14

บทที่ 14 สุดท้ายไม่ว่าอย่างไร ก็มีคนที่จำเราได้



บทที่ 14 

สุดท้ายไม่ว่าอย่างไร ก็มีคนที่จำเราได้

 

“ฉันเชื่อในความรักของเธอ” ทำให้ประโยคนี้กลายเป็นคำพูดสุดท้ายของฉัน

รพินทรนาถ ฐากูร

 

เซิ่งเจาซียกกระเป๋าสัมภาระลงจากรถที่หน้ากรมตำรวจใจกลางเมืองเยว่เฉิง ลู่เฉินซึ่งยืนรออยู่ที่ประตูทางเข้าเหลือบมองชายที่ขับรถมาส่งเธอด้วยความสงสัย อีกฝ่ายสวมแว่นกันแดด เห็นหน้าไม่ชัด

ตำรวจอาชญากรรมทุกคนติดนิสัยช่างสังเกต อาจเรียกได้ว่าเป็นโรคที่เกิดจากการทำงาน ลู่เฉินรู้สึกว่าคนคนนี้หน้าคุ้น แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน

ระหว่างที่ลู่เฉินกำลังจ้องดูรถที่ขับออกไปอย่างครุ่นคิด เซิ่งเจาซีก็เป็นฝ่ายเดินเข้ามาแนะนำตัวเองก่อน 

“หัวหน้าทีมลู่ สวัสดีค่ะ ฉันเป็นเพื่อนร่วมงานของเซี่ยหย่ง ชื่อเซิ่งเจาซีนะคะ”

“อ้อ ที่แท้เธอก็คือผู้เชี่ยวชาญด้านการเจรจาที่สร้างผลงานไว้ในเหตุจี้เครื่องบิน 6.647 คนนั้นน่ะเอง! ฉันได้ยินชื่อเสียงของเธอมานานแล้ว เสี่ยวเซี่ยบอกว่าเธอมีเรื่องที่ต้องการความช่วยเหลือนิดหน่อย แต่ไม่สะดวกคุยทางโทรศัพท์ มีเรื่องอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้บ้าง”

ลู่เฉินถูกรุ่นน้องคนสนิทโทร. ปลุกแต่ไก่โห่ เซี่ยหย่งพูดอ้อมแอ้มวกไปวนมาอยู่ที่ปลายสาย บอกให้เขาช่วยดูแลหัวหน้าของเซี่ยหย่งที่กำลังจะเดินทางไปเยว่เฉิง ฟังน้ำเสียงเหมือนกำลังอายมาก...ท่าทางเจ้ารุ่นน้องที่แสนจะใสซื่อไม่ทันคนของเขา ในที่สุดก็มีนางในดวงใจเหมือนคนอื่นเขา

สมัยที่เซี่ยหย่งอยู่โรงเรียนตำรวจ เขาเป็นคนซื่อๆ อาจเรียกได้ว่าค่อนข้างใจเสาะด้วยซ้ำ บุคลิกไม่เหมือนตำรวจอาชญากรรมเลยสักนิด ตอนแรกๆ ลู่เฉินคิดว่าฝ่ายนั้นไม่ค่อยมีแววเท่าไหร่ ต่อมาถึงสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนละเอียดอ่อนมาก เหมาะกับงานด้านสืบสวนอย่างที่สุด อีกอย่างเซี่ยหย่งเป็นคนมีอุดมการณ์ตั้งมั่น สำหรับฝ่ายนั้นแล้ว การเป็นตำรวจคืออาชีพที่ต้องการทำไปตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่งานงานหนึ่ง

เขาไม่ใช่คนฉลาดหัวไวอะไรนัก แต่ยินดีสละเวลาเต็มที่เพื่ออ่านและศึกษาหนังสือเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวน

ในยุคสมัยนี้ สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่คนโง่ แต่คือคนโง่ที่ขี้เกียจ

ไม่บ่อยนักที่ลู่เฉินจะถูกชะตาใครสักคน ด้วยเหตุนี้เขาในฐานะรุ่นพี่จึงช่วยสนับสนุนและชี้แนะฝ่ายนั้นไม่น้อย

หลังจากเซี่ยหย่งจบการศึกษาจากโรงเรียนตำรวจ ก็ถูกส่งตัวไปทำงานที่เมืองเหิงเฉิง ทุกครั้งเมื่อถึงเทศกาลสำคัญต่างๆ เซี่ยหย่งจะบึ่งมาที่เยว่เฉิงเพื่อเอาตะกร้าผลไม้ต่างๆ มาเยี่ยมลู่เฉินถึงที่ นับว่าเป็นคนที่กตัญญูรู้คุณคนหนึ่ง ดังนั้นถึงแม้เซี่ยหย่งจะเรียนจบแล้ว ทั้งสองก็ยังติดต่อกันเสมอ

และนี่คือสาเหตุที่ลู่เฉินยินดียื่นมือเข้าช่วยเหลือรุ่นน้องคนนี้

เซิ่งเจาซีรื้อหาของในกระเป๋าเป้อยู่นานสองนาน ถุงและกล่องใส่ขนมกินเล่นทั้งหลายถูกพลิกไปพลิกมาเสียงดังกรอบแกรบ จะหล่นออกจากกระเป๋าอยู่รอมร่อ

ลู่เฉินเห็นดังนั้นก็ร้อนใจแทน จึงเข้าไปช่วยเธอจับกระเป๋าไว้ ไม่งั้นขนมคงหล่นกระจายเต็มพื้น

เซิ่งเจาซีหันมาพยักหน้าน้อยๆ ให้เขาอย่างประหม่า “ขอบคุณนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันกลัวว่าประชาชนแถวนี้จะเข้าใจผิดคิดว่ามีคนมาเปิดร้านแบกะดินที่หน้ากรมตำรวจของพวกเรา ฮ่าๆ”

คำพูดหยอกล้อของลู่เฉินทำให้เซิ่งเจาซียิ่งหน้าแดงกว่าตอนแรก ตัวจริงของผู้เชี่ยวชาญด้านการเจรจาคนนี้ต่างจากภาพลักษณ์ที่เขาเคยคิดไว้

ในที่สุดเธอก็ดึงกระเป๋าเงินออกมาจากก้นกระเป๋าได้สำเร็จ หญิงสาวเปิดกระเป๋า ภายในคือรูปถ่ายใบหนึ่งที่สอดไว้ในช่องพลาสติกใส

ในภาพถ่ายคือเด็กหนุ่มสาวสองคน ดูแล้วอายุราวสิบเจ็ดสิบแปด ไม่รู้พวกเขาเข้าร่วมพิธีการสำคัญอะไร แต่ทั้งคู่สวมชุดทางการและหันหน้าตรงยิ้มให้กล้อง

ด้านหลังคือโบสถ์สไตล์อังกฤษหลังหนึ่ง พวกเขายืนอยู่ที่ริมทะเลสาบจำลองที่ใสกระจ่างดุจผิวกระจก สายลมอ่อนๆ พัดผ่านผิวน้ำ และทำให้ชายเสื้อของคนทั้งสองปลิวไสว

เซิ่งเจาซีสวมชุดกี่เพ้าสั้นปักลายดอกอวี้หลัน48 และมีเสื้อสูทตัวนอกสีดำแบบผู้ชายตัวหนึ่งคลุมทับเหนือไหล่ โครงหน้างดงามอ่อนละมุนแฝงด้วยความอ่อนเยาว์ที่ยังไม่ทันเลือนหาย แววตาเธอยามที่มองเด็กหนุ่มข้างกายเต็มเปี่ยมด้วยความสุข

ฝ่ายชายแลดูสงบนิ่งและสุขุมกว่ามาก บุคลิกอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นเด็กหนุ่มกับชายหนุ่มอย่างพอดิบพอดี ความอบอุ่นอันลึกล้ำ ความใสบริสุทธิ์แต่เป็นผู้ใหญ่ องค์ประกอบทั้งหมดนี้ผสมผสานกันอยู่ในตัวเขาอย่างเหมาะเจาะ

เด็กหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบาง แม้รูปถ่ายอายุเก่าเป็นสิบปี ก็ยังเห็นรูปร่างสูงเพรียวสันทัดของเขา ไหล่กว้างเอวสอบ มองแล้วเจริญหูเจริญตาอย่างยิ่ง ผมสั้นสีดำขลับดุจขนอีกา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนโยนและใสกระจ่าง สันกรามคมชัดได้รูป มือขวาของเขาโอบไหล่เซิ่งเจาซีไว้แน่น แววตาที่มองเธอจดจ่อราวกับเห็นโลกทั้งใบอยู่ในนั้น

สิ่งที่อยู่ในภาพคือความงดงามจากวันวานอันสงบสุข

“ฉันอยากขอให้คุณช่วยตามหาตัวคนในรูปค่ะ เขาเป็นแฟนของฉัน ครั้งสุดท้ายที่เขาติดต่อฉันคือเมื่อหกปีที่แล้ว เขาโทรศัพท์หาฉันจากที่นี่ หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้ข่าวจากเขาอีกเลย”

ลู่เฉินรับกระเป๋าเงินจากมือเธอแล้วพินิจดูอย่างตั้งใจ “แฟนของเธอคือจิ้นซืออวี้?”

“คุณรู้จักเขาเหรอคะ!” ดวงตาของเซิ่งเจาซีเป็นประกายขึ้นมาในทันที

“ไม่นับว่ารู้จัก แค่เคยเจอกันสองสามครั้งเมื่อหกปีก่อน” แม้ว่าเด็กหนุ่มในภาพจะแลดูอ่อนเยาว์กว่าที่เขาจำได้ แต่บุคลิกสงบนิ่งเรียบเฉยแบบนั้นไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เขามองเพียงปราดเดียวก็จำได้ว่าเด็กหนุ่มในภาพคือชายคนนั้น

ฮั่วหมิ่นเหนียน พ่อของจิ้นซืออวี้ อดีตคือผู้อำนวยการเขตเขตหนึ่งในเมืองเหิงเฉิง ต่อมาได้เลื่อนขั้นเป็นรองนายกเทศมนตรีเทศบาลนคร เขามีลูกชายลูกสาวอย่างละคน ตอนที่ฮั่วหมิ่นเหนียนถูกปลดจากตำแหน่ง จิ้นซืออวี้ก็ถูกลากเข้ามาเกี่ยวพันด้วย และถูกจับกุมที่เมืองเยว่เฉิงนี่เอง

“เขามีน้องสาวด้วยเหรอคะ” เซิ่งเจาซีไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้เลย

“ดูเหมือนจะเป็นลูกสาวของแม่เลี้ยงน่ะ แม่แท้ๆ ของจิ้นซืออวี้เสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก เขาใช้แซ่ตามแม่ เลยคนละแซ่กับน้องสาว”

ก่อนหน้านี้ลู่เฉินเคยศึกษาแฟ้มคดีของจิ้นซืออวี้ ตอนนั้นเขารู้สึกว่าคดีที่จิ้นซืออวี้ถูกจับเข้าคุกมีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ต่อมาหลังจากจิ้นซืออวี้ตายด้วยอุบัติเหตุ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องสืบสวนอะไรต่อ

“ตอนนั้นพ่อของเขาถูกปลดจากตำแหน่งและจับเข้าคุก ส่วนเขาเองถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ตอนแรกเขาอยู่อเมริกา และไม่มีกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทำให้จับกุมเขาไม่ได้ แต่ไม่รู้หลังจากนั้นเพราะอะไรจู่ๆ เขาก็เดินทางกลับประเทศในช่วงเวลาที่อ่อนไหวที่สุด”

เซิ่งเจาซีหลุบตาลง เธอรู้ว่าตอนนั้นเขากลับประเทศเพื่อมาบอกเรื่องแต่งงานแก่ครอบครัว

ไม่รู้เพราะอะไร ทั้งที่ตอนนั้นฮั่วหมิ่นเหนียนถูกรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์กักตัวและสอบสวน แต่เธอกับเขาซึ่งอยู่อเมริกากลับไม่รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นเขาก็ขาดการติดต่อไปนานทีเดียว เรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเขา เธอไม่เคยรู้เรื่องเลย

เกาหมิ่น ภรรยาใหม่ของพ่อ ซึ่งก็คือแม่เลี้ยงของจิ้นซืออวี้ คือคนที่ออกมากล่าวหาว่าจิ้นซืออวี้ซึ่งอยู่ต่างประเทศว่าเป็นคนช่วยฮั่วหมิ่นเหนียนฟอกเงิน ทั้งยังมอบหลักฐานแน่นหนาเพื่อยืนยันข้อกล่าวหา

เงินจำนวนมหาศาลทั้งหมดนั้นล้วนเคลื่อนไหวอยู่ในบัญชีธนาคารต่างประเทศที่เปิดโดยใช้ชื่อของจิ้นซืออวี้ ทั้งยังมีลายมือชื่อที่เขาเป็นคนเซ็นด้วยตัวเอง จิ้นซืออวี้เองก็ไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหา จึงเท่ากับเป็นการตอกตะปูปิดฝาโลง ปิดคดีนี้อย่างหมดทางพลิกโผ

“เป็นไปไม่ได้!”

เซิ่งเจาซีสวนทันควันด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ตอนนั้นพวกเธอใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่บอสตัน ถึงแม้ว่าอะพาร์ตเมนต์หนึ่งห้องนอนของจิ้นซืออวี้จะอยู่ในเมืองเคมบริดจ์ที่ราคาที่ดินแพงราวกับทอง แต่เงินพวกนั้นเขาก็ได้มาจากการทำงานเป็นผู้ช่วยสอนกับทำโพรเจกต์ที่มหาวิทยาลัย

ชีวิตประจำวันของเขาสมถะมาก แม้ว่าชีวิตนักเรียนนอกของคนอื่นๆ จะหรูหราฟู่ฟ่าเป็นวัตถุนิยมเพียงใด จิ้นซืออวี้ก็ยังใช้ชีวิตอย่างสงบและเรียบง่ายตามแบบนักวิชาการ วันๆ ขลุกอยู่ในบ้านหรือไม่ก็ห้องแล็บตั้งแต่เช้าจดเย็น แทบไม่มีโอกาสให้ใช้เงิน รายได้ของเขาแค่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของพวกเขาทั้งสองคนเท่านั้น

“คนรวยสมัยนี้ทำตัวโลว์โพรไฟล์มาก โดยเฉพาะครอบครัวของข้าราชการใหญ่แบบนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว เงินเป็นแค่ตัวเลขที่หมุนเวียนอยู่ในบัญชี ยิ่งอยู่ต่างประเทศ การตรวจสอบควบคุมต่างๆ ก็น้อยลง แม่สาวน้อย เธอโดนหลอกแล้วละ”

“ไม่มีทางค่ะ ฉันรู้จักเขาดี” หากตัดปัจจัยภายนอกทุกอย่างออกไป จิ้นซืออวี้ที่เธอรู้จักไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่นอน

“อันที่จริงฉันอยู่แผนกสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรม ไม่ค่อยได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเศรษฐกิจสักเท่าไหร่” ลู่เฉินหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่เขาเจอจิ้นซืออวี้ “แต่วันที่จิ้นซืออวี้ถูกพาตัวกลับมา ฉันอยู่ที่กรมฯ และบังเอิญแวะไปหาเพื่อนที่แผนกคดีเศรษฐกิจพอดี ก็เลยได้เจอเขา...”

 

ตอนที่จิ้นซืออวี้ถูกจับกุมตัว เขาไม่ขัดขืน แต่ก็ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

คนของกรมตำรวจคิดว่าเขาเจตนาไม่ให้ความร่วมมือ ดังนั้นจึงปฏิบัติต่อเขาค่อนข้างเลวร้าย จับเขาขังในห้องสอบปากคำที่เปิดแอร์เย็นจัด และทิ้งให้เขาหิวโซ

ลู่เฉินเห็นเขาก็รู้สึกสงสาร จึงยกน้ำอุ่นแก้วหนึ่งเดินไปให้เขา

พอเขาดื่มน้ำแล้ว ริมฝีปากที่ซีดจนน่ากลัวจึงค่อยปรากฏสีเลือดบ้างเล็กน้อย

จิ้นซืออวี้มองหน้าเขา นัยน์ตาสีเข้มที่มืดหม่นราวไร้ก้นบึ้งคู่นั้นทำให้ลู่เฉินรู้สึกชาวาบอยู่ในใจ “คุณตำรวจครับ ขอผมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมครับ”

นั่นคือคำพูดเพียงประโยคเดียวที่เขาพูดตั้งแต่ถูกจับมาที่นี่ ลู่เฉินช่วยเกลี้ยกล่อมคนในกรมตำรวจ จนในที่สุดพวกนั้นก็ยอมให้จิ้นซืออวี้ใช้โทรศัพท์ภายในกรมฯ

จนวันนี้ ในที่สุดถึงได้คำตอบว่าใครกันคือคนที่เขาโทร. หาในวันนั้น

สีหน้าของจิ้นซืออวี้ตอนคุยโทรศัพท์สงบนิ่งและเด็ดเดี่ยว ลู่เฉินเองนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและกำลังมองหน้าเขา

เขาพูดกับคนในโทรศัพท์ว่า “เราเลิกกันเถอะ”

คำพูดนั้นไม่แสดงถึงเยื่อใยหรือความอาลัยอาวรณ์ใดๆ ลู่เฉินได้ยินเสียงปลายสายรัวคำถามกลับมาด้วยความร้อนใจ ท่าทางไม่พอใจอย่างมาก แต่จิ้นซืออวี้ไม่ทำอะไรนอกจากเงียบ เขาเงียบอยู่อย่างนั้นนานทีเดียว

แม้ภายนอกเขาจะดูเยือกเย็นและสงบนิ่ง แต่ลู่เฉินเห็นความเจ็บปวดแสนสาหัสสะท้อนอยู่ในแววตาของชายหนุ่ม นิ้วมือทั้งห้าของเขากุมหูโทรศัพท์ไว้แน่น ราวกับจะกดลึกให้กลายเป็นเนื้อเดียวกับเลือดและกระดูก

เขาไม่ตอบคำถามใดๆ ของอีกฝ่าย เพียงทิ้งท้ายว่า “คุณมันน่ารำคาญ ผมเบื่อแล้ว ผมไม่กลับอเมริกาแล้ว แค่นี้นะ”

ลู่เฉินรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ใจร้ายมาก แม้เป็นคำพูดสั้นๆ ง่ายๆ แค่ไม่กี่ประโยค แต่ทุกคำกลับบาดลึกราวจะบีบเค้นดวงใจของฝ่ายหญิงให้แหลกเหลว

เขาวางสายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันมาพูดกับลู่เฉินสั้นๆ ว่าขอบคุณ สีหน้าเหนื่อยล้าราวพลังงานทั้งหมดถูกสูบจากร่าง

หลังจากวางสายได้ไม่นาน จิ้นซืออวี้ก็ถอนใจยาว “ผมขอยอมรับข้อหา เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือผมเอง”

รังสีกดดันและตึงเครียดที่แผ่ซ่านจากตัวเขาเมื่อครู่สลายหายไปหมด ลู่เฉินรู้สึกว่าหลังจากเขาวางโทรศัพท์สายนั้นแล้ว เหมือนทุกอย่างในตัวเขาแหลกสลายเหลือเพียงฝุ่นเถ้า ไม่เหลือความกลัว ไม่เหลือความหวาดหวั่น ไม่มีแก่ใจจะโต้ข้อกล่าวหาแม้สักประโยค

จิ้นซืออวี้ช่วยให้พ่อของเขาพ้นคดีฟอกเงินข้ามเขตแดน ยอดเงินของคดีนั้นมหาศาลมาก ถือเป็นความผิดร้ายแรง หากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง จะต้องรับโทษจำคุกไม่เกินสิบปี

 

เซิ่งเจาซีฟังลู่เฉินเล่าความเป็นมาเป็นไปของคดีที่เกิดขึ้นในปีนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับจิ้นซืออวี้ได้อย่างไร

เท่าที่เซิ่งเจาซีรู้ จิ้นซืออวี้เคารพพ่อของเขาและแม่เลี้ยงมาก ทั้งยังเคยเล่าให้ฟังหลายครั้งว่าตั้งแต่เด็กๆ แม่เลี้ยงก็ดูแลเขาอย่างดีมาตลอด ไม่ทะเลาะเบาะแว้งเหมือนบ้านอื่นๆ ที่พ่อแม่แต่งงานใหม่ จากที่เขาเล่าให้ฟัง แม่เลี้ยงคนนี้รักและห่วงใยเขามาก

แม่ของจิ้นซืออวี้เสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก ส่วนตัวเขาก็ไม่คัดค้านหากพ่อจะแต่งงานใหม่เพื่อเติมเต็มความสุขให้ชีวิตอีกครั้ง แม้ว่าพื้นอารมณ์โดยกำเนิดทำให้เขาเข้ากับใครได้ยาก แต่เขารู้สึกมาโดยตลอดว่าแม่เลี้ยงคนนี้คือคนที่สร้างความสุขให้แก่ทุกคนในครอบครัวฮั่ว

เพราะเกาหมิ่นเป็นคนดีมาก ไม่ว่าอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังก็ปฏิบัติต่อจิ้นซืออวี้เหมือนเป็นลูกแท้ๆ ของตัวเอง ทุกคนต่างรู้ว่าจิ้นซืออวี้เป็นออทิสติก และเป็นเด็กที่ดูแลยากมากคนหนึ่ง และเกาหมิ่นก็ทำให้ทุกคนยิ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากเย็นเสียเหลือเกิน

ตอนนั้นจิ้นซืออวี้เป็นเด็กใสซื่อ แม้ไม่เคยพูด แต่ในใจเขาก็เห็นเกาหมิ่นเป็นเหมือนแม่คนที่สองของตัวเอง เขาไม่เคยคิดว่าการที่ตัวเองถูกส่งไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งหมดเป็นฝีมือของเกาหมิ่น

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เกาหมิ่นคอยเป่าหูฮั่วหมิ่นเหนียนอยู่ตลอดเวลา บอกว่าการศึกษาในต่างประเทศยอดเยี่ยมอย่างที่สุด หวังว่าจะมีโอกาสได้ส่งจิ้นซืออวี้ไปเรียนเมืองนอก สร้างพื้นฐานการศึกษาที่ดีเพื่ออนาคต

ตอนนั้นฮั่วหมิ่นเหนียนรู้สึกว่าลูกชายอายุยังน้อย เป็นห่วงไม่อยากให้อยู่ไกลหูไกลตา ประกอบกับลูกชายมีผลการเรียนดีมาโดยตลอด เขาคิดว่าตอนนั้นยังไม่มีความจำเป็นอะไรต้องส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ

หลังจากลูกสาวคนเล็กของสองสามีภรรยาเสียชีวิต จิ้นซืออวี้ก็ยิ่งเป็นเหมือนเสี้ยนตำตาในสายตาของเกาหมิ่น แม้ว่าฮั่วหมิ่นเหนียนจะรักและเอาใจลูกสาวคนเล็กซึ่งเป็นลูกของเธอ แต่ทุกคนทั้งวงนอกวงในต่างรู้ดีว่าเขาจะยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ลูกชายของตัวเอง เกาหมิ่นแค้นใจมาก แต่ภายนอกยังต้องเสแสร้งสวมหน้ากากเป็นคุณแม่ผู้เมตตาการุณย์ จะแสดงความกราดเกรี้ยวให้ใครเห็นไม่ได้

ประจวบเหมาะว่าตอนนั้นจิ้นซืออวี้ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเพราะเหตุการณ์นักเรียนต่อยตีกัน ตอนนั้นฮั่วหมิ่นเหนียนงานยุ่งมากจนไม่มีเวลาไปเยี่ยมลูก เกาหมิ่นจึงเป็นคนไปจัดการเรื่องนี้ที่โรงเรียน

อาจารย์บอกผู้ปกครองว่าจิ้นซืออวี้ได้รับบาดเจ็บเพราะเข้าไปช่วยเพื่อนคนหนึ่งที่ถูกรังแก เป็นเด็กกล้าหาญและรักความถูกต้อง แต่เกาหมิ่นกลับเอาเรื่องไปใส่สีตีไข่ บิดเบือนความจริงด้วยการบอกพ่อของเขาว่าจิ้นซืออวี้เริ่มขบถตามประสาวัยรุ่น และโทษว่าเป็นเพราะคบเพื่อนนักเรียนที่ไม่ดี และโรงเรียนกฎระเบียบไม่เข้มงวดพอ เกาหมิ่นสบโอกาสเหมาะเสนอให้ส่งจิ้นซืออวี้ไปเรียนเมืองนอกอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าเธอต้องอ้างว่าทำไปเพื่ออนาคตของจิ้นซืออวี้

ตอนนั้นเป็นช่วงที่ฮั่วหมิ่นเหนียนมีการงานก้าวหน้ามากและกำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง พอสะดุดปัญหาแบบนี้จึงกังวลมาก และตัดสินใจด้วยอารมณ์ร้อนใจชั่ววูบตกลงทำตามข้อเสนอแนะของเกาหมิ่น กว่าเขาจะสงบใจและกลับมาทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง เกาหมิ่นก็จัดแจงทำพาสปอร์ต ยื่นเรื่องสมัครเรียน และหาห้องเช่าที่สหรัฐอเมริกาให้จิ้นซืออวี้เรียบร้อยหมดแล้ว

ตระกูลเซิ่งเป็นที่นับหน้าถือตาและมีอิทธิพลมากในวงการธุรกิจ เหล่าเพื่อนสุนัขสหายจิ้งจอก49ทั้งหลายของพ่อก็เคยเล่นแง่ทำหน้าไหว้หลังหลอก แต่สุดท้ายถูกจับจนงามหน้ามาแล้วนักต่อนัก

วิธีสกปรกของเกาหมิ่น ในสายตาของเซิ่งเจาซีก็คือเมียน้อยที่เสแสร้งเป็นคนดี เป็นเคสที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ในความคิดของจิ้นซืออวี้ เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่าแม่เลี้ยงรักและเป็นห่วงเขาจริงๆ

พอนึกถึงเขาที่ถูกคนในครอบครัวที่ตัวเองเชื่อใจหักหลังและส่งเข้าคุก เซิ่งเจาซีก็ยิ่งรู้สึกสงสารจิ้นซืออวี้ที่รักและซาบซึ้งบุญคุณของแม่เลี้ยงอย่างสนิทใจ

“พวกคุณไม่คิดบ้างเหรอคะว่าจิ้นซืออวี้อาจจะถูกบีบให้ยอมรับสารภาพ”

“...” ลู่เฉินจนคำพูด แสดงว่าเขาเองก็เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้มาก่อนแล้ว

“สุดท้ายพ่อของเขาถูกตัดสินให้รับโทษอะไรคะ”

“ตอนแรกเป็นโทษประหารชีวิต ต่อมาจ้างทนายยื่นอุทธรณ์สำเร็จ จึงได้ลดโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต ตอนนี้เขาถูกคุมขังอยู่ในคุกเมืองเยว่เฉิง”

         เซิ่งเจาซีอดไม่ได้ที่จะยิ้มเย็น ข้าราชการฉ้อฉลที่ถูกยึดทรัพย์จะเอาเงินที่ไหนไปจ้างทนาย จากโทษประหารเปลี่ยนเป็นจำคุกตลอดชีวิต อิสรภาพของใครกันที่ต้องสูญสิ้นจากคดีนี้? ทุกอย่างชัดเจนอยู่แล้วโดยไม่ต้องพูด

“ฉันขอดูแฟ้มข้อมูลคดีนี้ได้ไหมคะ”

“เสี่ยวเซิ่ง ถึงแม้เธอจะเป็นคนของพวกเรา แต่ข้อมูลคดีนี้เป็นความลับ เราไม่มีสิทธิ์ดึงข้อมูลออกมาดูตามอำเภอใจ อันที่จริงเราไม่ควรพูดถึงคดีนี้อีก แต่เสี่ยวเซี่ยกำชับหนักแน่นว่าต้องช่วยสุดความสามารถ ฉันถึงกล้าเอ่ยปากพูดเรื่องนี้กับเธอ”

“งั้นคุณช่วยบอกฉันได้ไหมคะ ว่าเขาเสียชีวิตได้ยังไง”

ลู่เฉินเบือนหน้าหนีไปอีกทางโดยไม่ตอบ ดูเหมือนพยายามหลีกเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้ เขาย้อนถามเธอว่า “เธอสืบรู้อะไรมาบ้าง”

เซิ่งเจาซีส่ายหน้า “ข้อมูลทั้งหมดถูกปิดเป็นความลับ ฉันเองก็ค้นดูไม่ได้”

“ฉันขอแนะนำด้วยความหวังดีว่าเธออย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย น้องเอ๋ย ถือว่าฟังคำเตือนพี่สักครั้ง เรื่องนี้ลึกเกินหยั่งถึง เธอแตะต้องไม่ได้หรอก”

เซิ่งเจาซีตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ เธอเคยถกเรื่องนี้กับจิ้นซืออวี้

สำหรับคนส่วนใหญ่ในประเทศจีน การรักษาความสัมพันธ์อันสันติเป็นสิ่งสำคัญกว่าการแก้ปัญหา ศาสตราจารย์ชาวจีนคนหนึ่งที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่อเมริกานานกว่าสิบปีเคยให้คำแนะนำเซิ่งเจาซีว่า Don’t identify the problem or you will be the problem. (อย่าเป็นคนที่ชี้ปัญหา ไม่งั้นเธอเองจะกลายเป็นตัวปัญหา)

ตอนนั้นเซิ่งเจาซีไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ พอกลับถึงบ้านเลยลองถามจิ้นซืออวี้ ถ้าวันหนึ่งพวกเราเจอสิ่งที่เป็นปัญหาขึ้นมาจริงๆ เราควรเชื่อหลักการไหน เราควรตัดสินใจอย่างไร

คำตอบของจิ้นซืออวี้คือ ‘truth (ความจริง)’

‘ทำไมบนโลกนี้ถึงมีเรื่องที่เราแตะต้องไม่ได้ ถ้าเธอกับฉันจัดการไม่ได้ งั้นใครกันที่มีสิทธิ์ยื่นมือเข้าแทรกแซง’

“เจ้าหน้าที่ตำรวจลู่ ขอบคุณสำหรับความหวังดีของคุณนะคะ แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่มีทางยอมปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ คุณไม่ให้ฉันแตะต้องเรื่องนี้ ฉันก็จะไปที่รัฐบาลมณฑล ถ้าระดับมณฑลจัดการไม่ได้ ฉันจะไปหารัฐบาลกลาง สุดท้ายต้องมีใครสักคนที่จัดการเรื่องนี้ได้”

ลู่เฉินเห็นเธอเป็นผู้หญิงท่าทางบอบบางอ่อนแอ นึกว่าเตือนสองสามประโยคก็จะโน้มน้าวอีกฝ่ายได้ง่ายๆ ไม่นึกว่าบทเซิ่งเจาซีจะหัวแข็งขึ้นมา ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามเธอไม่ได้

“น้องเอ๋ย การใช้ชีวิตต้องมองไปข้างหน้า ไม่ว่าตอนนั้นจิ้นซืออวี้จะเจอเรื่องอะไร ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่แล้ว ต่อให้เธอสืบจนรู้ความจริง แล้วเธอจะทำยังไงต่อ เธอจะเก็บตัวเป็นม่ายตลอดชีวิตเพื่อเขาอย่างนั้นเหรอ อย่าหาเรื่องเพิ่มความทุกข์ให้ตัวเองเปล่าๆ แบบนี้เลย”

จู่ๆ ภาพของจิ้นซืออวี้ตอนกำลังคุกเข่าพนมมืออธิษฐานอยู่ในโบสถ์ก็ผุดขึ้นในสมองของเซิ่งเจาซี...ในใจของมนุษย์ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีความเชื่อในอะไรสักอย่าง

เธอยักไหล่พลางยิ้มน้อยๆ “ฉันไม่ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ ฉันจะพยายามใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ไม่แน่ในอนาคตฉันอาจได้เจอคนที่ฉันรัก แต่งงานมีครอบครัว มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นฉันต้องรู้ความจริงทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเขาให้ได้ บนโลกนี้ยังไงก็ต้องมีคนที่จำเขาได้ ต้องมีใครสักคนที่จดจำความดีของเขา”

คำพูดของเซิ่งเจาซีเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริง ทำให้ลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะสะท้านวาบอยู่ในใจ...การเป็นที่จดจำ คือเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ของการมีชีวิตอยู่

อันที่จริงคดีของจิ้นซืออวี้เป็นแค่คดีเศรษฐกิจ ประกอบกับเขาให้ความร่วมมือระหว่างกระบวนการสอบสวนเป็นอย่างดี มีโอกาสสูงมากที่จะได้ลดโทษและได้รับการปล่อยตัวออกมาใช้ชีวิตในสังคมปกติ แต่สุดท้ายทุกสิ่งต้องจบลงเพราะความเคราะห์ร้ายของเขา

“เสี่ยวเซิ่ง เห็นแก่ความมุ่งมั่นของเธอ ฉันถึงยอมบอกเรื่องนี้ให้เธอรู้ จิ้นซืออวี้ถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต”

คำตอบสั้นๆ เพียงไม่กี่คำนั้นสะท้อนก้องอยู่ในหัวของเซิ่งเจาซี เธอรู้สึกว่าในหูอื้ออึงจนยืนทรงตัวไม่อยู่ ลู่เฉินต้องรีบคว้าตัวช่วยพยุงเธอไว้

“เป็นฝีมือใคร มีคนวางแผนฆ่าปิดปากเขาใช่ไหม” เซิ่งเจาซีขอบตาแดงก่ำ ตาจ้องลู่เฉินเขม็ง

“ฉันไม่ขอเล่ารายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็แล้วกัน อันที่จริงจิ้นซืออวี้แค่เคราะห์ร้ายโดนลูกหลง ตอนที่คดีของเขากำลังจะเข้าสู่กระบวนการศาล มีคนช่วยประกันตัวเขาออกไป ปรากฏว่ากลางดึกคืนหนึ่งเขาเจอนักเลงสองแก๊งยกพวกตีกัน คนพวกนั้นเข้าใจผิดนึกว่าเขาอยู่ในแก๊งด้วย เขาก็เลยถูกทำร้ายจนตาย”

“ไม่มีใครช่วยส่งเขาไปโรงพยาบาลเลยเหรอ ไม่มีใครสนเลยหรือไงว่าเขาจะเป็นตายยังไง” มือทั้งสองของหญิงสาวคว้าแขนลู่เฉินไว้แน่น เริ่มจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ 

เสี่ยวจาง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ยินเสียงเอะอะก็หันมามองพวกเขาแวบหนึ่ง ลู่เฉินเห็นดังนั้นก็ตกใจเล็กน้อย เขาเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะดึงเธอออกไปที่มุมลับตาคน

“แม่เจ้าประคุณทูนหัว เบาเสียงหน่อยเถอะนะ”

“ขอโทษค่ะ” เซิ่งเจาซีปาดน้ำตาแล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้งอย่างดื้อรั้น นัยน์ตาทั้งสองยังแดงก่ำไม่ต่างจากตอนแรก

พอเห็นสภาพเธอแบบนี้ ลู่เฉินก็ไม่อาจทำใจร้ายพูดจาแรงๆ กับหญิงสาว “เฮ้อ เหตุเกิดตอนกลางดึก สถานที่เกิดเหตุก็ห่างไกลจากสายตาผู้คน มีคนจับเขาไปซุกไว้ในมุมด้านในสุดของห้องน้ำสาธารณะ จนวันรุ่งขึ้นถึงจะมีคนเจอตัวเขา กว่าจะถึงมือหมอก็ช่วยชีวิตเขาไว้ไม่ทันแล้ว”

หลังจากเกิดเหตุ ลู่เฉินซึ่งเป็นหัวหน้าทีมย่อยของแผนกคดีอาชญากรรมก็เดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ

ผลการตรวจของแพทย์ระบุว่า ตามลำตัวของจิ้นซืออวี้มีแผลถูกแทงทั้งแนวลึกและแนวขวางหลายแห่ง เลือดไหลไม่หยุดตลอดทั้งคืน กว่าจะมีคนเจอ ตัวเขาก็เย็นแล้ว

ที่เรียกรถพยาบาลเพราะต้องทำตามขั้นตอน ทุกคนต่างรู้ว่าบาดแผลสาหัสขนาดนี้ไม่มีทางยื้อชีวิตไว้ได้

เขาไม่ได้บรรยายสภาพของจิ้นซืออวี้ในเวลานั้นให้เซิ่งเจาซีฟังอย่างละเอียด เพราะกลัวว่าเธอจะรับไม่ได้ และเขาก็ไม่ได้เปิดเผยเงื่อนงำไม่ชอบมาพากลที่เขาสืบพบจากเหตุเสียชีวิตของชายหนุ่มด้วย

บางทีคนพวกนั้นอาจจะไม่ได้ฆ่าผิดตัว แต่ถูกว่าจ้างให้สังหารจิ้นซืออวี้โดยเจตนา แต่คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นคนที่ลู่เฉินแตะต้องไม่ได้ และไม่อยากเห็นสาวน้อยหน้าตาสวยหมดจดตรงหน้าถูกดึงเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ด้วย

“นี่คือทั้งหมดที่ฉันรู้ น้องเอ๋ย ฟังพี่เตือนสักครั้งเถอะ เรื่องนี้พวกเราหยุดไว้แค่นี้ โอเคไหม”

เซิ่งเจาซีก้มหน้าเงียบ ไม่ตอบคำถามของเขา

หยุด? จะหยุดได้ยังไง จิ้นซืออวี้ถูกคนรุมทำร้ายจนตายทั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย คนที่ไม่สนว่าเขาจะเป็นตายยังไง ย่อมต้องยอมรับข้ออ้างห่วยๆ อย่างการฆ่าผิดตัวได้อยู่แล้ว แต่สำหรับเธอ...ไม่มีทาง

 

ที่หน้าประตูกรมตำรวจ ชายคนหนึ่งแอบคุยโทรศัพท์อยู่ที่หลังประตู 

“บอสครับ มีผู้หญิงคนนึงมาหาลู่เฉินแล้วถามเรื่องจิ้นซืออวี้ครับ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น