15

บทที่ 15 บุญคุณที่ช่วยชีวิต




บทที่ 15 

บุญคุณที่ช่วยชีวิต

 

พวกเขามุ่งไปยังงานเลี้ยงอันชั่วร้าย ดาบง้างหมายสังหาร

อะเลคซันดร์ ปุชกิน

 

ทังเหอสิงเดินทางมาถึงโรงแรมแมรีออทในเมืองเยว่เฉิงก่อน และช่วยเปิดห้องให้เหยียนเจิ้ง ห้องประชุมอยู่ชั้นสามในโรงแรมเดียวกัน

พนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ส่งคีย์การ์ดให้เหยียนเจิ้ง เขาเอ่ยขอบคุณแล้วขึ้นไปที่ห้องทันที

ทันทีที่เข้ามาในห้องก็พบว่าเสื้อเชิ้ตของเขามีรอยเปื้อนสีดำ น่าจะเลอะตอนเข้าห้องน้ำที่จุดแวะพัก ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกพอสมควรก่อนจะถึงนัดประชุม เขาจึงอาบน้ำอย่างเร็วๆ รอบหนึ่ง

พออาบน้ำเสร็จเหยียนเจิ้งก็พันผ้าขนหนูรอบเอวเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นทังเหอสิงนั่งอยู่ที่โซฟาตรงหน้าต่างบานสูงจากพื้นจดเพดานภายในห้อง บนรถเข็นตรงหน้ามีไวน์แดงและอาหารที่จัดเตรียมอย่างประณีตวางเรียงราย

“Hey~ bro อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ” ทังเหอสิงลอบพิจารณามัดกล้ามส่วนท้องที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบของเหยียนเจิ้งอย่างไร้สุ้มเสียง ทุกอณูนิ้วคือฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่ฟุ้งกระจายอยู่ทั่ว ทำให้รู้สึกถึงพละกำลังที่ซ่อนอยู่ในกล้ามเนื้อทุกส่วนสัด เทียบกับรูปร่างผอมแห้งเหมือนโครงกระดูกเดินได้เมื่อหลายปีก่อนแล้ว เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมกว่ากันไม่รู้กี่เท่า หากไม่ใช่เพราะแผลเป็นอัปลักษณ์พวกนั้น เขาคงเป็นนายแบบได้สบาย

เหยียนเจิ้งรู้สึกถึงสายตาโลมเลียมของอีกฝ่ายจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตตัวใหม่มาสวม “ก่อนขึ้นมาน่าจะโทร. บอกฉันก่อนนะ”

“ฉันโทร. แล้ว แต่นายไม่รับนี่นา” ประธานเสี่ยวทังยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้างพลางโน้มตัวมาข้างหน้า แกว่งมือถือของเหยียนเจิ้งไปมาตรงหน้าเขา “ทำไม? วันนี้ไปรับ-ส่งสาวน้อยแสนสวยมาเหรอ”

เหยียนเจิ้งแย่งมือถือจากมือเขา “ฉันบอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าอย่าเปิดมือถือฉันดูตามอำเภอใจแบบนี้”

น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกราดเกรี้ยวจางๆ แต่ไม่ทำให้ทังเหอสิงกลัวแม้แต่น้อย “ขนาดมือถือของฉันยังให้นายเปิดดูได้ตามใจชอบ ฉันให้อภิสิทธิ์นายขนาดนี้ ไม่คิดว่าควรตอบแทนฉันหน่อยเหรอ”

ทังเหอสิงขยับเข้ามาจนชิด 

ดวงตาเย็นเยือกของเหยียนเจิ้งจ้องตรงเข้าไปในดวงตาเขา หัวคิ้วขมวด “ทังเหอสิง พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะไม่ล้ำเส้น”

“Fine” ทังเหอสิงแบมือทั้งสองพลางยักไหล่อย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โซฟา “เราคุยเรื่องงานกันดีกว่า”

“เรื่องที่เหล่าจิ่วซ่อนตัวอยู่ที่สถานสงเคราะห์ครั้งที่แล้ว นายจัดการเรื่องพีอาร์ในภาวะวิกฤติได้ยอดเยี่ยมมาก สร้างภาพลักษณ์ให้บริษัททังซื่อเป็นบริษัทที่มีความรับผิดชอบ ได้รับเสียงชื่นชมล้นหลามจากสื่อมวลชน นอกจากจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของพวกเราในตลาดหุ้นแล้ว ยังเป็นการพีอาร์บริษัทฟรีๆ ไปในตัว”

“พวกเขาทำแผนสื่อสารและพีอาร์ในภาวะวิกฤติด้วยตัวเอง ถ้าจะชมก็ชมผู้อำนวยการจางเถอะ”

“พูดเป็นเล่น มีเหรอฉันจะไม่รู้ว่าจางลี่ฉวินมีมันสมองระดับไหน ฉันมั่นใจเต็มร้อยว่าเป็นไอเดียนาย จังหวะประจวบเหมาะเพราะพวกเรากำลังจะเปิดตัวยาใหม่สำหรับรักษาออทิสติก และต้องการสปอตไลต์จากสื่อมวลชนอยู่พอดี”

“เดินหน้าเร็วขนาดนี้ เตรียมการเรื่องวางขายในตลาดแล้วเหรอ ยาผ่านการทดสอบแล้วเหรอ” เหยียนเจิ้งขมวดคิ้ว กระบวนการทุกอย่างเร็วขนาดนี้ ต้องไม่ปกติแน่

“แน่นอนอยู่แล้ว พวกเราก็มีวิธีของพวกเราเอง”

โพรเจกต์นี้เหยียนเจิ้งไม่มีส่วนร่วม จึงไม่มีสิทธิ์แสดงความเห็น

“นายเก็บของอะไรให้เรียบร้อยแล้วหาอะไรกิน อีกเดี๋ยวเจอกันข้างล่าง” เขาหยิบเสื้อสูทตัวนอกจากบนโซฟาแล้วเดินออกนอกประตูไปอย่างสบายอารมณ์ หลังจากนั้นพอเขาหย่อนตัวลงนั่งที่เบาะหลังของรถบูกัตติ ชายหนุ่มจึงหยิบมือถือออกมาแล้วส่งรูปถ่ายใบหนึ่งออกไป

“จ่ายเงินไปขุดอดีตของผู้หญิงคนนี้มาให้หมด เข้าไปปั่นเรื่องนี้บนเน็ตให้ดังระเบิดไปเลย ฉันจะเอาให้มันไม่มีที่ยืน”

ปลายนิ้วของทังเหอสิงพิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็วราวติดปีก ประกายอำมหิตฉายชัดในแววตา

 

เหยียนเจิ้งรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย ทังเหอสิงเห็นข้อความที่พวกเขาคุยกันแล้ว แต่ไม่อาละวาด ไม่ด่าสาดเสียเทเสียแล้วโวยวายว่าจะจับเซิ่งเจาซีมาให้ได้ แค่แกล้งพูดประชดเขานิดหน่อยแล้วก็จบเรื่อง แตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา

เขารู้จักทังเหอสิงมาตั้งแต่ชั้นมัธยม และรู้ดีกว่าใครว่าโดยเนื้อแท้แล้วทังเหอสิงเป็นคนแบบไหน

ทังเหอสิงอายุมากกว่าเขาตั้งสองปี ย่างเข้าวัยสามสิบที่ควรทำตัวเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว แต่ก็ยังชอบเสแสร้งทำตัวใสซื่อไม่มีพิษมีภัย ทั้งที่ในความเป็นจริงเขาคือต้นแบบของคนหน้าเนื้อใจเสือโดยแท้ ต่อหน้าพูดไพเราะเสนาะหู คล้อยหลังจับศัตรูกินแบบไม่เหลือแม้แต่กระดูก

ตอนที่ทังเหอสิงกลับมาจีนเพื่อก่อตั้งบริษัทยาทังซื่อสาขาประเทศจีนใหม่ๆ เขาหลอกใช้คู่ค้าอาวุโสที่คร่ำหวอดในวงการไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ พวกเสือสิงห์กระทิงแรดนึกว่าเขาเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืนที่รับช่วงกิจการของครอบครัว ใสซื่ออ่อนต่อโลก ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา เรียกเป็นลูกเป็นหลานเสียเต็มปากเต็มคำ พร้อมปอกลอกเขาให้หมดตัว

ฝ่ายทังเหอสิงก็ไม่โมโห ทุกคราวต้องเลี้ยงข้าวก็เลี้ยง ถึงคราวต้องเลี้ยงเหล้าก็เลี้ยง ไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่ครั้งเดียว สวมบทบาทลูกเศรษฐีสมองนิ่มอย่างแนบเนียน ทำให้ทุกคนไม่คิดระแวง หลังจากนัดเลี้ยงกินข้าวเพียงสองสามครั้งก็ล้วงลูกจนรู้กระจ่างว่าคู่แข่งซ่อนไพ่ตายอะไรไว้ในมือบ้าง

สุดท้ายคู่แข่งทั้งหลายก็ต้องทนอับอายแบกหน้าเหี่ยวๆ ของตัวเองมาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจาก ‘หลาน’ คนนี้ พอเกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำหลายครั้งเข้า ฉายาหน้าเนื้อใจเสือของทังเหอสิงจึงเป็นที่รู้กันในวงการยา

ทังเหอสิงเป็นคนร้อยเล่ห์เพทุบาย ทั้งยังมีความอดทนระดับหาตัวจับยาก เขารู้เสมอว่าต้องตัดสินใจอย่างไรภายใต้สถานการณ์แบบไหนจึงจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองมากที่สุด

เหยียนเจิ้งหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งออกมาจากกล่องนิรภัยที่หัวเตียง แล้วโทร. หาใครคนหนึ่ง “ตอนนี้ทังซื่อมีการเคลื่อนไหว คอยจับตาดูให้ดี”

หลังจากวางสาย เขาเดินไปที่หน้าต่างบานสูงจากพื้นจดเพดานภายในห้องสวีต หลุบตามองรถบูกัตติสีแดงสดที่ด้านล่างโรงแรม ดวงตาฉายแววเย็นเยือกเล็กน้อย

ทำเหมือนเป็นเพื่อนสนิทที่เปิดเผยคุยกันทุกเรื่อง แต่แท้จริงแล้วก็แค่ต้องเก็บงำความลับให้แนบเนียนกว่าคนอื่นหน่อยเท่านั้น บนโลกใบนี้ จะมีสักกี่เรื่องที่เราสามารถเปิดเผยแก่คนอื่นได้อย่างซื่อตรง

ก่อนนี้ไม่รู้จะพูดอย่างไร ยามนี้ต่อให้รู้ก็พูดไม่ได้ นี่ต่างหากคือความหมายที่แท้จริงของคำว่าโดดเดี่ยว

พอมาคิดดูอีกที สีหน้าของทังเหอสิงตอนพูดถึงเซิ่งเจาซีเมื่อครู่ดูผิดแผกไปจากปกติ น่ากลัวว่าเขาอาจคิดจะล้ำเส้น เซิ่งเจาซีอาจตกอยู่ในอันตราย

เหยียนเจิ้งโทร. หาเซิ่งเจาซี แต่เสียงรอสายเพิ่งดังได้สองครั้งก็ถูกตัดสาย

เซิ่งเจาซีกำลังฟังลู่เฉินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับจิ้นซืออวี้ในตอนนั้น เธอกระวนกระวายจนไม่มีแก่ใจจะรับโทรศัพท์ พอตัดสายแล้ว เธอก็กดปิดเครื่องไปเลยโดยไม่คิด

เหยียนเจิ้งลองโทร. ไปอีกครั้ง ปรากฏว่าคราวนี้กลายเป็นปิดเครื่อง ทำให้เขายิ่งรู้สึกพะวักพะวนหนักกว่าเก่า ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนรนจนนั่งไม่ติดที่ ชายหนุ่มตัดสินใจเปลี่ยนชุด คว้ากุญแจรถจากบนโต๊ะ แล้วบึ่งออกจากโรงแรมไปอย่างร้อนรน

พอรถมาถึงหน้าทางเข้ากรมตำรวจเมืองเยว่เฉิงแล้ว เหยียนเจิ้งก็ลองโทร. ไปอีกครั้ง...ยังคงปิดเครื่อง ตอนนี้เองเขาถึงนึกโมโหตัวเองที่ไม่ถามให้ละเอียดว่าเธอจะพักที่ไหนในเมืองเยว่เฉิง ตอนนี้นอกจากเบอร์มือถือแล้ว เขาไม่มีวิธีไหนที่จะติดต่อเธอได้เลย

เหยียนเจิ้งตั้งท่าจะเข้าไปถาม ปรากฏว่าถูกเสี่ยวจางที่เป็น รปภ. หน้าประตูตะคอกใส่เสียงลั่น 

“เฮ้ยๆๆ จะไปไหนน่ะ! ไม่รู้เหรอว่าที่นี่ที่ไหน! คิดว่าจะเดินดุ่มๆ เข้าไปได้ตามอำเภอใจหรือยังไง”

“ขอโทษด้วยครับ ผมมาตามหาคนคนหนึ่ง” เขาหยุดยืนแล้วหันไปถาม “ไม่ทราบว่าคุณพอจะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมาที่นี่ไหมครับ เขามาพบลู่เฉิน หัวหน้าทีมฝ่ายคดีอาชญากรรมของพวกคุณน่ะครับ”

พอได้ยินว่าเขารู้จักหัวหน้าทีมลู่ ท่าทีของ รปภ. หน้าละอ่อนคนนั้นก็อ่อนลงเล็กน้อย “ก่อนเข้าไปในกรมตำรวจต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อลงทะเบียนก่อน คุณไม่รู้กฎของที่นี่หรือไงครับ ถึงเป็นคนรู้จักก็เดินดุ่มๆ เข้าไปไม่ได้ ยังไงกฎก็ต้องเป็นกฎนะครับ”

         เหยียนเจิ้งหยิบบัตรประชาชนในกระเป๋าเงินของเขาออกมาให้อีกฝ่ายจดข้อมูล ระหว่างนั้นก็กวาดตาสำรวจว่าเซิ่งเจาซียังอยู่ที่นั่นหรือไม่

เสี่ยวจางบรรจงจดข้อมูลของเขาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะส่งบัตรประชาชนคืนให้ “รอก่อนครับ ปกติผมต้องโทรศัพท์แจ้งหัวหน้าทีมลู่ก่อน พอเขาอนุญาตแล้วคุณถึงจะเข้าไปได้ครับ”

เหยียนเจิ้งถูกประวิงเวลาจนหมดอารมณ์จะโมโห “โทร. เลย”

“สวัสดีครับ หัวหน้าทีมลู่ใช่ไหมครับ มีคนมาขอพบครับ เขาชื่อเหยียนเจิ้ง คุณไม่รู้จักเขาหรือครับ แต่เขาบอกว่าเป็นเพื่อนที่มาส่งผู้หญิงคนเมื่อเช้าครับ เขามาหาเธอที่นี่...อะไรนะครับ เธอกลับไปแล้วเหรอครับ เมื่อไหร่กันครับ ผมไม่ทันสังเกตเห็นเลย”

เหยียนเจิ้งยิ่งขมวดคิ้วมุ่นกว่าตอนแรก เขาไม่รอเสี่ยวจางวางสายก็รีบเดินออกไปทันที กว่าลู่เฉินจะตามออกมาก็เห็นแค่เงาหลังของเขาที่เดินไปไกลแล้ว

พอเหยียนเจิ้งออกมาจากกรมตำรวจแล้วก็เดินตรงออกไปเรื่อยๆ หวังว่าจะเจอเซิ่งเจาซีซึ่งอาจจะยังเดินไปไม่ไกล

 

เซิ่งเจาซีนั่งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นในละแวกเดียวกับกรมตำรวจนี่เอง แต่ตอนที่เหยียนเจิ้งเดินผ่าน เขาไม่ทันสังเกตเห็นหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ตรงมุมร้านและหันหลังให้ประตู

เซิ่งเจาซีสั่งราเมงเผ็ดสะท้านโลกันตร์มาชามหนึ่ง ทั้งยังย้ำกับเถ้าแก่เจ้าของร้านว่า “ขอเผ็ดพิเศษค่ะ”

ร้านนั้นเล็กมาก การตกแต่งคล้ายร้านที่เธอกับจิ้นซืออวี้ไปกินด้วยกันที่บอสตัน ข้างผนังร้านมีรูปถ่ายติดอยู่เหมือนกัน แต่ความกระตือรือร้นในการบริการห่างชั้นกันหลายเท่า

หลังจากพนักงานรับออร์เดอร์เรียบร้อยแล้ว ก็ฉีกใบเสร็จวางแหมะไว้บนโต๊ะ “สิบแปดหยวน ขอบคุณค่ะ”

เซิ่งเจาซียังไม่เคยลองกินข้าวในร้านที่จ่ายก่อนได้อาหารทีหลัง เธอจึงมีท่าทีอึ้งเล็กน้อยก่อนจะหยิบแบงก์ยี่สิบหยวนใบหนึ่งออกมาส่งให้พนักงาน

พอพนักงานได้รับเงินแล้วก็หยิบใบเสร็จเดินไปหลังร้าน หลังจากนั้นไม่นานก็กลับมาพร้อมราเมงสีแดงแปร๊ดชามหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็วางเหรียญสองเหรียญไว้บนโต๊ะเธอด้วย “เงินทอนค่ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เก็บไว้เป็นทิปได้เลยค่ะ” เซิ่งเจาซีหยิบสองเหรียญนั้นยื่นกลับไปให้พนักงานโดยอัตโนมัติ

พนักงานผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงสีหน้าเหยียดหยามเล็กน้อย น้ำเสียงยิ่งแย่กว่าตอนแรก “ขอบคุณ แต่พวกเราไม่รับทิป”

เซิ่งเจาซีจ้องเหรียญในมืออย่างอึ้งๆ อยู่ราวสองวินาที เมื่อกี้พนักงานในร้านดูถูกเธองั้นเหรอ...ที่นี่ไม่ใช่อเมริกา ไม่มีวัฒนธรรมการให้ทิป ซ้ำร้ายพวกเขายังดูถูกเงินสองหยวนนี่ด้วย

ที่นี่ ถ้าจะให้ทิปน้อย สู้ไม่ต้องให้เลยยังจะดีกว่า การให้ทิปนิดเดียวเท่ากับตบหน้า...ตบหน้าของคนให้นั่นละ

เซิ่งเจาซีหัวเราะแห้งๆ ด้วยความอดสู ก่อนจะเก็บเหรียญใส่กระเป๋าเสื้อของตัวเอง

ราเมงเผ็ดสะท้านโลกันตร์ชามนั้นเส้นค่อนข้างเหนียว เรียกได้ว่าคนละชั้นกับราเมงเส้นหนุบกำลังดีที่เธอเคยกินที่บอสตัน แต่จุดหนึ่งที่ชนะคือความเผ็ด เพราะเธอต้องการความเผ็ดระดับที่กินแล้วน้ำตาไหล แบบนี้คนที่ผ่านมาเห็นจะได้ไม่รู้สึกว่าเธอประหลาด

เส้นราเมงยังคาอยู่ในปาก ไม่ทันกัดกลืนลงคอ น้ำตาก็ร่วงเผาะๆ หยดลงบนโต๊ะ

‘เขาถูกทำร้ายร่างกายจนตาย’

คำพูดของลู่เฉินสะท้อนก้องอยู่ในหูของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า เธอรู้สึกเจ็บปวดราวกับหมัด เท้า และกระบองพวกนั้นฟาดเหวี่ยงลงใส่ตัวของเธอเอง

‘ทำไมคุณถึงหลอกฉันได้ลงคอ จิ้นซืออวี้ คุณจงใจทำให้ฉันไม่มีทางได้อยู่อย่างมีความสุขในชาตินี้’

แล้วจู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนสองคนเดินดุ่มๆ เข้ามาในร้าน พวกเขารูปร่างบึกบึน แต่งตัวเนี้ยบ ทันทีที่เข้ามา ทั้งสองก็พุ่งตรงมาที่มุมร้านตรงที่เซิ่งเจาซีนั่งอยู่

“ในที่สุดก็เจอตัวแก!” ชายคนนั้นตะคอกเสียงดังลั่น ร้านเล็กและแคบ ลูกค้าที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ พากันหันมามอง

เซิ่งเจาซีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายกำลังพูดกับเธอ จนกระทั่งพวกเขาเข้ามาคว้าข้อมือของเธอไว้ และตั้งท่าจะลากเธอออกไปข้างนอก

“แกเป็นใคร” เซิ่งเจาซีเริ่มโมโหขึ้นมาบ้าง แต่พูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกตบเข้าฉาดใหญ่ สัมผัสแสบร้อนแล่นผ่านข้างแก้มมาอย่างรวดเร็ว

“นังผู้หญิงไร้ยางอาย! ทิ้งลูกเล็กที่ยังไม่หย่านมแล้วหนีไปกับผู้ชายคนอื่นหน้าตาเฉย แล้วยังมีหน้าแกล้งทำเป็นไม่รู้จักฉันอีก! ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนฉันเห็นแกอยู่ที่นี่แล้วรีบส่งข่าวมาบอก ชาตินี้ฉันคงไม่มีวันหาตัวแกเจอ”

         “ใช่ๆ นี่อาเจ๊ ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะนะ แต่ก็ต้องรู้จักบันยะบันยังบ้าง นี่ลูกเล็กยังรอคุณกลับไปให้นมที่บ้าน ร้องหาแม่จนเสียงแหบแห้งไปหมดแล้ว ผมเห็นแล้วสงสารจริงๆ” ชายอีกคนตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อย เขายืนอยู่ข้างๆ คอยพูดเสริมอีกแรง

เซิ่งเจาซีหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะนึกได้ว่าเธอเคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับนักต้มตุ๋นที่ใช้วิธีการแบบนี้ในอินเทอร์เน็ต ดูเหมือนวันนี้จะถึงคราวที่เธอได้เจอพวกสิบแปดมงกุฎแก๊งลักพาตัวและค้ามนุษย์เข้าให้แล้ว

ลูกค้าโต๊ะอื่นๆ แกล้งทำทีไม่สนใจ แต่ก็ลอบมองมาเป็นระยะ ชายร่างบึกบึนสองคนนี้ดูท่าทางจะรับมือยาก อีกอย่างไม่มีใครรู้ว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ จึงไม่มีใครกล้าเข้ามาห้าม

เซิ่งเจาซีรู้ว่าถ้าสู้ด้วยพละกำลังเธอไม่มีทางสู้ได้แน่ จึงตัดสินใจไม่ใช้ไม้แข็ง เธอหันไปหาเถ้าแก่ที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์คิดเงินแล้วพูดว่า “เถ้าแก่เนี้ยคะ ฉันไม่รู้จักพวกเขา ช่วยแจ้งความด้วยค่ะ ถ้าฉันถูกพวกเขาจับตัวไปที่ร้านของคุณ หลังจากนี้กิจการร้านคุณต้องแย่แน่”

“เอ่อ...” เถ้าแก่เนี้ยเริ่มลังเล ข่าวกับสื่อเดี๋ยวนี้น่ากลัวจะตาย ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นจริงๆ ร้านของพวกเธอคงหมดทางไปต่อ

“เถ้าแก่เนี้ย คุณอย่ายุ่งจะดีกว่านะครับ เรื่องของผัวเมียทะเลาะกัน อย่าให้ร้อนถึงพวกคุณลุงตำรวจเลยครับ คุณคิดดูนะครับ กรมตำรวจอยู่ตรงข้ามนี่เอง ถ้าพวกเราเป็นพวกต้มตุ๋นจริง คงไม่กล้ามาก่อคดีที่นี่หรอกครับ!”

คำพูดของพวกเขานับว่ามีเหตุผล แต่เซิ่งเจาซีได้ยินแล้วก็ฉุกใจ ร้านนี้อยู่ในละแวกเดียวกับกรมตำรวจ ทำไมพวกมันถึงใจกล้าบ้าบิ่นถึงขั้นคิดจะลักพาตัวผู้ใหญ่ตัวโตๆ แบบนี้ที่หน้าประตูกรมตำรวจตอนกลางวันแสกๆ

“นังตัวดี ยังกล้าตีหน้าซื่อทำเป็นไม่รู้จักฉัน แกอยากโดนใช่ไหม” พอเห็นเซิ่งเจาซีไม่ตอบ ชายคนที่ดึงมือเธอก็ง้างมือตั้งท่าจะลงไม้ลงมือกับเธออีก

หญิงสาวไม่หลบ ทั้งยังยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “แน่จริงก็ตีฉันให้ตายตรงนี้เลย ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าวันนี้แกจะลากฉันไปจากที่นี่ได้ไหม แกบอกว่าฉันเป็นเมียแกใช่ไหม ได้ งั้นแกพูดชื่อฉันมา ถ้าแกรู้ชื่อฉัน ฉันจะไปกับแก”

เซิ่งเจาซีกวาดตามองไปรอบร้าน มนุษย์ทุกคนมีแนวโน้มจะตัดสินใจตามคนหมู่มาก ถ้าไม่มีใครกล้าลุกขึ้นช่วย ทุกคนก็จะพร้อมใจกันเงียบ

วิธีที่ดีที่สุดคือขอความช่วยเหลือจากใครสักคนในที่นี้ แต่ร้านเล็ก จำนวนลูกค้าไม่มาก ลูกค้าไม่กี่คนที่นั่งกันกระจัดกระจายอยู่ในร้านตอนนี้ก็ไม่มีใครสักคนที่มีแนวโน้มจะแรงเยอะพอสู้กับชายร่างบึกสองคนนี้ได้ ทุกคนพากันก้มหน้าหลบตาเธอ เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสู้ด้วยพลังของคนหมู่มาก

เซิ่งเจาซีพยายามใช้มือข้างเดียวควานหากระเป๋าเงินในกระเป๋า “ตอนนี้มีคนอยู่เต็มไปหมด ทุกคนช่วยเป็นพยานด้วยนะคะ บัตรประชาชนของฉันอยู่ในกระเป๋าเงินใบนี้ ถ้าผู้ชายคนนี้พูดชื่อฉันไม่ได้หรือพูดผิด ทุกคนช่วยแจ้งตำรวจทันทีเลยนะคะ”

ทันใดนั้นชายร่างบึกที่อ้างว่าเป็นสามีของเธอก็แสยะยิ้ม รอยยิ้มมีเลศนัยแบบนั้นทำให้เซิ่งเจาซีรู้สึกหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย หรือว่าเธอตัดสินใจพลาด

“เซิ่งเจาซี ผู้ชายคนนั้นมันเอายาเสน่ห์ให้เธอกินหรือไง ทำไมถึงใจยักษ์ใจมารทิ้งลูกเล็กหนีไปกับมันได้?”

กระเป๋าเงินในมือเซิ่งเจาซีร่วงลงกับพื้น นี่ไม่ใช่การหลอกไปค้ามนุษย์ แต่มีคนวางแผนเพื่อลักพาตัวเธอ!

หากจะบอกว่าไม่ตื่นตระหนกคงเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอต้องสงบสติอารมณ์และวิเคราะห์ให้ได้ว่าอีกฝ่ายมีเป้าหมายอะไร

เธอคว่ำชามราเมงที่ยังกินไม่หมดลงไปกับพื้น เส้นราเมงในชามกระจายเละเทะ น้ำซุปก็กระเด็นเลอะไปทั่ว

หญิงสาวที่นั่งอยู่โต๊ะด้านข้างรีบลุกขึ้นหลบเพราะน้ำซุปมันย่องกระเด็นเลอะชายกระโปรง เธอสะบัดเสียงอย่างไม่ชอบใจพลางขมวดคิ้ว แล้วหันไปทำเสียงอ้อนแฟนว่า “คุณดูยายผู้หญิงบ้าคนนั้นสิคะ! นี่กระโปรงตัวใหม่ที่ฉันเพิ่งซื้อด้วย”

“ช่างเถอะจ้ะ” ชายหนุ่มปลอบแฟนสาว

ในเวลาเดียวกันนั้น เถ้าแก่เนี้ยก็ลุกขึ้นมาบ้าง “พวกคุณสามีภรรยาจะทะเลาะกันก็กลับไปทะเลาะที่บ้านเถอะค่ะ ดูซิเนี่ย ทำชามฉันคว่ำไปแล้วใบหนึ่ง ออกไปเถอะค่ะ รีบไปซะตอนนี้เลย”

แล้วพวกเขาก็มองอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เซิ่งเจาซีถูกฉุดกระชากออกไปข้างนอก 

เพราะชายคนนั้นพูดชื่อเซิ่งเจาซีได้อย่างถูกต้อง คนอื่นๆ จึงปักใจเชื่อว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยากัน ลูกค้าบางคนไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องจึงรีบลุกออกจากร้านไปทันที ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีทีท่าจะยื่นมือเข้าช่วย

เซิ่งเจาซีฉวยโอกาสตอนหญิงสาวที่กระโปรงเปื้อนกำลังกระเง้ากระงอดกับแฟน คว้ามือถือที่หล่อนวางไว้บนโต๊ะเขวี้ยงใส่แอ่งน้ำซุปบนพื้น

“กรี๊ด!” หญิงสาวกรีดร้องเสียงแหลมแล้วตั้งท่าจะเข้าไปเก็บ เซิ่งเจาซีชิงก้าวเข้าไปกระทืบเต็มสองฝ่าเท้า มือถือร้าวจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ในที่สุดแฟนหนุ่มก็อดรนทนต่อไปไม่ไหว พุ่งเข้ามาคว้าคอเสื้อของชายร่างยักษ์แล้วตะคอกว่า “เมียแกมันบ้าสติแตกไปแล้ว! มือถือของแฟนฉัน แกจะชดใช้ยังไง!”

เซิ่งเจาซีสูดหายใจลึก ในที่สุดก็หาทางรั้งพวกมันไว้ได้

ไม่นึกว่าเพื่อนอีกคนที่มาด้วยไม่เพียงไม่กลัว แต่ยังยิ้มหน้าระรื่นแล้วเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย “คุณน้องครับ ภรรยาเพื่อนผมคนนี้เขาสติไม่ค่อยดี อย่าไปถือสาผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งเลยนะครับ มือถือราคาเท่าไหร่เดี๋ยวผมชดใช้ให้เอง”

“นังผู้หญิงไร้ค่า! เก่งแต่หาเรื่องเดือดร้อนให้ฉัน!” ชายร่างใหญ่เห็นดังนั้นก็เงื้อมือตบเธออีกฉาดใหญ่ คราวนี้แรงเหวี่ยงมหาศาลจนเซิ่งเจาซีได้ยินเสียงเหง่งหง่างก้องอยู่ในหู สมองมึนงงไปชั่วขณะ

เธอถูกตบจนหน้าหัน เส้นผมกระจายลงปรกสองข้างแก้มที่บวมเป่ง

“ช่างเถอะๆ จ่ายมาสองพันหยวนแล้วกัน”

หญิงสาวเห็นเธอถูกทำร้ายอีกก็ทนดูไม่ได้ จึงเข้าไปดึงแขนห้ามแฟนของตัวเองไว้ ฝ่ายแฟนหนุ่มก็ปล่อยมือจากคอเสื้อของอีกฝ่ายทันที

“โอเคๆ”

ชายอีกคนที่อ้างว่าเป็นเพื่อนไม่ต่อราคาแม้แต่ครึ่งคำ เขาควักธนบัตรใบละพันสองใบจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้คู่รักสองคนนั้นอย่างไม่อิดออด เสร็จแล้วค่อยหันไปเก็บกระเป๋าของเซิ่งเจาซีขึ้นมาหยิบเงินคืนให้ตัวเอง แถมยังหันไปขอโทษขอโพยหนุ่มสาวสองคนนั้นอีกหลายครั้งก่อนจะเดินออกจากร้าน ฝ่ายเซิ่งเจาซีถูกชายร่างใหญ่คนนั้นลากออกไปนานแล้ว

         “ผู้หญิงหน้าตาออกสวย เสียสติเป็นแบบนั้นซะได้” ถึงพวกเขาจะออกจากร้านไปแล้ว คนอื่นๆ ก็ยังวิพากษ์วิจารณ์ไม่ยอมจบ

 

รถตู้เล็กคันหนึ่งจอดอยู่ริมถนนไม่ไกลจากร้านราเมงแห่งนั้น มีคนเปิดประตูรถจากด้านในแล้วเรียกให้พวกเขารีบขึ้นรถ จากหน้าร้านไปถึงรถคันนั้นระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าว เซิ่งเจาซีไม่มีเวลาพอให้ร้องขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ

“ทำอะไรน่ะ”

เสียงของเหยียนเจิ้งแว่วมาจากด้านหลัง เซิ่งเจาซีนึกว่าเธอกำลังฝันไป แต่ผ่านไปอึดใจเซิ่งเจาซีก็กลับสู่สภาวะสิ้นหวังอีกครั้ง เพราะคนที่มาช่วยคือเหยียนเจิ้งที่ต่อยตีกับใครไม่เป็น

ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดมีแค่สองแบบ หนึ่งคือเหยียนเจิ้งถูกพวกนั้นผลักให้พ้นทาง สองคือพวกเขาถูกจับไปด้วยกัน

“รีบหนีไป! แจ้งความเร็ว!” เซิ่งเจาซีเพิ่งอ้าปากก็ถูกชายคนนั้นอุดปากไว้ เล็บสีออกเหลืองบนนิ้วที่มีแต่หนังหนาด้านกับกลิ่นบุหรี่ฉุนจัดจากง่ามนิ้วของเขาทำให้เธอแทบขาดอากาศหายใจ

สายตาของเหยียนเจิ้งตวัดมองมาที่เธออย่างรวดเร็ว เห็นรอยบวมแดงปรากฏชัดบนดวงหน้าขาวเนียน พอเลื่อนสายตาไปเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังเธอ แววตาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกอย่างน่ากลัว

ชายที่กำลังถือกระเป๋าของเซิ่งเจาซีหันไปส่งสัญญาณให้พรรคพวกของตนรีบไป ชายอีกคนที่ใช้มืออุดปากเซิ่งเจาซีไว้ลากเธอไปที่รถ หญิงสาวพยายามยื้อประตูรถไว้สุดกำลัง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย

เหยียนเจิ้งเห็นดังนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปคว้ามืออีกข้างหนึ่งของเธอไว้ รั้งไม่ให้พวกเขาพาตัวเธอไปได้ ชายร่างเตี้ยเหวี่ยงกระเป๋าหมายจะฟาดเขา เขายกมือขึ้นป้องกัน แต่มืออีกข้างยังจับมือเซิ่งเจาซีไว้แน่น

เหยียนเจิ้งแรงเยอะมาก เขาบีบจนข้อมือของเซิ่งเจาซีรู้สึกปวดแปลบ แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดกระตุ้นให้เธอพลิกมือขึ้นคว้าข้อมือเขากลับโดยอัตโนมัติ

อีกฝ่ายเห็นสถานการณ์เริ่มยืดเยื้อ กลัวจะตกเป็นเป้าสนใจของคนที่เดินผ่านไปมา จึงคิดจะอาศัยจำนวนคนที่เยอะกว่าเข้าไปรุมจัดการเหยียนเจิ้ง ชายร่างเตี้ยเป็นคนนำกลุ่มพุ่งเข้าไปก่อน

         เหยียนเจิ้งจู่โจมก่อนเพื่อสร้างความได้เปรียบ เขาเบี่ยงตัวพุ่งเข้าไป อาศัยแรงจากการพุ่งตัวกับองศาที่คำนวณมาอย่างแม่นยำกระโจนเข้าใส่ชายคนที่พุ่งเข้ามา แล้วผลักอีกฝ่ายเข้าใส่ชายที่จับตัวเซิ่งเจาซีไว้ ชายร่างใหญ่ถูกล้มทับจนทรงตัวไม่อยู่ มือที่ล็อกตัวเธอไว้เผลอคลายออก เซิ่งเจาซีรีบฉวยโอกาสนี้ดิ้นหลุดจากมือเขา เหยียนเจิ้งรีบดึงตัวเธอไปอยู่ข้างหลังเขา

อีกคนที่รออยู่ในรถคว้าท่อเหล็กจากเบาะหลัง โจนเข้ามาเล็งฟาดที่หัวของเหยียนเจิ้ง เซิ่งเจาซีเห็นดังนั้นก็ใจหายวาบ แต่เหยียนเจิ้งกลับเบี่ยงตัวหลบอย่างแม่นยำราวกับมีตาหลัง แล้วจับชายร่างเตี้ยที่ล้มคว่ำไปเมื่อครู่ขึ้นมายืนตรงตำแหน่งที่ตัวเขาเองยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ท่อเหล็กกระแทกใส่หลังของชายคนนั้นเต็มแรง เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดแว่วตามมา

คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มสังเกตเห็นเหตุการณ์ผิดปกติ พอเห็นว่าเป็นการปะทะถึงขั้นเลือดตกยางออกก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าช่วย แต่มีพลเมืองบางส่วนที่มุงดูอยู่หยิบมือถือออกมาโทร. แจ้งความ

พอเห็นเพื่อนถูกทำร้าย ชายที่แอบอ้างเป็นสามีของเซิ่งเจาซีก็ลุกขึ้นมาสู้ตอบ เขาตัวใหญ่รูปร่างบึกบึน ลำตัวกว้างเท่าเหยียนเจิ้งสองคนรวมกัน

เขาใช้มือข้างเดียวคว้าแขนของเหยียนเจิ้งไว้ หมัดอีกข้างซัดใส่ท้องน้อยของเขาเต็มแรง เหยียนเจิ้งงอลำตัวไปด้านหลัง อาศัยจังหวะนั้นใช้มีดพกแบบสั้นในมือตวัดกรีดเส้นเลือดใหญ่ที่ข้อมือขวาของชายคนนั้นจนหนังปลิ้นออกด้านนอก เลือดแดงฉานพุ่งกระเซ็นย้อมแขนเสื้อของเขาจนเปียกชุ่มในพริบตา เห็นแล้วชวนสยดสยองอยู่ไม่น้อย

“อ๊าก!” ชายคนนั้นกุมข้อมือตัวเองแล้วร้องเสียงหลง

เซิ่งเจาซีรีบดึงเหยียนเจิ้งออกมาแล้วตรวจดูว่าเขาบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ 

“ผู้ใหญ่เพศชายถ้าเสียเลือดมากกว่า 800 ซีซีอาจเกิดอาการช็อก จากอัตราการเสียเลือดในตอนนี้ ถ้ารีบพาเขาไปส่งโรงพยาบาลภายในยี่สิบนาทีน่าจะช่วยชีวิตไว้ได้ โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดถ้ารถไม่ติดก็ต้องใช้เวลา 17 นาทีกว่าจะไปถึง สู้ๆ แล้วกันนะ” เหยียนเจิ้งพูดกับชายตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ

“แก!”

เหยียนเจิ้งยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ยังเหลืออีก 19 นาที หรือแกจะรออยู่ตรงนี้จนกว่าตำรวจจะมาก็ได้ เมื่อกี้มีหลายคนแจ้งความแล้ว คำนวณจากระยะทางและความเร็วในการออกปฏิบัติการของตำรวจที่นี่ พวกแกยังมีเวลาอีก 2 นาที 38 วินาทีสำหรับหลบหนี”

“รีบไปเถอะ! ฉันไม่อยากถูกจับนะโว้ย!” ในที่สุดคนขับรถตู้ก็ทนต่อไปไม่ไหวและหันมาร้องเร่ง

แม้จะเสียหน้าแค่ไหน แต่ชายบาดเจ็บสามคนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากกึ่งประคองกึ่งกะเผลกตะกายขึ้นไปบนรถ แล้วรถก็แล่นฝุ่นตลบออกไปก่อนจะทันได้ปิดประตูด้วยซ้ำ

เหยียนเจิ้งยืนอยู่ที่เดิม มองรถตู้ขับไกลออกไป 

“เยว่ K. 6017” เซิ่งเจาซีงึมงำท่องทะเบียนของรถคันนั้น พลางส่ายมือไปมาตรงหน้าเขา “คุณเหยียน คุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ หมัดเมื่อกี้น่าจะแรงมากเลย”

เหยียนเจิ้งคว้ามือที่แกว่งไปแกว่งมาของเธอไว้ แล้วจ้องหน้าเธอนิ่ง 

ระยะห่างระหว่างทั้งสองใกล้จนเธอเห็นเงาเล็กๆ ของตัวเธอเองสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาดำของชายหนุ่ม ฉับพลันนั้นเธอรู้สึกใบหน้าร้อนจัด ร้อนจนหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าตอนถูกตบสองฉาดเมื่อครู่เสียอีก 

“คะ...คะ...คุณจะทำอะไรน่ะ”

“ไปโรงพยาบาล”

เหยียนเจิ้งโค้งตัวลงเก็บกระเป๋าเป้ของเซิ่งเจาซีที่หล่นอยู่กับพื้น ซิปกระเป๋าเลื่อนเปิด เผยให้เห็นขนมอีกครึ่งที่ยังกินไม่หมดอยู่ในนั้น จังหวะที่โค้งตัวก็รู้สึกถึงสัมผัสเจ็บแปลบที่แล่นมาจากท้องน้อย เขาตีหน้าเฉยแล้วสะพายกระเป๋าของเธอบนไหล่ข้างหนึ่ง จากนั้นจูงเธอเดินไปทางกรมตำรวจ

“ไม่ได้จะไปโรงพยาบาลเหรอ” เซิ่งเจาซีค้านเสียงอ่อนแล้วพยายามสลัดมือเขา แต่อีกฝ่ายกลับกุมมือเธอแน่นยิ่งกว่าตอนแรก เธอส่งเสียงงึมงำอยู่ในคอ “เจ็บนะ”

เหยียนเจิ้งคลายมือออกเล็กน้อย แต่ยังกุมมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย ราวกับกลัวเธอจะหนีหายไป

“รถจอดอยู่ที่ทางเข้ากรมตำรวจ เดี๋ยวขับรถไป” ในที่สุดเขาก็ปริปากตอบคำถามเมื่อครู่ของเธอ

“อ้อ” เซิ่งเจาซีไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกลับมา แต่สัมผัสได้รางๆ ว่าอารมณ์ของเหยียนเจิ้งไม่ปกตินัก ราวกับเขากำลังพยายามระงับความโกรธที่พลุ่งพล่าน แต่จะว่าไปก็ไม่แปลก ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้นถูกแก๊งนักเลงรุมทำร้าย ความแค้นนี้ไม่มีทางหายไปโดยง่าย

แต่ท้ายสุดแล้ว คนที่ทำให้เขาต้องเดือดร้อนก็คือเธอเองนั่นแหละ

“ขอโทษ”

“ขอโทษ”

ทั้งสองพูดคำว่าขอโทษออกมาแทบจะพร้อมกัน 

“คุณขอโทษเรื่องอะไร”

เหยียนเจิ้งทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ยั้งไว้ สุดท้ายเขาเบือนหน้าไปอีกทางแล้วตอบว่า “ขอโทษที่มาช้าเกินไป คุณเกือบถูกคนพวกนั้นจับตัวไปแล้ว”

เซิ่งเจาซีปัดมือปฏิเสธ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณด้วยซ้ำ ฉันสิต้องขอบคุณ คุณช่วยชีวิตฉันไว้อีกแล้ว”

เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่เธอกลับต้องเป็นหนี้บุญคุณที่เขาช่วยชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เธอยิ่งรู้สึกผิดต่อเขามากกว่าเก่า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น