8
วางยาพิษ
สิ่งที่น้องจอยเพิ่งพูดออกมาทำให้สริณยาเบิกตาโต เนื่องจากเธอไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้เรื่องนี้มาก่อนเลย
การตายของน้องสาวเธอจะว่าเป็นเรื่องเล็กก็ไม่ได้เล็ก เป็นข่าวที่คนให้ความสนใจอยู่หลายวันเลยทีเดียว ดังนั้นหากไอ้ที่รักมันร้อนตัว กลัวความผิด คนชั่วอย่างมันคงรีบลาออกแล้วเผ่นไม่เหลียวหลังไปแล้ว
“เรื่องของดา...คนที่ร้านเขาก็พูดกัน แต่เท่าที่ฉันฟังมาไม่เห็นมีใครพูดเลยสักคนว่าดามีแฟน หรือแฟนดาอยู่ที่ร้าน”
ยิ่งได้ฟัง หัวใจสริณยายิ่งแฟบลงๆ เมื่อคิดว่าความพยายามของเธอสุดท้ายอาจกลายเป็นความโง่เง่าและสูญเปล่า
“หยุดตามหาเหอะ ฉันว่าไม่มีประโยชน์อะไรหรอก อีกอย่างที่ผับน่ะก็อันตราย ไม่เหมาะสำหรับเธอหรอก รีบๆ ลาออกดีกว่า”
สิ่งที่จอยพูดเป็นสิ่งที่สริณยาไม่อยากได้ยินเลย เธอต้องปลุกปลอบใจตนเองแค่ไหนกว่าจะมาถึงขั้นนี้ ไม่รู้ละ ไม่ว่าไอ้คนนั้นมันจะยังอยู่ที่ร้านหรือไม่ ก็ต้องมีใครสักคนรู้ว่ามันเป็นใคร ถึงมันจะไม่อยู่ที่ร้านแล้ว ขอเพียงเธอรู้ชื่อ รู้หน้าตา เธอก็เอาข้อมูลนี้ไปบอกตำรวจได้
ในไดอะรีของน้องดาบอกชัดว่ามันเป็นพวกค้ายา ค้าผู้หญิง แค่รู้ชื่อ ตำรวจก็น่าจะตามมันเจอแล้วเอามันเข้าคุกได้แล้ว
มันต้องเข้าคุก ต้องเข้าคุก!
“แล้วใครที่สนิทกับน้องดาที่สุด น้องจอยรู้ไหม”
พอเห็นจอยส่ายหน้าเป็นคำตอบ สริณยาก็นิ่งคิด ใครกันที่จะรู้เรื่องราวของโคโยตี้ดีไปกว่า...คนที่ดูแลโคโยตี้
เฮียลี่!
คิดออกแล้วดวงตานักสืบสมัครเล่นก็วาวแสง เธอปล่อยแขนน้องจอยแล้วเอ่ยขอบคุณก่อนรีบเดินเร็วๆ จากไป
จอยยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอีกหลายนาที ก่อนเปิดกระเป๋าสะพายซึ่งเป็นกระเป๋าแบรนด์เนมแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร. ออก
“ที่รักเหรอคะ วันนี้จอยไปหาได้ไหมคะ...คิดถึง เราไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนเมื่อก่อนแล้วนี่คะ นะ นะคะ...ค่ะ แล้วพบกันค่ะ”
นักศึกษาสาวดึงโทรศัพท์ออกจากหูแล้วมองภาพที่อยู่หน้าจอ เธอยิ้มให้ ‘ที่รัก’ ก่อนกดวางสาย
เพราะเป้าหมายของเธอตอนนี้กระจ่างชัดขึ้น สริณยาจึงไม่รีรอที่จะสานสัมพันธ์กับเฮียลี่ แน่นอนว่าเธอไม่ได้ช่วยงานเฮียลี่ แต่เธอมักจะเตร่เข้าไปคุยกับเขาจนทุกคนในเดอะพราวผับเริ่มล้อว่าเธอตกหลุมรักสาวหล่อเสียแล้ว
มนุษย์นี่หนามักชอบโยงทุกเรื่องทุกสิ่งให้เกี่ยวข้องกับตัณหาไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเสมอ สริณยาไม่ได้เคืองโกรธทว่ากลุ้มใจแทน เพราะข่าวลือที่ว่านี้ทำให้เฮียลี่ปลีกตัวออกจากเธอ มิหนำซ้ำยังทำท่าห่างเหินจนเห็นได้ชัดอีกด้วย
สริณยาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมหนทางในการสืบหา ‘ที่รัก’ ถึงได้มีอุปสรรคขนาดนี้
โอ้ก โอ้ก
เสียงแปลกๆ ที่ไม่ใช่เสียงร้องตามปกติของพรินซ์ทำให้สริณยาที่กำลังกลุ้มต้องวางเรื่องกลุ้มของตนเองเอาไว้ก่อน เธอวางอาหารแมวแบบเปียกที่พรินซ์ชอบเอาไว้บนโต๊ะกินข้าว แล้วเดินเข้ามาในส่วนที่เป็นห้องนอนของคนและแมว
“ตายแล้ว พรินซ์!”
ที่แท้เสียงประหลาดๆ นั่นคือการที่เจ้าแมวอ้วนอาเจียนออกมานั่นเอง เห็นดังนั้นพี่เลี้ยงแมวก็หันหลังกลับไปที่โต๊ะกินข้าวขนาดสองที่นั่ง คว้ากล่องทิชชูกับถังขยะเพื่อมาจัดการอาเจียนของพรินซ์อย่างไม่รังเกียจ
พอเธอนั่งยองๆ เพื่อเก็บอาเจียนกองแรก พรินซ์ก็ส่งเสียงโอ้กอ้าก โก่งตัว แล้วอาเจียนออกมาอีกกอง
สริณยาหันไปมองแมวอ้วนแล้วถาม “เป็นไง เอาก้อนขนออกมาแล้วสบายรึยังพรินซ์”
พรินซ์ไม่ตอบแต่เดินไปซุกที่มุมห้อง คอตก ก่อนจะลุกขึ้นมาอาเจียนอีกหน
คราวนี้พี่เลี้ยงที่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงแมวมาแล้วหลายตัวเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ธรรมดาแล้ว ปกติแมวที่อาเจียนเอาก้อนขนออกมาจะไม่อาเจียนหลายครั้ง ไม่ทำท่าอ่อนแรงเซื่องซึม และ...สริณยาคลี่ทิชชูออกดูอย่างละเอียด เมื่อไม่เห็นก้อนขน เธอก็เริ่มใจไม่ดี หากพรินซ์ไม่ได้สำรอกขนออกมาตามปกติก็ต้องไม่สบายแน่
เธอเดินไปดูห้องน้ำของพรินซ์ ใช้ที่ตักทรายแมวเขี่ยดูก็เห็นอึของพรินซ์เป็นก้อนดี ไม่ได้ถ่ายเหลว แต่พรินซ์ยังโก่งคออาเจียนไม่เลิก เห็นท่าไม่ดีแบบนี้หญิงสาวก็ไม่รอช้า รีบวิ่งออกจากห้องลงไปหาจิณณวัตรทันที
เจ้านายของเธอทิ้งงานทุกอย่างให้ตรัณดูแล และวิ่งนำเธอขึ้นมายังห้องของตนเอง
“พรินซ์! เป็นยังไงบ้างลูก” เขาร้องถามก่อนสอดส่ายสายตาหาลูกชาย
“อยู่มุมห้องค่ะ ตรงโน้น” สริณยาที่วิ่งตามมาชี้มือไปยังมุมปลายเตียงติดกับห้องน้ำ พรินซ์ยังอยู่ที่นั่นในสภาพนั่งหมอบ ตาปิด จมูกสีชมพูซีด หายใจรวยริน
จิณณวัตรลูบหัวลูกชายเบาๆ อย่างอ่อนโยน “เป็นยังไงบ้างพรินซ์ เจ็บตรงไหนบอกพ่อ”
ปกติเวลาพ่อถาม พรินซ์มักจะครางตอบเสียงใสเสมอ แต่วันนี้มันนั่งหมอบนิ่ง...นิ่งจนน่ากลัว
“ไปเอากระเป๋าแมวมา ฉันจะพาพรินซ์ไปหาหมอ”
สริณยารีบทำตามคำสั่ง เธอวิ่งไปข้างโต๊ะทำงานของเจ้านายแล้วคว้ากระเป๋าใส่แมวขนาดใหญ่ออกมา
จิณณวัตรจับพรินซ์เข้าไปในกระเป๋าอย่างนุ่มนวลก่อนวิ่งไปหยิบกุญแจรถ เขาไม่จำเป็นต้องเดินมาหิ้วกระเป๋าใส่พรินซ์อีกรอบเพราะสริณยาที่รู้งานดีหิ้วกระเป๋ามารอเขาอยู่หน้าประตูพร้อมเร่ง
“เร็วค่ะ อย่าช้า”
จิณณวัตรไม่ชักช้าจริงๆ เขาขับรถเร็วจี๋จนสริณยาถึงกับเกาะเบาะแน่นด้วยความกลัว เธออยากบอกเขาให้ขับช้าลงหน่อยเหมือนกัน แต่...ไม่กล้า สีหน้าเขาตอนนี้น่ากลัวเหลือเกิน
ไม่นานนักจิณณวัตรก็ขับรถมาจอดเทียบหน้าโรงพยาบาลสัตว์ สริณยาไม่รอให้เขาสั่ง เธอรีบพาพรินซ์เข้าไปหาหมอทันทีโดยแจ้งว่าเป็นเรื่องฉุกเฉิน พรินซ์อาจกินอะไรผิดสำแดงก็เป็นได้
แม้พรินซ์จะอ่อนแรงลงไปมาก แต่พรินซ์ก็ยังเป็นพรินซ์ มันเกาะกระเป๋าเอาไว้แน่น ไม่ยอมออกมาง่ายๆ ถึงขนาดขู่หมอฟ่อเสียด้วยซ้ำ สริณยาต้องปลอบและพนักงานในร้านช่วยแกะมือแกะเท้าใช้เวลาไปหลายนาทีกว่าจะพาแมวป่วยออกมาจากกระเป๋าได้
พอวางแมวอ้วนลงบนโต๊ะตรวจ เจ้าของตัวจริงของพรินซ์ก็มาถึง หมอซักถามอาการ ซึ่งสริณยาก็ตอบอย่างละเอียด ก่อนนึกเสียใจที่ลืมถ่ายรูปกองอาเจียนมาด้วย ทว่าหมอบอกว่าไม่เป็นไร เพราะแม้พรินซ์อาจไปกินอะไรที่มีพิษหรือของผิดสำแดงมาก็คงไม่มาก เนื่องจากแมวแสบยังขู่ฟ่อๆ ราวกับงูได้ ดิ้นได้ และหากเผลอ มันยังตบหมอ ตบผู้ช่วยหมอได้อีกต่างหาก
เห็นคุณหมอพูดไปยิ้มไปแบบนี้ สริณยาก็เริ่มเบาใจลง
“เชิญคุณออกไปรอข้างนอกแล้วกรอกประวัติน้องก่อนเถอะค่ะ ทางนี้เดี๋ยวหมอจัดการเอง ไม่ต้องห่วงนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ” สริณยาที่เบาใจไปนิดแล้วเดินออกมาจากห้องตรวจ เธอกำลังจะไปที่เคาน์เตอร์เพื่อกรอกประวัติพรินซ์ แต่ชะงักเมื่อพบว่าตนเองไม่รู้ประวัติของพรินซ์สักหน่อย พอหันกลับไปเพื่อจะให้เจ้านายที่แท้จริงของมันไปกรอกประวัติเอง ก็พบว่าจิณณวัตรไม่ได้ตามเธอออกมาจากห้องตรวจ
หญิงสาวเดินกลับเข้าไปในห้องตรวจเพื่อพบว่า ผู้ชายตัวใหญ่ยังคงยืนกอดอกมองพรินซ์ซึ่งขู่ฟ่ออยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าเจ็บปวดแทน
สริณยาจับข้อศอกเจ้านายเอาไว้ เขย่าเบาๆ ให้เขาหันมามองเธอก่อนสั่ง “ออกไปเถอะค่ะ อย่าอยู่ดูเลย ถ้าดูแล้วยิ่งใจเสีย”
“ฉันอยากอยู่เป็นเพื่อนพรินซ์”
แม้เขาจะยืนกรานเช่นนั้นแต่สริณยายังคงลากเขาออกมาจากห้องตรวจแล้วปิดประตูอยู่ดี “ให้หมอเขาทำงานของเขาเถอะค่ะ คุณไปยืนจ้องแบบนั้นหมออาจลำบากใจก็ได้นะคะ”
“แต่พรินซ์อาจต้องการกำลังใจ”
“เชื่อฉันสิ ตอนนี้พรินซ์ไม่ได้ต้องการกำลังใจจากคุณหรอก มันกำลังอยากข่วนหมอสักทีมากกว่า มาค่ะ คุณต้องมากรอกประวัติแมวของคุณ” พูดติดตลกจบหญิงสาวในชุดเมดก็ลากชายหนุ่มมายังเคาน์เตอร์ รับกระดาษที่ต้องกรอกมาแล้วยัดปากกาลงในมือของจิณณวัตรก่อนสั่ง “กรอกสิคะ”
เสียงขู่ของพรินซ์เงียบลงไปนานแล้ว และเสียงอาเจียนก็เพิ่งเงียบลง
ประตูห้องตรวจที่ปิดเอาไว้ถูกเลื่อนเปิดออกในที่สุด จิณณวัตรที่จ้องประตูเขม็งลุกขึ้นแล้วเดินไปหาหมอทันทีเพื่อถาม
“พรินซ์เป็นยังไงบ้างครับ”
คุณหมอวัยกลางคนหน้าตาใจดียิ้ม “ปลอดภัยแล้วค่ะ หมอว่าคงอาหารเป็นพิษ อาจไปกินอะไรไม่สะอาดมา ดีที่พรินซ์อาเจียนออกมาตั้งแต่ก่อนที่จะมาถึงมือหมอ พอมาที่นี่เลยเริ่มมีฤทธิ์”
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ นะครับ”
“ค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะ”
พอหมอยืนกรานเช่นนั้นจิณณวัตรก็ถอนหายใจยาว ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาลูบหน้าแล้วหันไปมองผู้หญิงที่เพิ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เขา จิณณวัตรยิ้มให้คนที่คอยพร้อมพร่ำบอกว่าพรินซ์จะไม่เป็นอะไรซ้ำๆ ราวกับเธอต้องการสะกดจิตเขา
“พรินซ์ไม่เป็นอะไรแล้ว”
เธอยิ้มให้เขาเหมือนจะบอกว่า ‘บอกแล้วไม่เชื่อ’
แม้พรินซ์จะปลอดภัยแล้วแต่เพื่อความไม่ประมาท หมอขอให้พรินซ์อยู่ที่โรงพยาบาลหนึ่งคืน ซึ่งเรื่องนี้แม้หมอจะไม่ขอ จิณณวัตรก็คงขอเองอยู่แล้ว
เจ้าของแมวและพี่เลี้ยงเดินขึ้นไปยังห้องพักฟื้นแมวป่วยซึ่งอยู่บนชั้นสามของโรงพยาบาลสัตว์แห่งนี้
ห้องพักฟื้นแมวเป็นห้องกว้าง ดูสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ แต่ถึงกระนั้นผู้ที่ก้าวเข้าไปยังได้กลิ่นอึกลิ่นฉี่แมวซึ่งทำให้จิณณวัตรไม่พอใจเท่าใดนัก พรินซ์ของเขาเคยอยู่ในสถานที่ที่ดีกว่านี้ มีอิสระ มีน้ำ มีอาหารอร่อย มีเจ้านายคอยเกาคางให้ แต่ตอนนี้พรินซ์ต้องมานอนอยู่ในกรงสีฟ้าขนาดใหญ่ มันคู้ตัวอยู่ที่มุมในสุดของกรง ที่แขนมีสายน้ำเกลือติดอยู่
พอแมวอ้วนเห็นเจ้าของ มันก็ครางเสียงสั่นแล้วเดินกะปลกกะเปลี้ยเข้ามาหาจิณณวัตรที่รีบเปิดกรงออกแล้วลูบหัวมันอย่างรักใคร่
“คนเก่งของพ่อ เป็นยังไงบ้างฮึ เจ็บละสิ”
สริณยามองภาพตรงหน้าแล้วยิ้ม เธอเคยคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนไม่ดีเนื่องจากหากินกับธุรกิจสีเทา มอมเมาผู้คนด้วยความสนุกและความสุข แต่พอมาเห็นเขาลูบหัวสัตว์เลี้ยงด้วยความเมตตา พูดเสียงสองใส่แมวตัวโปรดแบบนี้ ภาพลบของเขาที่อยู่ในใจของเธอก็ค่อยๆ จางลง
“ต่อไปพ่อไม่ให้เราออกไปจากห้องอีกแล้วนะ ไปซนที่ไหนมาถึงได้ไปกินอะไรผิดสำแดงแบบนี้ เข็ดแล้วสินะ เข็ดแล้วใช่ไหม”
แมวอ้วนร้อง แอ้ว เบาๆ แล้วถูแก้มกับมือใหญ่ที่เกาหัวเกาหูให้มันอยู่
“คืนนี้เราต้องอยู่ที่นี่หนึ่งคืน แล้วพรุ่งนี้พ่อจะมารับ โอเคไหม”
พรินซ์ครางเบาๆ ก่อนจะร้องเสียงดังขึ้นเมื่อจิณณวัตรปิดประตูกรงแล้วถอยห่างจากมัน
“พอแล้ว ไม่ต้องร้องแล้ว ไปนอนไป คืนเดียวเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อก็มารับ ไม่ต้องร้องแล้ว” ยิ่งห้ามไม่ให้ร้อง แมวที่อ้อนเฉพาะเจ้าของตนเองก็ยิ่งคร่ำครวญหนักจนจิณณวัตรต้องรีบหันหลังให้แล้วเดินเร็วๆ ออกจากห้องพักแมวป่วยไป
สริณยาส่ายหน้าให้ผู้ชายที่ใจร้ายกับคนแต่ใจอ่อนกับแมว แล้วจึงเดินเข้าไปใกล้กรง หญิงสาวยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าแมวอ้วนแล้วสั่ง “ทำตัวดีๆ ล่ะ พรุ่งนี้จะมารับ”
พูดจบเธอก็เดินออกจากห้องตามเจ้านายไป
“บ้านเธออยู่ไหน”
ตอนขามาสริณยานั่งที่เบาะหลังคู่มากับกระเป๋าใส่พรินซ์ แต่ขากลับเธอขึ้นมานั่งบนเบาะข้างคนขับ ดังนั้นเมื่อถูกถามเธอก็หันไปมองเจ้านายที่ยังไม่ได้เข้าเกียร์ถอยรถ แต่กำลังมองเธอเพื่อรอคำตอบอยู่
“คุณถามทำไมคะ”
“จะไปส่ง วันนี้ไม่ต้องทำงานแล้ว กลับบ้านเถอะ”
“อ้อ” เมื่อรู้ว่าวันนี้ไม่ต้องทำงานแล้ว สริณยาก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวแล้วทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถ
“จะไปไหน”
“ก็...กลับบ้านสิคะ”
“ฉันจะไปส่ง”
สริณยาส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันกลับเองได้ คุณกลับไปทำงานเถอะ”
จิณณวัตรถอนหายใจ “วันนี้ฉันคงไม่มีสมาธิทำงาน”
“ถ้าไม่อยากทำงานก็กลับไปนอนพักสิคะ”
“คงนอนไม่หลับ ห่วงพรินซ์”
หญิงสาวยิ้มให้คนติดแมว “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หมอก็บอกแล้วว่าปลอดภัย ที่ให้ค้างก็แค่อยากให้มั่นใจเท่านั้น”
“รู้ แต่ก็ยังห่วง” จิณณวัตรพึมพำก่อนเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วเตือน “อีกอย่าง ใจคอเธอจะกลับบ้านในสภาพแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ”
สริณยาที่ลืมไปแล้วว่าตนเองอยู่ในชุดเมดสีขาวดำก้มลงมองตนเองแล้วก็อ้าปากค้าง นี่เธอ...นี่เธอออกมาใช้ชีวิตข้างนอกในชุดนี้เหรอ! ถึงว่า พนักงานในร้านหมอถึงได้มองเธอแล้วยิ้มแปลกๆ พิกล
หญิงสาวหุบปากกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปยิ้มเจื่อนให้เจ้านาย “เอ่อ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่เกรงใจละนะคะ”
“อื้อ” จิณณวัตรรับคำในลำคอก่อนฟังสริณยาบอกที่อยู่ของตนเองออกมา แล้วจึงเลื่อนรถออกจากที่จอดรถของโรงพยาบาลสัตว์
ชายหนุ่มมองทาวน์เฮาส์สองชั้นซึ่งมีสภาพค่อนข้างดี ผิดจากบ้านในละแวกข้างแล้วถาม
“อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดเหรอ”
“เกือบค่ะ พ่อซื้อที่นี่ตอนฉันราวๆ ห้าขวบได้ ก็เหมือนอยู่มาตั้งแต่เกิดนั่นแหละค่ะ” สริณยาตอบตามตรงพร้อมปลดเข็มขัดนิรภัยออก จากนั้นยกมือไหว้เขา “ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
“จะไม่ชวนฉันเข้าบ้านเหรอ”
คำถามนำนั้นทำสริณยาขมวดคิ้ว มองผู้ชายที่ยังไม่ดับเครื่องยนต์อย่างประหลาดใจ “คุณอยากเข้าไปในบ้านฉันเหรอคะ”
จิณณวัตรคิดอยู่หนึ่งอึดใจก็ยกมือขอโทษ “ขอโทษที ลืมไป”
“ลืมอะไรคะ”
เขาหันหน้ามามองผู้หญิงที่ไม่ใช่สเปกตัวเองเลย แล้วตอบตามตรงแบบไม่ถนอมน้ำใจ “ลืมว่าเราไม่ได้เพิ่งกลับมาจากการเดต เธอไม่ใช่คู่ควงแต่เป็นลูกน้อง ฉันก็แค่เคยปาก ขอโทษอีกทีละกัน ลงไปได้แล้ว”
ต้องใช้เวลาคิดอึดใจใหญ่ๆ กว่าสริณยาที่ลงไปยืนอยู่หน้ารั้วบ้านตนเรียบร้อยแล้วจะเข้าใจว่าสิ่งที่จิณณวัตรพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร
“คนผี! นี่คงแวะกินตับสาวๆ ทุกคนที่เคยไปส่งเลยสิท่า คนเจ้าชู้ ลามก คงได้เป็นเอดส์ตายก่อนแก่แน่”
หลังให้พรเจ้านายที่ขับรถจากไปนานแล้วเรียบร้อย สริณยาก็ไขประตูเข้าบ้านอย่างกระแทกกระทั้น
เพราะเมื่อคืนเธอไม่ได้นอนดึก เช้าวันนี้สริณยาจึงตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น เธออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ขณะกำลังรวบผมให้เป็นหางม้าเหมือนทุกครั้ง เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น
ห้องนอนของเธออยู่หน้าบ้านพอดี หญิงสาวจึงเดินไปเปิดม่านหน้าต่างออกแล้วทอดสายตาลงไปด้านล่าง เธอพบรถยุโรปคันใหญ่สีดำจอดอยู่หน้าบ้าน และเจ้านายของเธอนั่นเองที่เป็นผู้กดกริ่ง
ความประหลาดใจถูกความตกใจเข้าแทนที่ ถ้าเขามาหาเธอแต่เช้าแบบนี้มันต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ และเรื่องไม่ดีหนึ่งเดียวที่น่าจะเกิดในช่วงนี้ก็คือ...พรินซ์
หญิงสาวปล่อยผม ไม่รวบดังตั้งใจก่อนคว้ากระเป๋าผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วรีบวิ่งจากห้องนอนตนลงไปข้างล่างทันที
สริณยาวิ่งเท้าเปล่ามาปลดล็อกประตูรั้วมือไม้สั่น พร้อมถามด้วยสีหน้าไม่ดีเลย “มีอะไรคะ พรินซ์เป็นอะไร”
“เป็นอะไร”
“อ้าว” มือที่กำลังจะเลื่อนประตูรั้วออกชะงักค้าง เธอมองใบหน้าเรียบเฉยของคนตรงหน้าแล้วพบว่า มันไม่ได้มีความเดือดเนื้อร้อนใจหรือเศร้าโศกอยู่เลย “นี่คุณมาบ้านฉันทำไม ฉันนึกว่าพรินซ์...”
เธอไม่กล้าพูดสิ่งที่กลัวออกมา ได้แต่ทำหน้างอ มองผู้ชายตรงหน้าที่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“วันนี้ต้องไปรับพรินซ์ ฉันคิดว่าเธออาจอยากไปด้วยก็เลยมารับ ไม่ดีเหรอ จะได้ประหยัดค่ารถ”
คนที่ผมเผ้ารุ่ยร่ายราวคนบ้าอยากสะบัดหน้ากลับเข้าบ้านไปเหลือเกิน แต่เธอไม่ใช่คนไร้มารยาทขนาดนั้น อีกประการ เหตุผลที่เขาแจงมามันก็พอฟังได้ เธอเป็นห่วงพรินซ์จริงๆ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสไปเจอเจ้าแมวแสบเร็วขึ้นเธอจะขัดศรัทธาไปทำไม
เพราะคิดเช่นนั้นสริณยาจึงยิ้มออกและตอบรับง่ายๆ ไม่เล่นตัว “อ้อ อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณนะคะ”
“เร็วเถอะ ป่านนี้พรินซ์รอแย่แล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนบ้านมันจะหลับลงรึเปล่า”
เห็นพ่อเป็นห่วงลูกมากขนาดนั้นแล้วสริณยาก็ยิ้มกว้างขึ้น เธอขอตัวไปปิดบ้านให้เรียบร้อยใส่รองเท้า จากนั้นจึงรีบวิ่งมาปิดประตูรั้วบ้านแล้วเข้าไปนั่งยังที่นั่งข้างคนขับโดยไม่รอช้า
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นแทบจะในทันทีที่จิณณวัตรและสริณยาเดินเข้าไปในห้องพักแมวป่วย
ต้นเสียงที่ร้องดังกว่าใครเพื่อนคือแมวอ้วนตัวสีทองที่เมื่อคืนแข้งขาอ่อนจะเป็นจะตาย แต่วันนี้กลับโก่งคอ ตะกายกรง ราวกับมันกำลังต่อว่าต่อขานพ่อที่ทิ้งให้มันอยู่ที่นี่ตัวเดียวทั้งคืน
จิณณวัตรยิ้มกว้างเมื่อเห็นไอ้หมูอ้วนของเขาโวยวายและแทบจะพังกรงออกมา สายน้ำเกลือถูกถอดออกไปแล้ว นอกจากรอยโกนขนที่แขนซึ่งปิดปลาสเตอร์ไว้ ไม่มีตรงไหนอีกเลยที่บ่งบอกว่าเมื่อวานพรินซ์ป่วย
“พ่อมารับแล้วพรินซ์ ไม่ต้องร้อง เป็นลูกผู้ชายต้องไม่โวยวาย ไม่ขี้บ่นรู้ไหม” ผู้เป็นพ่อสั่งสอน แต่ลูกชายต่างสายพันธุ์ไม่เชื่อพ่อเลย พรินซ์ยังคงโวยวายและตะกายกรง จะออกๆ ท่าเดียว
จิณณวัตรหันไปมองคุณหมอที่เดินตามมาทีหลังและถาม “ผมเอาพรินซ์ออกมาได้เลยใช่ไหมครับ”
“ค่ะ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว พากลับบ้านได้เลยค่ะ แต่...”
คำว่าแต่ของหมอทำให้จิณณวัตรที่กำลังเปิดกรงชะงักและหันไปมองหมอ
สีหน้าหมอดูเป็นกังวลเล็กน้อยเมื่อเอ่ย “หมอนำอาเจียนของพรินซ์ไปตรวจดู พบว่าที่พรินซ์ป่วยไม่ใช่เพราะอาหารเป็นพิษ แต่เป็นเพราะได้รับสารพิษค่ะ”
คิ้วจิณณวัตรผูกเข้าหากัน ยังไม่ค่อยเข้าใจที่หมอพูดเท่าใดนัก
“หมายความว่ายังไงคะหมอ สารพิษมาจากไหน เราไม่ได้อยู่ใกล้โรงงานหรืออะไรที่น่ากลัวๆ เลยนะคะ”
สริณยาเป็นผู้ถามหมอด้วยความสงสัย และได้รับคำตอบกลับมาว่า
“ไม่ใช่สารพิษจากโรงงานหรืออุตสาหกรรมหรอกค่ะ มันเป็นยาเบื่อหนู หมอคิดว่าคงมีคนเอามาเบื่อหนูหรือสัตว์แถวนั้นแล้วพรินซ์ไปเลียเข้า ดีนะคะที่ไม่ได้กิน ไม่อย่างนั้นคงแย่”
ได้ยินคำสันนิษฐานเช่นนั้นแล้ว สริณยาก็ชักสีหน้า “ทุเรศจริง คนใจบาป!”
สริณยาอยู่ในชุมชนที่แม้จะไม่แออัดแต่ก็เต็มไปด้วยคนหลากพ่อพันแม่ บางครั้งเธอเคยพบเจอเหตุการณ์ที่มีคนใจร้ายวางยาหมาแมวข้างถนนเหมือนกัน
หากใครเคยเห็นชีวิตน้อยๆ ต้องดิ้นรนอย่างทรมาน น้ำลายฟูมปาก ชัก เกร็ง อยู่แบบนั้นชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าแต่ไม่สิ้นใจไปเสียที และ...ไม่มีใครคิดช่วยเหลือเพราะต่างถือว่าไม่ใช่เรื่องของตน ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของตน ก็คงรู้สึกเกลียดคนใจดำที่กล้าพรากชีวิตผู้อื่นไปเช่นเดียวกับเธอ
ทำไมนะ ทำไมคนจำพวกนี้จึงยังมีอยู่ ไปไหนก็ต้องพบต้องเจอ วันนี้เธอช่วยชีวิตพรินซ์เอาไว้ได้ แต่ไม่แน่ว่าบาปกรรมที่คนใจร้ายได้กระทำลงไปอาจพรากชีวิตหมาและแมวอีกหลายชีวิตที่อยู่ในซอยนั้นไปแล้วก็เป็นได้
ความคิดเห็น |
---|