บทที่ 2

2

บันทึกลับ

พื้นเตียงมีไม้อัดสามแผ่นเรียงต่อกัน สริณยามองหาอะไรบางอย่าง แล้วก็ต้องดีใจที่เห็นรูขนาดเท่าปลายปากกาอยู่ที่แผ่นไม้อัดบนหัวเตียง หญิงสาวสอดนิ้วเข้าไปแล้วง้างแผ่นไม้อัดออก

เตียงนี้ด้านล่างกลวงจึงถูกใช้เป็นที่เก็บของกระจุกกระจิกของผู้หญิง ดูเหมือนตำรวจจะมาค้นใต้เตียงแล้วเพราะสริณยาเห็นข้าวของที่วางอยู่วางไม่เป็นระเบียบ

หญิงสาวไม่สนใจเครื่องสำอาง เครื่องประดับกระจุกกระจิก และตำราเรียนชั้นปีแรกๆ ของน้อง เธอเลือกหยิบเอาสมุดปึกหนึ่งขึ้นมาวางเอาไว้บนแผ่นไม้อัด จากนั้นเลือกสมุดสีส้มซึ่งซ้อนอยู่เป็นเล่มที่สามขึ้นมาเปิดทันที

หน้าแรกๆ ของสมุดเป็นเล็กเชอร์วิชาอะไรสักวิชา สริณยาไม่ได้สนใจ เธอเปิดดูไล่ไปแต่ละหน้า แล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อพบไดอะรีของน้องสาว

สริณยากับโศภิดาติดการเขียนไดอะรีมาจากพ่อ สองพี่น้องมักใช้สมุดจดที่เหลือมาจดเรื่องราวสำคัญเอาไว้ ที่ทำแบบนี้ก็เพราะต้องการหลบสายตาของพ่อกับแม่ที่บางทีก็แอบมาอ่านไดอะรีของลูกเพื่อจะได้รู้ในสิ่งที่ลูกคิด

ทั้งสองจึงมีไดอะรีสองเล่ม เล่มแรกเป็นไดอะรีสวยงามเอาไว้จดเรื่องบ้าบอให้พ่อกับแม่แอบอ่าน ส่วนอีกเล่ม ซึ่งก็คือเล่มนี้ เอาไว้จดความลับที่ไม่ต้องการให้ใครรับรู้

วิธีการจดความในใจแทรกเอาไว้ในสมุดเรียนนี้น้องเรียนรู้มาจากเธอ และทำต่อเนื่องมากระทั่งตอนนี้

สริณยานั่งลงบนแผ่นไม้อัดบริเวณปลายเตียง ก่อนเริ่มอ่านไดอะรีของน้องสาวอย่างช้าๆ 

ความในใจของโศภิดาแรกๆ เป็นเรื่องจุกจิกของหญิงสาว บ่นเพื่อน ด่าอาจารย์ บ่นพี่ บ่นพ่อกับแม่ก็ยังมี สริณยาอ่านไปยิ้มไป สลับกับร้องไห้ไป เนื่องจากเธอจินตนาการถึงน้องสาวตอนที่บ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้ได้อย่างแจ่มชัด

อ่านไปเรื่อยๆ ด้วยความคิดถึง ไม่นาน...ไดอะรีก็พาสริณยามาถึงเรื่องสำคัญที่เปลี่ยนชีวิตของน้องสาวไปอย่างสิ้นเชิง

โศภิดาเขียนเอาไว้ชัดแจ้งว่าเพราะเหตุใดเธอจึงไปทำงานที่ผับ จากนั้นก็เล่าละเอียดว่าชีวิตของเธอตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ได้อย่างไร

สริณยากำมือแน่น ยิ่งอ่าน ดวงตายิ่งมองไม่เห็นตัวหนังสือของน้อง เพราะน้ำตามันบดบังทุกอย่างไปเสียหมด แต่ถึงจะมองไม่เห็นตัวหนังสือแล้ว คำคำหนึ่งซึ่งแสดงสถานะของคนคนหนึ่งกลับเด่นสะดุดใจเธอ

“มันเป็นใคร” เสียงถามนั้นเต็มไปด้วยความคั่งแค้น “ใครคือ ‘ที่รัก’ ของน้องดา ใครมันทำให้น้องดาเป็นแบบนี้ ใคร!”

เธอกรีดร้องต้องการคำตอบ แต่ผู้ตอบคำถามนี้ได้ไม่อยู่ในโลกเสียแล้ว

   

บันทึกของน้องสาวซึ่งสริณยาถ่ายเอกสารเอาไว้ถึงมือเจ้าของคดีโดยสริณยาเป็นผู้นำไปส่งให้เอง

พ.ต.ท. เด่นชัยอ่านบันทึกนั้นเงียบๆ จนจบ จากนั้นเก็บบันทึกเอาไว้ในแฟ้มแล้วพูดกับเธอเพียงว่า

“ถ้ามีความคืบหน้าอย่างไรผมจะแจ้งให้คุณทราบนะครับ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือกับทางตำรวจครับ”

แค่นี้...แค่นี้เองหรือ สีหน้าสริณยาคงผิดหวังจนตำรวจนายนั้นสังเกตเห็นได้จึงอธิบายเพิ่ม

“คุณต้องเข้าใจนะครับว่าการสืบสวนจริงไม่เหมือนการสืบสวนในละคร มันไม่รวดเร็วทันใจจนจบเรื่องได้ภายในหนึ่งชั่วโมงหรอกครับ”

“เรื่องนั้นฉันเข้าใจค่ะ เพียงแต่...นี่ก็ผ่านไปเดือนนึงแล้ว ไม่ทราบว่ามีความคืบหน้าอะไรบ้างไหมคะ”

คำถามของเธอทำให้ตำรวจเจ้าของคดีถอนหายใจก่อนย้ำ “ถ้ามีความคืบหน้าผมจะแจ้งให้ทราบครับ”

สริณยาจำไม่ได้ว่าตำรวจนายนี้พูดประโยคนี้กับเธอมากี่ครั้งแล้ว ดูเหมือนจะเป็นคำพูดติดปากของเขา เหมือนคำพูดติดปากของบรรดาพนักงานในร้านสะดวกซื้อที่มักเอ่ยชักชวนลูกค้าว่า ‘รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหมคะ’

หญิงสาวผิดหวัง ทว่าไม่ยอมถอดใจ 

ทุกอาทิตย์หลังจากนั้นเธอเข้ามาหานายตำรวจเจ้าของคดีเพื่อถามข่าวคราว เธอไม่ท้อ แต่ดูเหมือนตำรวจที่ควรจะช่วยเหลือเธอ ช่วยตามจับคนที่ฆ่าน้องสาวเธอจะยอมแพ้ เพราะหลังจากอาทิตย์ที่หก เขาก็ไม่อยู่รอพบเธอ 

และจากนั้น...เธอก็ไม่เคยพบตำรวจนายนั้นอีกเลย

   แม้คดีไม่คืบหน้า เวลายังคงเคลื่อนคล้อยไม่เคยหยุด

ความบอบช้ำจากความสูญเสียทำให้แม่ของเธอเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง จากผู้หญิงที่ชอบแต่งตัวกลายเป็นคนไม่สนใจตนเอง แม่แก่ลงมากภายในเวลาไม่กี่เดือน ผมหงอกแซมเต็มศีรษะเพราะแม่ไม่ใส่ใจจะย้อม ใบหน้าที่เคยแต่งสวยงามสมวัยเหี่ยวแห้ง สีหน้าของท่านหากไม่เฉยชาก็จะอมทุกข์ และจากคนที่เคยมีชีวิตชีวา หัวเราะร่าเริง พูดคุยสนุกสนาน แม่พูดน้อยลง ส่วนเรื่องหัวเราะหรือยิ้ม...ตั้งแต่โศภิดาเสียไป แม่ไม่เคยหัวเราะหรือยิ้มอีกเลย ดังนั้นเมื่อพ่อบังคับพาแม่ไปพบจิตแพทย์เพื่อให้ช่วยเหลือ สริณยาจึงเห็นด้วยอย่างที่สุด

ความเจ็บป่วย สูญเสีย ก่อให้เกิดความทุกข์แสนสาหัส แต่ทุกข์ก็คู่กับสุข ไม่มีใครเสียไปเสียทุกสิ่งแต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย...แม่ของเธอก็เช่นกัน

แม่อาจเสียลูกสาวคนเล็กไป เสียใจ เสียกระทั่งความเป็นตัวของตัวเอง ทว่าแม่ก็ได้ความรัก ได้ครอบครัวกลับคืนมา

พ่อกับแม่ของเธอแม้ไม่ได้หย่าขาดจากกันอย่างเป็นทางการ แต่ก็เลิกรากันมาเป็นสิบปีแล้ว พ่อกับเธอยังอยู่กรุงเทพฯ ส่วนแม่กับน้องดาย้ายไปอยู่พิษณุโลก ทั้งคู่ไม่เคยติดต่อกันเป็นส่วนตัว มีเพียงลูกๆ ทั้งสองเท่านั้นที่เดินทางไปมาหาสู่กัน

สริณยารู้ว่าพ่อกับแม่โกรธกัน ไม่พูดกัน ไม่ถามถึงกันเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าทั้งสองไม่ได้เกลียดกัน ดังนั้นเมื่อพ่อต้องมาคอยดูแล คอยประคับประคองจิตใจและอารมณ์ของแม่ พ่อก็ย้ายแม่มาอยู่ห้องเดียวกับท่าน จากนั้นไม่นานพ่อก็มาปรึกษาเธอเรื่องพาแม่กลับไปอยู่พิษณุโลก

“พ่อว่าการพาแม่ไปอยู่ในที่ซึ่งแม่คุ้นเคย มีงานการทำ มีเพื่อนฝูง อาจทำให้แม่ไม่คิดมาก และค่อยๆ ปรับชีวิตให้ดำเนินไปอย่างเป็นปกติได้ พอพ่อพูดกับแม่ แม่ก็บอกว่าอยากกลับ พ่อเลยจะตามไปด้วย ส่วนน้องยา...พ่ออยากให้เราไปอยู่ด้วยกันนะลูก”

“นี่พ่อจะปิดโรงเรียนแล้วตามแม่ไปอยู่พิษณุโลกเหรอคะ” สริณยาถามอย่างตกใจ ตกใจจริงๆ เพราะการเป็นครูคืองานที่พ่อรัก สถาบันกวดวิชาที่พ่อกับเพื่อนร่วมสร้างกันมาคือความภูมิใจของท่าน ตอนนี้โรงเรียนกวดวิชาของพ่อก็นับว่ามีชื่อเสียงพอควร หากปิดไปก็น่าเสียดาย

พ่อยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน ดวงตาพ่อมีแต่ความรัก “อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับครอบครัว เมื่อเราเผชิญหน้ากับความสูญเสีย มันสอนให้เรารู้ว่าเราต้องเห็นความสำคัญของสิ่งที่เราเหลืออยู่ น้องยาเห็นด้วยกับพ่อไหม”

ทุกสิ่งที่พ่อสอนเป็นเรื่องถูกต้องทั้งสิ้น สริณยายิ้มให้พ่อ ก่อนหันไปมองแม่ที่นั่งกุมมือนิ่งอยู่ข้างพ่อ สายตาแม่มองเธออย่างคาดหวัง เห็นแบบนั้นแล้วจะให้สริณยาตอบว่าอย่างไร

“ค่ะ” เธอยิ้มให้แม่ “ยาจะไปด้วย”

ได้รับคำตอบเช่นนั้นแล้วแม่ก็ร้องไห้โฮ โผเข้ามากอดเธอแล้วพูดพร่ำฟังแทบไม่ได้ศัพท์ “ขอบคุณนะลูก ขอบคุณที่ตามใจแม่ ขอบคุณที่ไม่ทิ้งแม่ แม่ไม่เหลืออะไรแล้วนะ ชีวิตแม่เหลือแค่น้องยากับพ่อเท่านั้น แม่ไม่อยากสูญเสียใครไปอีกแล้ว”

สริณยาน้ำตารื้น กอดแม่แน่น “แม่ไม่เคยเสียใครไปหรอกค่ะ กระทั่งน้องดา...น้องดายังอยู่ในใจของพวกเราไม่ใช่เหรอคะ”

   

ก่อนจากเมืองกรุงไปเริ่มต้นใหม่กับครอบครัว สริณยาตัดสินใจไปพบตำรวจเจ้าของคดีเพื่อตามเรื่องน้องสาวเป็นครั้งสุดท้าย

แต่ก็เหมือนเดิม...ห้องทำงานของตำรวจนายนั้นว่างเปล่า มีเพียงตำรวจหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งเดินมาบอกเธอว่า

“ท่านมีประชุมที่กรมครับ วันนี้คงไม่เข้า มีเรื่องอะไรฝากผมเอาไว้ก็ได้ครับ”

สริณยาแจ้งว่าเธอและครอบครัวจะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด เธอให้ที่อยู่และเบอร์โทร. ร้านทำผมของแม่เอาไว้ ก่อนขอร้องว่าหากมีความคืบหน้าเรื่องน้องสาว ให้ตำรวจนายนั้นช่วยแจ้งเธอด้วย

นายตำรวจหนุ่มหน้าตาดียิ้มให้เธอก่อนรับปาก ทว่าสริณยาไม่เชื่อเขาเลยสักนิด สามเดือนที่ผ่านมาไม่เคยมีความคืบหน้าอะไร บางที...ตำรวจอาจเลิกสืบเรื่องน้องของเธอไปแล้วก็เป็นได้

สำหรับตำรวจที่ในวันหนึ่งพบเจอเรื่องเลวร้ายกว่านี้ สำคัญกว่านี้เป็นร้อยเป็นพันเท่า จะมาสนใจอะไรกับเรื่องเล็กๆ อย่างผู้หญิงคนหนึ่งตาย!

   สริณยาเปิดนิตยสารท้องถิ่นเพื่อดูตำแหน่งงานที่เธอพอทำได้

ครอบครัวเธอย้ายมาอยู่พิษณุโลกได้เกือบเดือนแล้ว ร้านทำผมของแม่เปิดตามเดิม โดยลูกมือทั้งสองของแม่เป็นคนทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่ แม่ยังคงมีอาการซึมเป็นพักๆ บางวันก็ลงมาทำงานได้ บางวันก็เอาแต่นอนโดยอ้างว่าป่วย ส่วนพ่อกำลังศึกษาเรื่องการขยายสาขาโรงเรียนกวดวิชามายังจังหวัดนี้ ช่วงนี้ท่านจึงดูแลแม่และทำงานเป็นพ่อบ้านเต็มเวลาไปก่อน

“ยังหางานอยู่เหรอลูก”

พอพ่อเปิดประตูห้องนอนออกมาพร้อมไม้กวาดและที่โกยผง สริณยาจึงปิดหนังสือลงแล้วยิ้มแหย “ค่ะ”

ดูเหมือนพ่อพอจะเดาได้ว่าลูกสาวยังไม่พบงานที่ถูกใจจากรอยยิ้มของเธอ พ่อจึงเดินเข้ามาหาแล้ววางมือลงบนศีรษะของลูก “งานสมัยนี้หายากนะ”

“งานหาไม่ยากหรอกค่ะ แต่งานถูกใจน่ะหายาก” บ่นจบสาวว่างงานก็ลุกขึ้นมาจากโต๊ะรับประทานอาหารซึ่งอยู่ตรงข้ามกับครัว เธอแย่งไม้กวาดมาจากมือพ่อก่อนอาสา “พ่อพักเถอะค่ะ ที่เหลือเดี๋ยวยากวาดเอง”

พ่อไม่ห้ามลูก แต่เดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อนำไม้ถูพื้นมาถูบ้านแทน

พ่อเธอเป็นผู้ชายที่หาได้ยากในยุคสมัยนี้ พ่อไม่เคยรังเกียจงานบ้าน ทำได้ทุกอย่าง กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำกับข้าว ซักผ้า และเพราะมีต้นแบบเช่นนี้ สริณยาจึงพลอยเก่งเรื่องทำกับข้าวและการดูแลบ้านไปด้วย ตอนอยู่บ้านเก่าสองพ่อลูกก็ช่วยกัน พอมาอยู่บ้านใหม่ก็ยังเป็นเธอกับพ่อที่ช่วยกัน ส่วนแม่นั้น...ยกเอาไว้คน แม่ไม่เคยทำงานบ้านมาแต่ไหนแต่ไหนแล้ว

“น้องยาคะ พี่หนูแดงให้พี่เอาซองนี้มาให้ค่ะ”

ผู้ที่ขึ้นมายังชั้นสองของตึกซึ่งเป็นส่วนที่เจ้าของร้านใช้เป็นบ้านพักนั่นคือพี่เม้าท์ ลูกมือมือหนึ่งของแม่

“ซองอะไรคะเนี่ย หนักๆ”

สริณยายิ้ม ไม่ตอบ ก่อนเดินไปรับซองสีน้ำตาลมา พี่เม้าท์มีนิสัยเหมือนชื่อไม่มีผิด ชอบพูดชอบคุย...ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน

ดีที่สริณยาไม่มีอะไรปิดบัง เธอจึงฉีกซองออกดูและพบว่า สิ่งที่อยู่ในซองเป็นนิตยสารบันเทิงระเริงใจนั่นเอง

เมื่อเห็นสิ่งที่คุ้นเคย สริณยาก็กอดหนังสือเอาไว้แนบอกแล้วคิดถึงเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เคยทำงานร่วมกันมาหลายปี

สริณยาชอบอ่านหนังสือ รู้มาตั้งแต่เด็กว่าอยากทำงานด้านนี้ เธอจึงตั้งใจจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่ต้องการได้ เธอยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำก็เข้าทำงานที่นิตยสารบันเทิงระเริงใจ หญิงสาวเริ่มจากการเป็นเบ๊ทั่วไป ติดต่อประสานงาน พิสูจน์อักษร เขียนคอลัมน์ และมาจบที่ตำแหน่งเลขาบรรณาธิการแบบงงๆ 

งานทำหนังสือเป็นงานสนุก โดยเฉพาะช่วงใกล้ปิดต้นฉบับเป็นอะไรที่สนุกมากถึงมากที่สุด พนักงานบางคนถึงกับต้องทำงานโต้รุ่งสองสามวันซ้อนเลยทีเดียว เมื่อคิดถึงสภาพของรุ่นพี่บางคนที่เป็นสาวเป็นแส้แท้ๆ แต่นอนกางแขนกางขาหมดสภาพอยู่บนโซฟารับแขก สริณยาก็หัวเราะออกมาเบาๆ 

“ต๊าย น้องยาอารมณ์ดีแบบนี้...แฟนคงส่งหนังสือแบบชุดเจ้าสาวมาให้มั้งคะเนี่ย” เม้าท์ สาวโสดวัยสี่สิบเดาไปตามประสา

สริณยายิ้มให้คนที่อยากรู้เรื่องชาวบ้านเหลือเกิน แล้วพลิกปกหนังสือให้เม้าท์ดูก่อนบอก “ใช่ที่ไหนล่ะคะ นี่เพื่อนๆ ที่ทำงานเก่าของยาเขาส่งมาให้ต่างหาก นี่เป็นหนังสือเล่มแรกที่ยาไม่มีส่วนร่วมในการผลิต...” ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ปลายเสียงของสาวว่างงานก็สั่น สั่นเพราะความเสียดาย สั่นเพราะความคิดถึง กระนั้นแม้เสียงเธอจะสั่น แต่ใบหน้าเธอยังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้ได้ “ยาขอตัวก่อนนะคะพี่เม้าท์ ขอไปอ่านหนังสือก่อน”

พูดตัดบทจบ หญิงสาวก็หมุนตัวขึ้นบันไดไปยังชั้นสามของตึกที่เป็นห้องนอนของเธอกับน้องสาว

ห้องของสองสาวแต่งด้วยสีส้มลูกพีชสีโปรดของโศภิดา การตกแต่งเรียบง่าย จัดแบบสมมาตร เตียงเดี่ยวสองเตียงตั้งชิดมุมคนละฝั่ง ถัดจากเตียงคือโต๊ะอเนกประสงค์ ใช้เขียนหนังสือหรือทำงานก็ได้ ใช้เป็นโต๊ะเครื่องแป้งก็ได้ ช่องว่างตรงกลางระหว่างโต๊ะเขียนหนังสือคือกระจกเงาที่สูงจดเพดานห้องและตรงกับประตูทางเข้าห้อง ดังนั้นเมื่อสริณยาเปิดประตูและก้าวเข้ามา เธอจึงเห็นภาพของตนเองผ่านทางกระจก

ตอนนั้นนั่นเองเธอจึงรู้ว่าตนเองดีใจแค่ไหนที่ได้รับการติดต่อจากเพื่อนที่ทำงานเก่า   

คิดถึง...เมื่อเปิดหน้านิตยสารและอ่านแต่ละคอลัมน์ไปเรื่อยๆ สริณยาก็คิดถึงเพื่อนนักเขียน คนจัดอาร์ต คนปรู๊ฟเล่ม บรรณาธิการ แม่บ้าน พนักงานรักษาความปลอดภัย คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ซึ่งเต็มไปด้วยคนคุ้นเคย

หญิงสาวอ่านมาเรื่อยๆ กระทั่งใกล้ถึงปกหลัง ส่วนท้ายของนิตยสารมักมีโฆษณาที่คนอ่านไม่ค่อยสนใจนัก ทว่าสำหรับคนทำหนังสือ กระดาษทุกหน้าเต็มไปด้วยความตั้งใจของคนทำ ดังนั้นสริณยาจึงกวาดตาดูทุกกรอบ และ...สะดุดตากรอบโฆษณาผับแห่งหนึ่ง

‘เดอะพราวผับ’

ที่นั่นคือสถานที่ที่ทำให้ชีวิตของน้องเธอต้องพลิกผัน สริณยากวาดตามองรูปซึ่งถ่ายหน้าผับ และรูปเล็กๆ อีกสี่รูปซึ่งเป็นบรรยากาศด้านใน เธอเห็นใบหน้าของนักท่องเที่ยวหรือคนซึ่งทำงานในนั้นหลายคน เธอพยายามมอง เจาะจงมองเฉพาะผู้ชาย เผื่อว่า...นั่นจะเป็นใบหน้าของ ‘ที่รัก’

เธอจ้องอยู่นาน พยายามหาคำตอบที่ไม่มีวันรู้ได้ ก่อนจะมาจบลงที่มุมล่างขวามือของภาพที่มีที่อยู่ของเว็บไซต์ผับแห่งนั้น

เพราะความอยากรู้ อยากเห็น อยากได้คำตอบ สริณยาจึงลุกขึ้นจากเตียงไปเปิดโน้ตบุ๊กที่วางเอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของตนเอง

อักษรภาษาอังกฤษซึ่งเป็นชื่อของผับแห่งนั้นถูกคีย์ลงไปและลิงก์ต่อไปยังเว็บไซต์ของผับอย่างรวดเร็ว

สริณยาใช้เมาส์ค่อยๆ เลื่อนภาพตรงหน้าลงไป ถัดจากบรรยากาศหน้าร้านตอนค่ำคืนแล้วเป็นประกาศรับสมัครงาน

“สนใจร่วมงานกับเรา...” หญิงสาวอ่านประกาศที่ติดอยู่ในเว็บไซต์ออกมา ก่อนเลื่อนภาพหน้าจอลงไปอีกเพื่อดูตำแหน่ง “พนักงานเสิร์ฟ หญิง ชาย คุณสมบัติ มีความมั่นใจ บุคลิกหน้าตาดูดี ภาษาอังกฤษพอใช้ รักงานบริการ เวลาทำงานสี่โมงเย็นถึงตีสอง เงินเดือนหมื่นสอง”

ใต้ประกาศรับสมัครมีรูปพนักงานเสิร์ฟที่ทำให้สริณยาเบิกตากว้าง ยูนิฟอร์มของร้านแห่งนี้ไม่เหมือนพนักงานเสิร์ฟตามร้านอาหารทั่วไปที่เธอเคยเห็น

ผู้ชายผูกหูกระต่ายสีดำที่คอ ไม่สวมเสื้อ สวมกางเกงขายาวสีดำ ส่วนผู้หญิงสวมกระโปรงสั้นสีดำเชิ้ตแขนกุด เอวลอยสีขาว มีหูกระต่ายสีดำอยู่บนศีรษะ

สริณยาไล่สายตามองหน้าพนักงานเสิร์ฟทุกคน แต่ละคนล้วนแล้วแต่หน้าตาดี รูปร่างดี ใคร...ก็สามารถเป็น ‘ที่รัก’ ได้

แม้หญิงสาวจะรู้ว่าหากตอนนี้เธอได้รู้ว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใครก็ไม่มีประโยชน์อะไร อย่างไรเสียน้องสาวเธอก็ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้ แต่...เธอก็ยังอยากเจอมัน เธอมีคำถามอยากถามมัน อยากมองหน้ามัน อยากให้มันรู้ว่าสิ่งที่มันทำลงไปไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลชั่วๆ อะไรของมัน มันทำให้คนคนหนึ่งต้องตาย และทำให้ครอบครัวหนึ่งต้องบอบช้ำแค่ไหน

หญิงสาวจ้องรูปภาพพนักงานในร้านรูปนั้นอยู่นาน ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

   

สามวันหลังจากตัดสินใจได้ สริณยาก็หอบกระเป๋าเดินทางใบโตกลับมายังบ้านของตนเองที่กรุงเทพฯ 

ผ่านไปเดือนกว่า หญ้าในสนามยาวขึ้นหน่อย แต่บ้านซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์สองชั้นยังดูสะอาดดี อาจมีฝุ่นเกาะตามเฟอร์นิเจอร์เล็กน้อย แต่ไม่มีข้าวของอะไรหาย ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม

หญิงสาวที่เดินทางมาหกชั่วโมงเต็มเดินเข้ามานั่งบนโซฟาภายในห้องรับแขกของบ้านที่ประกาศขายแล้วแต่ยังขายไม่ได้ เธอเอนศีรษะพิงพนัก ดวงตามองขึ้นไปยังโคมไฟทรงกลมซึ่งอยู่บนเพดาน

การกลับมายังเมืองกรุงของเธอในคราวนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้เป็นแม่ แม่ทั้งร้องไห้ ทั้งอ้อนวอน ขอให้เธอเปลี่ยนการตัดสินใจ แต่สริณยาตัดใจไม่ได้ จะอย่างไรเธอก็ยังอยากเห็นหน้าคนที่ฆ่าน้องสาวเธอ

ใช่! คนที่น้องดารักเป็นคนที่ฆ่าน้องดา 

เธอพูดไม่ผิดหรอก เพราะในไดอะรีของน้องดาบอกเอาไว้ชัดว่าน้องดาตายไปแล้วตั้งแต่วันที่รู้ว่าคนที่ตนรักหลอกลวงเธอ คนที่ฆ่าคนทางอ้อมแบบมันไม่ควรได้อยู่อย่างสุขสบาย อย่างน้อยมันก็ควรถูกจับเข้าคุกในข้อหาค้ายาเสพติด หรือค้าผู้หญิง!

เมื่อคิดถึงเป้าหมายของตนเองแล้วสริณยาก็รู้สึกฮึกเหิม แต่พอคิดถึงวิธีที่ต้องหาตัวไอ้เลวนั่นให้พบแล้วเอามันมาลงโทษ ความฮึกเหิมก็ลดลงจนแทบจะเรียกได้ว่าติดลบ

ความรู้สึกด้านลบที่เริ่มเข้ามาเยือนทำให้หญิงสาวที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางรีบลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ปัดความกลัวโน่นกลัวนี่ทิ้งไป แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. กลับไปยังร้านทำผมของแม่

“ยาเองค่ะแม่ ยากลับมาถึงบ้านแล้วค่ะ ปลอดภัยดี”

สริณยาพูดกับแม่เพียงเท่านี้ จากนั้นก็ได้แต่พูดคำว่า “ค่ะ จะระวังตัวค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ” เป็นระยะๆ รับคำเตือนด้วยความเป็นห่วงสุดหัวใจของแม่

แม่กับพ่อไม่รู้หรอกว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไร เธอโกหกพวกท่าน หลอกพวกท่านว่าที่ทำงานเก่าเรียกตัวอยากให้กลับไปทำงาน เธอเองก็ยังหางานที่พิษณุโลกทำไม่ได้ จึงอยากกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ 

พ่อน่ะพูดด้วยไม่ยาก ท่านเข้าใจ และรู้ดีว่าเธอนั้นดูแลตัวเองได้ แต่แม่...แม่ที่เหลือเธอเป็นลูกอยู่เพียงคนเดียวไม่ได้ยอมง่ายๆ แบบพ่อเลย ทว่า...เธอเองก็ทนอยู่นิ่งเฉยให้เรื่องของน้องดาเงียบหายไปเฉยๆ ไม่ได้เช่นกัน

แม้จะรู้ว่ามันยาก มันอันตราย แต่เธอก็จะพยายามอย่างเต็มที่เท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้ เพื่อลากตัวคนที่ทำกับน้องเธอมารับผิดให้ได้ 

นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่พี่สาวซึ่งไม่ใส่ใจน้องมากพอแบบเธอพอจะชดเชยให้น้องได้

หญิงสาวลุกขึ้นจากโซฟา เปิดโทรศัพท์ดูรูปที่เซฟมาจากเว็บไซต์ของเดอะพราวผับ แล้วเม้มริมฝีปากแน่น

“ไม่มีอะไรยากเกินความพยายามหรอก” ให้กำลังใจตนเองเรียบร้อย สริณยาก็เดินเข้าไปในห้องน้ำด้านล่าง ล้างหน้าล้างตาให้ดูสดชื่น ก่อนออกมาคว้ากระเป๋าสะพายใบเก่งแล้วก้าวออกจากบ้านไปอย่างมั่นใจ

จะตีเหล็กก็ต้องตีตอนมันกำลังร้อน การเอาแต่นั่งคิด นั่งกลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงไม่สร้างประโยชน์อะไรนอกจากทำให้ท้อใจ ถ้าอยากได้อะไรเราต้องเดินไปไขว่คว้าเอามา...นั่นคือคติที่สริณยายึดถือเสมอมา

น้องดา...คอยดูนะ พี่จะลากตัวไอ้คนที่ฆ่าน้องดาออกมาคุกเข่าขอโทษน้องดาให้ได้!

   ผับอุบาทว์ที่ว่าอยู่ห่างจากบ้านเธอไม่มากนัก นั่งรถเมล์ในช่วงคนยังไม่เลิกงานราวครึ่งชั่วโมงก็ถึง เสียแต่ต้องเดินต่อเข้าไปในซอยอีกเกือบสิบนาที พอเห็นลานจอดรถโล่งๆ และตัวอาคารซึ่งทาสีดำเอาไว้แปลกตาไปจากตึกใกล้เคียง สริณยาก็รู้ว่าเธอมาถึงที่แล้ว

หญิงสาวหยุดมองอาคารโมเดิร์นสูงสามชั้นตรงหน้าอย่างรังเกียจ ริมฝีปากบางขบเข้าหากันก่อนจะต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงทุ้มดังมาจากข้างหลัง

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”

สริณยาหันกลับไปมองก็พบผู้ชายคนหนึ่ง เขาแต่งตัวแบบคนทำงานออฟฟิศ เสื้อแขนยาวสีขาวและกางเกงสแล็กสีดำ เขาสูง...สูงมากจนเธอต้องแหงนคอมอง และที่สำคัญ เขาหล่อมากด้วย หล่อจนเธออ้าปากค้างมองเพลินตาไปเลย

หญิงสาวมั่นใจว่าเขาต้องเป็นลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว หรือไม่ก็มีเชื้อฝรั่งแน่ๆ เพราะเขานั้นผิวขาว ขาวจนขับให้ริมฝีปากของเขามีสีแดงชาด ตามแนวคางเห็นไรเคราเขียว และดวงตาคู่นั้น...มันเป็นสีแปลก ไม่ใช่สีดำหรือสีน้ำตาลแบบชาวไทยทั่วๆ ไป

ในขณะที่สริณยากำลังจ้องดวงตาคู่สวยนั้นเพื่อลงความเห็นว่าตาเขาสีอะไรแน่ ชายคนนั้นก็ยิ้มให้เธอนิดๆ ก่อนถามซ้ำอีกที 

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น