอย่างผมมันก็ยั่วขึ้นซะด้วย” เขาโน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูพลางจับมือเล็กข้างหนึ่งมาลูบที่กึ่งกลางกายที่เริ่มเหยียดขยายผ่านผ้าเนื้อหนาของกางเกงยีนขึ้นมาจนเป็นเนินนูนเป่ง 

“นี่ไงผลงานของคุณหญิง”

                ฟ้าพราวแทบอยากจะร้องไห้ ความร้อนวาบทะลุผ่านเนื้อผ้ามาถึงมือเธอและลามไปทั่วทั้งร่าง แต่ในเมื่อบอกแล้วว่าเธอจะไม่ร้องไห้เพราะเขาอีกแล้ว หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วออกแรงบีบสิ่งที่ใหญ่จนล้นมืออย่างแรง

                “อู้ย!” ภูริดลส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บ สองมือกุมเป้าแล้วทรุดตัวลงนั่งหน้าเขียวตัวงออยู่กับพื้น “คิดจะฆ่าผัวเหรอ”

                “ตายไปซะได้ก็ดี”

                “ถ้าผมตายคุณหญิงก็เป็นม่ายนะ” เขาสวนกลับเสียงอ่อย ความเจ็บหน่วงยังไม่คลายลงเลยแม้แต่น้อย

                “เป็นม่ายก็ดีกว่ามีสามีจอมเถื่อนอย่างคุณ”

                “อยากให้ผมตายจะได้ไปหาไอ้ ‘ที่รัก’ ของคุณหญิงใช่มั้ย!” คนเจ็บถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำด้วยความไม่พอใจ

                “หึงเหรอ” ฟ้าพราวแกล้งถามเพื่อยั่วโมโห

                “ผมไม่ได้รักคุณหญิง จะมาใช้คำว่าหึงกับผมไม่ได้” ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นยืนได้ในที่สุดแล้วเน้นย้ำ “จำไว้ว่าไม่ได้รัก และจะไม่มีวันรัก”

                “ฉันก็ไม่ได้อยากให้คุณรัก” เธอสวนกลับอย่างไม่ยอมเหมือนกัน “ออกไปได้แล้ว ฉันจะอาบน้ำ”

                “ก็อาบไปสิ ผมจะยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้” คนที่ยังหน้าเขียวอยู่ขยับตัวไปยืนพิงขอบเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าแล้วยกมือขึ้นกอดอก สายตาจับจ้องอยู่ที่เรือนร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า

                “จะเล่นสงครามประสาทกับฉันใช่มั้ย”

                “เปล่าเลย แค่อยากดูเมียแก้ผ้าอาบน้ำ”

                “โรคจิต!”

                “ผมไม่มีอะไรดีในสายตาคุณหญิงเลยใช่มั้ย คำก็เถื่อน สองคำก็หยาบคาย หื่นบ้างละ แล้วนี่ก็หาว่าโรคจิตอีก”

                “ก็คุณมันไม่มีดีเลยจริงๆ นี่นา”

                “เอวผมดีนะ ลองมั้ย” ภูริดลถามพลางควงเอวให้ดูอย่างพลิ้ว

                “ลามก” ฟ้าพราวค้อนขวับแล้วหันไปจับผมที่ยาวถึงกลางหลังรวบขึ้นเกล้าเป็นมวยแบบลวกๆ ไว้ที่กลางศีรษะ ตอนนี้เธอไม่สนใจแล้วว่าจะแก้ผ้าต่อหน้าเขา เต็มที่เขาก็ได้แค่มอง แต่ทำอะไรไม่ได้ ก็เหมือนหมามองเครื่องบินนั่นแหละ

“คุณมีแปรงสีฟันที่ยังไม่ได้ใช้มั้ย”

                “ไม่มี”

                “ไปซื้อให้หน่อยสิ”

                “จะซื้อของต้องเข้าเมือง ขับรถเป็นชั่วโมง ใช้ของผมไปก่อนก็แล้วกัน” 

                “จะให้ใช้แปรงสีฟันอันเดียวกับคุณเนี่ยนะ แหวะ ไม่เอาหรอก แค่คิดก็คลื่นไส้แล้ว” 

                “แค่ใช้แปรงสีฟันอันเดียวกันไม่ต้องมาทำเป็นรังเกียจผัว เมื่อคืนนี้จูบกันจนลิ้นพันเป็นเกลียวสิบแปดตลบคุณหญิงไม่เห็นรังเกียจ ยังร้องครางอื้ออ้าๆ ถูกอกถูกใจอยู่เลย”

                “นี่คุณ!” ฟ้าพราวหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อคืนนี้เธอเผลอเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบของเขาจริงๆ แต่ก็เป็นเพียงสัญชาตญาณความใคร่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อถูกเล้าโลมเท่านั้นแหละ เธอไม่ได้รู้สึกดีกับตัวเขาเลยสักนิด

                “ใช้อันนี้ไปก่อน เข้าเมืองแล้วจะซื้อมาให้ใหม่” ชายหนุ่มพูดพลางบีบยาสีฟันใส่แปรงแล้วยัดใส่ปากภรรยาหน้าตาเฉย เธอถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจแล้วดึงแปรงสีฟันจากมือเขาไปแปรงเอง

ระหว่างที่ฟ้าพราวแปรงฟันอยู่โดยมีสายตาของสามีจอมหื่นจ้องมองไม่วางตาจนน่ากลัวว่าเขาจะอดใจไม่ไหวแล้วจับเธอกดในห้องน้ำ เสียงของน้ำมณีก็ดังแว่วเข้ามาพร้อมกับเสียงเคาะประตูห้องนอน

                “ดิน คุณหญิงฟ้าตื่นกันแล้วใช่มั้ยลูก” น้ำมณีเห็นประตูใหญ่หน้าบ้านเปิดอยู่จึงคิดว่าเจ้าของบ้านน่าจะตื่นกันแล้วจึงกล้ามาเคาะประตูห้องนอน

                “เสียงคุณแม่คุณนี่ ออกไปหาท่านสิ” หญิงสาวบ้วนปากเสร็จก็หันมาไล่

                “มาทำไมตอนนี้” ภูริดลบ่นอุบอิบแล้วบีบก้นนุ่มเด้งของภรรยาอย่างมันเขี้ยวก่อนเดินออกไปรับหน้าน้ำมณี

                “อร๊าย! คนบ้า!” หญิงสาวทำท่าฮึดฮัด อยากกรีดร้องแต่ก็เกรงใจแม่สามีที่อยู่ข้างนอก ไม่อยากให้ผู้ใหญ่ไม่สบายใจว่าแต่งงานกันได้แค่วันเดียวก็ตีกันเกือบตาย

 

ภูริดลพาน้ำมณีออกไปนั่งคุยกันที่ห้องรับแขกซึ่งนทีนั่งรออยู่ บนพื้นข้างโซฟามีกระเป๋าเดินทางหลายใบวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ

                “ขนอะไรมาเยอะแยะครับ แล้วนั่น...” เขามองไปที่ตะกร้าใส่แมว ซึ่งมีเจ้าแมวอ้วนส่งเสียงร้องเมี้ยวๆ อยู่ในนั้น

                “ของคุณหญิงฟ้าทั้งนั้นแหละ เมื่อวานดินปุบปับพาคุณหญิงมา ของใช้อะไรก็ไม่ได้เอาติดตัวมาสักอย่าง” น้ำมณีเป็นคนตอบ ส่วนนทีที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้างกันทำท่าเหมือนไม่อยากมองหน้าภูริดล เพราะยังโกรธอยู่ที่เมื่อวานนี้เจ้าลูกชายตัวดีฉีกหน้าเขายับเยินที่วังดุษฎีรังสรรค์

                “แมวนั่นด้วยเหรอครับ”

                “ใช่จ้ะ แมวตัวโปรดของคุณหญิงฟ้า ท่านชายดนัยกลัวคุณหญิงฟ้าจะเหงา เลยให้แม่เอาแมวมาให้ด้วย”

                ชายหนุ่มมองหน้าเจ้าแมวอ้วนแล้วรู้สึกไม่ถูกชะตาอย่างแรง แต่ครั้นจะให้น้ำมณีเอามันกลับไป ก็เกรงจะถูกแม่บ่นหูชา เลยต้องปล่อยเลยตามเลย

                “แล้วนี่คุณหญิงฟ้าอยู่ไหน”

                “อาบน้ำอยู่ครับ ทำอะไรชักช้า อ้อยอิ่ง น่ารำคาญ”

                “ดิน!” นทีปรามเสียงเข้ม “ให้เกียรติคุณหญิงบ้าง”

                น้ำมณีแตะหลังมือของสามีเบาๆ เป็นการเตือนให้ใจเย็น แล้วเป็นฝ่ายคุยกับลูกชายเอง 

“แม่รู้ว่าดินยังไม่หายโกรธที่พ่อกับแม่บังคับให้ดินแต่งงานกับคุณหญิงฟ้า แต่พ่อกับแม่ทำไปเพราะหวังดีกับดินนะ ที่ผ่านมาดินเจอแต่ผู้หญิงที่ไม่ดี พ่อกับแม่ไม่อยากเห็นดินเจ็บแบบเดิมซ้ำๆ อีก ถึงได้เลือกคุณหญิงฟ้าให้มาเป็นภรรยาของดินไงจ๊ะ”

                “คุณแม่แน่ใจเหรอครับว่าคุณหญิงฟ้าเป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ”

                “แม่ให้คนสืบประวัติของคุณหญิงแล้ว สะอาดหมดจด ไม่มีประวัติด่างพร้อย การศึกษาดี ชาติตระกูลดี เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะมาเป็นเมียและแม่ของลูกของดิน”

                “ใครบอกว่าผมอยากมีลูก” ภูริดลทำหน้าเซ็ง “ความจริงผมไม่อยากมีทั้งเมีย ทั้งลูกนั่นแหละ”

                “เอาเถอะ ไหนๆ ก็มีเมียแล้ว ก็มีลูกอีกสักคนสองก็แล้วกัน หรือสามคน สี่คนเลยก็ได้ แม่ช่วยเลี้ยงเอง” น้ำมณีหวังอยู่ในใจว่าการมีครอบครัวที่สมบูรณ์จะเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของลูกชายได้ ถึงแม้ภูริดลจะทำตัวแข็งกร้าวมากแค่ไหนก็ตาม แต่ในฐานะที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก น้ำมณีรู้ดีว่าภายในใจของเขาโดดเดี่ยวและเปราะบางมาก

                “แกจะให้คุณหญิงฟ้าอยู่บ้านไร่นี่จริงเหรอเจ้าดิน” นทีถามด้วยเสียงราบเรียบ พยายามใจเย็นกับลูกชายหัวดื้อให้มากที่สุด

                “คิดจะเป็นเมียผมก็ต้องอยู่ให้ได้ ถ้าอยู่ไม่ได้ก็กลับวังไปเลย กลับไปหาผัวที่เป็นผู้ดีตีนแดงเหมือนกันโน่นเลย”

                “แม่ว่าพาคุณหญิงฟ้าไปอยู่ที่บ้านในเมืองของเราดีกว่านะดิน สะดวกสบายกว่าที่นี่เยอะ”

                “ฟ้าอยู่ที่นี่ได้ค่ะ” ฟ้าพราวเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขายาวผ้าฝ้ายของภูริดล เธอยกมือไหว้พ่อและแม่ของภูริดลอย่างอ่อนช้อยแล้วนั่งลงที่โซฟาตัวเดียวกับสามี แต่ก็เว้นระยะห่างไว้พอสมควรเพราะไม่อยากอยู่ใกล้คนป่าเถื่อนมากเกินไป 

“คุณดินอยู่ที่ไหน ฟ้าก็จะอยู่ที่นั่นค่ะ”

                “น่ารักจริงๆ เลยคุณหญิงฟ้า”

                “เรียกว่าฟ้าเฉยๆ ดีกว่าค่ะคุณแม่ ฟ้าอยากทำตัวธรรมดาให้กลมกลืนกับคนที่นี่”

                “คุณแม่เหรอ” น้ำมณีทำตัวไม่ถูกที่ราชนิกุลสาวผู้สูงศักดิ์เรียกว่าแม่

                ฟ้าพราวยิ้มอ่อนหวานแล้วอธิบาย “คุณแม่เป็นแม่ของคุณดิน สามีของฟ้า ก็เหมือนเป็นคุณแม่ของฟ้าด้วย คุณแม่ของฟ้าเสียตั้งแต่ฟ้ายังเด็ก ฟ้าขอเป็นลูกสาวคุณแม่นะคะ”

                “ได้จ้ะ จะเป็นลูกสาวหรือลูกสะใภ้ก็ได้หมดจ้ะ” 

น้ำมณียิ้มทำท่าปลื้มปริ่ม ในขณะที่ภูริดลเอียงหน้ามองภรรยาตัวเองแบบงงๆ ที่เธอพูดกับแม่ของเขาอย่างอ่อนหวานน่ารัก ต่างจากเวลาที่พูดกับเขาลิบลับ

“เมี้ยว...”

ฟ้าพราวหันขวับไปตามเสียงที่ร้องเรียกแล้วยิ้มกว้างเมื่อเห็นแมวตัวโปรดยื่นหน้าออกมาจากตะกร้า เธอรีบเข้าไปอุ้มมันออกมาแล้วทั้งกอดและหอมด้วยความดีใจ 

“ที่รัก หญิงคิดถึงที่รักที่สุดเลย ที่รักจะมาอยู่กับหญิงที่นี่ใช่มั้ย”

“ที่รักเหรอ” ภูริดลมองฟ้าพราวที่กำลังซุกไซ้ใบหน้าเข้ากับหน้ากลมๆ ของเจ้าแมวอ้วนแล้วพึมพำกับตัวเอง 

ที่เขาหัวเสียตั้งแต่ตื่นนอนก็เพราะเจ้าแมวอ้วนตัวนี้เนี่ยนะ คิดแล้วก็โมโหที่เธอจงใจปั่นหัวเขา ทั้งที่รู้ว่าเขาเข้าใจผิด ยิ่งเห็นแววตาขำๆ ที่เธอมองมาเป็นเชิงเยาะเย้ย ก็ยิ่งอยากกระโดดเข้าไปขย้ำให้หายแค้น

 

จากหน้าต่างห้องครัวที่ฟ้าพราวกับน้ำมณีช่วยกันทำอาหารเช้าควบกลางวัน หญิงสาวมองออกไปเห็นภูริดลกำลังเดินคุยกับนทีอยู่ในสวน สีหน้าของเขาเคร่งเครียด และจากภาษากายที่สามีของเธอแสดงออกต่อผู้เป็นพ่อ เธอแน่ใจว่าทั้งคู่ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร

                “คุณดินดูไม่ค่อยสนิทกับคุณพ่อเลยนะคะ ท่าทางเขาสนิทกับคุณแม่มากกว่า” ลูกสะใภ้เลียบๆ เคียงๆ ถามแม่สามี

                “พ่อลูกคู่นี้ก็เป็นแบบนี้แหละ พูดดีกันได้ไม่เกินสามคำ พ่อชอบออกคำสั่ง ส่วนลูกชายก็ดื้อมาก ยิ่งช่วงก่อนที่แม่จะแต่งงานกับคุณนที พี่เลี้ยงของดินเล่าว่าสองพ่อลูกทะเลาะกันทุกวัน พอมีแม่เข้ามาช่วยเป็นตัวกลางถึงได้เบาลง”

                “คุณแม่ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของคุณดินเหรอคะ” ฟ้าพราวถามด้วยความเกรงใจ

                “แม่เป็นแม่เลี้ยงจ้ะ”

                “คุณแม่คุณดินเสียแล้วเหรอคะ”

                “ยังจ้ะ ตอนนี้อยู่ต่างประเทศกับสามีใหม่ แม่ของดินเลิกกับคุณนทีตอนที่ดินอายุหกขวบ เลิกกันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วเรื่องนี้ก็เป็นแผลในใจดินมาจนทุกวันนี้” 

                “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”

น้ำมณีหยุดคิดนิดหนึ่งว่าจะเล่าต่อดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเล่า เพื่อที่ฟ้าพราวจะได้เข้าใจภูริดลมากยิ่งขึ้น

                “เรื่องเงินๆ ทองๆ นั่นแหละ แบ่งสินสมรสกันไม่ลงตัว แม่ของดินเรียกร้องมากเกินไป คุณนทีไม่ยอม แม่ของดินก็เลยวางแผนกับสามีใหม่จับดินไปเรียกค่าไถ่ ดินถูกจับขังไว้ในตึกแถวร้างคนเดียวตั้งหลายวัน แถมโดนสามีใหม่ของแม่ทำร้ายโดยที่แม่แท้ๆ ก็ไม่ช่วย” เล่าไปก็ร้องไห้ไปจนต้องหยุดซับน้ำตาเป็นระยะ 

“การที่แม่แท้ๆ เห็นเงินสำคัญกว่าลูกในไส้ของตัวเอง มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากนะ”

                ฟ้าพราวน้ำตาซึมด้วยความสงสารสามี มันเป็นเรื่องที่โหดร้ายมากสำหรับเด็กอายุแค่หกขวบ คงไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้ลืมเรื่องเลวร้ายในอดีตได้

                “ชีวิตดินน่าสงสาร มีแฟนกี่คนก็เจอแต่ผู้หญิงหิวเงินเหมือนแม่แท้ๆ ของเขานั่นแหละ รายล่าสุดชื่อก้อย กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่ก็ทิ้งดินไปแต่งงานกับหม่อมเจ้าภาณุเดชหน้าตาเฉย”

                “ท่านลุงภาณุกับหม่อมก้อยเหรอคะ” ฟ้าพราวรู้จักทั้งสองคนดี เพราะหม่อมเจ้าภาณุเดชเป็นพี่ชายแท้ๆ ของหม่อมเจ้าดนัยเทพ

                “ใช่จ้ะ ท่านลุงภาณุของหนูฟ้านั่นแหละ” 

                ฟ้าพราวพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมภูริดลถึงได้ตั้งแง่รังเกียจผู้หญิงที่ยอมแต่งงานเพื่อเงินอย่างเธอมากขนาดนี้

 

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ฟ้าพราวกับภูริดลก็เดินไปส่งน้ำมณีกับนทีที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน

                “หนูฟ้าแน่ใจนะว่าจะอยู่ที่ไร่ได้” แม่สามีถามด้วยความเป็นห่วงและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ที่เห็นลูกสะใภ้ที่เคยอยู่ในวังใหญ่โตต้องมาอยู่บ้านไร่หลังเล็กๆ แบบนี้

                “ฟ้าอยู่ได้ค่ะ”

                “พ่อจะส่งแม่บ้านมาช่วยทำงานบ้าน คุณหญิงจะได้ไม่ลำบาก พ่อรับปากกับท่านชายดนัยไว้แล้วว่าจะช่วยดูแลคุณหญิงเป็นอย่างดี พ่อก็ต้องทำตามที่รับปากกับท่านให้ได้” นทีบอก

                “ไม่ต้องหรอกครับพ่อ” ภูริดลปฏิเสธทันที “งานบ้านไม่มีอะไรมาก แค่ถูบ้าน ล้างจาน ซักผ้า ทำกับข้าว ไม่มีอะไรยาก คุณหญิงทำเองได้”

                “พ่อขอคุณหญิงให้มาเป็นเมียแก ไม่ได้ขอให้มาเป็นคนทำงานบ้านให้แก” นทีต่อว่าลูกชายเสียงแข็ง

                “คิดจะเป็นเมียชาวไร่ก็ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่อยากทำก็ไปหาผัวใหม่เป็นพวกผู้ดีเหมือนกันโน่น จะได้มีคนรับใช้ไว้รองมือรองเท้า”

                “ไอ้ดิน! ปากแกนี่ให้มันน้อยๆ หน่อย แล้วก็รู้จักให้เกียรติคุณหญิงบ้าง” 

นทีชักจะเหลืออดกับความหัวดื้อของลูกชาย ก่อนกินข้าวกลางวันก็เกือบทะเลาะกันมาแล้วครั้งหนึ่ง เรื่องที่เขาขอให้ภูริดลกลับไปช่วยบริหารงานโรงแรมของครอบครัว ซึ่งเป็นโรงแรมระดับหกดาว สไตล์ล้านนาที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในประเทศไทย แต่ภูริดลก็ไม่ยอม

                “ฟ้าทำได้ค่ะคุณพ่อ ถ้าไม่ไหว ฟ้าจะบอกนะคะ” ฟ้าพราวหาทางประนีประนอมให้ทั้งสองฝ่าย แล้วแอบส่งสายตาบอกน้ำมณีให้พานทีกลับ ก่อนสองพ่อลูกจะทะเลาะกันหนักกว่านี้

                “กลับกันเถอะคุณ วันหลังค่อยมาเยี่ยมลูกกันใหม่” น้ำมณีดึงแขนสามีไปขึ้นรถที่คนขับรถสตาร์ตรถรออยู่

                หลังจากรถของน้ำมณีกับนทีขับออกไปแล้ว ฟ้าพราวก็หันมาจ้องหน้าภูริดลอย่างเอาเรื่อง

                “คุณดิน”

                “อะไร” ชายหนุ่มขานรับเสียงห้วนโดยไม่มองหน้าภรรยาแล้วเดินนำเข้าบ้าน 

                ฟ้าพราวเดินตามไปติดๆ 

“เราต้องคุยกัน”

                “มีอะไรก็ว่ามา” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เดินข้ามตะกร้าแมวไปนั่งบนโซฟาแล้วหันมาแยกเขี้ยวใส่แมวอ้วนที่ร้อง ‘เมี้ยว’ ใส่ เหมือนจะต่อว่าที่เขาบังอาจเดินข้ามหัวมันไป

                “ฉันขอทำสัญญาสงบศึก”

                “ผมไปรบกับคุณหญิงตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาตอบหน้านิ่งแบบจงใจกวนประสาทแล้วดึงร่างเล็กมานั่งคร่อมตัก สองแขนโอบเอวเธอไว้ไม่ให้ลุกหนี

                “นี่คุณ! นั่งคุยกันดีๆ ไม่ได้หรือไง ทำไมต้องก่อกวน” 

ยิ่งดิ้น เขาก็ยิ่งกอดรัดเธอแน่นขึ้น มือหยาบกร้านข้างหนึ่งสอดเข้ามาลูบไล้แผ่นหลังเรียบเนียนซึ่งปราศจากเส้นสายของบราเซียร์ ส่งผลให้ร่างเล็กหยุดชะงัก นั่งตัวแข็งทื่อ หายใจไม่ทั่วท้อง

                “โนบราเหรอ” เขาเลิกคิ้วถาม แววตาเป็นประกายไม่น่าไว้วางใจ

                ฟ้าพราวกัดริมฝีปากล่างไว้เพื่อข่มความรู้สึกวาบหวามเมื่อคนถามเลื่อนฝ่ามือร้อนผ่าวมาด้านหน้า กอบกุมทรวงอกข้างหนึ่งผ่านบราเซียร์แบบปีกนกที่แปะอยู่ เขาบีบแล้วคลายสลับกับเคล้นคลึงอย่างนุ่มนวล

                “อ้อ...ใส่นี่ บราเดี๋ยวนี้มีแบบแปลกๆ เนอะ แต่ก็ถอดง่ายดี” ว่าแล้วก็ดึงบราเซียร์รูปทรงแปลกตาออกมาชูไว้ตรงหน้าระดับสายตาของหญิงสาว แล้วโยนมันทิ้งแบบกวนประสาทสุดๆ

                “ถ้าคุณยังไม่พร้อมคุย เอาไว้ค่อยคุยกันวันหลังก็ได้” ฟ้าพราวประคองสติแล้วจะดันตัวเองลุกขึ้นแต่ถูกเขาจับกดให้นอนหงายลงบนโซฟาตัวนุ่มแล้วพลิกตัวขึ้นคร่อม เขาจับรวบข้อมือทั้งสองข้างของเธอดันไว้เหนือศีรษะด้วยมือของเขาเพียงข้างเดียว แล้วใช้สะโพกกดท่อนล่างของเธอเอาไว้

                “จะพูดอะไรก็พูดมา ผมรอฟังอยู่” 

เสียงของเขานิ่งเรียบ ทว่าเซ็กซี่จนฟ้าพราวขนลุกชันไปทั้งตัว เธอพยายามบิดตัวหนีเมื่อเขาเลิกชายเสื้อยืดตัวโคร่งของเธอขึ้นอย่างเชื่องช้า จงใจกรีดปลายนิ้วขึ้นไปตามผิวเนื้ออ่อน ก่อให้เกิดความวาบหวามที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

เมื่อชายเสื้อถูกม้วนขึ้นไปไว้บนเนินอก ใบหน้าคมคล้ามที่เต็มไปด้วยหนวดเคราก็ก้มลงซุกไซ้ ดูดกลืนทรวงอกเต่งตึง

“อื้อ...คนบ้า หยุดหื่นกับฉันสักวินาทีไม่ได้หรือไง”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น