บทที่ 5
นักเจรจาหญิงมือหนึ่ง
พระวจนะของท่านเป็นโคมสำหรับเท้าของข้า และเป็นความสว่างแก่วิถีของข้า
พระคัมภีร์ไบเบิล
ในพิธีมอบรางวัลที่จัดขึ้น ณ ห้องบอลรูมชั้นบนสุดของโรงแรมวั่นตง
ประธานบริหารหนุ่มแห่งบริษัทยาทังซื่อ18 ทังเหอสิง ขึ้นรับรางวัลผู้ทรงอิทธิพลด้านการนำเข้าวัตถุดิบยา เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี CPhI Global เขาได้รับเลือกให้รับรางวัลในครั้งนี้ เพราะยาลดไข้ทรงประสิทธิภาพตัวใหม่ชื่อ ฮุ่ยคังหลิงที่บริษัททังซื่อวิจัยและผลิต
ในงานครั้งนี้ บริษัทยาทังซื่อเป็นบริษัทที่ลงทุนโดยต่างชาติร้อยเปอร์เซ็นต์เพียงแห่งเดียวที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในฐานะหนึ่งในสิบสุดยอดบริษัทผู้ผลิตและนำเข้ายา
ตระกูลทังย้ายถิ่นไปตั้งรกรากที่อเมริกาตั้งแต่รุ่นปู่ ปู่ของทังเหอสิงซึ่งเป็นประธานบริหารรุ่นปัจจุบันเป็นแพทย์แผนจีนรุ่นเก่า เริ่มเปิดร้านขายยาเล็กๆ ที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ยุค 50 กิจการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นับจากวันนั้น จนปัจจุบันกลายเป็นบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ไปแล้ว
บริษัทยาของตระกูลทังเริ่มบุกตลาดจีนในยุคของทังเหอสิงนี่เอง มีข่าวลือว่าพ่อกับแม่ของทังเหอสิงแยกทางกันตั้งแต่เขายังเล็ก เขาตามแม่กลับมาอยู่จีนจนจบมัธยมปลาย จึงย้ายกลับไปอเมริกาเพื่อรับช่วงกิจการของปู่ ดังนั้นจึงมีความรักและผูกพันต่อแผ่นดินจีนเป็นอย่างมาก
หลายปีที่ผ่านมาทังเหอสิงนำทัพบุคลากรและเงินทุนกลับมาลงทุนที่จีนด้วยตัวเอง และสาขาต่างประเทศแห่งแรกในประเทศจีนของบริษัทยาทังซื่อก็อยู่ที่เมืองเหิงเฉิงนี่เอง
ขณะขึ้นกล่าวในพิธีมอบรางวัล ทังเหอสิงถือถ้วยรางวัลไว้ด้วยมือหนึ่ง มืออีกข้างชูแก้วเหล้าดื่มฉลองให้เหยียนเจิ้ง รองประธานบริหารบริษัทซึ่งยืนอยู่ด้านล่างเวที “เหยียนเจิ้งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถโดดเด่นอย่างมาก ทั้งยังเป็นพี่น้องและเพื่อนสนิทที่สุดของผมอีกด้วย ครั้งนี้บริษัททังซื่อและตัวผมเองเป็นผู้ขึ้นรับรางวัล แต่เขาและทีมของเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่แท้จริง”
คำพูดของเขาทำให้ความสนใจของสื่อมวลชนไปรวมกันอยู่ที่รองประธานบริหารซึ่งเป็นคนหนุ่มวัยเดียวกับเขาในทันที
เหยียนเจิ้งซึ่งยืนอยู่ด้านล่างเวทีก็ชูแก้วเหล้าดื่มอวยพรให้เขาอยู่ไกลๆ เช่นกัน แต่ใบหน้าเขาเรียบเฉย ไม่ดูยินดียินร้ายอะไรเท่าไหร่นัก
เหยียนเจิ้งเป็นหนึ่งในสมาชิกรุ่นก่อตั้งของบริษัทยาทังซื่อ (ประเทศจีน) คนในวงการตั้งฉายาให้ทังเหอสิงว่า ‘เข็มในปุยนุ่น’ ส่วนเหยียนเจิ้งคือ ‘ดาบปังตอ’ ความหมายก็ตรงตามฉายา หนักแน่น แหลมคม แต่ไม่คล่องตัว
ทังเหอสิงเข้าสังคมเก่ง วาทศิลป์ลื่นไหล ความคิดเฉียบคม ส่วนเหยียนเจิ้งวิสัยทัศน์กว้างไกล ทำงานอย่างฉลาดและเฉียบขาด ดาบสองประเภทหลอมรวมเป็นหนึ่ง ทำให้บริษัทยาทังซื่อตีตลาดเมืองเหิงเฉิงได้อย่างรวดเร็ว บริษัทยาขนาดเล็กในท้องถิ่นถูกบีบให้ปิดกิจการไปหลายแห่ง คนในวงการทั้งเกลียดทั้งกลัวพวกเขา
พอถึงช่วงตั้งโต๊ะให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ นักข่าวคนหนึ่งจงใจโยนคำถามสร้างความลำบากใจ
“ปัจจุบันมีโรคที่ซับซ้อนและรักษายากจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งมีโครงการวิจัยเพื่อผลิตยาสำหรับโรคร้ายแรงที่ไม่มีทางรักษา อยากจะเรียนถามท่านรองประธานเหยียนได้ไหมครับว่า ทำไมถึงเลือกที่จะลงทุนกับการวิจัยและพัฒนายาลดไข้ ซึ่งเป็นโรคที่ไม่มีความสำคัญมากนัก ปัจจุบันยาแก้หวัดในท้องตลาดมีมากมายยิ่งกว่าขนบนตัววัว ทำแบบนี้ไม่เป็นการเสียทรัพยากรไปเปล่าๆ กับการวางเกมแบบเพลย์เซฟเหรอครับ”
ดวงตาของเหยียนเจิ้งตวัดข้ามฝูงชนไปที่นักข่าวเจ้าของคำถาม ความรำคาญฉายชัดในแววตา “เดี๋ยวท่านประธานทังจะเป็นคนตอบคำถามของพวกคุณเองนะครับ”
คำพูดสั้นๆ เพียงประโยคเดียว เป็นการโยนคำถามทั้งหมดไปให้ทังเหอสิง
เสียงของเหยียนเจิ้งแหบแห้งระคายหูเหมือนเส้นเสียงของพวกสิงห์อมควัน มีข่าวลือว่าเขาเคยเกิดอุบัติเหตุทำให้คอได้รับบาดเจ็บ
นักข่าวไม่กล้าบ่น ทำได้เพียงยื่นไมโครโฟนเข้าไปใกล้อีกหน่อยเพื่อเก็บเสียงสัมภาษณ์
“ทำแบบนี้เดี๋ยวหนังสือพิมพ์วันพรุ่งนี้ก็เอาไปเขียนอีกว่าที่จริงนายน่ะไร้น้ำยา เป็นแค่รองประธานหุ่นเชิด” ทังเหอสิงกระซิบเตือนเบาๆ ที่ข้างหูเขา
“แค่นายรู้ว่าใครเป็นคนทำยาพวกนี้ออกมาก็พอแล้ว”
ทังเหอสิงรู้ดีว่าเขาไม่ชอบออกกล้อง จึงจำต้องยอมเป็นโล่รับกระสุนแทนเขา
“เพื่อให้ได้ ‘สุดยอดประสิทธิภาพ’ ที่ผู้บริโภคต้องการ ยาลดไข้ในท้องตลาดส่วนใหญ่มีส่วนผสมของกรดเมเฟนามิก ซึ่งสารประกอบนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไข้สมองอักเสบในเด็ก ผลลัพธ์สุดท้ายแล้วไม่ต่างจากการทิ้งรากเพื่อคว้ากิ่ง19 แต่ยาฮุ่ยคังหลิงของบริษัทเราเป็นการผสมผสานวัตถุดิบยาแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนตะวันตก มีส่วนผสมที่เป็นสมุนไพรจีนจากธรรมชาติคือเมล็ดมัสตาร์ดขาว มีสรรพคุณในการลดไข้ ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี”
“ส่วนเป้าประสงค์ในการวิจัย คุณเหยียนมีความเห็นว่าการค้นคว้าวิจัยยาสำหรับรักษาโรคที่ซับซ้อนและรักษายากมีความสำคัญมากอย่างไม่มีข้อกังขา แต่ยาจำพวกนี้ต้องใช้เวลานานมากในการวิจัยและพัฒนา การวิจัยยาพื้นฐานเพื่อสร้างประโยชน์แก่มวลชนและตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปจึงเป็นปณิธานในการดำรงอยู่ของบริษัทยาทังซื่อ ปัจจุบันพวกเราก็กำลังทำโพรเจกต์ยารักษาโรคสำหรับเด็กที่เป็นออทิสติก ผมคิดว่าต้องเป็นโพรเจกต์ที่น่าสนใจสำหรับทุกท่านแน่”
พอได้ยินทังเหอสิงเอ่ยถึงโพรเจกต์นี้ เหล่าสื่อมวลชนก็หูผึ่งขึ้นมาทันที “ไม่ทราบว่าท่านประธานเสี่ยวทังพอจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพรเจกต์ยาออทิสติกที่ว่านี้ได้ไหมครับ”
“ทุกคนคงได้ทราบกันมาบ้างแล้ว บริษัทยาทังซื่อพยายามค้นคว้าวิจัยเพื่อหายารักษาโรคออทิสติกในเด็กมาโดยตลอดตั้งแต่รุ่นคุณพ่อของผม ดังคำกล่าวที่ว่าสิบปีสร้างยอดกระบี่ได้เพียงหนึ่ง เวลานี้งานวิจัยของพวกเรานับว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เชื่อว่าอีกไม่นานจะมีโอกาสได้เปิดตัวสินค้าใหม่ต่อสาธารณชน”
คำตอบของเขาสร้างเสียงฮือฮาไปทั่วทั้งห้องบอลรูม ไม่ใช่แค่สื่อมวลชน แม้กระทั่งคนในวงการแพทย์ก็สนใจโพรเจกต์นี้อย่างมาก
ในทางการแพทย์ โรคออทิสติกถือเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นแต่กำเนิดและไม่มียารักษา หากว่าบริษัทยาทังซื่อคิดค้นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคนี้ได้จริง ผลประโยชน์ที่จะได้รับไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเกียรติยศหรือเม็ดเงิน คงทำให้คู่แข่งต้องอิจฉาจนตาร้อนผ่าว
เหยียนเจิ้งมองทังเหอสิงที่ยืนอย่างงามสง่าเปี่ยมบารมีอยู่ภายใต้แสงไฟที่สาดส่อง นิ้วโป้งไล้ลูบแหวนที่สวมนิ้วกลางโดยไม่รู้ตัว ใครที่สนิทกับเขาจะรู้ดีว่าเหยียนเจิ้งทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
โพรเจกต์นี้เป็นโครงการที่พ่อของทังเหอสิงเริ่มลงมือทำและวิจัยด้วยตัวเองที่อเมริกาตั้งแต่หลายปีก่อน หลังจากเสียชีวิต ทังเหอสิงจึงรับช่วงดูแลต่อ และเป็นโพรเจกต์เดียวในบริษัทที่เหยียนเจิ้งแตะต้องไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ความสนใจของสื่อมวลชนพุ่งไปที่ทังเหอสิง เหยียนเจิ้งจึงค่อยๆ ถอยออกจากวงล้อมของนักข่าวพร้อมแก้วแชมเปญในมือ หมุนตัวเดินออกไปสูบบุหรี่ที่ดาดฟ้าด้านนอก
เขาติดบุหรี่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลยสำหรับคนที่ทำงานในวงการยาและการแพทย์ แต่เลิกอย่างไรก็เลิกไม่ได้ เพราะเวลาสูบบุหรี่เป็นช่วงเวลาเดียวที่เขาจะได้พบความเงียบสงบดุจวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง...เหยียนเจิ้งใช้นิ้วนวดหว่างคิ้วเบาๆ ด้วยความเหนื่อยล้า
แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นแผ่วเบาแว่วมาจากมุมหนึ่ง
เขามีอาการของโรคตาบอดกลางคืนอยู่เล็กน้อย จึงมองอะไรไม่ค่อยชัดเวลาอยู่ในความมืด เขาหันมองตามเสียงและเห็นแค่ก้อนสีขาวๆ อยู่ตรงดาดฟ้าไม่ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่นัก...ผมยาวเหยียดตรง น่าจะเป็นผู้หญิง
เธอนั่งหันหลังให้เขาพลางดื่มเหล้าอยู่ที่ขอบด้านนอกของดาดฟ้า ท่าทางเหมือนต้องการหลีกหนีจากผู้คนที่วุ่นวายออกมาหาความสงบเหมือนกันกับเขา เขาไม่อยากรบกวนเธอ จึงเตรียมออกไปปลีกวิเวกที่อื่น
แต่ขาไม่ทันก้าวออกไป คนสวมเครื่องแบบตำรวจกลุ่มหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาที่ดาดฟ้า แล้ววิ่งตรงมายังตำแหน่งที่พวกเขาอยู่
“อย่าเพิ่งวู่วามนะครับ!” ตำรวจหนุ่ม กวานเซี่ยหย่ง พุ่งออกมาเป็นคนแรก ใบหน้าและใบหูแดงก่ำด้วยความร้อนใจ
ตำรวจสาวหน้าตาสวยหมดจด หลิวฟ่าน วิ่งตามมาอย่างกระหืดกระหอบ ส่วนคนที่เดินรั้งท้ายคือ เหล่าเผิง นายตำรวจอาวุโส อายุมากพอสมควรแล้ว
“อย่าเข้ามานะ! ถ้าเข้ามาใกล้กว่านี้ฉันจะกระโดดลงไปจริงๆ” หญิงสาวที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเห็นคนตามขึ้นมาก็บันดาลโทสะ
เซี่ยหย่งรีบถอยกรูดไปด้านหลัง “มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก่อนนะครับ คุณมีปัญหาอะไรที่คิดไม่ตกหรือครับ”
หญิงสาวคนนั้นพูดด้วยเสียงเจือสะอื้น “ฉันเป็นพนักงานของบริษัทยาหลงหัว แต่ลูกสาวของฉันกลับป่วยตายเพราะไม่มีเงินซื้อยานำเข้า พวกคุณคิดดูสิว่าชีวิตมันน่าตลกแค่ไหน ฉันดูแลลูกสาวทำให้ต้องลางานเป็นประจำ บริษัทก็เลยไล่ฉันออกโดยอ้างว่าฉันละเลยต่อหน้าที่ บริษัทยาพวกนี้น่ะคิดอยู่อย่างเดียวคือกำไร แถมตั้งราคายาไว้สูงขนาดนั้น ดูซิ มีคนป่วยเยอะขนาดไหนที่ต้องตายเพราะไม่มีเงินซื้อยา เงินที่พวกมันหามาได้ก็มาจากความไร้มโนธรรมของพวกมันทั้งนั้น!”
เธอกำลังด่าคนวงการเดียวกับเหยียนเจิ้ง ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้อีกนิดด้วยความสนใจว่าเธอจะพูดอะไรต่อ ก็เลยได้เห็นหน้าของตัวต้นเรื่องชัดๆ
คำพูดของหญิงคนนั้นทำให้ใบหน้าของหลิวฟ่านปรากฏรอยยิ้มเยาะหยันขึ้นชั่วแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับตรรกะของฝ่ายตรงข้าม
“เหตุการณ์ที่เกิดกับคุณน่าเห็นใจมาก แต่สาเหตุที่ทำให้ยาราคาแพงก็เพราะยาเป็นสิ่งที่มีมูลค่าสูง หากว่ายาทั้งหมดแจกฟรีหรือจำหน่ายในราคาที่ต่ำมากๆ ก็คงไม่มีบริษัทยาที่ไหนอยากเสียเงินค้นคว้าวิจัยตัวยาใหม่ๆ สุดท้ายแล้วจะยิ่งทำให้คนตายมากกว่าเดิม”
“ฉันไม่อยากฟังตรรกะเพี้ยนๆ ของเธอหรอกนะ!” หญิงสาวบันดาลโทสะหนักกว่าเก่า “ฉันจะทำให้เธอต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เพราะสิ่งที่เธอพูดในวันนี้!”
พูดจบหญิงสาวก็กระโดดจากดาดฟ้าชั้นสามสิบโดยไม่ลังเลแม้แต่อึดใจ แผ่นหลังสีขาวหายวับไปจากขอบดาดฟ้าแล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ราวกับที่นี่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น
เซี่ยหย่งตกใจจนหัวใจเหมือนขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ หลิวฟ่านกรีดร้องเสียงหลง แม้กระทั่งเหยียนเจิ้งที่แค่บังเอิญผ่านมาเห็นยังตกใจจนหยุดหายใจไปชั่วขณะ
ทั้งสามพุ่งตรงไปที่ริมดาดฟ้าอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่ชั้นลอยซึ่งห่างจากชั้นดาดฟ้าแค่ครึ่งช่วงตึก แถมยังเงยหน้ามายิ้มกว้างชูสองนิ้วให้พวกเขาอีกต่างหาก
เซี่ยหย่งกับหลิวฟ่านมองหน้ากัน งงเป็นไก่ตาแตก ส่วนเหยียนเจิ้งถอนใจยาวอย่างโล่งอก
เหล่าเผิงเดินอย่างเฉื่อยชามาจากด้านหลังแล้วโบกมือให้คนที่อยู่ด้านล่าง “โคชเซิ่ง รีบขึ้นมาได้แล้วครับ เดี๋ยวพวกเขาจะหัวใจวายตายเสียก่อน”
เซิ่งเจาซีใช้มือหนึ่งเกาะขอบด้านนอกของดาดฟ้า อาศัยแรงเหวี่ยงกระโดดขึ้นมาด้านบน เธอยืนอยู่ที่ริมขอบด้านนอก ขาโงนเงนเหมือนจะหงายหลังร่วงลงไป
เหยียนเจิ้งยืนอยู่ใกล้เธอที่สุด จึงยื่นมือออกไปช่วยดึงเธอขึ้นมา
“ขอบคุณ” เซิ่งเจาซีกระโดดลงมาที่พื้นพลางตบฝุ่นจากมือ “น่าเสียดายจริงๆ การทดสอบครั้งแรก พวกเธอคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์สักคน”
เซี่ยหย่งกับหลิวฟ่านเพิ่งเจอเซิ่งเจาซีเป็นครั้งแรก จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามพูดอะไรไปก่อน ทำได้เพียงแอบกระซิบถามเหล่าเผิงซึ่งคุ้นเคยกันอยู่ก่อนแล้วว่า “ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันคะ/ครับ”
“ขอแนะนำให้พวกเธอรู้จักกันก่อน ท่านนี้คือโคชเซิ่งเจาซี อาจารย์ผู้สอนคอร์สการเจรจาต่อรองในภาวะวิกฤติ กรมตำรวจลงทุนมหาศาลเชิญอาจารย์กลับมาจากต่างประเทศเพื่อสอนพวกเธอโดยเฉพาะ โคชเซิ่งจบการศึกษาสาขาการสื่อสารและเจรจาต่อรองจากมหาวิทยาลัยบอสตัน มีประสบการณ์ทำงานเป็นนักเจรจามืออาชีพที่อเมริกานานถึงหกปี ครั้งนี้เบื้องบนส่งตัวอาจารย์มาเป็นผู้สอนและเป็นหัวหน้าหน่วยเจรจาต่อรองของพวกเธอด้วย อันที่จริงโคชเซิ่งต้องเริ่มงานตั้งแต่สองเดือนก่อน แต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยเหลือเหตุจี้เครื่องบินที่สนามบินเยว่เฉิง พวกเธอก็เลยมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นหน่อย”
หลายปีมานี้ เกิดเหตุการณ์ไม่สงบจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการร้ายระดับนานาชาติบ่อยครั้ง ประกอบกับอัตราการฆ่าตัวตายที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุจี้เครื่องบินที่เยว่เฉิงเมื่อหลายเดือนก่อน กระตุ้นให้เบื้องบนต้องเคลื่อนไหวเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม รัฐบาลระดับมณฑลจึงตัดสินใจร่วมมือกับนานาชาติเพื่อจัดตั้งหน่วยเจรจาต่อรองขึ้นในกรมตำรวจ มีหน้าที่รับผิดชอบการเจรจาต่อรองเพื่อต่อต้านกลุ่มก่อการร้าย ช่วยเหลือตัวประกัน รวมถึงป้องกันและยับยั้งการฆ่าตัวตายและคดีอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายเพื่อคลี่คลายการปะทะและเหตุรุนแรงโดยวิธีสันติ
ทว่าผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการสื่อสารและเจรจาต่อรองในประเทศมีจำนวนน้อยมาก ยิ่งผู้ที่ผ่านการอบรมระดับมืออาชีพและมีศักยภาพในการฝึกอบรมบุคลากรยิ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลมณฑลจึงตัดสินใจเลือกเมืองเหิงเฉิงเป็นจุดทดลองโครงการนำร่อง ทั้งยังเชิญเซิ่งเจาซีซึ่งเป็นโคชจากต่างประเทศกลับมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ นักเรียนของเธอคือว่าที่สมาชิกหน่วยเจรจาต่อรองที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจำนวนสองคน
ผลการประเมินของหน่วยงานที่มีพวกเขาทั้งสามเป็นสมาชิกในช่วงหนึ่งปีข้างหน้า จะเป็นตัวตัดสินว่ากรมตำรวจจะสามารถจัดตั้งหน่วยเจรจาต่อรองอย่างเป็นทางการได้หรือไม่ และจะสามารถขยายขอบเขตการทำงานจนครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของประเทศจีนได้หรือไม่
พอเหล่าเผิงพูดแบบนี้ เซี่ยหย่งรู้สึกว่าความรับผิดชอบที่แบกไว้บนไหล่ของเขาหนักอึ้งขึ้นมาในทันที “แสดงว่าโคชเซิ่งจงใจแกล้งพวกเราให้ตกใจ เพื่อทดสอบพวกเราเหรอครับ”
“ใช่แล้ว ถือเสียว่าเป็นของขวัญฉลองการเจอกันครั้งแรกของพวกเราก็แล้วกันนะ” เซิ่งเจาซีตบปีกหมวกตำรวจของเขาเบาๆ ราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กตัวน้อย
หากดูจากภายนอก เซิ่งเจาซีน่าจะแก่กว่าพวกเขาแค่ไม่กี่ปี แต่บุคลิกท่าทางของเธอบอกให้รู้ว่าเธอเก๋าเกมกว่าพวกเขาหลายเท่า
“งั้นบอกได้ไหมคะว่าทำไมคุณถึงคิดว่าพวกเราไม่ผ่านเกณฑ์?” หลิวฟ่านยังไม่ยอมแพ้โดยง่าย
“พวกเรามาไล่กันทีละข้อ” เซิ่งเจาซีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลิวฟ่านก่อน “ตอนที่พวกเธอมาถึงโถงโรงแรม มีคนแจ้งพวกเธอว่าลิฟต์เสีย พวกเธอต้องเดินขึ้นบันได ส่วนนี้เป็นแผนของฉันเอง อาคารสูงสามสิบชั้น ตอนที่เธอวิ่งขึ้นมากระหืดกระหอบจนแทบหายใจไม่ทัน แสดงว่าร่างกายของเธอยังไม่แข็งแรงพอ การเป็นนักเจรจาไม่ได้อาศัยแค่ฝีปาก กำลังกายต้องแข็งแกร่งไม่แพ้สมอง...
“เธอรู้ไหมว่าใน ค.ศ. 2004 มีผู้ชายคนหนึ่งพยายามฆ่าตัวตายที่สะพานลอยในย่านเซ็นทรัลของฮ่องกง หลิวจื้อเจียน นักเจรจาชาวฮ่องกงพยายามเข้าไปเจรจาเพื่อยับยั้ง แต่พลาดท่าเสียหลักหล่นจากที่สูงและเสียชีวิตในหน้าที่...
“ความแข็งแรงของร่างกายเป็นตัวตัดสินศักยภาพในการปฏิบัติงานของพวกเธอ นี่ยังดีเป็นแค่เคสฆ่าตัวตาย ถ้าเป็นการเจรจากับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ต้องอาศัยความแข็งแรงของร่างกายมากกว่านี้เยอะ! เธอคิดว่ามีความสามารถพอจะปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงได้ไหม”
ดูภายนอกเซิ่งเจาซีเหมือนผู้หญิงอ่อนโยนใจดี แต่พอเป็นเรื่องงาน กลับแผ่รังสีความน่าเกรงขามรุนแรงจนคนรอบข้างแทบไม่กล้าหายใจ
หลิวฟ่านอ้าปากค้าง ริมฝีปากสั่นระริกอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เถียงไม่ออก
หลังจากนั้นเธอก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเซี่ยหย่ง “ส่วนนาย สภาพร่างกายนับว่าแข็งแรงผ่านเกณฑ์ แต่การตอบสนองไม่ฉับไวพอ ฉันแกล้งโมโหแค่นิดหน่อยนายก็ถอยแล้ว แถมถอยออกไปเสียไกลขนาดนั้น ถือเป็นความผิดขั้นรุนแรงถึงชีวิต!
“ในฐานะที่เป็นนายตำรวจที่อายุน้อยที่สุดและเคลื่อนไหวคล่องตัวที่สุดในที่เกิดเหตุ นายต้องแน่ใจว่าเป้าหมายอยู่ในรัศมีที่นายควบคุมได้ตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด สุดท้ายตอนที่ฉันกระโดดลงไป นายคว้าชายเสื้อฉันยังไม่ทันด้วยซ้ำ”
เซี่ยหย่งก้มหน้างุดพลางพูดขอโทษด้วยความละอายใจ ทั้งหน้าและใบหูแดงก่ำไปหมด
“หลิวฟ่าน เมื่อกี้เธอแสดงสีหน้าดูถูกผู้หญิงที่จะฆ่าตัวตายใช่ไหม เธอพยายามอธิบายหลักตรรกะสุดล้ำลึกของตัวเองให้ผู้ก่อเหตุฟังงั้นเหรอ เธอคิดว่าในช่วงเวลาแบบนี้ เขาจะอยากฟังทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การตลาดของเธอไหม เธอต้องจำไว้เลยว่าคนที่คิดฆ่าตัวตายส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่สนใจเหตุผลใดๆ ทั้งนั้น สิ่งที่พวกเขาต้องการคือความเข้าอกเข้าใจ ถ้าแม้กระทั่งความเห็นใจระดับพื้นฐานแค่นี้ยังทำไม่ได้ ฉันคิดว่าเธอควรล้มเลิกความคิดที่จะเป็นนักเจรจาเสียตั้งแต่ตอนนี้”
เซิ่งเจาซีพูดยาวเหยียดโดยไม่หยุดพัก ราวกับไม่ต้องหยุดหายใจ
“ข้อผิดพลาดที่พวกเธอมีเหมือนกันก็คือ ขาดทักษะในการสังเกตและการตอบสนองต่อเหตุการณ์เฉพาะหน้า ฉันบอกว่าตัวเองเป็นพนักงานบริษัทยาหลงหัว และสถานที่เกิดเหตุก็เป็นโรงแรมที่กำลังจัดงานมอบรางวัลด้านเวชภัณฑ์และการแพทย์ หน้าจอแอลอีดีและโปสเตอร์ชั้นล่างโชว์หราทั่วไปหมด แต่พวกเธอกลับไม่มีใครคิดจะเข้าไปตรวจสอบข้อมูลพื้นฐานของผู้ก่อเหตุก่อน กลับเลือกที่จะขึ้นมาเจรจาในทันที จุดจบของปฏิบัติการที่ไม่มีการเตรียมการล่วงหน้ามีแค่คำเดียวสั้นๆ คือ ล้มเหลว”
เซิ่งเจาซีมองนักเรียนทั้งสองที่ล้มเหลวตั้งแต่ก้าวแรกพลางส่ายหน้าน้อยๆ “ไหนใครลองบอกฉันซิ ในโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ ฉันไม่ได้บอกว่าฉันอยู่ไหน ทำไมพวกเธอถึงวิเคราะห์ได้ว่าฉันอยู่ที่โรงแรมวั่นตง”
ในที่สุดหลิวฟ่านก็เจอคำถามที่ตอบได้ จึงรีบชิงตอบโดยไม่รีรอ “ตอนที่คุณโทร. มาแจ้งความและขอความช่วยเหลือ คุณพูดว่าชั้นสามสิบ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญมาก เพราะในเมืองเหิงเฉิงมีอาคารแค่สองหลังที่ความสูงเกินสามสิบชั้น นอกจากหอวิทยุโทรทัศน์ที่ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้แล้ว ก็เหลือแค่โรงแรมวั่นตงซึ่งเป็นโรงแรมห้าดาว”
“GOOD แสดงว่าอย่างน้อยพวกเธอก็ได้ใช้สมองบ้าง”
พอได้รับการยอมรับจากเซิ่งเจาซี ใบหน้าของทั้งสองจึงปรากฏรอยยิ้มบางๆ เป็นครั้งแรก
เซิ่งเจาซีศึกษาข้อมูลของนักเรียนทั้งสองคนตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าทั้งสองไม่ได้ไร้ความสามารถขนาดที่เธอปรามาสไว้ ไม่งั้นไม่มีทางผ่านการคัดเลือกมาถึงขั้นนี้
เซี่ยหย่งจบการศึกษาจากโรงเรียนตำรวจในปี 2014 ศักยภาพและความแข็งแรงของร่างกายอยู่ในระดับยอดเยี่ยม หลังจบการศึกษาก็ทำงานอยู่ในหน่วยตำรวจอาชญากรรมมาโดยตลอด มีความรู้ลึกซึ้งด้านการสืบคดี มีความคล่องตัวสูง ทักษะด้านคอมพิวเตอร์สูงกว่าตำรวจทั่วไป ทั้งเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ข้อเสียคือขาดทักษะในการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์เฉพาะหน้า และฝีปากยังไม่เฉียบคมพอ
หลิวฟ่านทำงานเป็นพนักงานรับสายด่วนแจ้งเหตุร้าย 110 ซึ่งจัดเป็นข้าราชการพลเรือน ด้วยเหตุนี้ความแข็งแรงของร่างกายจึงห่างชั้นอยู่มาก แต่เธอมีเซนส์ที่ฉับไวและเป็นคนละเอียด สามารถพูดได้ถึงสามภาษา หัวไวคิดวิเคราะห์ได้รวดเร็ว แต่ท่ามกลางจุดแข็งทั้งหลายทั้งปวงยังมีจุดด้อยอยู่อย่างหนึ่งคือเป็นคนหัวแข็ง ไม่ยอมฟังใครง่ายๆ
แต่จุดนี้ไม่ทำให้เซิ่งเจาซีรู้สึกกังวลเลยสักนิด เพราะม้าชั้นยอดคือม้าป่าที่ผ่านการฝึกฝน นักเรียนที่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองแม้แต่นิดเดียว เธอเองก็คงทำใจยอมรับยาก
“หลังจากพิจารณาผลงานระดับย่ำแย่ของพวกเธอในวันนี้แล้ว พรุ่งนี้ขอให้พวกเธอมาที่ลานฝึกในกรมฯ ตอนหกโมงเช้า เพื่อทำการฝึกความแข็งแรงของร่างกายบนที่สูง หลังจากนั้นจะเป็นคลาสอบรมทักษะด้านการฟังและการยับยั้งเหตุฆ่าตัวตาย พวกเธอเตรียมตัวให้พร้อมด้วย”
นี่คือการตบหน้าฉาดหนึ่งแล้วให้พุทราปลอบใจ20 หลังจากนั้นก็ตบเข้าอีกฉาดโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว หลิวฟ่านกับเซี่ยหย่งปรับตัวไม่ทันท่าทีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของโคชสาวตรงหน้า
“แต่วันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดนะคะ” หลิวฟ่านอดไม่ได้ที่จะบ่น
“เธอคิดว่าคนฆ่าตัวตายจะรอเวลาเธอเข้างานไหม ผู้ก่อการร้ายมีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์หรือเปล่า” เซิ่งเจาซีพูดจบก็ปลอบพวกเขาว่า “อย่างน้อยก็มีเวลาพักอีกตั้งครึ่งวันไม่ใช่เหรอ”
เนื่องจากหน่วยเจรจาต่อรองยังไม่ผ่านกระบวนการจัดตั้งอย่างเป็นทางการ ในวันทำงานพวกเขาก็ยังต้องไปเข้างานในตำแหน่งประจำของตนตามปกติ และจะรวมตัวกันเพื่อออกปฏิบัติการเมื่อเกิดเหตุ
เพื่อควบคุมคุณภาพการฝึกฝนให้ได้มาตรฐาน เซิ่งเจาซีไม่มีทางเลือกนอกจากรีดเค้นเวลาวันหยุดจากพวกเขา...ความทุกข์ทรมานจากการโดนบีบให้ทำงานในวันเสาร์-อาทิตย์เลวร้ายราวกับตายทั้งเป็น
พอเห็นทั้งสองเดินทำหน้าอมทุกข์ออกไป เซิ่งเจาซีอดไม่ได้ที่จะนึกขำ เธอรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองตอนเริ่มฝึกใหม่ๆ
“เป็นคลาสที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ” เสียงปรบมือของใครคนหนึ่งแว่วมาจากด้านหลัง
ตอนนี้เองหญิงสาวถึงสังเกตว่าพลเมืองดีคนเมื่อครู่ยังยืนอยู่กับพวกเขาด้วย ดูเหมือนเขาจะสนุกกับการดูเรื่องของชาวบ้านจนเกินงาม
“อย่ารอเลย ไม่มีใครมามอบรางวัลพลเมืองดีเด่นให้หรอกนะ” เซิ่งเจาซีแซวเขาด้วยมุกแบบอเมริกัน ก่อนจะโบกมือหย็อยๆ แล้วเดินลงจากดาดฟ้าไป
ดูเหมือนเธอจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าบาร์เหล้าครั้งที่แล้วอย่างสนิทใจ ฤทธิ์เหล้านี่น่ากลัวเสียจริง คนเคยเจอกันแท้ๆ กลับพลิกหน้าทำเหมือนไม่รู้จักกันได้หน้าตาเฉย
เหยียนเจิ้งยิ้มพลางก้มหน้า แล้วลูบแหวนที่สวมนิ้วกลางอย่างแผ่วเบา หมอกหม่นที่ปกคลุมดวงตาอยู่เป็นนิตย์ดูคล้ายจะสลายหายไปเล็กน้อย เผยให้เห็นแววตาอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ภายใน
“หึ” เขาหัวเราะเสียงแผ่ว รอยยิ้มคลี่แย้มอย่างช้าๆ บนดาดฟ้าที่ไม่มีใครอื่นแม้แต่คนเดียว
ท้องฟ้าที่เดิมปกคลุมด้วยความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด ดุจเมฆดำถูกปัดเป่าสลายสิ้น เผยให้เห็นดวงดาวสุกสว่างที่งดงามดวงหนึ่ง
ความคิดเห็น |
---|