บทที่ 12

12

ที่รัก

“พี่ต้องขอโทษด้วยที่ถือวิสาสะทุบกระจกแล้วบุกเข้ามาในบ้านของน้องยา ไม่ต้องกลัวนะ พี่ทำกระจกแตกก็จะรับผิดชอบซ่อมให้”

สริณยาพยายามฝืนยิ้มแล้วตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ” ใจจริงเธออยากพูดมากกว่านี้ อยากบอกว่าเธอรู้ดีว่าเขาคงเป็นห่วงที่เธอไม่ออกไปตามนัด แถมเมื่อกดกริ่งแล้วยังไม่ได้รับการตอบกลับ เขาจึงตัดสินใจพังกระจกเข้ามา

เธอไม่คิดจะว่าเขา ไม่คิดแม้แต่จะให้เขาจ่ายค่าซ่อมกระจกให้ ที่เธออยากทำคือขอบคุณเขา แต่...กระทั่งจะเอ่ยขอบคุณเธอยังไม่มีแรง คอเธอแห้งผากไปหมด หัวก็มึนจนพอลืมตานานๆ   ห้องก็เริ่มหมุนคว้างพาให้พะอืดพะอมจนต้องรีบหลับตา

ทว่าเธอหลับตาไปได้แค่ครู่เดียวก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำถาม

“นั่น...ผู้หญิงที่อยู่ในรูป น้องยารู้จักเขาเหรอ”

คนที่นอนปล่อยให้น้ำตาแห่งความอ่อนแอไหลออกมาตัวแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินคำถาม สริณยาเหลียวไปมองรูปของเธอกับน้องสาวซึ่งใส่กรอบวางเอาไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง

รูปนั้นถ่ายในวันรับปริญญาของเธอ มันเป็นวันที่เธอมีความสุขมากที่สุดวันหนึ่งในชีวิต ดังนั้นรอยยิ้มของเธอจึงกว้างเหมือนรอยยิ้มของน้องดา

ดวงตาแฝงความกังวลและกลัวเหลือบมองตรัณซึ่งยืนอยู่บริเวณปลายเตียง พอเห็นเขาขมวดคิ้วนิ่วหน้าคล้ายกำลังคิดสริณยาก็เลือกที่จะ...โกหก

“ค่ะ เป็นรุ่นน้อง” เธอตอบสั้นๆ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมายาว...ยาวมากจนจุดความหวังของเธอให้เปล่งประกายขึ้นมา

“อ้อ เสียใจด้วยนะ พี่จำเด็กคนนั้นได้ น้องดา” ปลายเสียงที่เรียกชื่อโศภิดานั้นเบา มีกังวานคล้ายคนเสียใจ เสียดาย “เขาเคยมาเป็นโคโยตี้ที่ผับ หนุ่มๆ ชอบกันมากจนเรียกได้ว่าเป็นดาวเลยทีเดียว”

“ดาว...” สริณยาทวนคำ

“เขาเป็นเด็กดีนะ ไม่น่าถลำตัวไปในทางร้าย แล้วต้องจากไปก่อนวัยอันควรเลย”

มือที่กำอยู่บนอกใต้ผ้าห่มที่คลุมมาจนถึงลำคอสั่นระริก ความหวังทำให้สริณยาสะกดอาการเจ็บป่วยเอาไว้ได้จนตอนนี้สมองเธอแจ่มใสทีเดียว

“คุณรู้เรื่องน้องดาด้วยเหรอคะ”

ตรัณพยักหน้า “ทุกคนก็รู้กันหมด เพียงแต่ไม่มีใครอยากพูดถึง” เขายิ้มเล็กน้อยก่อนถอนหายใจ “จะว่าไปพวกเราทุกคนก็เหมือนมีส่วนที่ทำให้น้องดาประสบชะตากรรมแบบนั้น”

ตอนนี้มือสริณยาเย็นเฉียบ เธอมองคนที่ยืนอยู่บริเวณปลายเท้าราวกับเห็นยมทูต เสียงเธอสั่นเมื่อถาม “คุณ...คุณหมายความว่ายังไงคะ”

“พวกเราเห็นตั้งแต่ดอกไม้ดอกนั้นยังสดใส ไปจนกระทั่งถึงวันที่มัวหมองยังไงล่ะ”

เพราะจู่ๆ หนทางสู่ความจริงก็เปิดโล่งให้เธอเห็นโดยไม่ทันได้ตั้งตัวมาก่อน สริณยาจึงอึ้งไปพักใหญ่ก่อนถามในสิ่งที่เธออยากรู้มากที่สุด

“ถ้าอย่างนั้นคุณตรัณคงรู้ว่าใครเป็น...แฟนน้องดา” คำถามสำคัญนี้เธอพูดด้วยเสียงที่เบาหวิว คล้ายกับว่ากลัวใครจะมาได้ยิน

เทพบุตรรูปงามเลื่อนสายตาจากรูปถ่ายข้างเตียงมามองคนที่นอนมองเขาด้วยความคาดหวัง จากนั้น...ส่ายหน้า

“พี่ไม่ได้สนิทกับเด็กคนนั้นขนาดที่จะรู้เรื่องส่วนตัวของเขา”

“ผู้ชายคนนั้นก็ทำงานอยู่ในผับด้วย คุณเป็นถึงผู้จัดการผับ คุณน่าจะรู้อะไรระแคะระคายบ้างสิคะ ช่วยที ช่วยบอกยาหน่อย” สริณยาร้อนรนจนลุกขึ้นมานั่งและถัดตัวมาหา ยื่นมือมาหมายจะจับแขนตรัณเขย่า ทว่าพอเธอทำเช่นนั้นเขาก็รีบถอยห่าง สีหน้าของเขาเหมือนลำบากใจ

เห็นแบบนั้นแล้วสริณยาก็เชื่อว่าตรัณต้องรู้แน่ เขารู้!

“บอกยาทีเถอะ จะให้ยากราบก็ได้ ไอ้ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ที่รักของน้องดาเป็นใคร!”

ยังไม่ทันได้รับคำตอบ ป้าข้างบ้านก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดใส่ชามข้าวต้มกุ้ง คุณป้าผู้มีน้ำใจมองคนป่วยที มองผู้ชายแปลกหน้าที่เธอคิดว่าน่าจะเป็นแฟนของเพื่อนบ้านสาวคนนี้ที ป้าน้อยรู้สึกว่าบรรยากาศของห้องดูกดดันอย่างไรก็ไม่รู้ จึงรีบยื่นถาดใส่ข้าวต้มให้ชายแปลกหน้าแล้วเอ่ย

“ป้าลืมหยิบน้ำมาให้ รอเดี๋ยวนะหนูยา เดี๋ยวป้าลงไปเอาให้ แป๊บเดียว” พูดจบป้าน้อยที่ส่งถาดให้ชายแปลกหน้าถือเรียบร้อยแล้วก็หมุนตัวออกจากห้องไป ทว่า...คนแก่มิได้ไปไหนไกลนัก แสร้งเดินลงส้นเท้าหนักๆ เหมือนเดินลงบันไดไปแล้ว แต่ที่จริงพอเดินไปถึงบันไดแล้วก็รีบจดปลายเท้ากลับมาหน้าห้องนอนของสริณยาแล้วเอาหูแนบประตู รอฟังว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น

“ได้โปรดเถอะค่ะ คุณบอกยามาเถอะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”

“น้องยาอย่าสนใจเรื่องนี้อีกเลย และถ้าจะให้ดี อย่ากลับไปทำงานที่ผับนั่นอีก ที่นั่นไม่ใช่ที่ที่คนดีๆ แบบน้องควรเข้าไป”

ป้าน้อยขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก่อนปะติดปะต่อเรื่องได้ตามแบบคนที่ชอบดูละครน้ำเน่าอยู่เป็นนิตย์ ‘อ้อ นี่ยายหนูยาคงทะเลาะกับแฟนเรื่องทำงาน แม่หนูนี่ทำงานกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ไม่รู้ว่าไปทำงานอะไร คงไม่ใช่งานดีแน่ แฟนเลยห้ามไม่ให้ไปทำอีก แบบนี้อุบัติเหตุที่ว่ามันจะใช่อุบัติเหตุจริงรึเปล่า อาจจะเป็นพ่อหนุ่มรูปหล่อคนนั้นตบเอาก็เป็นได้’

โอ๊ย พอปะติดปะต่อเรื่องได้แซ่บเยี่ยงละครโทรทัศน์ช่วงเย็นแบบนี้ ป้าน้อยก็คันปากพิลึก นึกอยากเมาท์ให้ใครต่อใครได้ฟังทันที

แต่...ต้องไปเอาน้ำมาให้คนเจ็บก่อน เมื่อคิดถึงหน้าที่ที่บอกว่าจะมาทำได้ คนแก่ใจดีแต่สอดรู้และชอบเมาท์ก็ย่องลงบันไดไปอย่างร่าเริง

   

“ขอร้องเถอะค่ะ คุณตรัณคงไม่ทราบว่าตอนนี้ครอบครัวของน้องดาเป็นยังไงบ้าง เขาสูญเสียแค่ไหน เจ็บปวดแค่ไหนที่ลูกสาวต้องมีจุดจบแบบนั้นโดยที่หาตัวคนผิดมาลงโทษไม่ได้”

หัวคิ้วตรัณขมวดก่อนถาม “ตำรวจปิดคดีไปแล้วไม่ใช่เหรอ เห็นว่าเป็นการฆ่าตัวตาย”

สริณยาเม้มริมฝีปากด้วยความแค้นใจ ซึ่งการทำเช่นนี้ทำให้ปากที่แตกเจ็บจนเลือดซึมออกมา ทว่าเธอไม่สน ตอนนี้เธออยู่ใกล้โอกาสที่จะได้รู้แล้วว่าใครคือ ‘ที่รัก’ เธอจะไม่มีวันปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอย

ไม่มีวัน!

“ใช่ค่ะ น้องดาอาจฆ่าตัวตายในวันนั้น แต่มันเพราะอะไรล่ะคะ เพราะใครล่ะคะที่ทำให้น้องดาคิดสั้น” เสียงหญิงสาวเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น และน้ำตาก็ไหลออกมาจากขอบตา “น้องดาตายเพราะถูกทำร้าย ถูกทำลายจนคิดว่าตัวเองไม่มีค่าควรที่จะอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป”

สริณยาเห็นในทันทีว่าสีหน้าของตรัณเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ไม่นิ่ง ไม่สงบเหมือนอย่างทุกครั้งที่เธอเคยพูดคุยกับเขา

เธอเชื่อว่าเขารู้ว่าใครคือแฟนน้องดาแน่นอน และค่อนข้างจะมั่นใจเสียด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เธอพูดออกไปเมื่อครู่น่าจะทำให้เขาให้คำตอบเธอ ทว่า...

“พี่คงพูดได้เพียง...เสียใจด้วยจริงๆ”

“แค่เสียใจไม่พอ ไม่พอ!” สริณยาที่เป็นคนอารมณ์เย็นกรีดเสียงออกมาแล้วลุกจากเตียง เธอโงนเงนเพราะความอ่อนแรงผสานกับความปวดเนื้อปวดตัวไปหมด และเธอคงล้มลงไปกองกับพื้นแล้วหากตรัณที่ยืนอยู่ห่างจากเธอเป็นเมตรไม่ปราดเข้ามาประคองเธอเอาไว้

เมื่อเขาอยู่ใกล้เธอแค่นี้ สริณยาก็รีบคว้าข้อมือเขาไว้แน่น ย้ำถามเขาอีกครั้ง

“บอกมาเถอะค่ะ ถือเสียว่าทำบุญให้คนตายก็ได้ บอกมา!”

“เพราะพี่ไม่อยากให้ใครต้องมาตายอีกเลยบอกไม่ได้ พี่พูดได้แค่นี้” พูดจบสีหน้าตรัณก็เคร่งเครียดขึ้นก่อนจ้องสริณยาเขม็ง “และน้องยาต้องรับปากพี่ อย่ากลับไปทำงานที่นั่นอีกเด็ดขาด!”

ใคร...ใครกันที่ทำให้ตรัณปกป้อง ใครกันที่มีอำนาจขนาดนี้ถ้าไม่ใช่...

สริณยาเข่าอ่อนยวบ ทรุดจนตรัณต้องเกร็งแขนพยุงเธอกลับไปนั่งบนเตียงอีกครั้ง แต่กระนั้นเธอยังไม่ยอมปล่อยมือจากข้อมือเขา ที่จริงมันกำแน่นจนตรัณรู้สึกเจ็บและต้องก้มลงมามองคนที่หลุบตามองพื้น ทว่ากลับคาดเดาสิ่งที่น่ากลัวออกมา

“เป็นเขา...เขาใช่ไหม คุณจอห์น”

เสียงเรียกซึ่งเต็มไปด้วยความคั่งแค้นทำตรัณเหลือบไปมองรูปถ่ายของสริณยาและโศภิดาที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงอีกครั้งแล้วถามเสียงเบาออกมา

“น้องยาไม่ใช่รุ่นพี่ของน้องดาใช่ไหม น้องยาเป็น...พี่ เป็นพี่สาวแท้ๆ ของน้องดาที่มาสืบ มาหาคนที่...” ตรัณไม่ได้พูดให้จบเพราะเมื่อเห็นดวงตาที่จ้องเขาอย่างแข็งกร้าวเขาก็รู้คำตอบแล้ว ชายหนุ่มรีบส่ายหน้าแล้วเตือนเสียงร้อนรน “หยุดคิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ได้แล้ว อยากตายอีกคนรึไง!”

สริณยาเม้มปาก ท่าทีดื้อดึงของเธอทำให้ตรัณรู้ว่าผู้หญิงที่ดูเหมือนจะหัวอ่อน ว่าง่าย เอาจริงแล้วโคตรหัวแข็งขนาดไหน

สุดท้ายเมื่อรู้แล้วว่าเธอคงไม่ฟังเขา ตรัณก็ถอนหายใจก่อนยอมรับ “เอาละ เป็นคุณจอห์น ทีนี้รู้แล้วก็คงพอใจแล้วสินะ เลิกทำงานที่ผับแล้วหนีไปให้ไกล ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ เพราะ...ดูเหมือนคุณจอห์นเขาจะชอบน้องเข้าให้แล้ว”

ดวงตาหญิงสาวเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ป้าน้อยก็เคาะประตูห้องและเดินนำแก้วน้ำพร้อมน้ำขวดเย็นเฉียบมาส่งให้สริณยาที่รีบปล่อยข้อมือตรัณทันที

ป้าน้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนเอ่ยขอตัว โดยสริณยาแน่ใจอย่างที่สุดว่าป้าต้องเข้าใจเรื่องของเธอกับตรัณผิดไปแล้วแน่ๆ ทว่าเรื่องเหลวไหลบ้าบอนี้ไม่สำคัญเลยสักนิด สิ่งที่สำคัญคือเรื่องที่เธอเพิ่งรู้มาต่างหาก

จอห์น...คือที่รัก ผู้ชายคนนั้น...เป็นคนทำลายน้องสาวเธอ และตอนนี้...เขาชอบเธอ!

นี่มันวงจรอุบาทว์อะไรกัน!!!

“พี่ต้องไปแล้ว และหวังว่าเราคงไม่ได้พบกันอีก” ตรัณมองสริณยาที่นั่งอยู่บนเตียงแล้วมองเขานิ่ง มองอย่างดื้อดึงจนเขาต้องถอนหายใจแล้วพึมพำ “ก็ตามใจ เตือนก็แล้ว ขู่ก็แล้ว ถ้ายังดื้อไม่เชื่อ พี่ก็ถือว่าพี่ได้ทำในสิ่งที่พี่สมควรทำไปทั้งหมดแล้ว”

“เหรอคะ คุณทำในสิ่งที่สมควรทำแบบนี้กับน้องดาด้วยรึเปล่า คุณเคยเตือนน้องดาไหมว่าอย่าไปรักผู้ชายคนนั้น” เสียงสริณยาสั่น ใบหน้าเหยเกเมื่อไม่อาจบังคับความเศร้า เสียใจ เคืองแค้น อาฆาต ที่กลั่นตัวออกมาจนเป็นหยดและไหลรินออกมาจากดวงตาได้

ชายหนุ่มนิ่งคิดก่อนพยักหน้า “เตือน เคยเตือนหลายคน แต่ไม่มีใครเชื่อ ก็ไม่น่าประหลาดใจหรอก คุณจอห์นทั้งหล่อ ทั้งรวย ผู้หญิงคนไหนก็ต้องชอบ”

“แต่น้องสาวยาไม่ชอบใครเพียงแค่หน้าตาหรือว่าฐานะแน่”

“ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้วละว่าน้องของยาชอบคุณจอห์นเพราะอะไร สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือความปลอดภัยของตัวน้องยาเองต่างหาก”

สริณยาเชิดหน้าขึ้น “ยาเอาตัวรอดได้ เท่าที่ทำงานมาก็ไม่เคยเกิดเรื่องอะไร”

“เสือกำลังสนุกกับการหยอกน้องเล่นต่างหาก วันไหนที่มันตะปบ ก็ถึงที่ตายเมื่อนั้น”

คำขู่นั้นทำสริณยาขนลุกขึ้นมานิดหนึ่ง ก่อนกัดฟันแน่นแล้วคิดถึงบันทึกที่น้องดาทิ้งเอาไว้ให้

เสือร้ายก่อนตะปบมักจะหลอกล่อเหยื่อก่อนอย่างนั้นหรือ เห็นจะจริง ในบันทึกน้องดาไม่เคยบอกว่าผู้ชายคนนั้นใช้กำลังกับเธอเลยสักครั้ง ผู้ชายคนนั้นรู้ดีว่าเสน่ห์ของเขาสามารถกล่อมผู้หญิงให้ยอมเขาได้

แล้วภาพผู้ชายคนนั้นตอนอยู่กับพรินซ์ก็ลอยเข้ามาในห้วงคำนึง ความอ่อนโยนของเขาเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้ล่อลวงเธอใช่หรือไม่

ให้ตายเถอะ! หากวันนี้เธอไม่ได้รู้เช่นเห็นชาติเขา เธอคงคิดว่าเขาเป็นคนดี มีเมตตา และสุดท้าย...เธออาจลงเอยแบบน้องดาก็ได้

แต่ในเมื่อตอนนี้เธอรู้แล้ว ประวัติศาสตร์อุบาทว์จึงจะไม่มีวันซ้ำรอย ต้องไม่ซ้ำรอยอย่างแน่นอน!

“อย่าห่วงเลยค่ะ ถ้ายารู้แล้วแบบนี้ คงไม่มีวันยอมถูกกินง่ายๆ แน่”

“แล้วน้องยาจะเอาตัวไปเสี่ยงทำไม ไปแจ้งความซะสิ”  

“ข้อหาอะไรคะ” หญิงสาวถามกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งหัวใจสลายจนฆ่าตัวตายอย่างนั้นเหรอ”

ในขณะที่ตรัณนิ่งไป สริณยาที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเธอคิดจะเอาผิดชายชั่วคนนั้นด้วยข้อหาใดก็หลุบตาลงมองพื้น

ค้ายา ค้าผู้หญิง นั่นคือข้อหาหลักที่เธอรู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นทำ เพียงแต่...ไม่มีหลักฐาน แจ้งความไปชาติหน้าตอนสายๆ ก็ยังไม่รู้ว่าตำรวจจะเอาผิดเขาได้หรือไม่

แต่ถ้าเธอยังทำงานอยู่กับเขา อยู่ในห้องส่วนตัวของเขา โอกาสที่เธอจะหาหลักฐานมาเอาผิดเขาได้ย่อมมี และเธอไม่มีวันปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไป

“คุณตรัณไม่ต้องมากล่อมยาหรอกค่ะ คุณไม่มีทางเปลี่ยนใจยาได้หรอก ยาต้องแก้แค้น ต้องเอาคืนผู้ชายคนนั้นให้ได้!”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ขอให้น้องโชคดีก็แล้วกัน” พูดแบบปลงๆ จบ ตรัณก็หมุนตัวทำเหมือนจะเดินออกจากห้องไป ทว่าสริณยาเรียกเอาไว้ก่อน

“เดี๋ยวค่ะ”

ชายหนุ่มหันกลับมามองผู้หญิงดื้อ หัวแข็ง รอฟังว่าเธอจะพูดอะไร

“คุณอย่าบอกใครเรื่องของยานะคะ”

“พี่นึกว่าน้องยาจะขอให้พี่ช่วยซะอีก”

ดวงตาสริณยาวาวแสงขึ้นด้วยความหวัง “ถ้ายาขอ พี่จะช่วยยาเหรอคะ”

เป็นอย่างที่หญิงสาวคาด ตรัณส่ายหน้าทันที

“พี่รู้ว่าคุณจอห์นไม่ใช่คนดี เพราะรู้ดีแบบนี้ถึงไม่มีวันหาเรื่องเขา ชีวิตของใคร ใครก็รัก” พูดจบตรัณก็ถอนหายใจอีกเฮือกแล้วเดินเร็วๆ ออกจากห้องไปราวกับกลัวว่าเธอจะรั้งเขาเอาไว้อีก

เขากลัวอะไรไม่เข้าท่า เนื่องจากสริณยาไม่คิดจะพึ่งพาเขาเลยสักนิด

คนแบบตรัณ คนที่รู้ว่าใครชั่วแต่ก็ยังยอมรับใช้ คงไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนความคิดได้ง่ายๆ เพียงแค่เธอขอร้องหรอก แม้เขาจะมีน้ำใจ มีความเป็นคนอยู่บ้าง แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับคงทำให้สุดท้ายเขาเลือกที่จะเข้าข้างจิณณวัตรไม่ใช่เธอ

ดังนั้น...ตอนนี้เธอยังไม่คิดจะดึงตรัณมาเป็นพวก แต่ในอนาคต หากเธอหาหลักฐานเด็ดๆ ได้สักอย่าง เขาอาจยอมแปรพักตร์เพราะไม่อยากติดร่างแหไปด้วยก็ได้

ตอนนี้ใจสริณยาฮึกเหิมอย่างหนัก เธอไม่คิดถึงอันตรายที่ต้องกระโจนลงไป แต่นึกถึงแค่ผลลัพธ์ซึ่งอยู่ในเอนด์เครดิตของละครหรือภาพยนตร์ทุกเรื่อง

‘ธรรมะย่อมชนะอธรรม’

   

แม้จะฮึกเหิมแค่ไหน แต่สภาพร่างกายที่สวนทางกับจิตใจก็ทำให้สริณยาไม่อาจลุกไปทำงานได้อย่างที่อยากไป ตอนนี้เธอทำได้เพียงกินเยอะๆ พักผ่อนแยะๆ จะได้หาย จากนั้นจะได้ไปปราบอธรรมให้สิ้นซาก

เพียงแค่คิดถึงภาพจิณณวัตรไหล่ห่อ คอตก เดินเข้าคุก เธอก็หัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความสาแก่ใจ สริณยาคว้ารูปของเธอกับน้องมาดูแล้วพูดกับรูป

“น้องดาต้องช่วยพี่นะ ต้องคุ้มครองพี่ ชี้เบาะแสให้พี่เอาผิดมันให้ได้” น้ำตาหญิงสาวที่นอนหงายอยู่บนเตียงไหลออกมาทางหางตา ก่อนแนบกรอบรูปลงบนอก

ยังไม่ทันได้นอนหลับพักผ่อนเพื่อเรียกพลังดังใจคิด เสียงกริ่งประตูบ้านก็ดังขึ้นจนสริณยาขมวดคิ้ว

หญิงสาวจำต้องลืมตาขึ้นแล้วพยุงตัวเองนั่งอย่างยากลำบาก ใครกันที่มากดกริ่งเรียกเธอ จะว่าเป็นป้าน้อยที่จะนำข้าวปลามาให้ก็ยังไม่ถึงเวลาอาหารกลางวันเลย...หรือจะเป็นตรัณ?

เพราะคาดว่าน่าจะเป็นผู้ชายที่จิตใจดีแต่ความโลภทำให้เขาทำงานกับคนชั่วมาเยี่ยม หญิงสาวจึงลากสังขารไปยังระเบียงห้อง แล้วมองลงไปยังเสาประตูที่ติดกริ่งเอาไว้

ร่างกายเธอชาไปชั่วครู่เมื่อเห็นรถสีเข้มยาวสามวาจอดปิดหน้าประตูบ้านอยู่ มือเธอกำราวระเบียงเอาไว้แน่นจนรู้สึกราวกับว่าหากบีบแรงขึ้นอีกนิด เหล็กที่กำอยู่คงบิดเบี้ยวได้ดังใจ

“สริณยา”

ชายชั่วที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านเรียกชื่อเธอ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วเห็นว่าคนที่เขามาหายืนอยู่บนระเบียง

เพราะแดดมันส่องเข้าตาพอดีจิณณวัตรจึงมองเห็นเธอไม่ถนัดนัก แต่ก็รู้ว่าเธอคงเพิ่งตื่นนอน เพราะผมเธอยาวรุ่ยร่ายทีเดียว

“ฉันมาเยี่ยม” เขาตะโกนบอกคนที่ยืนนิ่งแล้วสั่ง “เปิดประตูให้ที ร้อน”

สริณยากัดริมฝีปากจนเจ็บ ดูเหมือนแรงกัดจะทำให้ปากเธอแตกอีกแล้วเพราะหญิงสาวได้รสชาติของเลือดติดปลายลิ้น

รสชาติของเลือดนั่นเองที่ทำให้เธอมีสติ ข่มความแค้นและตอบกลับไปได้ “รอสักครู่นะคะ”

ในเมื่อไอ้ชั่วนั่นดูเหมือนจะหมายตาเธอเป็นเหยื่อรายต่อไป เธอก็จะทำตัวเป็นเหยื่อที่ดีแล้วสูบข้อมูล หาความผิด หาหลักฐานความชั่วของมันมาแล้วเอาไปแจ้งความให้ได้

ใครคือผู้ล่า ใครคือเหยื่อ ต้องรอให้ถึงจุดจบก่อนถึงจะบอกได้!   

ความแค้นเป็นแรงผลักให้หญิงสาวประคองตนเองลงมาจากชั้นสองและมาเปิดประตูรั้วให้จิณณวัตรได้ กระนั้นการที่ต้องฝืนตัวและใช้เรี่ยวแรงมากทำให้เหงื่อเธอออกเต็มตัว หน้าก็ซีดจนแขกที่ยืนรออยู่รีบเข้ามาจับแขนเธอเอาไว้

มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติ สริณยากระชากแขนกลับทันที ทำให้จิณณวัตรเลิกคิ้วมองเธออย่างประหลาดใจ

“อ้อ ฉัน...ฉันเดินไหวค่ะ” เพราะเห็นเขาทำหน้าสงสัย สริณยาจึงแก้ตัวส่งๆ ไปแบบนั้น หวังว่าเขาคงไม่ทันสังเกตนะว่าเธอรังเกียจจนทนให้เขามาแตะเนื้อต้องตัวเธอไม่ได้

“ไหวแน่เหรอ นั่นดูเหมือนเธอจะยืนไม่อยู่อยู่แล้วนะ” พูดจบจิณณวัตรก็ก้าวเข้ามาในรั้วบ้านเธอพร้อมปิดประตูรั้วให้ จากนั้นย่อตัวเล็กน้อยแล้วรวบร่างผอมบางจนแทบปลิวลมขึ้นในอ้อมแขน แล้วอุ้มร่างที่แข็งเหมือนหินเข้าไปในทาวน์เฮาส์ขนาดกะทัดรัด

จิณณวัตรวางร่างในอ้อมแขนลงบนโซฟาซึ่งยาวพอให้คนสามหรือสี่คนนั่ง จากนั้นขยับมาเล็กน้อยแล้วนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเธอก่อนเริ่มสำรวจใบหน้าที่มีรอยช้ำทั้งเขียวทั้งม่วงดูน่ากลัว

“ฉันได้ข่าวเธอจากลี่ ก็พอเข้าใจนะว่าโดนทำร้ายขนาดนี้คงขยาด ไม่อยากกลับไปทำงานอีก”

“ฮะ?! อะไรนะคะ เฮียลี่บอกอะไรคุณคะ”

เห็นสีหน้าเธอตกใจแบบนี้ไม่รู้ทำไมจิณณวัตรถึงได้ดีใจ แต่ถึงดีใจแค่ไหนมุมปากเขาก็ไม่ขยับ มีเพียงคิ้วที่เลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนตอบ “ลี่มาบอกว่าเธอขอลาออก”

“ไม่จริง!” สริณยาปฏิเสธทันทีด้วยสีหน้ากังวล เธอคิดอยู่ครู่เดียวก็พอเดาได้ว่าคนที่แอบไปลาออกให้เธอนี้เห็นจะไม่มีใคร คงเป็นพ่อตรัณ พ่อเทพบุตรแสนดีที่คิดว่าเธอน่าจะเอาตัวไม่รอด เลยกีดกันไม่อยากให้เธอกลับไปทำงานเสี่ยงภัยอีก

ตรัณไม่รู้เลยว่าความหวังดีของเขาเป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการ หากเขาต้องการให้เธอไปจริง ก็มาเป็นพยานในการจับไอ้คนเลวเข้าคุก หรือไม่ก็หาหลักฐานเด็ดๆ มาให้เธอยังจะมีประโยชน์เสียกว่า

“ฉันไม่เคยคิดจะลาออก แค่ขอหยุดรักษาตัวก่อนเท่านั้นเอง” พูดถึงตรงนี้สริณยาก็ช้อนตามองไอ้เลว เธอจำต้องเตือนตัวเองว่าให้ทำตาหวานเอาไว้ อย่าให้มันรู้ว่าเธอซ่อนมีดเอาไว้หมายจะแทงมันให้ดับดิ้น “ฉันหวังว่า...คุณคงไม่ไล่ฉันออกนะคะ ฉันเจ็บจริงๆ เลยไปทำงานไม่ได้”

“ฉันเห็นแล้ว” จิณณวัตรตอบก่อนพินิจดูรอยช้ำบนใบหน้าเธออีกหน “แล้วนี่ไปแจ้งความรึยัง”

สริณยาส่ายหน้าทันที ซึ่งพอเห็นแบบนั้นแล้วใบหน้าเฉยชาอยู่เป็นนิตย์ของจิณณวัตรก็มีแววไม่พอใจฉายชัด

“ทำไม” เสียงเขาเข้มทีเดียว “อายเหรอ หรือว่ากลัว”

“ฉันไปไม่ไหวต่างหากล่ะคะ” สริณยาอธิบาย “เมื่อวานคุณตรัณก็จะพาไปหาตำรวจเหมือนกัน แต่ฉันลุกไม่ขึ้น เจ็บไปทั้งตัว วันนี้กว่าจะลงบันไดมาได้ก็แทบตาย”

ได้ยินคำตอบเช่นนี้สีหน้าดุดันของจิณณวัตรค่อยผ่อนคลายลง น้ำเสียงเขานุ่มขึ้นเมื่อถาม “แล้วนี่ไปหาหมอมารึยัง”

หญิงสาวพยักหน้า “คุณตรัณพาไปตั้งแต่คืนที่ถูกทำร้ายแล้วค่ะ”

“หมอว่ายังไงบ้าง”

“ก็...ฟกช้ำแค่ภายนอกค่ะ ไม่มีอะไรแตกหัก ให้กลับบ้าน ให้ยามากิน แล้วก็ให้พักผ่อนเยอะๆ”

คนฟังพยักหน้าแล้วเหลียวมองไปรอบบ้าน ทำเอาเจ้าของบ้านเสียววาบ บ้านหลังนี้ไม่มีบุคคลที่สาม มีเพียงเธอกับเขาอยู่ด้วยกันสองคน 

ตายแล้ว ไม่รู้ว่าไอ้โรคจิตมันจะคิดปลุกปล้ำขืนใจเธอรึเปล่า!

ความกลัวทำให้สริณยากำมือเข้าหากันแน่น แล้วจึงเบิกตากว้างเมื่อเพิ่งรู้สึกตัว...วันนี้เธอสวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้น ขาสั้นมากด้วยจนเสื้อคลุมมิด การที่มองเผินๆ เหมือนเธอใส่เพียงเสื้อยืดตัวเดียว มันจะไปยั่วกิเลสไอ้บ้านี่รึเปล่าก็ไม่รู้

   

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น