บทที่ 10

10

ข่าวลือ

“ดูแบบนี้แล้วไม่เหมือนพรินซ์เพิ่งหายป่วยเลยนะคะ” สริณยาชวนเจ้านายคุย ก่อนจะอุทานออกมาเมื่อแมวที่เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลเมื่อวานพุ่งเข้ามาหาไม้มีพู่ ความตกใจทำให้เธอกระตุกไม้ขึ้นโดยอัตโนมัติ และพอพู่สีสะบัดขึ้นไปบนฟ้า เจ้าแมวตุ๊ต๊ะก็โชว์ลีลาพลิ้วไหว กระโดดตัวปลิวขึ้นไปบนอากาศหมายจะตบพู่ทันที

แต่แน่นอน...พรินซ์พลาด ตบไม่โดนพู่ แถมยังตกพื้นดังตุ้บอีก

และแทนที่คนที่มองมันอยู่จะสงสาร ทั้งสองกลับหัวเราะงอหาย โดยเฉพาะจิณณวัตรซึ่งไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับพรินซ์ เห็นท่าหมูตกสวรรค์แบบนั้นแล้วก็ปล่อยฮาเสียลั่น

แมวซึ่งเป็นต้นเหตุให้คนฮากลิ้งยันตัวขึ้นมายืน มันมองเจ้านายซึ่งหัวเราะไปเอามือทุบโต๊ะไปก่อนหันมามองพี่เลี้ยงซึ่งนอนตัวงออยู่กับพื้น ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตามันมากที่สุดไม่ใช่คน แต่กลับเป็นพู่สีซึ่งตอนนี้ทิ้งตัวแนบอยู่กับพื้น

ความตื่นเต้นทำให้ก้นใหญ่ๆ ของพรินซ์ส่ายไปมา จากนั้นแมวอ้วนพลิ้วก็กระโจนใส่พู่ที่ไม่ดิ้นหนีมันอีกแล้ว 

อา...มันฟินมากเมื่อมันจับพู่ได้ พรินซ์กลิ้งตัวหนึ่งตลบ ขาหน้าจับพู่ไว้ พลิกตัวนอนหงายแล้วจึงใช้ขาหลังถีบพู่อย่างเมามัน

สริณยาปล่อยให้พรินซ์เล่นพู่อยู่พักหนึ่งก็กระตุกคืน ก่อนวาดไม้ไปรอบตัวเป็นวงกลมทำให้แมวอ้วนต้องวิ่งตาม ทว่าพรินซ์วิ่งวนอยู่สามรอบเท่านั้นมันก็หยุดแล้วมองหน้าพี่เลี้ยงก่อนร้องประท้วง ทำให้สริณยาหัวเราะขึ้นมาอีก

“อ้าว วิ่งต่อสิ จะเล่นก็ต้องจับให้ได้สิ”

เหมือนพรินซ์จะฟังภาษาคนออก พอบอกให้วิ่งมันเลยนั่งแล้วแหงนหน้าบ่นออกมาอีกสองสามคำ

สริณยาเห็นว่าแมวอ้วนเหนื่อยแล้ว เบื่อแล้วจึงนำไม้ไปเก็บในลิ้นชักเก็บของเล่นแมวแล้วเดินมาดูเจ้านายที่กินโจ๊กไปได้เพียงแค่ครึ่งชาม

“ไม่อร่อยเหรอคะ” เธอถามเนื่องจากโจ๊กดูไม่ค่อยพร่อง

“ถ้ากินมากไปจะปวดท้องอีก”

“อ้อ” เธอทำเสียงรับรู้ก่อนถาม “ถ้าอย่างนั้นนมอีกหน่อยไหมคะ แล้วค่อยนอนต่อ”

“ไม่ต้องแล้ว แค่นี้พอแล้ว ขอบใจที่อยู่เป็นเพื่อน”

“ไม่เป็นไรค่ะ” สริณยายิ้มจนตาหยี เป็นรอยยิ้มที่สดใส ไร้มลพิษ จนคนมองอดยิ้มนิดๆ ตามเธอไม่ได้

“แล้วนี่เธอได้นอนบ้างรึยัง” เมื่อเธออยู่ใกล้แค่นี้ จิณณวัตรจึงเห็นว่าดวงตาของสริณยาค่อนข้างแดง บ่งบอกถึงอาการอดนอนชัดเจน

“งีบไปหน่อยแล้วค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ สมัยทำหนังสือ ตอนปิดต้นฉบับต้องทำงานโต้รุ่งบ่อยๆ ชินแล้วค่ะ”

“เดี๋ยววันนี้ฉันให้เธอหยุดงานหนึ่งวันก็แล้วกัน” จิณณวัตรอนุญาตก่อนเหลือบตามองนาฬิกาซึ่งแขวนอยู่บนผนังแล้วอาสา “ตอนนี้ยังฟ้ายังไม่สว่าง ฉันจะไปส่งเธอที่บ้านเอง”

“โอ๊ย ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง ฉันกลับเองได้ คุณยังปวดท้องอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”

“นิดหน่อย ไม่เป็นไร ฉันรู้ตัวดีว่าไหวหรือไม่ไหว เอาละ ไปกันเลยดีไหม ตอนนี้เธอคงอยากอาบน้ำพักผ่อนแล้ว”

มันก็จริงอย่างที่เจ้านายว่า แม้เธอจะยังไหว แต่ก็เพลียไม่น้อย หากได้กลับบ้านแล้วอาบน้ำ นอนเตียงนุ่มๆ ของตัวเองก็เท่ากับได้ขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว ทว่า...เธอจะให้คนที่เพิ่งค่อยยังชั่วไปส่งเธอได้อย่างไร

“ฉันไปเองได้จริงๆ ค่ะ เดี๋ยวเรียกแท็กซี่...”

“ที่เธออยู่เฝ้าฉันก็เพราะห่วงว่าฉันจะเป็นอะไรไป ที่ฉันจะไปส่งเธอก็เพราะห่วงว่าเธอจะเป็นอะไรไปเหมือนกัน ฉันยอมให้เธอดูแลฉัน เธอก็ควรยอมให้ฉันดูแลบ้าง เราจะได้ไม่ติดค้างกัน”

แม้สิ่งที่เขาพูดนั้นจะมีเหตุมีผล กระนั้นสริณยาก็ยังเป็นห่วงเขาจนเสนอทางเลือกขึ้นมาอีกทางที่เธอคิดว่าดีที่สุด “เอาแบบนี้ดีไหมคะ ถ้าคุณห่วงฉันจริงให้ฉันยืมรถก่อนได้ไหม”

“ยืมรถ...รถฉันเนี่ยนะ”

สริณยาพยักหน้า “ฉันขับรถเป็น ถ้าคุณให้ฉันยืมฉันก็ไม่ต้องนั่งแท็กซี่ แล้วคุณก็ไม่ต้องไปส่งฉัน คุณจะได้พักผ่อนเลย ไม่ต้องเหนื่อยเทียวไปเทียวมายังไงคะ”

จิณณวัตรมองหน้าพี่เลี้ยงแมวของเขาแล้วชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง “กุญแจรถอยู่ที่ลิ้นชักด้านขวาของโต๊ะทำงาน”

   

จริงๆ แล้ววันนี้เจ้านายบอกให้สริณยาพักได้หนึ่งวัน แต่เป็นเพราะเธอขับรถของเขากลับบ้าน จึงไม่กล้าหยุดงานตามคำอนุญาตของเขา 

‘เราเอารถเขามาใช้แล้วก็ต้องรีบคืนสิ เพราะถ้าเขามีธุระปะปังอะไรจะได้ไม่ลำบาก’

เพราะคิดเช่นนั้นตอนเย็นสริณยาจึงขับรถจากบ้านตนมายังลานจอดรถ เธอไม่รู้ตัวเลยว่าทันทีที่เธอก้าวลงจากรถก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนหลายคน

เธอล็อกรถเรียบร้อยก็เดินจากลานจอดรถหมายจะเข้าร้านทางประตูด้านหลัง

“กิ้งก่าได้ทอง”

“คางคกขึ้นวอมากกว่า”

สุภาษิตคำพังเพยเหล่านั้นมาจากกลุ่มโคโยตี้ที่ยืนสูบบุหรี่กันอยู่ใกล้ประตูหลังร้าน พอสริณยาได้ยินเธอก็ชะงักเท้าแล้วหันมามองสาวสวยสี่คนซึ่งยืนรวมกลุ่มและส่งสายตาจิกแรงเว่อร์เบอร์ห้ามายังเธอ

สริณยาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าพวกนั้นมองเธอเช่นนี้ทำไม แล้วไอ้สุภาษิตที่ว่า...หมายถึงเธอหรือ

เพราะความไม่เข้าใจ อยากถามให้กระจ่าง สริณยาจึงก้าวถอยหลังมาหมายจะถามให้รู้เรื่อง แต่ยังไม่ทันได้ทำดังตั้งใจ เฮียลี่ก็เดินออกมาจากประตูหลังแล้วทักเธอเสียก่อน

“อ้าว ยา มาทำไม วันนี้ได้หยุดไม่ใช่เหรอ”

“หยุดได้ยังไงล่ะเฮีย เอารถเขาไปถ้าไม่เอามาคืน คุณจอห์นจะทำยังไงถ้าต้องการใช้รถ”

“โอ๊ย! สะตอ หิวสะตอจัง” ใครบางคนในหมู่โคโยตี้ด้านหลังตะโกนขึ้นมาลอยๆ อีกแล้ว

สริณยาไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดไม่รู้ว่า ‘สะตอ’ ที่ผู้หญิงคนนั้นพูดไม่ได้หมายถึง ‘สะตอ’ ที่กินได้ แต่มันเป็นคำย่อมาจากสะตอเบอแหลนั่นเอง

นอกจากสริณยาจะรู้ว่าเธอกำลังถูกผู้หญิงกลุ่มนี้เล่นงานโดยไม่รู้สาเหตุแล้ว เฮียลี่ที่มาทีหลังก็หรี่ตามองสาวๆ ในปกครอง ดุพวกหล่อนด้วยสายตาจนโคโยตี้แต่ละคนซึ่งเก่งแต่กับสริณยาถึงกับยืนเจี๋ยมเจี้ยม ก้มหน้านิ่งไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว

“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปข้างในเหอะ อยู่ตรงนี้มันร้อน ร้อนหัวร้อนหู!”

   

ประภัสราพาสริณยาขึ้นมาจนถึงบันไดทางขึ้นไปยังชั้นสาม ก่อนหยุดแล้วบอกให้ลูกจ้างซึ่งมีสิทธิพิเศษเดินขึ้นไปเอง ส่วนตัวเธอนั้นจะลงไปทำงานต่อ

“ขอบคุณนะคะเฮียลี่ที่ช่วยหนู”

“เรื่องเล็กน้อย เด็กพวกนั้นปากมากเกินไปจริงๆ ขนาดเด็กของคุณจอห์นก็ยังกล้าปากยื่นปากยาวใส่ ไม่กลัวหัวขาดกันบ้างรึไง ที่เฮียช่วยหนูก็เท่ากับช่วยตัวเองนั่นแหละ ขืนให้มีเรื่องกันแล้วคุณจอห์นรู้ เฮียก็ซวยสิ ต้องหาเด็กใหม่เทรนด์กันใหม่อีก”

หัวคิ้วสริณยาขมวดเพราะฐานะแปลกๆ ที่เฮียลี่เรียกเธอ “เด็กคุณจอห์นเหรอคะ นี่เฮียลี่หมายถึงหนูเหรอคะ”

“อย่าบอกนะว่าไม่ใช่ อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ” ประภัสรามองสริณยาแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม “ตอนเขาลือกันว่าคุณจอห์นให้หนูอยู่เฝ้าไข้ พวกเราข้างล่างก็ตาโตกันแล้ว พอรู้จากลุงแหลมว่าเมื่อเช้ามืดหนูขับรถคุณจอห์นไป คราวนี้ลูกตาทุกคนกลิ้งหล่นออกจากเบ้ากันเลย”

“มันไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิดนะคะ!” สีหน้าสริณยาร้อนพอๆ กับน้ำเสียงที่รีบอธิบายจนลิ้นแทบจะพันกัน “หนูกับคุณจอห์นไม่ได้มีอะไรกัน เมื่อคืนคุณจอห์นป่วยไม่มีคนเฝ้า หนูก็เลยช่วยดูแลเขา แล้วพอเช้า เขาเลยตอบแทนหนูด้วยการให้หนูขับรถเขากลับบ้านเพราะกลัวว่าถ้าเรียกแท็กซี่จะอันตราย มันก็เท่านั้นเอง พวกพี่คิดไปถึงไหนกันคะนี่”

“เราก็สนิทกันพอควรใช่ไหมยา บอกเฮียมาตรงๆ เหอะ หนูเป็นเด็กคุณจอห์นใช่ไหม หนูรู้ไหมว่าสาวๆ ที่นี่อยากเป็นกันทั้งนั้น เสียแต่คุณจอห์นแกถือ เป็นสมภารไม่เคยกินไก่วัด”

“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะเฮียลี่ ต้องให้หนูสาบานไหม” สริณยาถึงกับคว้าแขนประภัสรามาเขย่าอย่างร้อนใจ “โอ๊ย นี่ลือกันไปถึงไหนเนี่ย บ้าที่สุดเลย!”

“ไม่ใช่จริงๆ อะ”

เมื่อถูกถามย้ำสริณยาก็ตอบหนักแน่น “ไม่ใช่ค่ะ เฮียลี่แก้ข่าวให้หนูด้วยนะ หนูไม่อยากถูกเขม่น”

“จะแก้ทำไม ใครมันเขม่นก็เขม่นไปสิ แต่คนที่เกรงใจมันก็ต้องมี แล้วเอาตรงๆ นะ” ประภัสราเอนตัวเข้ามาใกล้สริณยาแล้วกระซิบ “หนูไม่คิดใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์บ้างเหรอ จับคุณจอห์นเลยสิ เฮียว่า...คุณจอห์นเขาก็ยังไงๆ กับหนูอยู่นะ”

สริณยาเบิกตาโต ส่ายหน้าดิก “ไม่มีทาง! ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้!”

เห็นท่าทางตกใจจนน่าขันของสริณยาแล้ว ประภัสราก็หัวเราะดังลั่น “จะบอกอะไรให้นะ คุณจอห์นน่ะเขาหวงรถมาก ไม่เคยให้ใครขับเลย เรื่องนี้ใครก็รู้ทั้งนั้น แต่...เขาให้หนูเอารถไปใช้ หมายความว่ายังไง หนูก็ลองคิดเอาเองก็แล้วกัน หนูก็ดูไม่ใช่คนโง่นี่เนอะ” พูดจบทอมสุดหล่อก็ขยิบตาให้สริณยาอย่างมีเลศนัย

   

สิ่งที่เฮียลี่บอกวนเวียนอยู่ในหัวสริณยา เธอบิดลูกบิดประตูเข้าไปในห้องของจิณณวัตรอย่างใจลอยแล้วชนปังกับอะไรบางอย่างที่ขวางอยู่ตรงหน้าจนกระเด็นถอยหลังออกมา

“โอ๊ย!” หญิงสาวใช้สองมือจับจมูกและหน้าผากที่ชนกับสิ่งกีดขวางเข้าอย่างจังก่อนเงยหน้าดูว่าอะไรกันที่ขวางทางเธอ

‘สิ่ง’ ที่ขวางเธอนั้นยืนเท้าสะเอวมองเธออยู่ที่เดิม

“ใจลอยไปถึงไหน คนตัวเบ้อเริ่ม ชนเข้ามาได้”

“ขอ...ขอโทษค่ะ คือ...” นาทีนี้สริณยาทำหน้าไม่ถูก เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเธอยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อถูกเฮียลี่สะกิดว่าเจ้านายอาจกำลังสนใจเธอ สริณยาก็...ปั่นป่วน วางหน้า วางตัวกับเขาไม่ถูก

“ฉันบอกให้เธอพักได้หนึ่งวันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมยังมาทำงาน”

ดีเหลือเกินที่จิณณวัตรเป็นผู้ถามเธอก่อน สริณยาจึงไม่ต้องยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่นาน “คือ...ฉันไม่อยากเอารถคุณไปนานน่ะค่ะ แค่นี้ก็รบกวนมากพอแล้ว เกิดคุณอยากใช้รถแล้วไม่มีรถใช้คงลำบากแย่”

“เฮ้ย! พรินซ์”

มันเป็นการเปลี่ยนเรื่องเปลี่ยนโหมดโดยที่สริณยาไม่ทันได้ตั้งตัว แต่เป็นเพราะเธอก้มหน้ามองพื้นอยู่แล้ว ทันทีที่ได้ยินจิณณวัตรอุทาน เธอจึงเห็นเจ้าแมวอ้วนสีเหลืองวิ่งเหยาะๆ ผ่านหน้าเธอไป

“พรินซ์!” หญิงสาวเรียกพร้อมวิ่งไปจับแมวอ้วนที่กำลังมุ่งตรงไปยังบันไดขึ้นมา แต่ดูเหมือนเจ้าหมูน้อยจะอารมณ์ไม่ดี เพราะพอถูกอุ้มขึ้นมาก็ร้องโวยวาย เท้าหน้าเท้าหลังยันไปข้างหน้า ตะเกียกตะกายหมายลงไปที่พื้นอีกครั้งจนสริณยาต้องเกร็งแขนรัดเจ้าอ้วนเอาไว้แน่น

“วันนี้มันอารมณ์ไม่ดีเพราะฉันไม่ได้ปล่อยให้มันลงไปเดินเล่นเหมือนทุกวัน” จิณณวัตรที่เดินตามมาทีหลังอธิบายถึงสาเหตุอาการมูดดี้ของแมวดื้อ ก่อนยื่นมือไปจับพรินซ์แล้วอุ้มเข้าห้อง

“แมวเคยเที่ยวแต่วันนี้ไม่ได้เที่ยวก็คงหงุดหงิดเป็นธรรมดา” สริณยาเอ่ยออกมาอย่างเห็นใจ แต่พอเธอเดินเข้ามาในห้องได้ก็รีบปิดประตูทันที กันไม่ให้พรินซ์หนีออกไปได้อีก

การทำเช่นนั้นทำให้พรินซ์มองเธออย่างไม่พอใจพร้อมร้องครวญครางน่าสงสาร

จิณณวัตรวางพรินซ์ลงบนพื้นแล้วลูบหัวปลอบใจ แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมาคือ...รอยข่วนสามรอย จนเขาตวาดลั่น

“ไอ้อ้วน!”

ทันทีที่ได้ยินเสียงตวาด พรินซ์ก็หมุนตัววิ่งจากห้องทำงานไปยังห้องนอน ซุกตัวอยู่ที่มุมด้านในสุดแล้วมองเจ้านายของมันด้วยใบหน้างอหงิก

“ไอ้แมวเอาแต่ใจ พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน”

ฟังคำบ่นของ ‘พ่อ’ ที่พูดราวกับด่าตนเองแล้ว สริณยาก็ลอบยิ้ม ก่อนอาสา “ทำแผลก่อนไหมคะ”

“ไม่ต้อง แผลแค่นี้ล้างมือเฉยๆ ก็พอ ฉันต้องรีบไปเคลียร์งาน” พูดจบเขาก็เดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วสริณยาก็ได้ยินเสียงเปิด-ปิดน้ำ ก่อนเขาจะออกมาอีกทีเพื่อสั่งงาน “วันนี้ระวังตัวหน่อยนะ ไอ้อ้วนมันคิดแต่จะหนี เปิดประตูหรือหน้าต่างไว้ไม่ได้เลย แล้วมันก็ยังอารมณ์ไม่ดีสุดๆ ด้วย ระวังจะโดนมันข่วนเอา ถ้าโดนข่วน ตีได้เลยนะ ต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกบ้างต่อไปจะได้ไม่เกเร”

โธ่ ทำเป็นสั่งเสียงเฉียบขาด แต่คนที่เพิ่งถูกข่วนก็ไม่เห็นตามไปตีลูกชายตัวโปรดเลย นี่แหละน้าเขาถึงพูดกันว่า ลูกเสียคนก็เพราะพ่อแม่สปอยล์

   

สรุปก่อนถึงเที่ยงคืน สริณยาถูกพรินซ์ฝากรอยรักเอาไว้ทั้งหมดสิบเอ็ดรอย ตอนนี้เธอได้รู้แล้วว่าทำไมเวลาเธอพูดว่าพรินซ์น่ารักเพียงไร ขี้อ้อนแค่ไหน คนในร้านจึงเบ้ปากมองบนใส่เธอแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ยังไม่เห็นฤทธิ์มัน’ วันนี้เธอเห็นเต็มๆ แล้ว และลงโทษความเหวี่ยงของแมวดื้อด้วยการงดอาหารมื้อค่ำ

พอไม่ได้กินอาหารเปียกของโปรดอย่างที่เคยกินมาตลอด พรินซ์ก็มองหน้าเธอ ร้องหง่าวๆ เดินวนไปดูชามข้าว วนรอบตัวเธอ เหมือนพยายามเตือนว่า ‘หล่อนลืมให้อาหารฉัน เทอาหารซะทีสิ’ และเมื่อสริณยาทำเมินเฉย เจ้าแมวที่วนไปวนมาอยู่รอบขาเธอก็...กัดขา

“โอ๊ย! พรินซ์ เจ็บนะ” พอได้ยินเสียงตวาด แมวที่ลอบทำร้ายพี่เลี้ยงเพราะโมโหหิวก็วิ่งฉิวไปซ่อนในมุมโปรดมุมเดิม มองพี่เลี้ยงที่เดินมาเท้าสะเอวตรงหน้าด้วยดวงตางอนเบอร์สิบเหมือนเดิม แล้วร้องแอ๊วเป็นคำต่อว่าต่อขาน

เห็นแล้วขำก็ขำ สงสารก็สงสาร กระนั้นเพื่อไม่สปอยล์พรินซ์ให้เสียแมวไปมากกว่านี้ สริณยาจึงต้องทำใจแข็ง ชี้หน้าแมวดื้อแล้วสอน

“อย่ามาด่าด้วยสายตาแบบนั้นนะ ก็แกเองที่ทำผิด ดูๆ” เธอยื่นแขนขาซึ่งถูกข่วนและกัดออกไปข้างหน้า “แกข่วนฉัน กัดด้วย แบบนี้ก็ต้องได้รับโทษเป็นธรรมดา ลงโทษแค่ให้อดมื้อดึกยังนับว่าปรานี จริงๆ ฉันควรตีแกด้วย ตีน่ะ” พี่เลี้ยงแมวยกมือขึ้นมาแล้วทำท่าเหมือนจะตี แมวซึ่งซุกอยู่ในมุมหลับตา ย่นคอ ทำเหมือนกลัว

“อะไรกัน ทำไมต้องลงไม้ลงมือ พรินซ์ทำอะไรผิดมากงั้นเหรอ”

คนที่เข้ามาในห้องเงียบๆ และมายืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ทำสริณยาที่กำลังเล่นบทโหดขู่แมวสะดุ้งเฮือก รีบหันกลับไปมองเจ้านายก่อนเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง นี่เพิ่งห้าทุ่ม เขาขึ้นมาทำไม หรือว่า...

“คุณปวดท้องอีกแล้วเหรอคะ ตายจริง” สริณยาอุทานก่อนขยับเข้าไปจับแขนเขาเอาไว้ หมายจะประคองไปพักที่เตียง

จิณณวัตรปักหลักนิ่ง มองคนที่คว้าแขนเขาเอาไว้แล้วออกแรงดึงนิดๆ เพื่อให้เขาเดินตาม เขามองสีหน้าร้อนใจของเธอแล้ว...ยิ้มบางๆ 

การมีคนคอยเอาใจใส่ ห่วงใยนี่...ดีเหลือเกิน

“เปล่า ฉันขึ้นมากินข้าว”

ตอบจบสริณยาและจิณณวัตรก็ได้ยินเสียงอุทานดังขึ้น ก่อนตามมาด้วยเสียงขอโทษเบาๆ ทั้งสองที่ยืนหันหลังให้ประตูหันกลับไปมองก็พบว่า หน้าประตูที่เปิดอ้ามีพนักงานเสิร์ฟถือถาดรออยู่หน้าห้อง

“เอาเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะนี่” จิณณวัตรสั่งเสียงเรียบ ทำให้พนักงานชายคนนั้นเดินตัวลีบเข้ามาวางถาดอาหารลงบนโต๊ะรับประทานอาหารขนาดเล็ก และแอบมองเจ้านายกับ...เด็กเจ้านายผ่านทางกระจก

เงาสะท้อนทำให้พนักงานเสิร์ฟคนนั้นรู้สึกคันปากยิบ เขาเห็นหลักฐานที่ยืนยันความสัมพันธ์ของนายกับเด็กนายแล้ว และ...เรื่องนี้ต้องขยาย!

“ไปได้ ปิดประตูด้วย”

คำสั่งให้ปิดประตูทำให้สริณยารีบหันไปมองพรินซ์ซึ่งตอนนี้ไม่ได้ซุกอยู่ที่มุมเดิมอีกแล้ว เจ้าแมวแสบตัวโตเท่าลูกหมูทำตัวลีบเล็กที่สุด และกำลังย่องไปที่ประตูห้องซึ่งเปิดกว้างอยู่

“พรินซ์! ห้ามออกไปนะ”

“พรินซ์! อย่าออกไป”

เสียงสริณยาและจิณณวัตรดังประสาน หยุดเจ้าแมวอ้วนที่นึกว่าจะออกไปจากห้องนี้ได้โดยไม่มีใครเห็นเอาไว้ มันหันกลับมาแล้วร้อง แอ๊ว

สริณยาปล่อยแขนที่จับเอาไว้แล้วเดินเข้าไปจับปลอกคอพรินซ์ เขย่าเบาๆ พอให้แมวรู้สึกก่อนขู่ “อดข้าวแค่มื้อเดียวยังน้อยไปใช่ไหม อยากอดมื้อเช้าอีกใช่ไหม”

พรินซ์พยายามดิ้น แต่ลงว่าปลอกคอถูกจับเอาไว้แบบนี้มันก็หนีไปไหนไม่ได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ แมวซึ่งผ่านโลกมามากก็ใช้แผน...แบ๊วเข้าสู้

มันทิ้งตัวลงนอนแล้วหงายพุง อวดลายสีขาวบริเวณพุงหลามให้ทาสตนเองดูแล้วร้อง ‘อ๊ะ แอ๊ะ’

ดูเหมือนจะได้ผล นางทาสอมยิ้ม ปล่อยมือที่จับปลอกคอมันแล้วเอามาลูบพุงหลาม 

‘เสร็จฉันละ!’

“แมวตอแหล” สริณยาว่าแมวที่นอนยั่วพร้อมใช้มือทั้งสองข้างลูบพุงและเกาคางให้มัน และอีกไม่กี่วินาทีต่อมา ก็มีมือขยันมาช่วยเธอลูบและเกาด้วย

สริณยากลับไปรู้สึกสบายใจ ไม่เขินไม่อายเมื่อต้องอยู่ใกล้ๆ กับจิณณวัตรอีกครั้งจนยิ้มให้เขาและได้รับยิ้มตอบกลับมา

ในขณะที่หญิงชายสองคนรู้สึกสบายใจที่ได้ร่วมวงลูบพุงแมวกัน พนักงานเสิร์ฟที่ค่อยๆ เดินออกจากห้องไปกลับรู้สึกยิ่งคันปากหนัก เขาตั้งชื่อเรื่องราวที่จะนำลงไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟังได้แล้ว เรื่องเด่นคืนนี้ต้องชื่อ ‘มนตร์รักแมวป่วง’

   

“นั่งสิ กินด้วยกัน”

หลังลูบพุงแมวสำราญใจจนเบื่อแล้ว จิณณวัตรก็เอ่ยปากชวนพี่เลี้ยงแมวที่ตอนนี้มีตำแหน่งเพื่อนร่วมโต๊ะแถมให้อีกตำแหน่ง

“กินเสร็จเธอกลับบ้านได้เลย”

ปกติแล้วสริณยาไม่กินมื้อดึก แต่พอลุกขึ้นยืนแล้วเห็นข้าวผัดสองจาน แกงส้มอีกหนึ่งหม้อวางเอาไว้ เธอก็รู้สึกหิวขึ้นมานิดๆ เนื่องจากกลิ่นแกงส้มที่เดือดปุดๆ โชยเข้าจมูกเธอ แล้วเธอก็เป็นคนคลั่งแกงส้มเสียด้วย

ของโปรดดึงหญิงสาวให้เข้าไปใกล้ ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเจ้านาย จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึก เอากลิ่นแกงหอมๆ เข้าปอดแล้วเผลอพูดออกมา

“ฉันชอบแกงส้มที่สุดเลย”

จิณณวัตรยิ้มมุมปาก “ถ้าชอบฉันจะสั่งให้ทำบ่อยๆ”

“อย่าเลยค่ะ กินบ่อยๆ เดี๋ยวเบื่อ นานๆ กินทีถึงจะอร่อย” เมื่อเธอไม่อายแล้ว การพูดคุยกับเจ้านายจึงกลับไปเป็นปกติ “แล้วคุณล่ะคะ มีของโปรดไหม”

รอยยิ้มจางๆ หายไปจากใบหน้าจิณณวัตร เขาไม่ได้โกรธเธอเพราะเรื่องที่เธอถาม แต่สิ่งที่เธอถามทำให้เขาคิดถึงอาหารโปรดที่ไม่ได้รับประทานนานแล้วต่างหาก

“น้ำพริกอ่อง”

“มันคืออะไรคะ”

“ไม่เคยกินเหรอ” ความสงสัยทำให้จิณณวัตรไล่ความรู้สึกเศร้าออกไปจากใจได้ในทันที

สริณยาส่ายหน้า “น้ำพริกที่ฉันรู้จักมีแต่น้ำพริกปลาทูค่ะ”

“น้ำพริกอ่องเป็นอาหารเหนือ ทำมาจากหมูกับมะเขือเทศ แม่ฉันเป็นคนเหนือ ท่านเคยทำน้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่ม แคบหมูขายที่ตลาดด้วย”

สิ่งที่เขาพูดออกมาเป็นสิ่งที่สริณยาไม่คิดว่าจะได้ยิน นี่มันเรื่องส่วนตัวของเขาไม่ใช่หรือ แล้วเขามาเล่าให้เธอฟังทำไม

“ตอนเด็กๆ ฉันยังเคยไปช่วยขาย สนุกดี ฉันกับแม่มีความฝันอยากทำร้านอาหาร ขายอาหารเหนือ”

“แล้วทำไมไม่ทำคะ”

“ฉันมาเจออาชีพที่ทำเงินได้มากกว่าทำร้านอาหารน่ะสิ”

   

จิณณวัตรก้าวเข้ามาในวัฏจักรวงการสีเทาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ เขาเริ่มต้นจากการไปเที่ยวกับเพื่อนในผับของพี่ชายเพื่อน จากนั้นเพราะความที่เป็นคนหน้าตาดี จึงถูกจ้างให้ไปเที่ยวเพื่อเป็นตัวล่อสาวๆ 

แรกๆ ก็แค่สนุกแถมยังได้เงิน ใครไม่ทำก็โง่เต็มทน แต่พอวนเวียนอยู่ในธุรกิจกลางคืนนานเข้า รู้มากเข้า จิณณวัตรก็คิดว่ามันเป็นงานที่ได้เงินเร็ว รวยเร็วประเภทหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงศึกษาธุรกิจนี้อย่างละเอียดในทุกทาง ศึกษาด้วยการลงมือทำทุกขั้นตอน และพออยู่ปีสี่ เขากับเพื่อนก็ตกลงใจร่วมหุ้นกันเปิดผับเล็กๆ ใกล้มหาวิทยาลัย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น