13

บทที่ 13 ฉันไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เธอคิด


 

บทที่ 13 

ฉันไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เธอคิด

 

อย่าจากไปโดยไม่ลา คนที่ฉันรัก

รพินทรนาถ ฐากูร

 

เนื่องจากเซิ่งเจาซีลาหยุดกะทันหัน จึงไม่สามารถไปเข้าร่วมการประชุมนำเสนอแนวทางป้องกันอัคคีภัยตามตารางเวลาที่กำหนดไว้ เหล่าเผิงกำชับเธอว่าต้องแจ้งให้ผู้ดูแลสถานสงเคราะห์รับทราบ

เย็นวันนั้นระหว่างกำลังเก็บกระเป๋า เซิ่งเจาซีควานหานามบัตรที่เหยียนเจิ้งเคยให้ไว้ในกระเป๋าเสื้อ

เธอส่งข้อความ SMS ไปหาเขา 

คุณเหยียนคะ ขอโทษด้วยค่ะ ฉันติดธุระด่วน ไม่สามารถไปเข้าร่วมงานวันพรุ่งนี้ได้ ทางกรมฯ จะส่งคนไปแทนฉัน เพื่อไม่ให้กระทบต่อกิจกรรมที่วางแผนไว้นะคะ

หญิงสาวหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเติมอีกประโยคเพื่อแสดงสปิริตความมีมนุษยธรรม 

แผลเป็นยังไงบ้างคะ ไม่อักเสบแล้วใช่ไหม

เธอวางมือถือแล้วหันไปจัดกระเป๋าต่อ แล้วก็ได้ยินเสียงมือถือติ๊งๆ แว่วมาจากเตียง เธอหยุดสิ่งที่ทำอยู่แล้วหันไปดูมือถือ

“โอเคดี ทำอะไรอยู่”

ประโยคครึ่งแรกตอบคำถามของเธอ ส่วนประโยคครึ่งหลังคือคำถามของเขา น้ำเสียงสนิทสนมราวกับเพื่อนเก่าที่คบกันมาหลายปี ความคุ้นเคยแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้เธอตอบอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

เซิ่งเจาซีกัดริมฝีปากล่างแล้วหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบไปตามจริง “กำลังเก็บกระเป๋า วันพรุ่งนี้ไปทำงานที่เยว่เฉิง”

“บังเอิญจังเลย วันพรุ่งนี้ผมก็ต้องไปประชุมที่เยว่เฉิงเหมือนกัน”

เซิ่งเจาซีเอียงหัว ครุ่นคิดอยู่ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร

“ไปด้วยกันไหม” เหยียนเจิ้งตอบข้อสงสัยในใจเธออย่างรวดเร็ว

“คุณขับรถไปเองเหรอคะ” ตอนแรกเซิ่งเจาซีตั้งใจจะขับรถไปเอง แต่เธอไม่มั่นใจฝีมือการขับรถระยะทางไกลของตัวเองเท่าไหร่นัก ถ้าเขาให้เธอติดรถไปด้วยได้จริงๆ ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว “โอเค ขอติดรถไปด้วยนะคะ”

เยว่เฉิงเป็นเมืองหลวงของมณฑล อยู่ไม่ไกลจากเหิงเฉิง ขับรถราวสี่ชั่วโมงกว่า เลขาฯ ซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูงไว้ให้เหยียนเจิ้งแล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าจะซื้อตั๋วให้เซิ่งเจาซีด้วยอีกใบ แต่คิดไปคิดมาสุดท้ายก็ตัดสินใจขับรถไปกันเองกับเธอสองคนดีกว่า

“ถ้าคุณสะดวก ฉันขอแวะขึ้นรถตรงเส้นทางที่คุณขับผ่านแล้วกันนะคะ”

“สะดวก เอาที่อยู่บ้านคุณให้ผม พรุ่งนี้เก้าโมงเช้า ผมจะไปรับ”

เซิ่งเจาซีส่งที่อยู่ตัวเองให้เขา รู้สึกตัวอีกทีก็อดตกใจไม่ได้ว่าทำไมพักนี้เธอถึงสนิทกับคนแปลกหน้าได้เร็วขนาดนี้ เหยียนเจิ้งก็คนหนึ่ง โจวฮวายจิ่นก็เหมือนกัน ปกติเธอไม่ใช่คนที่สนิทกับใครง่ายๆ แต่สองคนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน

พอคิดได้ว่าอาจเป็นความรู้สึกรักๆ ใคร่ๆ ที่เกินเลยคำว่าเพื่อน หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะกลัวตัวเอง...หรือเธอปล่อยตัวเองให้อยู่บนคานมานานเกินไป เหมือนฤดูแล้งอันยาวนานพลันได้พานพบหยาดน้ำค้าง ต้นเหล็กกล้าจึงเกิดบุปผาผลิแย้มขึ้นมาในเวลานี้?

เซิ่งเจาซีสะบัดศีรษะ พยายามสลัดความคิดนี้ไปจากสมอง เธอคิดว่าระยะนี้เธอควรทำใจให้สงบ และตั้งหน้าตั้งตาสืบเรื่องจิ้นซืออวี้ให้ชัดเจนก่อน ค่อยกลับมาคิดเรื่องอื่น

เธอตรวจดูกระเป๋าสัมภาระอีกครั้ง และยัดขนมอีกสองสามถุงเข้าไปเพิ่ม ของอัดแน่นจนกระเป๋าแทบแตก วันพรุ่งนี้ต้องนั่งรถสี่ชั่วโมง อาหารตามสถานีพักระหว่างทางบนทางด่วนก็ไม่อร่อยเลยสักนิด เธอชอบพกขนมไปกินระหว่างทางมากกว่า

เธอนึกได้ว่าครั้งที่แล้วเหยียนเจิ้งบอกว่ากระเพาะเขาไม่ค่อยดี จึงหยิบถั่วเพิ่มไปอีกกระป๋อง กระเป๋าเป้ที่แสนน่าสงสารบวมจนรูดซิปแทบไม่ได้ เซิ่งเจาซีออกแรงดึงจนหน้าแดงหน้าเขียว แต่สุดท้ายก็ต้องยอมตัดใจบอกอำลาหลางเว่ยเซียน42ขนมสุดโปรดของเธอเอง ในที่สุดจึงปิดกระเป๋าเป้ลงได้

พอจัดกระเป๋าเสร็จแล้ว เซิ่งเจาซีตั้งใจจะไปบอกฉินจิ้งเรื่องที่เธอจะไปเมืองเยว่เฉิง จึงวิ่งไปเคาะประตูห้องของเพื่อนซี้ แต่ไม่มีใครออกมาเปิด เธอผลักเข้าไปดูและพบว่าไม่มีใครอยู่ ตอนนั้นนาฬิกาบอกเวลา 23.40 น.

ชีวิตนอกเวลางานของฉินจิ้งเรียกได้ว่าสนุกสุดเหวี่ยง เป็นเรื่องปกติที่เธอจะร่วมงานสังสรรค์จนดึกดื่นถึงกลับบ้าน

เซิ่งเจาซีส่งข้อความไปแทน บอกฉินจิ้งว่าวันพรุ่งนี้เธอจะเดินทางไปต่างเมือง ไปประมาณสามวันถึงกลับ

ฉินจิ้งตอบกลับอย่างรวดเร็วว่าโอเค

เซิ่งเจาซีรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ปกติเธอลมพัดหญ้าไหวอะไรนิดหน่อย เพื่อนสุดซี้ของเธอคนนี้ก็จะซอกแซกถามรายละเอียดไม่รู้จบ แต่ครั้งนี้กลับไม่แสดงความอยากรู้อยากเห็นเลยแม้แต่ปลายก้อย

จะว่าไประยะนี้ฉินจิ้งไปไหนมาไหนกับโจวฮวายจิ่นถี่เป็นพิเศษเพราะทั้งคู่จัดรายการด้วยกัน ไม่แน่ว่าอาจกำลังกุ๊กกิ๊กกันอยู่ ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่เธอถูกชะตามาก หากสุดท้ายบุพเพสันนิวาสบันดาลให้ครองคู่กัน เธอต้องดีใจกับทั้งสองคนมากแน่ๆ

เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับโจวฮวายจิ่นหรือเปล่า โจวฮวายจิ่นรังแกอะไรเธอหรือเปล่า...เซิ่งเจาซีพิมพ์แล้วลบ ลบแล้วพิมพ์อยู่หลายรอบ เธอเป็นห่วงฉินจิ้ง แต่ก็รู้สึกว่าการถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวอาจทำให้ฉินจิ้งทำตัวลำบาก

หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ ก็ตัดสินใจส่งข้อความไปแค่สั้นๆ ว่า รีบกลับบ้านนะ ข้างนอกตัวอันตรายเยอะ

 

ฉินจิ้งนั่งอยู่ที่โซฟาภายในห้องไพรเวตของบาร์แห่งหนึ่ง ขาเรียวยาวยกขึ้นไขว่ห้างขณะอ่านข้อความ ประโยคที่บอกว่า ‘ข้างนอกตัวอันตรายเยอะ’ ทำเธอหลุดหัวเราะเสียงดังลั่น เธอจินตนาการสีหน้าจริงจังของเซิ่งเจาซีตอนพูดประโยคนี้ได้เลย

เธอหัวเราะและหัวเราะ แต่รอยยิ้มนั้นแฝงด้วยความเฝื่อนขมอยู่บางส่วน 

‘แม้กระทั่งผู้หญิงอย่างฉันยังเห็นเธอเป็นเหมือนแก้วตา ทนไม่ได้ คอยแต่จะปกป้องเธอตลอด แล้วผู้ชายพวกนั้นจะไม่ชอบเธอได้ยังไงกัน...ตราบใดที่ฉันยังอยู่ข้างๆ เธอ คนที่ทุกคนมองเห็น คนที่ทุกคนชอบก็มีแต่เธอ...เธอคนเดียว ตั้งแต่สมัยมัธยมต้นจนตอนนี้ ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย’

ตอนนี้เธอกับโจวฮวายจิ่นเป็นเพื่อนร่วมงาน ต้องประชุมและเจอหน้ากันที่สถานีวิทยุอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็ไปกินข้าวด้วยกันบ้าง พวกเขามีเรื่องคุยกันไม่รู้เบื่อ แถมยังชอบกินอาหารแบบเดียวกัน เขาช่วยเปิดประตูรถให้เธอ จูงมือพาเธอเดินข้ามร่องน้ำ ทุกอย่างบ่งบอกชัดเจนว่าทั้งสองเคมีเข้ากัน

แต่แล้วคืนวานนี้ก่อนจะแยกย้าย เขากลับสารภาพกับเธอว่าเขาชอบเซิ่งเจาซี และไหว้วานให้เธอช่วยเป็นแม่สื่อให้...ช่างน่าขันอะไรอย่างนี้

‘ทั้งที่ฉันเป็นคนรู้จักเขาก่อนแท้ๆ’

ทุกครั้งที่เธอคิดถึงใบหน้าด้านข้างที่สง่างามและเปี่ยมเสน่ห์ กับน้ำเสียงที่อ่อนโยนเต็มไปด้วยแรงดึงดูดของโจวฮวายจิ่น ความริษยาที่ถูกฝังซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจจากหลายปีก่อนก็ผุดขึ้นมาสร้างความเจ็บปวดให้เธออีกครั้ง

เธอไม่เคยบอกเซิ่งเจาซีว่าสาเหตุที่เธอเลือกย้ายโรงเรียนในตอนนั้น ที่จริงแล้วเป็นเพราะอะไร

เซิ่งเจาซีเข้าใจผิดมาตลอดว่าเธอย้ายบ้านจึงต้องย้ายออกจากโรงเรียนมัธยมซื่อจง แต่ความจริงคือฉินจิ้งเป็นฝ่ายเสนอกับพ่อแม่เองว่าเธอต้องการย้ายโรงเรียน

ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองไม่ใช่เด็กสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดปีเหมือนตอนนั้นแล้ว และสามารถจัดการอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองให้สมกับเป็นผู้ใหญ่

เธอโตแล้ว หน้าตาสะสวยไม่ต่างกัน และมีคนรุมจีบเยอะแยะไม่ต่างกัน

เธอคิดว่าเธอทั้งสองจะสามารถหวนย้อนกลับไปสู่ความสุขที่เรียบง่ายที่สุด เหมือนตอนที่พวกเธอเพิ่งรู้จักกัน

แต่นั่นเป็นเพราะเธอยังไม่ได้เจอ ‘เขา’ คนนั้น

เรื่องราวในอดีตถาโถมกลับมา ใบหน้าของโจวฮวายจิ่นกับรุ่นพี่สมัยมัธยมต้นในความทรงจำของเธอซ้อนทับเป็นภาพเดียว

โชคชะตาเหมือนกำลังเล่นตลก กงล้อหมุนย้อนกลับ ทำให้เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมในอดีตอีกครั้ง

“ร้านต่อไป เดี๋ยวเราไปดื่มต่อที่จั่วอั้นดีไหม” เพื่อนคนหนึ่งอยากไปต่อ

“ฉันไม่ไปดีกว่า เสี่ยวซีนอนอยู่บ้านคนเดียว ฉันไม่ค่อยวางใจ ฉันรีบกลับไปอยู่เป็นเพื่อนเขาดีกว่า”

“จุ๊ๆ อาจิ้ง ถ้าไม่ใช่เพราะฉันรู้จักเธอมานาน คงเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นเลสเบี้ยนแน่ๆ ‘ภรรยาจิกเป็นไก่’ สุดๆ”

ฉินจิ้งไม่สนใจคำหยอกล้อของพวกเขา เธอหิ้วกระเป๋าลุกขึ้นเดินออกจากร้านไปเรียกแท็กซี่กลับบ้านทันที

 

ตีสองแล้ว เซิ่งเจาซีสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงปิดประตู เธอพะวักพะวนเพราะฉินจิ้งยังไม่กลับบ้าน ทำให้นอนหลับไม่สนิท อีกอย่างประตูห้องเธอถูกแง้มเปิดและปิดอย่างแผ่วเบา หญิงสาวได้ยินเสียงชัดเต็มสองหู

จิตใต้สำนึกของเธอรับรู้ว่าฉินจิ้งกลับมาบ้านแล้ว จึงหลับลึกได้อย่างสบายใจ

วันต่อมาตอนฉินจิ้งตื่น เซิ่งเจาซีออกจากบ้านไปแล้ว มีโน้ตแผ่นหนึ่งทิ้งไว้บนโต๊ะ

ในหม้อจื่อซา43มีโจ๊กเนื้อไม่ติดมันกับไข่เยี่ยวม้าอุ่นไว้ เมื่อคืนเธอคงดื่มเหล้าไปไม่น้อย ตื่นแล้วก็พักผ่อนสักหน่อยก่อน ฉันไปเมืองเยว่เฉิง อีกสามวันถึงจะกลับ ดูแลตัวเองดีๆ นะ เดี๋ยวฉันกลับมาจะเอาของกินอร่อยๆ มาฝาก รักนะจ๊ะ

ฉินจิ้งเดินเข้าไปในครัวแล้วตักโจ๊กยกออกมา นั่งกินโจ๊กด้วยแววตาเหม่อลอยอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว เธองับช้อน สายตายังหยุดนิ่งอยู่ที่กระดาษโน้ตของเซิ่งเจาซี

“บ้าที่สุด!” เธอโยนช้อนทิ้งแล้วสบถอย่างกราดเกรี้ยว “ยายปีศาจ! หลอกใช้คนอื่นแล้วยังมีหน้ามาทำซื่อ”

เซิ่งเจาซีลากกระเป๋าเดินทางลงมาถึงชั้นล่าง ก็เห็นรถของเหยียนเจิ้งจอดอยู่ด้านหน้า เหยียนเจิ้งลงจากรถมาช่วยเธอยกกระเป๋า 

“ทำไมคุณถึงรู้ว่าฉันอยู่ตึกนี้ล่ะคะ” หญิงสาวถามโดยไม่คิดอะไร แค่สงสัย เพราะที่อยู่ที่ให้เขาเมื่อวานไม่ได้ระบุหมายเลขตึก

ชุมชนที่เธออยู่ดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด หากรถแปลกหน้าเข้ามาจะต้องได้รับการยืนยันจากเจ้าของห้องภายในตึกก่อนจึงจะอนุญาตให้เข้ามาได้ ตอนแรกเซิ่งเจาซีตั้งใจจะหิ้วกระเป๋าไปรอที่ปากทางเข้า ปรากฏว่าพอเดินลงมาข้างล่างก็เห็นเขารออยู่ก่อนแล้ว

“รปภ. ที่หน้าประตูบอกน่ะ”

เซิ่งเจาซีไม่นึกเคลือบแคลง ตอนรถขับผ่านประตูทางออก เธอหันไปดูว่าใครเป็น รปภ. ที่ดูแลประตูทางเข้าเช้าวันนี้ และเห็นว่าเป็นเด็กใหม่หน้ายังดูละอ่อน น่าจะเพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน เลยไม่รู้กฎของที่นี่

“คุณชอบฟังเพลงแบบไหน” เหยียนเจิ้งเลือกซีดีก่อนออกเดินทาง

“ฉันฟังหลากหลายมาก ชอบหมดแหละ คุณเลือกตามใจเลย”

เหยียนเจิ้งสอดซีดีเพลงคลาสสิกแผ่นหนึ่งลงในเครื่องเล่น ท่วงทำนองเนิบช้าสง่างามบรรเลงอย่างนิ่มนวล ทำให้จิตใจรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย

เซิ่งเจาซีไม่ค่อยรู้เรื่องดนตรีคลาสสิก ไม่รู้ความแตกต่างระหว่างออร์เคสตรา คอนแชร์โต และแชมเบอร์ แต่จิ้นซืออวี้ชอบและมักจะเปิดบ่อยๆ ตอนอยู่บ้าน บางครั้งเธอจึงได้ครูพักลักจำความรู้เกี่ยวกับดนตรีมาบ้าง

ท่วงทำนองนี้ช่างคุ้นหูเหลือเกิน หญิงสาวนิ่งฟังอยู่นานก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจนัก “เพลงนี้เป็นของนักประพันธ์ที่ชื่อเมน...เมนเดออะไรสักอย่างใช่ไหม”

“เมนเดลโซห์น มาจากชุดเพลงสั้นชื่อ “เพลงไร้คำ44” ” เหยียนเจิ้งต่อประโยคของเธอให้จบ

“ใช่ๆ ชื่อนี้แหละ” เซิ่งเจาซีพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น แต่ก่อนจิ้นซืออวี้ก็เคยบอกเธอแบบนี้ ท่ามกลางท่วงทำนองอันคุ้นเคย เพียงหลับตาก็จะหวนนึกถึงภาพแห่งความสุขในอดีต

หลังจากขับรถขึ้นทางด่วนมาได้ราวหนึ่งชั่วโมง เซิ่งเจาซีก็เริ่มรื้อหาขนมในกระเป๋าเสียงดังสวบสาบ

“กินไหม ฉันเอาถั่วรวมมิตรวางไว้บนรถคุณกระป๋องหนึ่งนะ อันนี้กินแล้วช่วยบำรุงกระเพาะ”

“ขอบคุณ” ครั้งที่แล้วเหยียนเจิ้งแค่พูดเปรยๆ โดยไม่คิดอะไร ไม่นึกว่าเธอจะจำได้ “คุณไปทำงานที่เยว่เฉิงเหรอ”

“อืม งานประชุมแลกเปลี่ยนของตำรวจน่ะ” เซิ่งเจาซีไม่อยากเล่าเรื่องจิ้นซืออวี้กับคนอื่นมากเกินไป จึงต้องหาข้ออ้างกลบเกลื่อน แล้วโยนคำถามกลับไปที่เหยียนเจิ้งอย่างรวดเร็ว “แล้วคุณล่ะ”

“ผม...” เหยียนเจิ้งกำลังจะตอบ มือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน เขาสวมหูฟังบลูทูทแล้วกดปุ่มรับโทรศัพท์

เซิ่งเจาซีเหลือบมองตัวอักษร ‘ทัง’ บนหน้าจอ ที่แท้ก็คือท่านประธานเสี่ยวทังที่ทุกคนเล่าลือกันนั่นเอง เธอเคยฟังข่าวลือเกี่ยวกับคนทั้งสองมาบ้าง ว่ากันว่าท่านประธานทังเป็นพวกลุ่มหลงไม้ป่าเดียวกันจนยอมตัดแขนเสื้อ45 จึงโพรโมตเหยียนเจิ้งซึ่งรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาให้ได้ตำแหน่งสูงในบริษัท แต่ข่าวโคมลอยของชาวเมืองเอามาเชื่อเป็นจริงเป็นจังไม่ได้อยู่แล้ว เหยียนเจิ้งมีความรู้ความสามารถในสาขางานที่เขาทำอยู่จริงๆ เขาเป็นผู้นำคณะนักวิจัยค้นคว้ายาแก้ไข้ที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม แม้กระทั่งกล่องยาที่บ้านเธอยังต้องมียาตัวนี้พกติดไว้

“อืม” ยังเหลืออีกสามชั่วโมงกว่าก่อนถึงจุดหมาย เหยียนเจิ้งเหลือบมองเซิ่งเจาซีที่นั่งอยู่ข้างคนขับ และลดเสียงลงจนฟังดูไม่เป็นธรรมชาตินัก “มีเรื่องส่วนตัวที่ค่อนข้างเร่งด่วน ก็เลยต้องขับรถมาน่ะ... ไม่ต้องมารับ รอที่โรงแรมนั่นแหละ... ฉันเอาเอกสารประชุมของวันพรุ่งนี้มาแล้ว โอเค คืนนี้เรามาคุยเรื่องแผนผ่อนชำระของฝ่ายตรงข้ามอีกที”

กว่าเขาจะถอดหูฟัง เซิ่งเจาซีก็หมดอารมณ์จะชวนคุยต่อ เธอเอนหัวพิงกระจก ศีรษะโงนเงนไปมาเหมือนพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ

เมื่อคืนเธอรอฉินจิ้งกลับบ้านทำให้นอนดึกมาก ประกอบกับเมื่อกี้กินขนมเข้าไป เอนตัวได้ไม่นานความง่วงก็พุ่งเข้าจู่โจม เหยียนเจิ้งปรับเสียงดนตรีให้เบาลงอย่างเงียบๆ แล้วเปลี่ยนไปเปิดเพลงลัลลาบาย46ของ กาเบรียล โฟเร ท่วงทำนองอันอ่อนหวานนุ่มนวลทำให้เซิ่งเจาซีเคลิ้มหลับไปอย่างรวดเร็ว

พอเธอตื่นมาอีกที ก็พบว่ารถจอดอยู่ที่สถานีแวะพักแล้ว เหยียนเจิ้งไม่อยู่ในรถ เซิ่งเจาซีเหลียวซ้ายแลขวาแต่ไม่เห็นแม้เงาของเขา จู่ๆ เธอก็รู้สึกร้อนใจโดยไม่มีสาเหตุ พอมองออกไปเห็นเหยียนเจิ้งถือถุงเดินออกมาจากมินิมาร์ต จึงค่อยรู้สึกเบาใจ

ตอนที่จิ้นซืออวี้จากไป เธอใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาคนเดียวนานถึงหกปี ในช่วงเวลานั้นเธอเจออุปสรรครูปแบบต่างๆ ทั้งในชีวิตและการทำงาน จนเธอชินกับการพึ่งพาตัวเอง แต่หลายครั้งเธอก็ไม่ทันปกปิดความหวาดกลัวและต้องการที่พึ่งที่เผลอแสดงออกในเสี้ยวขณะหนึ่ง 

ตอนที่เหยียนเจิ้งกลับเข้ามานั่งในรถ สีหน้าเขาดูไม่ดีนัก ที่เขาต้องหยุดจอดที่จุดแวะพักระหว่างทางก็เพราะโรคกระเพาะกำเริบ ทำให้เขาปวดจนขับรถต่อไปไม่ไหว

เขากลัวว่าขับรถต่อจะเป็นอันตราย จึงขับเข้ามาจอดในปั๊มน้ำมันก่อน

ห้องน้ำในปั๊มน้ำมันบนทางด่วนไม่สะอาดนัก เหยียนเจิ้งต้องเว้นระยะห่างจากอ่างล้างมือพอสมควรตอนพยายามอาเจียน เขารู้สึกปวดมวนในท้องจนคลื่นไส้ แต่พออาเจียนกลับไม่มีอะไรออกมา กลิ่นเหม็นตลบอบอวลในห้องน้ำยิ่งทำให้เขาคลื่นเหียนหนักกว่าเก่า เขาเดินออกมาซื้อน้ำขวดหนึ่งกลั้วปากให้รู้สึกสบายขึ้น และกินถั่วรวมมิตรที่เซิ่งเจาซีซื้อมาให้นิดหน่อย อาการจึงค่อยทุเลาลง

เลยเที่ยงมาแล้ว แต่เซิ่งเจาซีก็ยังหลับอย่างสบายอยู่ในรถ เหยียนเจิ้งจึงเข้าไปที่ร้านสะดวกซื้อซึ่งอยู่ใกล้ๆ เพื่อซื้ออาหารร้อนสำหรับพวกเขาสองคน

มินิมาร์ตขนาดเล็กไม่มีอาหารให้เลือกมากนัก มีแต่โอเด้งที่ต้มในน้ำซุปมันเยิ้มสีข้นคลั่กดูน่ากลัว เขาเลือกหยิบซาลาเปาซานตงมาสองลูก และข้าวโพดต้มอีกหนึ่งฝัก

พอเดินออกมาจากมินิมาร์ต จึงเห็นเซิ่งเจาซีกำลังเกาะกระจกรถแล้วมองเลิ่กลั่ก ราวกับแกะตัวน้อยที่หลงจากฝูง ความหวาดกลัวและอ่อนแอในดวงตาทิ่มแทงใจของชายหนุ่ม

เธอไม่ได้เข้มแข็งอย่างภายนอกเลยสักนิด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น