บทที่ 1

1

หัวใจสลาย

“เขาว่ากันว่าเด็กนี่เป็นเด็กใจแตก เสพยา มั่วเซ็กซ์อยู่ในตึกร้างนั่นแหละ แล้วก็เมายาไง เธอเลยโดดจากตึกลงมาเอง นี่เขาว่ากันว่ากว่าคนจะไปเจอก็อืดส่งกลิ่นแล้วนะเธอ”

“บ้า ยายน้องดานี่มันเพื่อนลูกสาวฉัน คบกันมาตั้งแต่สมัย ม. ปลาย ฉันเห็นมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก น้องดาไม่มีวี่แววว่าจะเกเรเกตุงตรงไหน ฉันเชื่อว่าน้องดาต้องถูกทำร้ายแน่ และอีกไม่นานตำรวจต้องตามไอ้พวกสัตว์นรกนั่นมาชดใช้กรรม!”

ไม่ว่างานไหนคนไทยก็นินทาผู้อื่นได้เสมอ กระทั่งในงานศพ...การนินทาคนตายก็ยังไม่ถูกละเว้น แถมนินทาในช่วงที่พระท่านกำลังสวด นินทาทั้งที่นั่งอยู่คล้อยหลังเจ้าภาพไปไม่ไกล

สริณยากัดริมฝีปากแรง มือที่พนมแนบอกอยู่นั้นสั่นเทา เต็มไปด้วยอารมณ์ที่อยากกรีดร้อง อยากกระชากป้าปากไม่ดีคนนั้นเข้ามาหา แล้วบอกป้าให้เข้าใจเสียใหม่ว่าน้องของเธอเป็นเด็กดี และเด็กดีแบบน้องดาไม่ควรจบชีวิตในวัยเพียงแค่ยี่สิบปี และไม่ควร...จากไปอย่างอนาถแบบนี้ 

จริงๆ ไม่ควรมีผู้หญิงคนไหนจบชีวิตลงแบบน้องสาวเธอทั้งสิ้น!

ข่าวการตายของน้องสาวเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นข่าวแสนปกติไปแล้วในประเทศไทย ทุกๆ อาทิตย์ก็จะมีข่าวผู้หญิงถูกข่มขืนและฆ่าตายอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์สักคดีสองคดี บ่อย...จนผู้คนชินชา และเลิกที่จะใส่ใจ

สริณยาเองก็เช่นกัน เธอเห็นข่าวของน้องตั้งแต่วันแรก ก็ได้แต่ฟังผ่านๆ ไป ไม่ได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจคนตายเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็คงจะเป็นเหมือนทุกคนที่เห็นจนชิน อ่านจนชิน และคงไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้หากผู้ตายไม่ใช่ญาติพี่น้องของตัวเอง

แม่...โทร. หาเธอหลังจากข่าวสะเทือนขวัญสังคมเมืองถูกนำเสนอทางสื่อโทรทัศน์ได้สองวัน ทันทีที่สริณยาได้ยินเสียงแม่ แม่ที่ร่ำไห้พร้อมพูดแทบไม่เป็นภาษา หญิงสาวก็ตัวเย็นเฉียบ รับรู้ได้ในทันทีว่าต้องเกิดเรื่องไม่ปกติขึ้นแน่ เพียงแต่...ไม่คิดเลย ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเรื่องไม่ปกตินั้นจะเป็นเรื่องของน้องสาวคนเดียวของเธอ

“ตำรวจโทร. มา เขาบอกว่าคนที่ตายคือน้องดา ใจแม่จะขาดแล้วน้องยา ใจแม่จะขาด!”

แม้สริณยาจับใจความเรื่องที่แม่พูดได้ไม่แจ่มชัดนัก กระนั้นเธอยังรับปากแม่ว่าจะรีบไปดูน้องที่ห้องพัก จากนั้นจะไปรับแม่ที่โดยสารรถทัวร์มาจากพิษณุโลกเพื่อมาพบตำรวจที่กรุงเทพมหานคร

หญิงสาวรีบลางาน กดโทรศัพท์หาน้องสาวที่ทุกเดือนสองเดือนพี่น้องที่สนิทกันอย่างยิ่งจะต้องหาเวลามาพบเพื่อพูดคุยกัน

แต่โทรศัพท์ของน้องติดต่อไม่ได้ ส่วนห้องของน้องก็ว่างเปล่า

สริณยาเสียมารยาทเคาะถามห้องข้างๆ ว่าเห็นน้องเธอบ้างหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าไม่ พอถามยามที่เฝ้าอยู่ด้านล่าง ยามก็บอกว่าไม่เห็นน้องเธอมาหลายวันแล้ว

สังหรณ์ไม่ดีเริ่มเกาะกุมจิตใจเธอ เธอไม่อยากโทรศัพท์ไปหาแม่ตอนนี้ และหากไม่แน่ใจเรื่องน้องก็ยังไม่อยากบอกพ่อ ดังนั้นระหว่างนั่งรอแม่อยู่ที่หมอชิต เธอได้แต่เข้าเฟซบุ๊กของน้อง และไล่ถามเพื่อนของโศภิดาทางหลังไมค์ว่ามีใครอยู่กับน้องเธอหรือติดต่อน้องเธอได้ในช่วงนี้หรือไม่

ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาล้วนแล้วแต่ตอบว่า...ไม่

   

แม่เธอเป็นคนสวย แม้ตอนนี้อายุเกือบห้าสิบแล้วแต่แม่ยังคงความงามเอาไว้ได้ แม่ชอบแต่งตัว แต่งหน้า เหมือนน้องดาที่ได้รับนิสัยรักสวยรักงามและความงามจากแม่ไปทั้งหมดโดยไม่เหลือเอาไว้ให้พี่สาวแบบเธอบ้างเลย

ทว่าวันนี้ร่างที่โผเผลงมาจากรถทัวร์ดูโทรมอย่างยิ่ง ใบหน้าของแม่ไม่ได้แต่ง ผมขมวดเอาไว้ลวกๆ เสื้อ กางเกง รองเท้า ดูไม่เข้ากัน กระทั่งกระเป๋าถือแม่ก็ใช้กระเป๋าผ้าใบที่ฉวยง่ายที่สุดเอามาสะพาย

หญิงสาวเห็นแม่กวาดดวงตาแดงก่ำไปรอบกาย และเมื่อพบเธอ แม่ก็วิ่งเข้ามากอดแล้วร้องไห้โฮ แม่ไม่อายใคร ไม่รู้สึกว่าต้องสำรวมอะไรอีกต่อไป

“ตำรวจบอกว่าเป็นน้องดา เขาให้แม่ไปดูศพ ให้ไปชี้ตัว แม่...แม่...”

น้ำตาสริณยาไหลออกมาก็ตอนนี้ ตอนที่แม่พูดว่า ‘ศพ’

“เกิดอะไรขึ้นคะแม่ น้องดาเป็นอะไร”

“ผู้หญิงในข่าว คนที่ตกตึกลงมาคือน้องดา”

ทันทีที่แม่บอก ข่าวครึกโครมบนหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ซึ่งสริณยาดูและอ่านแบบผ่านๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำ

ศพผู้หญิงที่เน่าแล้วถูกพบโดยเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งซึ่งตั้งใจจะเข้าไปหาเรื่องสนุกทำกัน เพราะไม่มีหลักฐานว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร อีกทั้งสภาพศพและสาเหตุที่เสียชีวิตก็ยังเป็นปริศนา ข่าวจึงอยู่ในความสนใจของนักข่าวและผู้เสพข่าวทั้งหลายพอสมควร

“ตำรวจขยายวงค้นหาจนเจอกระเป๋าสตางค์ของน้องดาถูกเผาอยู่ห่างออกไปหลายเมตร เขาเจอบัตรนักศึกษาที่ถูกเผาไม่หมด เขาเลยบอกให้แม่ไปดู...เขาให้แม่ไปดูว่าผู้หญิงในข่าวนั่นใช่น้องดาไหม ตำรวจมันบ้าไปแล้ว! มันแช่งลูกแม่ได้ยังไง แต่...แต่แม่ติดต่อน้องดาไม่ได้ น้องดาไปไหนฮะน้องยา น้องดาไปไหน น้องดาไปมหาวิทยาลัยใช่ไหม หรือว่าไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หรือว่าตอนนี้น้องดารอแม่อยู่ที่ห้อง น้องดาของแม่ยังอยู่ใช่ไหม”

สริณยาพยักหน้าทันที ไม่ใช่เพียงแต่แม่ที่ไม่อยากยอมรับ เธอเองก็ไม่เชื่อหรอกว่า...ว่าศพนั่นจะเป็นน้องเธอ

“น้องดาต้องยังอยู่สิแม่ ตำรวจคงเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ข่าวบอกว่าผู้หญิงที่ตกตึกมาเป็นพวก...พวกผู้หญิงหากินที่ถูกหลอกมาข่มขืนแล้วฆ่าไม่ใช่เหรอแม่ เพราะฉะนั้นจะเป็นน้องดาไปได้ยังไง ไม่ใช่! ไม่มีวันใช่!”

สายตาแม่ที่มองเธอเปี่ยมไปด้วยความหวัง แม่กุมมือเธอแน่น ดวงตาแดงก่ำที่ยังมีหยาดน้ำรินไหลจ้องเธอนิ่งก่อนแม่จะเอ่ยปากถามราวต้องการคำยืนยัน “น้องยาว่าไม่ใช่ใช่ไหม”

สริณยาส่ายหน้าดิก แม้ดวงตาจะมีน้ำตาคลอ แต่เธอยังปฏิเสธที่จะเชื่อ “ไม่ใช่ ต้องไม่ใช่!”

   แต่คำอธิษฐานของเธอไม่เป็นจริง เมื่อไปถึงสถานีตำรวจเพื่อขอพบเจ้าของคดี คุณตำรวจท่านนั้นให้เธอกับแม่ดูกระเป๋าสตางค์และบัตรนักศึกษาที่ไหม้ไปกว่าครึ่งของโศภิดา

บัตรนักศึกษาไหม้ไฟใบนั้นไหม้จนไม่เห็นรูปถ่ายของโศภิดา แต่ยังเหลือส่วนที่แจ้งว่าน้องสาวเธอศึกษาอยู่ที่ไหน และบริเวณชื่อก็ยังครบสมบูรณ์ ส่วนกระเป๋าสตางค์สีขาวนั่น...เป็นกระเป๋าแบรนด์เนมซึ่งสริณยาซื้อให้น้องเป็นของขวัญวันเกิดครบรอบสิบแปดปีของน้อง เธอย่อมต้องจำมันได้

“ของพวกนี้เป็นของน้องฉันจริงค่ะ แต่ฉันเชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นคงไม่ใช่น้องฉันหรอก ไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้” ยามเอ่ยปฏิเสธ ริมฝีปากสริณยาเหยียดยิ้มเสียด้วยซ้ำ เธอยิ้ม ทั้งที่ดวงตาเต็มไปด้วยความกลัว

สีหน้า พ.ต.ท. เด่นชัยมีร่องรอยของความลำบากใจและเห็นใจหญิงสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่น้อย

สายตาของตำรวจย่อมมองผู้คนอย่างละเอียดมากกว่าคนปกติธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงเห็นชัดเจนว่าแม้หญิงสาวที่อายุน้อยกว่าจะไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญดังเช่นหญิงที่มีอายุมากกว่า ทว่าสายตาของเธอฉายแววหวาดหวั่นเด่นชัด เพราะเหตุนี้เขาจึงแน่ใจไปกว่าครึ่งแล้วว่าบางที...เขาอาจยืนยันศพนั้นได้ในวันนี้ 

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้น้องสาวของคุณอยู่ที่ไหนครับ ติดต่อได้ไหม”

สริณยากัดริมฝีปากแล้วส่ายหน้า น้ำตาเธอเกือบหยดแต่กลั้นเอาไว้เต็มที่ เธอจะร้องไห้ทำไมในเมื่อศพนั้นไม่ใช่น้อง เธอ ต้องไม่ร้องสิ!

พ.ต.ท. เด่นชัยถอนหายใจเบาๆ ก่อนเลื่อนลิ้นชักทางซ้ายมือของตนเองออกแล้วหยิบเอาแฟ้มสีดำเล่มหนึ่งขึ้นมา เขามองผู้หญิงสองคนที่คนหนึ่งกำลังกลั้นน้ำตา ส่วนอีกคนร้องไห้ไม่หยุด แล้วตัดสินใจเลื่อนแฟ้มไปให้หญิงซึ่งเขาคาดว่าน่าจะเป็นพี่สาวของเหยื่อ

“นั่นเป็นรูปถ่ายของผู้ตายครับ ไม่ทราบว่าคุณพอจะดูแล้วชี้ตำหนิรูปพรรณได้รึเปล่า” เพราะความเห็นใจ นายตำรวจจึงเลือกใช้คำอื่นที่ไม่ใช่คำว่า ‘สภาพศพ’ แทน

สริณยาจ้องแฟ้มสีดำนั่นอย่างหวาดกลัว เธอมองหน้าแม่ที่ร้องไห้โฮแล้วหันไปมองตำรวจที่เริ่มมีสีหน้ายุ่งยากใจ

“จริงๆ แล้วผู้ตายอาจไม่ใช่น้องของคุณก็ได้ครับ แต่เรื่องนี้เราจะไม่รู้เลยถ้าคุณไม่ดู ไม่พิสูจน์ ความจริงยังไงก็เป็นความจริงวันยังค่ำ แม้ความจริงจะไม่น่าพิสมัยนักก็ตาม” 

พูดจบตำรวจเจ้าของคดีก็ยื่นมือมาเปิดแฟ้มออก

สริณยาเห็นภาพเพียงแวบเดียวก็เบนหน้าหนี พร้อมยกมือขึ้นปิดปากตนเองเอาไว้ เธอจะได้ไม่เผลออุทานอะไรออกมา

“คุณไม่อยากรู้เหรอครับว่านี่ใช่น้องสาวของคุณจริงไหม คุณไม่อยากพาเธอกลับไปทำพิธีทางศาสนาเหรอครับ แข็งใจหน่อย ผมจะให้ดูตำหนิและเครื่องประดับที่ติดอยู่ที่ตัวศพ”

มือกร้านของนายตำรวจวัยสี่สิบพลิกกระดาษไปหลายหน้า ก่อนชี้นิ้วไปยังรูปซึ่งอยู่ในแฟ้ม “ผู้ตายไม่มีรอยสัก ไม่มีแผลผ่าตัด เครื่องประดับติดตัว มีแหวนทองเกลี้ยงวงหนึ่งที่นิ้วนางข้างซ้าย และสร้อยข้อเท้ารูปเปลือกหอย”

ฟังคุณตำรวจพูดแล้วสริณยาก็ใจหายวาบ เนื่องจากเธอรู้ดีว่าน้องสาวชอบใส่สร้อยข้อเท้า โศภิดามีสร้อยข้อเท้าหลายแบบมาก และรูปเปลือกหอยที่คุณตำรวจพูดถึงเป็นเส้นที่น้องชอบมากเส้นหนึ่ง

หญิงสาวกลั้นใจ หันกลับไปมองรูปซึ่งอยู่ภายในแฟ้ม รูปสองรูปในหน้านั้นไม่มีสภาพของศพซึ่งเธอไม่อยากมองไม่อยากเห็น มีเพียงรูปของเครื่องประดับสองชิ้น ซึ่งพอดูสร้อยข้อเท้าชัดๆ แล้ว...สริณยาก็จำได้ว่าสร้อยนั้นคล้ายสร้อยของน้องสาวมาก

เธอเริ่มสะอื้น แต่ยังปฏิเสธ “สร้อยแบบนั้นไม่ใช่แค่น้องฉันที่มี”

“ถ้าอย่างนั้นช่วยดูภาพผู้ตายได้ไหมครับ เผื่อว่า...” ตำรวจเจ้าของคดียังพูดไม่ทันจบประโยค หญิงวัยกลางคนที่น่าจะเป็นแม่ของผู้ตายก็ตัวอ่อนเป็นลมพับไป จนพี่สาวผู้ตายต้องประคับประคองบีบนวดและควักยาดมมาให้ดมเป็นพัลวัน

ภาพแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับตำรวจ บอกตรงๆ ตำรวจแทบทุกนายเห็นจนชินชาแล้ว ดังนั้นตำรวจเจ้าของคดีที่ต้องการให้คดีคืบหน้าเร็วที่สุดจึงเลือกที่จะไม่ปลอบโยน แต่ขอความร่วมมือแทน

“ถ้าไม่อยากดูรูป ก็มีอีกวิธีครับที่จะสามารถรู้ได้ว่าผู้ตายเป็นญาติของคุณรึเปล่า ตรวจดีเอ็นเอ”

   

พ่อของเธอรู้ในตอนนั้นเองว่าลูกสาวคนเล็กหายตัวไป และ...อาจไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว

พ่อเป็นคนเดียวที่รับรู้เรื่องนี้อย่างสงบ ไม่ร้องไห้ ไม่โวยวาย และให้ความร่วมมือกับตำรวจเป็นอย่างดีในการมอบตัวอย่างดีเอ็นเอของตนเองและของภรรยาเพื่อไปเทียบกับศพนิรนามนั่น

พ่อดำเนินการทุกอย่างแทนแม่และเธอที่อยู่ในสภาพไม่ดีเท่าใดนัก และทันทีที่เดินเรื่องเรียบร้อย พ่อก็ขับรถพาแม่กับเธอกลับบ้าน ก่อนเข้าครัว ทำกับข้าวง่ายๆ ออกมาสองอย่างแล้วบังคับให้เธอกับแม่กิน พ่อยังดุแม่ที่เอาแต่ร้องไห้ร้องห่มจนไม่เป็นอันทำอะไรด้วย

“เอาแต่ร้องไห้แบบนั้นแล้วได้ประโยชน์อะไร ใช่น้องดาจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ ไม่แน่...บางทีตอนนี้น้องดาอาจไปเที่ยวสนุกอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้ อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ได้ไหม เอ้า...กิน กินเสร็จแล้วไปนอน ตื่นขึ้นมาจะได้มีสติรู้ว่าควรทำอะไรต่อไป”

ด้วยการบังคับของพ่อ แม่ที่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าจึงกินข้าวได้หลายคำ และหลังจากกินยานอนหลับไปหนึ่งเม็ด แม่ก็ขึ้นไปพักผ่อน ส่วนสริณยากับพ่อนั้นช่วยกันล้างจานชามอยู่ในห้องครัว

เก็บล้างเกือบหมดแล้วนั่นแหละพ่อจึงพูดกับเธอว่า “น้องยาก็ไปนอนซะนะลูก อย่าเพิ่งคิดอะไรให้มาก พ่อเชื่อว่าไม่ใช่น้องดาหรอก”

พ่อเกือบทำให้สริณยาเชื่อว่าครอบครัวเธอคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นได้แล้ว ถ้าคืนนั้นเธอไม่ลงมาที่ครัวแล้วเห็นว่าพ่อยังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ในมือของพ่อคีบบุหรี่อยู่ 

พ่อเลิกสูบบุหรี่ไปหลายปีแล้ว การกลับมาสูบใหม่อีกหนแสดงว่าท่านกำลังเครียด กำลังกังวลใจอย่างมาก

ท่านคงรู้ด้วยลางสังหรณ์เหมือนที่เธอกับแม่รับรู้ได้เช่นเดียวกัน...น้องดาคงไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว

   ผลดีเอ็นเอที่พิสูจน์ว่าศพนิรนามแท้ที่จริงแล้วเป็นดาวมหาวิทยาลัยคนสวย มีผลการเรียนดี เพื่อนฝูงรักใคร่ และเติบโตมาในครอบครัวที่ดี ทำให้ข่าวซึ่งไม่มีผู้คนสนใจแล้วโด่งดังขึ้นมาอีกครั้ง

ห้องพักของโศภิดาถูกค้นเพื่อหาหลักฐาน จากปากคำของเพื่อนสนิท ทำให้ครอบครัวผู้สูญเสียแทบช็อกกับความลับของลูกสาวคนเล็กที่ไม่เคยบอกให้พ่อ แม่ หรือพี่สาวได้ทราบ

“เพื่อนสนิทผู้ตายให้ปากคำว่า ลูกสาวของพวกคุณไปทำงานเป็นโคโยตี้ที่เดอะพราวผับตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมคาดว่าเพราะผู้ตายอยู่ในสถานที่อโคจรแบบนั้น จึงทำให้เธอเข้าไปพัวพันกับยาเสพติดและพวกค้ามนุษย์” 

ตำรวจเจ้าของคดีสันนิษฐาน แต่การคาดเดาของเขานั้นทำให้สริณยาส่ายหน้าดิก

“ไม่จริง น้องดาไม่มีวันทำแบบนั้น น้องดาอาจชอบเต้นรำก็จริง แต่...เป็นโคโยตี้เนี่ยนะ พัวพันกับยาเสพติด กับการค้ามนุษย์เนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”

“ตำรวจได้เข้าไปสอบสวนที่ผับแห่งนั้นแล้ว พบว่าน้องสาวคุณเข้าไปทำงานที่นั่นจริง แต่ถูกไล่ออกมาสามเดือนแล้วเพราะ...ถูกทางผับจับได้ว่าค้าบริการทางเพศ”

“ไม่!” ผู้ที่กรีดร้องขึ้นมาคือแม่ของผู้ตาย แม่ผู้ใจสลายที่ยังต้องเจ็บช้ำซ้ำๆ กับสิ่งที่ตำรวจบอกว่านั่นคือความจริงของลูกสาวที่แสนดีของเธอ

พ่อรวบร่างที่หัวใจสลายเข้าไปกอด ปลอบแม่เบาๆ แล้วหันมาสั่งสริณยา “น้องยาพาแม่ออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ เรื่องน้องดา...เดี๋ยวพ่อคุยกับตำรวจเอง”

“พ่อพาแม่ออกไปเถอะค่ะ เรื่องน้องดาเดี๋ยวยาคุยกับตำรวจเอง ตอนนี้แม่ต้องการพ่อนะคะ”

สริณยาเห็นพ่อมองแม่ที่ร้องไห้สะอื้นอยู่กับอกท่าน ก่อนเงยหน้ามองเธอด้วยดวงตาแดงก่ำ

หัวอกพ่อแม่ที่ต้องรับรู้ว่าลูกน้อยที่น่ารักไม่ได้เป็นอย่างที่ตนคิดเจ็บปวดอย่างที่สุด เจ็บจนเกินจะทนไหว กระนั้นผู้ชายที่ควรต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวในยามวิกฤตยังเอ่ยปากถามลูกสาว “น้องยาไหวเหรอคะ”

สริณยาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพยักหน้า สำหรับเธอแล้ว เรื่องลับๆ ที่น้องไม่เคยบอกเธอนั้นทำร้ายจิตใจเธอเช่นกัน แต่เธอต้องรับมัน ต้องรับให้ได้! เธอไม่อาจปล่อยให้พ่อกับแม่ต้องรับรู้เรื่องราวเลวร้ายเช่นนี้ด้วยตัวเอง แค่รู้ว่าลูกสาวคนเล็กเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในสภาพไม่ดีก็แย่พอแล้ว อย่าให้ต้องมารับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังชีวิตส่วนตัวอันไม่ควรรู้ของน้องดาอีกเลย

โศภิดาควรจากไปโดยทิ้งภาพนางฟ้าน้อยๆ เอาไว้ในใจของพ่อแม่ ส่วนภาพผู้หญิงเหลวแหลกจนต้องตายอย่างอนาถนี้ สริณยาจะพยายามซ่อนมันเอาไว้ให้พ่อกับแม่รับรู้น้อยที่สุดเอง   

เมื่อพ่อพยุงแม่ออกไปนั่งรอนอกห้องทำงานของตำรวจเจ้าของคดีแล้ว สริณยาก็หันมาถาม พ.ต.ท. เด่นชัยว่า “แล้วยังไงคะ คุณกำลังจะบอกว่าน้องฉันติดยา...ขายตัว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องคดีคะ สิ่งที่ฉันอยากรู้ก็คือ ใครฆ่าน้องฉัน!”

คำถามตรงๆ ของเธอทำให้สีหน้าของตำรวจเจ้าของคดีผิดปกติไปนิด “เรื่องนี้...เรากำลังสืบอยู่ครับ แต่จากข้อมูลส่วนตัวของน้องคุณที่เราได้มา ทำให้เราต้องคิดถึงความเป็นไปได้เรื่องน้องสาวของคุณอาจฆ่าตัวตายก็ได้เช่นกัน”

สริณยากัดริมฝีปาก ดวงตาเธออาจมีหยาดน้ำคลอคลอง เสียงเธออาจสั่น แต่สิ่งที่พูดออกไปนั้นน่าคิดทีเดียว “ค่ะ ถ้าผู้หญิงคนไหนเดินทางผิดแบบนั้นอาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆ แต่ผู้หญิงคนไหนจะฆ่าตัวตายโดยการถอดเสื้อผ้าออกก่อนแล้วค่อยกระโดดลงจากตึกคะ คนคิดฆ่าตัวตายคนไหนจะเผาสิ่งของที่พิสูจน์ตัวตนของตัวเองก่อนตายคะ แล้วในบริเวณนั้นก็ไม่มีเสื้อผ้าของน้องฉันเลย น้องฉันเดินแก้ผ้าขึ้นรถเพื่อจะไปกระโดดตึกที่อยู่ไกลจากหอพักของตัวเองคนละมุมเมืองได้เหรอคะ”

พ.ต.ท. เด่นชัยมองหน้าพี่สาวเหยื่อนิ่งอยู่หลายวินาที ก่อนหลุบตาลง และเอ่ยอุบอิบว่าเขาจะทำคดีนี้อย่างดีที่สุด

   สุดท้ายแล้วเรื่องก็จบลงแค่นั้น แค่ครอบครัวได้ล่วงรู้ความลับของลูกสาวคนเล็กที่ไม่มีใครอยากรับรู้ ส่วนเรื่องที่อยากรู้กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ และกระทั่งตอนนี้ ในวันสวดศพโศภิดาเป็นวันสุดท้าย คดีก็ดูเหมือนจะยังไม่คืบหน้าแต่อย่างไร

ข่าวของโศภิดาครึกโครมอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ไม่นานก็เงียบหาย...การติดต่อของตำรวจก็เช่นเดียวกัน

ทุกคนที่รู้จักโศภิดาคลายความโศกเศร้า และกลับเข้าสู่วิถีชีวิตของตนเองได้อย่างรวดเร็ว ยกเว้นก็แต่ ‘ครอบครัวซื่อสัตย์’ เท่านั้นที่ความตายของลูกสาว น้องสาว ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

แม่...ยังร้องไห้อยู่ ความสูญเสียทำให้แม่ซึมเศร้า วันๆ ไม่พูดไม่จา หากไม่ร้องไห้ก็เหม่อลอย จนพ่อและเธอต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเกรงว่าแม่จะ...แม่จะตามน้องไป

ส่วนพ่อ แม้สริณยาจะรู้ว่าพ่อเสียใจไม่แพ้แม่ แต่ด้วยความเป็นผู้ชายจึงไม่ได้แสดงออกมากนัก การแสดงออกถึงความเสียใจของพ่อออกมาในรูปแบบการกระทำ พ่อจะตื่นแต่เช้าขึ้นมาทำกับข้าว ก่อนปลุกแม่กับเธอออกไปตักบาตรด้วยกันทุกเช้า

พ่อพยายามใช้ธรรมะเพื่อทำให้แม่ยอมรับความเป็นจริง ทว่าเมื่อยังไม่มีอะไรดีขึ้น พ่อจึงไม่ยอมให้แม่กลับไปที่พิษณุโลก ร้านทำผมของแม่ปิดอย่างไม่มีกำหนด และวันนี้พ่อก็สั่งให้เธอไปเก็บข้าวของของน้องที่ค้างอยู่ที่หอพักออกมาก่อนคืนห้องให้เจ้าของหอไป

สริณยาลางานสองวันเพื่อมาทำตามคำสั่งพ่อ เพื่อนที่ทำงาน เจ้านาย เมตตาเธอมาก เห็นว่าเธอเพิ่งสูญเสียและยังไม่คลายความโศกเศร้าก็อนุญาตให้เธอหยุดงานได้ตามสมควร

ยิ่งทุกคนใจดีต่อเธอแบบนี้ สริณยาก็ยิ่งเกรงใจ ใจจริงเธอไม่อยากหยุดงานบ่อยๆ แม้อินทุกรจะบอกว่ายินดีทำงานเป็นเลขาฯ ให้เจ้านายแทนเธอ เนื่องจากจะได้มาคุมสามีตนเองอย่างใกล้ชิด ทว่าการให้คนท้องโย้มาทำงานแทนมันเหมาะสมที่ไหน แต่...เธอกับพ่อก็ไม่กล้าปล่อยแม่อยู่คนเดียว ดังนั้นบางทีหากแม่ยังทำใจเรื่องน้องไม่ได้ เธออาจตัดสินใจลาออกจากงานมาดูแลแม่

หลังจากที่ต้องสูญเสียคนสำคัญไปหนึ่งคนแล้ว คนที่เหลืออยู่ย่อมรู้ซึ้งถึงคำว่าครอบครัวมากยิ่งขึ้น ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการดูแลคนที่ตนเองรักหรอก...จริงไหม

หญิงสาวในชุดสีดำถอนหายใจเมื่อได้บทสรุปซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตตนเอง

งานสมัยนี้หายากแค่ไหนทุกคนคงรู้ดี ทว่าสิ่งที่หายากกว่างานก็คือ...เพื่อนร่วมงานที่ดี เพียงคิดว่าต้องออกจากสำนักพิมพ์ที่ตนทำงานอยู่ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา สริณยาก็ห่อเหี่ยว แต่จิตใจที่ห่อเหี่ยวอยู่แล้วยิ่งสลดลงไปอีกเมื่อเปิดประตูเข้าห้องพักของน้องสาวแล้วพบว่า ห้องของน้องมีสภาพไม่เหมือนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่เธอเคยมา

ข้าวของทุกอย่างไม่ได้อยู่ในที่ของมัน บางส่วนถูกกองอยู่บนเตียง บางส่วนวางระเกะระกะอยู่บนพื้น ที่ห้องของโศภิดาเป็นเช่นนี้ก็เพราะฝีมือของตำรวจซึ่งเข้ามาตรวจค้น และพบ...ยาเสพติดซุกซ่อนเอาไว้ในตู้เสื้อผ้า

ยาที่ค้นเจอทำให้ตำรวจแน่ใจว่าเป็นเพราะโศภิดาเสพติดมัน จึงก้าวเข้าสู่อาชีพซึ่งหาเงินง่ายเพื่อนำเงินมาซื้อยา และอาชีพเก่าแก่ของโลกอาชีพนั้นน่าจะทำให้น้องสาวเธอพบเจอกับจุดจบแสนอนาถ

น้ำตาของสริณยาหยดลงมาให้เธอปาดมันทิ้ง ตอนอยู่ต่อหน้าพ่อกับแม่ หญิงสาวอาจทำตัวเข้มแข็งได้ แต่พออยู่เพียงลำพัง เธอก็ไม่รู้ว่าจะเข้มแข็ง จะหลอกตัวเองไปเพื่ออะไร 

เธอผิดหวังในตัวน้อง เสียใจเพราะเรื่องที่น้องทำ อยากด่าว่า หรือกระทั่งตบตีน้องที่ทำตัวเช่นนั้น แต่ยังมีอีกสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเธอ นั่นก็คือความรู้สึกผิด

ครั้งสุดท้ายที่เธอเจอกับน้องคือเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนั้นทำไมพี่อย่างเธอถึงมองไม่เห็น มองไม่ออกว่าน้องกำลังมีปัญหา หากตอนนั้นเธอสังเกตสักนิดว่าน้องเปลี่ยนไป บางทีน้องดาอาจไม่ถลำลึกจนกระทั่งมีจุดจบแบบนี้ก็ได้

สริณยารู้ดีว่าการโทษตนเองแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ชีวิตที่สูญเสียไปเพราะความไม่ใส่ใจของเธอไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้ จะร้องไห้คร่ำครวญไปก็รังแต่จะมีสภาพเหมือนแม่ที่ตอนนี้ทำให้พ่อและเธอเป็นห่วงมาก สิ่งที่เธอพอจะทำได้ในตอนนี้ก็คือช่วยพ่อดูแลแม่ และทำตัวให้เข้มแข็ง ไม่ทำให้พ่อเป็นห่วง

คิดได้แล้วหญิงสาวก็ใช้หลังมือปาดน้ำตาออกไปจากใบหน้า แล้วลงมือเก็บข้าวของของน้องสาวใส่ลังกระดาษที่นำมาด้วย

   

เย็นย่ำแล้วกว่าสริณยาจะแพ็กของของน้องสาวลงกระเป๋าเสื้อผ้า ลงกล่องเสร็จ เอาจริงๆ แล้วในห้องนี้ไม่ค่อยมีของอะไรมาก โศภิดาไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบของกระจุกกระจิก น้องเธอชอบแต่งหน้าแต่งตัว ข้าวของจึงหนักไปทางเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องสำอาง

สริณยาตั้งใจไว้ว่าพวกเครื่องสำอางคงให้แม่นำไปใช้หรือไม่ก็เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก พวกเสื้อผ้า รองเท้า หนังสือเรียน จะนำไปบริจาค พวกเครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า เก็บไปไว้ที่บ้าน

เธอมองข้าวของที่แยกเอาไว้เป็นกลุ่มๆ อย่างมีระเบียบ ก่อนนั่งลงบนเตียงแล้วใช้มือทั้งสองข้างทุบ นวดหลังเพื่อคลายความปวดเมื่อย

ทุบอยู่สองสามครั้งสริณยาก็เอนตัวลงนอนขวางฟูกที่ไม่มีผ้าปูที่นอนรองแล้ว ดวงตาแห้งผากเหม่อมองเพดานห้องซึ่งคือสิ่งที่น้องจะเห็นเป็นภาพสุดท้ายก่อนนอน

ก่อนนอน...

จู่ๆ สริณยาก็เบิกตากว้าง กระวีกระวาดลุกจากเตียงแล้วผลักฟูกขนาดห้าฟุตลงไปพิงเอาไว้กับผนังห้อง การต้องทำงานหนักคนเดียวทำให้เธอถึงกับหอบ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ทำได้สำเร็จ

บางทีฉันก็ไม่เข้าใจ คนที่โตแล้วต้องอายุมากเท่านั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันอายุ 20 ในปีนี้ ถือว่าโตแล้วหรือยัง

ใครจะว่ายังไงฉันไม่รู้ แต่ฉันคิดว่าฉันโตแล้ว ฉันดูแลตัวเองได้ แม่เลิกห่วง เลิกจ้ำจี้จ้ำไชกับฉันเสียทีได้ไหม

ฮึ! แน่นอนว่าไม่ได้ แม่มองฉันที่อายุยี่สิบเหมือนเด็กสองขวบเสมอ แม่ไม่เคยใช้ให้ฉันทำอะไร เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูเหมือนว่าฉันจะทำได้ไม่ดีพอทุกครั้ง ใช่สิ ก็ฉันมันไม่เอาไหน ไม่ดี ไม่เก่งเหมือนพี่ยานี่

ฮึ! บางครั้งฉันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ นะว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นพี่ยามาอยู่กับแม่และให้ฉันไปอยู่กับพ่อ บางทีแม่คงมีความสุข และฉันก็คงมีความสุขเหมือนกัน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น