6

บทที่ 6 ต่อยคนเป็นไหม


บทที่ 6

ต่อยคนเป็นไหม

 

เธอเรียกฉันหรือ เสียงของเธอจะทะลวงผ่านความมืดมาถึงฉันไหม 

รพินทรนาถ ฐากูร

 

หลังจากเริ่มงานอย่างเป็นทางการ ภารกิจแรกของเซิ่งเจาซีคือการเป็นทูตประชาสัมพันธ์ของหน่วยดับเพลิง

ช่วงนี้หน่วยดับเพลิงกำลังจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ด้านการป้องกันอัคคีภัยแก่สถานสงเคราะห์ขนาดใหญ่ในเมือง แต่เจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงส่วนใหญ่ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว พูดไม่เก่ง เลือกไปเลือกมาไม่ได้คนเสียที สุดท้ายต้องยืมตัวคนจากหน่วยงานอื่น

คนของหน่วยเจรจาต่อรองมีภาพลักษณ์ที่ดี ทั้งวาทศิลป์ยอดเยี่ยม จึงกลายเป็นตัวเลือกแรกสำหรับตำแหน่งนี้ไปโดยปริยาย

เซิ่งเจาซีได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสถานสงเคราะห์ซิงเล่อซึ่งอยู่ในย่านชานเมือง เหล่าเผิงให้นามบัตรของผู้รับผิดชอบสถานสงเคราะห์แก่เธอ ให้เธอหาเวลาว่างช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ติดต่อเขา แวะไปทักทายสักหน่อยและขอข้อมูลเกี่ยวกับสถานสงเคราะห์มาด้วยเพื่อใช้เตรียมการ

เซิ่งเจาซีกวาดตาอ่านนามบัตรอย่างรวดเร็ว ผู้รับผิดชอบสถานสงเคราะห์ชื่อเหยียนเจิ้ง เป็นรองประธานบริหารของบริษัทยาทังซื่อ ส่วนสถานสงเคราะห์ซิงเล่อก็เป็นสถานสงเคราะห์เด็กในเครือทังซื่อ จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์

สถานสงเคราะห์ซิงเล่อตั้งอยู่ในเขตชานเมือง เซิ่งเจาซีขับรถที่เพิ่งรับกลับมาจากอู่ตามเส้นทางบนจีพีเอส แต่สุดท้ายก็หลงทางอยู่ดี หลายปีที่ผ่านมาเมืองขยายตัวขึ้นมาก ระบบจีพีเอสอัปเดตไม่ทันโครงสร้างเมืองที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เซิ่งเจาซีขับตามเส้นทางบนจีพีเอส แต่สุดท้ายเลี้ยวมาเจอซอยตัน พยายามวนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอจุดหมาย

ขณะนี้เลยเวลานัดมายี่สิบนาทีแล้ว เหยียนเจิ้งเป็นฝ่ายโทร. ติดต่อเธอก่อน “คุณเซิ่งใช่ไหมครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้วครับ”

“คุณเหยียนเหรอคะ ขอโทษด้วยค่ะ ดูเหมือนฉันจะหลงทาง คุณรอฉันอีกสักครู่หนึ่งนะคะ”

“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนครับ”

เซิ่งเจาซีหันไปอ่านป้ายถนน “ถนนเสี่ยวเสีย?”

เหยียนเจิ้งหยุดคิดครู่หนึ่ง “ตรงนั้นเป็นซอยตัน คุณยูเทิร์นออกมาแล้วเลี้ยวขวา ขับตรงมาเรื่อยๆ พอถึงปากถนนที่มีร้านเค้กเฮย์เทียนเอ๋อ21 ให้เลี้ยวขวาอีกรอบ แล้วคุณจะเห็นสี่แยก ให้เลี้ยวมาทางทิศของร้านหม้อไฟหั่วกัวเฉิง22 เป็นร้านที่มีรูปมังกรแดงตัวโตๆ พอขับมาจนสุดทางแล้วจะเห็นร้านเต้าเซียงชุน23 ตามกลิ่นหอมของขนมอบไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึงที่หมายครับ”

“...” เซิ่งเจาซีได้แต่กลอกตาอย่างไม่อยากเชื่อหู เธอไม่ใช่หมาสักหน่อย จะให้ตามกลิ่นจนเจอเป้าหมายได้ยังไง

แต่แล้วเรื่องน่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เพราะคำอธิบายของเหยียนเจิ้งทำให้เส้นทางอันสลับซับซ้อนกลายเป็นแผนที่อันชัดเจนในสมองของเซิ่งเจาซี

ร้านขนมเค้กเฮย์เทียนเอ๋อ ร้านหม้อไฟหั่วกัวเฉิง ร้านขนมอบเต้าเซียงชุน...เซิ่งเจาซีเป็นสาวราศีพฤษภ ราศีที่เปรียบได้กับแผนที่ร้านอาหารเจ้าเด็ดเดินได้ สมองของเธอจึงสามารถสร้างจีพีเอสตามเส้นทางที่เขาบอกได้โดยอัตโนมัติ

เหยียนเจิ้งนั่งอยู่ในรถ อ่านเอกสารสัญญาพลางรอเซิ่งเจาซีไปด้วย กว่าเขาจะหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาอีกรอบ ก็ล่วงเลยมาแล้วอีกยี่สิบนาทีหลังจากวางสายเมื่อครู่

เขาขมวดคิ้ว เซิ่งเจาซีจะสับสนเส้นทางขนาดไหนก็ไม่น่ามาถึงช้าขนาดนี้ สถานสงเคราะห์อยู่ห่างจากถนนเสี่ยวเสียอย่างมากก็สิบนาทีเท่านั้น เว้นแต่เธอจะขับรถไปอีกทาง...

เขาโทร. ไปอีกรอบแต่ไม่มีคนรับสาย เหยียนเจิ้งตัดสินใจขับรถย้อนไปทางถนนเสี่ยวเสียเพื่อตามหาเซิ่งเจาซี

เพิ่งขับรถไปได้สองนาที ก็มองผ่านกระจกออกไป เห็นเซิ่งเจาซีกำลังยืนชะโงกซ้ายชะเง้อขวาต่อคิวอยู่ที่หน้าประตูร้านขนมอบเต้าเซียงชุนที่ถนนฝั่งตรงข้าม

เหยียนเจิ้งไม่ออกไปเรียก แค่เอารถเข้าจอดที่ถนนฝั่งตรงข้ามและดับเครื่องรอ จากมุมที่เขาจอดอยู่ตอนนี้มองออกไปเห็นเซิ่งเจาซียกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาเป็นระยะ ท่าทางคงร้อนใจเพราะรู้ตัวว่านัดเขาไว้ แต่เห็นเบเกอรีกรอบนอกนุ่มในอบร้อนๆ จากเตาก็ยากจะห้ามใจ จึงได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความร้อนรน รักพี่เสียดายน้อง

แต่สีหน้าร้อนใจก็หายวับไปอย่างไม่เหลือเค้าทันทีที่เธอหิ้วถุงขนมสองใบออกมาจากในร้าน ดวงตาทั้งสองของเซิ่งเจาซีโค้งจนเป็นรูปจันทร์เสี้ยวขณะมองของในถุงพลาสติก

เหยียนเจิ้งกดแตร เซิ่งเจาซีเหลียวซ้ายแลขวาจึงเห็นว่ามีรถแกรนด์เชอโรกีแบบเดียวกับรถของเธอจอดอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้าม

เจ้าของรถเลื่อนกระจกลงและกวักมือเรียกเธอ เซิ่งเจาซีวิ่งข้ามถนน พอเข้าไปใกล้และเห็นหน้าคนในรถชัดๆ ก็ประหลาดใจที่อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าที่เธอคาดไว้มาก “คุณเหยียนใช่ไหมคะ? ยินดีที่ได้พบค่ะ เจอกันครั้งแรกก็ปล่อยให้คุณรอนานเลย ขอโทษด้วยนะคะ”

เหยียนเจิ้งมองเธอโดยไม่ตอบ แต่ตากลับหลุบลงมองถุงพลาสติกในมือหญิงสาว รังสีเย็นเยือกแผ่ซ่าน

เซิ่งเจาซีพยายามยิ้มกว้างให้ดูจริงใจมากที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงรองประธานบริหารของบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ ก่อนหน้านี้นอกจากจะหลงทางแล้วยังไปเข้าคิวซื้อขนม ปล่อยให้เขารอเกือบสี่สิบนาที เซิ่งเจาซีรู้สึกผิดเจียนตายจริงๆ...ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า 

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอกัน”

เซิ่งเจาซีชะงักไปชั่วครู่ พอคิดดูให้ดีก็จำได้ทันที “อ้อ คุณพลเมืองดีนี่นา บังเอิญอะไรอย่างนี้ ที่แท้ก็คุณนี่เอง”

สมดังคำกล่าวที่ว่าหน้ายิ้มเห็นแล้วตบไม่ลง24 เซิ่งเจาซียื่นมือผ่านหน้าต่างรถเข้าไป ส่งถุงขนมใบหนึ่งให้เหยียนเจิ้ง “งั้นก็เจอกันเป็นครั้งที่สองแล้วสินะคะ ยินดีที่ได้พบค่ะ ฉันซื้อข้าวเช้ามาให้คุณด้วย พายมัตชะกับโคโคนัตบอลของร้านเต้าเซียงชุนนี่ขึ้นชื่อมากๆ เลยนะคะ ร้านเก่าแก่เจ้าดังเลยแหละ”

อันที่จริงนี่เป็นครั้งที่สามที่เจอกัน แต่เหยียนเจิ้งไม่ต่อความยาวสาวความยืด เขาสัมผัสได้ว่าเธอยังรู้สึกกลัวเขาอยู่ลึกๆ จึงพูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “แห้งเกินไป”

เซิ่งเจาซีรีบยืดตัวตรงตั้งท่าจะใส่เกียร์หมา “แถวนี้มีร้านสตาร์บัคส์ด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันไปซื้อให้ คุณดื่มกาแฟดำหรือมอคคาคะ”

“เต้าฮวย”

“...” คำถามมีตัวเลือก ก. กับ ข. ในระยะเวลาที่สั้นขนาดนี้ มีคนแค่ร้อยละยี่สิบเท่านั้นที่จะคิดออกนอกกรอบและตัดสินใจเลือก ค.

การที่คนแบบเหยียนเจิ้งจะจัดอยู่ในกลุ่มยี่สิบในร้อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เซิ่งเจาซีไม่นึกว่าตัวเลือก ค. ของเขาจะเป็นเครื่องดื่มที่บ้านๆ ขนาดนี้ ระหว่างที่คิดก็เดินออกไปหาคุณยายหาบเร่แล้วซื้อเต้าฮวยมาสองถ้วย

ตอนเธอเด็กๆ เต้าฮวยราคาแก้วละห้าเจี่ยว25เท่านั้น เดี๋ยวนี้แก้วละตั้งหนึ่งไคว่26 เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดสิ่งล้ำค่าในยุคที่ราคาสินค้าพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว รสชาติยังคงความหอมหวานนุ่มละมุนของถั่วเหลืองเหมือนความทรงจำในวัยเยาว์ คุณยายโรยน้ำตาลทรายบางๆ ไว้บนผิวหน้า รสหวานค่อยๆ ซึมเข้าเป็นเนื้อเดียวกับเต้าฮวย หวานชุ่มคอดีเหลือเกิน

เซิ่งเจาซีไม่ได้กินของพวกนี้มานานเหลือเกินแล้ว แต่ก่อนจิ้นซืออวี้ไม่ชอบอาหารที่ทำจากถั่ว เพราะไม่ชอบกลิ่นเหม็นเขียวของถั่ว เธอจึงต้องยอมอดกินไปกับเขาด้วยอีกคน จนเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองชอบกินของหวานพวกนี้มากขนาดไหน

ฉินจิ้งเคยบอกเธอว่ารถของผู้ชายเหมือนบ้านหลังที่สองของพวกเขา ผู้ชายส่วนใหญ่รักรถยิ่งกว่าเมีย ดังนั้นจึงมีกฎเหล็กข้อหนึ่งว่าห้ามกินอาหารในรถโดยเด็ดขาด

แต่ดูเหมือนว่าเหยียนเจิ้งกับฮวายจิ่นจะไม่จัดอยู่ในผู้ชายประเภทข้างต้น โดยเฉพาะเหยียนเจิ้ง เธอเผลอทำเศษพายมัตชะร่วงใส่เบาะหนังแท้ของรถเขา เจ้าตัวเห็นแล้วไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ

เหยียนเจิ้งใช้ช้อนพลาสติกใสตักเต้าฮวยในถ้วยอย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนขนมที่เธอซื้อมาเขาแตะไปนิดเดียวเท่านั้น 

ดูเหมือนเขาจะชอบเต้าฮวยถ้วยนั้นมากๆ เต้าฮวยราคาแค่หนึ่งไคว่แต่เขากินเสียอย่างกับเป็นทองคำล้ำค่า ค่อยๆ ละเลียดตักเข้าปากทีละน้อยอย่างช้าๆ

“ขนมพวกนี้คุณไม่กินแล้วใช่ไหมคะ งั้นเดี๋ยวฉันช่วยเอาไปทิ้งให้นะคะ” เซิ่งเจาซีกินส่วนของเธอหมดแล้ว จึงหันไปมองขนมที่ยังเหลืออีกค่อนชิ้นบนตักของเขา

“กระเพาะผมไม่ค่อยดี กินอะไรไม่ได้เยอะ ขนมพวกนี้ขอเก็บไว้กินตอนบ่ายนะ” เหยียนเจิ้งเก็บขนมที่เหลือใส่ไว้ในช่องวางแก้วที่ด้านข้าง

ครอบครัวเซิ่งเจาซีเป็นเจ้าของธุรกิจ จึงได้เห็นเถ้าแก่ใหญ่ทั้งหลายสั่งอาหารมื้อใหญ่ราคาเป็นพันเป็นหมื่นอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งที่เหลือกับข้าวก็เททิ้งทั้งหมด การที่เหยียนเจิ้งเห็นคุณค่าของอาหารแม้จะเป็นแค่ขนมราคาถูกชิ้นเล็กๆ ทำให้เธอรู้สึกชื่นชมไม่น้อย

เซิ่งเจาซีแอบนึกชมเขาอยู่ในใจ แล้วจู่ๆ เหยียนเจิ้งก็ชี้ไปที่ถนนฝั่งตรงข้าม “รถที่กำลังถูกลากไปคันนั้น เหมือนจะเป็นรถของคุณนะ”

หญิงสาวหน้าเปลี่ยนสีทันควัน พอหันไปมองก็เห็นว่ามีตำรวจจราจรยืนอยู่ข้างรถของเธอจริงๆ และกำลังชี้มือสั่งรถลากคันหนึ่งอยู่

“แล้วทำไมรถคุณจอดตรงนี้ไม่เห็นถูกลาก”

“เพราะถนนฝั่งตรงข้ามเป็นเขตห้ามจอด”

“แล้วทำไมไม่รีบบอก!” เซิ่งเจาซีกระโจนลงจากรถทันที แต่ยังไม่วายหันมาถลึงตาใส่เขา

เหยียนเจิ้งมองเธอกระโดดเหยงๆ ออกไปราวกับกระต่ายตัวน้อย โค้งตัวผงกหัวให้ตำรวจจราจรเป็นการใหญ่ สองข้างแก้มแดงแจ๋ด้วยความละอายใจ พอเห็นอย่างนี้แล้วรู้สึกว่าการแกล้งหญิงสาวสนุกดีเหมือนกัน

จนกระทั่งเซิ่งเจาซีหยิบบัตรประจำตัวตำรวจของตัวเองออกมา อีกฝ่ายเห็นว่าเป็นพวกเดียวกันทั้งยังทำผิดเป็นครั้งแรก จึงยอมอะลุ่มอล่วยให้เธอครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่วายทิ้งท้ายด้วยการสั่งสอนไม่ให้เธอจอดรถไม่เป็นที่เป็นทางแบบนี้อีก

หญิงสาวทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มแห้งๆ แล้วพยักหน้าหงึกๆ ตามน้ำ ในใจนึกก่นด่าเหยียนเจิ้ง...คนอะไรใจดำสมควรตายเป็นที่สุด

 

ทั้งสองกินมื้อเช้าเสร็จก็มุ่งหน้าไปที่สถานสงเคราะห์ซิงเล่อ ระหว่างทางเหยียนเจิ้งอธิบายโครงสร้างอาคารของสถานสงเคราะห์ให้หญิงสาวฟังไปพลางๆ 

นับตั้งแต่บริษัทยาทังซื่อรับไม้ต่อและเข้ามาบริหารงานสถานสงเคราะห์ซิงเล่อ ก็ขยายพื้นที่และสร้างอาคารที่พักเพิ่มขึ้นอีกสองหลัง ภายในอาคารมีเครื่องปรับอากาศและระบบทำน้ำร้อนครบถ้วน พัฒนาสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตที่ซิงเล่อได้อย่างมาก ทั้งยังมีการตรวจความปลอดภัยเพื่อป้องกันอัคคีภัยเป็นประจำทุกปี

“แล้วอาคารเก่าล่ะคะ”

“ปัจจุบันยังใช้งานอยู่ เป็นที่พักของเด็กเล็กที่ป่วยกับเด็กวัยรุ่นที่ค่อนข้างโตแล้ว ไม่เหมาะจะแชร์ห้องนอนกับเด็กเล็กๆ อีก เดี๋ยวผมจะเอาแผนผังของอาคารทั้งหมดมาให้คุณดูนะครับ”

เซิ่งเจาซีพยักหน้า เข้าใจอย่างคร่าวๆ แล้วว่าโครงสร้างของที่นี่เป็นอย่างไร

ทั้งสองเดินมาจนถึงประตูทางเข้าสถานสงเคราะห์ เหยียนเจิ้งได้รับโทรศัพท์จากจางลี่ฉวินผู้อำนวยการสถานสงเคราะห์ ซึ่งโทร. มาแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่งป่วยอาละวาดและทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ของสถานสงเคราะห์ ขอให้เขาช่วยชี้แนะว่าควรจัดการอย่างไร

เซิ่งเจาซีได้ยินดังนั้นก็ไม่มีแก่ใจจะดูแผนผังแล้ว เธอรีบตามเหยียนเจิ้งไปดูสถานการณ์ในที่เกิดเหตุ

พอมาถึงหน้าประตูห้องของเด็กที่เกิดเรื่อง ก็เห็นผู้อำนวยการจางกำลังเดินวนไปวนมาด้วยความร้อนใจ ชายวัยรุ่นคนหนึ่งใช้มือกุมแขนที่มีเลือดออก นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวภายในอาคาร

“เสี่ยวอิ่นเป็นอาสาสมัครระยะยาวที่เพิ่งมาทำงานที่สถานสงเคราะห์ของพวกเรา ปกติโต้วโต้วเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายมาก ไม่รู้วันนี้เกิดอะไรขึ้นจู่ๆ ก็อาละวาดและทำร้ายเขา วันนี้บังเอิญคุณหมอที่ประจำอยู่ห้องพยาบาลลาหยุด แต่ดิฉันเรียกรถพยาบาลมาเรียบร้อยแล้วค่ะ”

“โต้วโต้ว เปิดประตูหน่อยจ้ะ นี่ลุงเหยียนเอง หนูเป็นอะไรไป” เหยียนเจิ้งนั่งยองๆ อยู่ที่หน้าประตูพลางพูดกับเด็กที่อยู่ในห้อง

เสียงวัตถุถูกเหวี่ยงกระแทกดังโครมครามมาจากในห้อง โต้วโต้วยังโมโหและไม่ยอมเปิดประตู

“ผมจะปีนเข้าทางหน้าต่าง คุณรอผมตรงนี้นะ” เขาหันไปบอกเซิ่งเจาซี

“ดิฉันว่าเรียกหน่วยกู้ภัยมาดีกว่าค่ะ ตรงนี้คือชั้นสามของอาคาร คุณออกไปแบบนี้อันตรายมากนะคะ อีกอย่างโต้วโต้วป่วยอยู่ ถ้าเขาทำร้ายคุณด้วยอีกคนคงไม่ดีแน่” ผู้อำนวยการจางพยายามรั้งเขาแต่ไม่เป็นผล เหยียนเจิ้งเดินอ้อมออกไปทางหลังอาคารแล้ว

เซิ่งเจาซียืนอยู่ด้านนอกประตูจึงไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเบนความสนใจมาที่คนเจ็บซึ่งรออยู่ด้านนอก ไม่รู้ว่าแขนของเสี่ยวอิ่นถูกกรีดด้วยอาวุธแบบไหน ดูเหมือนจะมีเลือดออกเยอะมาก

“ให้ฉันช่วยไหมคะ ฉันเคยเรียนพยาบาล เดี๋ยวฉันช่วยห้ามเลือดให้คุณระหว่างรอรถพยาบาล”

เสี่ยวอิ่นก้มหน้างุด ใช้มือกุมแขนแน่นไม่ยอมปล่อย “ไม่ต้องหรอกครับ”

ตอนที่เหยียนเจิ้งอุ้มโต้วโต้วออกมาจากในห้อง ข้างนอกเหลือผู้อำนวยการจางยืนอยู่เพียงคนเดียว

“เพื่อนของผมไปไหนแล้วครับ”

“เมื่อกี้รถพยาบาลมาถึงแล้ว ดิฉันเลยบอกให้เสี่ยวอิ่นไปทำแผล แล้วคุณผู้หญิงท่านนั้นก็ตามไปด้วยค่ะ”

เหยียนเจิ้งรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ จึงขอให้ผู้อำนวยการจางพาโต้วโต้วไปตรวจที่โรงพยาบาล ส่วนตัวเขาเองรีบวิ่งไปที่ประตูทางออก รถพยาบาลจอดอยู่หน้าประตูใหญ่ แต่เจ้าหน้าที่พยาบาลกลับบอกว่าไม่เห็นสองคนนั้น และไม่เห็นใครออกมาจากข้างในเลยสักคน

ภายในสถานสงเคราะห์ยังมีอาคารเก่าอีกหลังหนึ่ง เป็นอาคารอิฐทรงโค้งที่สร้างไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน เหยียนเจิ้งเดาว่าพวกเขาอาจจะเดินไปทางนั้น

 

บรรยากาศภายในสถานสงเคราะห์สดชื่นสว่างไสว แต่ทันทีที่เดินเข้าไปในอาคารเก่าหลังนั้น รู้สึกราวกับท้องฟ้ามีเมฆครึ้มชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ มีแสงอาทิตย์เพียงนิดเดียวที่ลอดออกมาจากช่องเพดานตรงกลาง

ห้องส่วนใหญ่ในอาคารว่างเปล่า หรือไม่อย่างนั้นก็ล็อกประตูปิดไว้อย่างแน่นหนา พอจินตนาการได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนเด็กๆ ในสถานสงเคราะห์แห่งนี้คงไม่มีที่อาศัยอื่นนอกจากอาคารที่มีแต่ทางเดินที่ทอดยาวกับช่องเพดานเล็กจิ๋วหลังนี้ ภายในไม่มีกลิ่นอายแห่งความหวังหรือความอบอุ่น มีเพียงความสิ้นหวังรุนแรงที่แผ่ซ่านออกมาจนรู้สึกได้

เซิ่งเจาซีไล่ตามชายคนนั้นมาจนถึงอาคารหลังนี้ แต่แล้วกลับคลาดสายตาจากเขา

เด็กที่อาศัยอยู่ในอาคารหลังนี้ก็เป็นอย่างที่เหยียนเจิ้งเคยบอก ชอบขังตัวเองอยู่ในห้องเล็กๆ หากมองลอดช่องหน้าต่างเข้าไปด้านใน ก็จะเห็นเด็กๆ นั่งหรือไม่ก็นอนขดตัวอย่างเหม่อลอยอยู่ภายในห้อง สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือไร้ซึ่งพลังชีวิต อาคารทรงโค้งหลังนี้เปรียบได้กับห้องแสดงนิทรรศการ ด้านหลังกระจกแต่ละบานคือวัตถุจัดแสดงที่มีชีวิตแต่ไร้ซึ่งดวงวิญญาณ

“เธอตามฉันมาเหรอ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง เซิ่งเจาซีหันขวับทันควัน เห็นเสี่ยวอิ่นยืนอยู่ที่ทางขึ้นบันไดด้านหลัง

“ก็ใช่น่ะสิคะ ฉันจะมาบอกคุณว่ารถพยาบาลจอดอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ คุณเดินผิดทางน่ะค่ะ” เซิ่งเจาซีพยายามรักษาสีหน้าให้ดูเป็นปกติที่สุด

“ไม่เจอกันตั้งหลายเดือน เธอยังฉลาดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”

“คุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่คะ พวกเราเพิ่งเจอกันครั้งแรกไม่ใช่เหรอ” เธอเค้นยิ้มให้ดูเมตตาอารีที่สุด พยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายเชื่อใจ

“เธอเห็นแล้วใช่ไหม”

“อะไรเหรอคะ”

“นี่ไง ถ้ายังไม่เห็น ก็ดูซะให้เต็มสองตา” เสี่ยวอิ่นยื่นแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บออกมา บริเวณที่ถูกกรีดเป็นแผลมีรอยสักรูปงูกระหวัดรัดอยู่โดยรอบ งูตัวยักษ์ที่ดูดุดันน่ากลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความสยดสยองเมื่อปกคลุมด้วยโลหิตสีแดงสด

ถ้าเขากล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าเธอแบบนี้ แปลว่าไม่มีเจตนาจะให้เธอมีชีวิตรอดกลับออกไป เซิ่งเจาซีทำทีสงบนิ่ง พยายามถ่วงเวลาเพื่อรอความช่วยเหลือจากภายนอก “เหล่าจิ่ว นายตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

เหล่าจิ่วหัวเราะเสียงเย็น “นึกว่าเธอจะฉลาดกว่านี้”

สมองของเซิ่งเจาซีประมวลผลอย่างรวดเร็ว และได้ข้อสันนิษฐานที่บ้าบิ่นพอสมควรมาข้อหนึ่ง “นายฆ่ากัปตันเครื่องบิน สวมรอยเป็นเขาและหนีรอดจากใต้จมูกของตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ? ทำไมถึงมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ หรือนายมีความเกี่ยวข้องอะไรกับสถานสงเคราะห์ซิงเล่อ?”

สีหน้าของเหล่าจิ่วถมึงทึงขึ้นมาในทันที เขาพุ่งพรวดเข้ามาบีบคอของเธอไว้ ไม่ยอมให้หญิงสาวพูดต่อ “เธอน่าจะตายตั้งแต่วันนั้นแล้ว รอดมาได้ถึงวันนี้ถือว่าได้ต่ออายุขัยตั้งหลายเดือน ชีวิตนี้เธอไม่ขาดทุนแล้วละ”

พละกำลังมหาศาลผลักเซิ่งเจาซียันติดกับผนัง ข้างตัวไม่มีวัตถุอะไรที่คว้าได้ และเธอมีแรงไม่พอจะโจมตีโต้ตอบ ทำได้เพียงทุบหน้าต่างด้านข้างอย่างเอาเป็นเอาตาย พยายามดึงความสนใจจากเด็กที่อยู่ในห้อง

เด็กในห้องนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือ หันหลังให้หน้าต่าง พอได้ยินเสียงก็เอียงหัวหันมามองแวบหนึ่ง แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น ไม่ถึงอึดใจก็หันหน้ากลับไปอย่างเก่า ไม่มีทีท่าจะขยับเขยื้อน

เซิ่งเจาซีหน้าแดงก่ำเพราะขาดอากาศ สองมือพยายามดึงมือของอีกฝ่ายให้คลายออก แย่งออกซิเจนกลับมาแม้จะเพียงน้อยนิด ภาวะขาดออกซิเจนกระตุ้นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเธอ

หญิงสาวรวบรวมพละกำลังที่ปลายเท้าแล้วถีบออกไปเต็มแรง เหล่าจิ่วหน้าเปลี่ยนสีทันควัน มือที่บีบคอเธออยู่ผ่อนลงโดยอัตโนมัติ เซิ่งเจาซีฉวยโอกาสนี้ดิ้นหลุดจากมือของเหล่าจิ่ว หญิงสาวลูบลำคอพลางไอสำลักไม่หยุด

“บ้าที่สุด!” พอเหล่าจิ่วได้สติก็สบถอย่างหยาบคาย มือหนาใหญ่พุ่งเข้ามาหาเธออีกครั้ง เซิ่งเจาซีพยายามวิ่งหนี แต่ไม่พ้นถูกเขาคว้าตัวไว้ได้

“ดูเหมือนฉันจะทะนุถนอมสาวน้อยอย่างเธอมากไปหน่อย” เหล่าจิ่วพูดแล้วคลำหยิบคัตเตอร์งานฝีมือออกมาจากกระเป๋าเอว ประกายเงาปลาบเย็นเยียบสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาดำของเซิ่งเจาซี สัญชาตญาณในใจร้องเตือนว่าครั้งนี้คงรักษาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองไว้ไม่ได้แล้ว

“เสี่ยวไท่หยาง!”

จังหวะที่สติหลุดลอย เธอรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของจิ้นซืออวี้ เซิ่งเจาซีคิดว่าเธออาจหูแว่วเพราะนี่คือเสี้ยวลมหายใจสุดท้ายของชีวิต แต่ไม่ทันได้คำตอบ ก็รู้สึกถึงสายลมบางๆ วูบหนึ่งปราดผ่านหน้าของเธอไป

“อึก...” เซิ่งเจาซีได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินแว่วมาจากเหนือหัว ไม่รู้เหยียนเจิ้งเข้ามาตอนไหน เขาดึงมือหญิงสาวแล้วพุ่งเข้ามากำบังเธอไว้ มือข้างหนึ่งจับศีรษะของเธอเข้าแนบกลางอก

อ้อมกอดของเหยียนเจิ้งเคล้าด้วยกลิ่นยาสูบอ่อนจาง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เซิ่งเจาซีซึ่งเกลียดกลิ่นบุหรี่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดไม่รู้สึกรังเกียจ

เหล่าจิ่วเห็นมีคนมาก็ไม่กล้าสู้ต่อ เขาวิ่งหนีหายไปในป่าด้านหลังอาคารเก่า เจ้านั่นคงศึกษาทางหนีทีไล่ทั้งหมดของสถานสงเคราะห์ไว้อย่างละเอียดยิบในช่วงหลายเดือนที่แฝงตัวทำงานอยู่ที่นี่

เซิ่งเจาซีตั้งท่าจะไล่ตามไป แต่ถูกเหยียนเจิ้งคว้าตัวไว้ก่อน 

“ข้าศึกจนตรอกอย่าไล่ตาม27

เซิ่งเจาซีไม่ฟัง ดึงดันจะสลัดหลุดจากมือเขาให้ได้

“โอ๊ย!” เหยียนเจิ้งใช้มือหนึ่งกุมไหล่ด้วยสีหน้าเจ็บปวด

หญิงสาวกระวนกระวายไม่รู้ว่าควรไปหรืออยู่ต่อ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับมาหาเขาแล้วพูดว่า “เอามือออก”

เซิ่งเจาซีช่วยเขาตรวจดูแผลแบบง่ายๆ แผลความยาวประมาณสองนิ้ว ปากแผลแคบเพราะใบมีดคัตเตอร์แบนและแคบ ถ้าไม่สังเกตก็แทบไม่เห็น ปากแผลมีเลือดไหลซิบออกมาเล็กน้อย เหมือนเส้นด้ายสีแดงบางเบาเส้นหนึ่งพาดผ่าน แต่ดูแล้วแผลน่าจะลึกพอสมควร

“ตอนที่คุณพุ่งเข้ามา คุณเรียกฉันหรือเปล่า”

“เปล่า”

วินาทีที่เธอเฉียดเข้าใกล้ความตายมากที่สุด เธอรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของจิ้นซืออวี้ พุ่งผ่านความมืดเข้าแทงทะลวงกลางหัวใจของเธอ ทำให้เธอรู้สึกราวกับได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่งจริงๆ...สงสัยเธอจะตกใจจนเห็นภาพหลอน

“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าครั้งหน้าถ้าเห็นมีด อย่าวู่วามพุ่งเข้ามาแบบนั้น ขาคุณออกจะยาว แค่เตะมีดให้หลุดจากมือเขาก็จบเรื่องแล้ว ไม่เคยดูหนังกำลังภายในเหรอ แบบนี้น่ะ” เซิ่งเจาซีวาดขาข้างหนึ่งขึ้นเตะสูง พลางแกล้งทำหน้าทะเล้นแหย่ท่านรองประธานเหยียนซึ่งดูแล้วน่าจะไม่เคยต่อยตีกับใครมาก่อน ราวกับว่าคนที่หวิดถูกแทงตายเมื่อครู่ไม่ใช่ตัวเธอเองอย่างไรอย่างนั้น

“เยี่ยมมาก” เหยียนเจิ้งก้มหน้าพลางหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

“อะไร”

“ผมบอกว่า คุณนิสัยทโมนแบบนี้แหละเยี่ยมมาก”

“ฟังแล้วไม่เหมือนคำชมเท่าไหร่เลยนะ อันที่จริงฉันรู้ว่าคุณอยากให้ฉันพูดอะไร” เซิ่งเจาซีกระแอมให้คอโล่ง แล้วพูดกับเขาด้วยสีหน้าขึงขังว่า “ขอบคุณ”

บุญคุณการช่วยชีวิตจากเหตุการณ์เฉียดตายครั้งนี้ ทำให้ระยะห่างระหว่างคนสองคนที่เคยพบกันเพียงไม่กี่ครั้งหดเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็ว

เซิ่งเจาซีโทรศัพท์ไปแจ้งกรมตำรวจเมืองเยว่เฉิงทันที เธอรายงานว่าเหล่าจิ่วสวมรอยเป็นกัปตันเครื่องบินเพื่อหลบหนีคดี ไม่นึกว่ากรมตำรวจเมืองเยว่เฉิงสืบทราบเรื่องนี้นานแล้ว แต่เนื่องจากยังจับตัวเหล่าจิ่วไม่ได้ จึงปิดข่าวเงียบไว้ไม่กล้าแพร่งพราย ด้วยกลัวจะทำให้ประชาชนตื่นตระหนก ทั้งยังกำชับเธอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

หญิงสาวหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกหูโทร. หาเหล่าเผิง และบอกให้เขาแจ้งข่าวไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ให้ตรวจตราและเฝ้าระวังชายที่มีรอยสักรูปงูที่แขน

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ถึงหันมาเห็นว่าเหยียนเจิ้งกับบาดแผลแห่งเกียรติยศของเขายังยืนรอเธออยู่ข้างๆ

“รถพยาบาลออกไปแล้ว คุณเหยียน ให้ฉันพาคุณไปทำแผลที่โรงพยาบาลดีไหม”

“สถานสงเคราะห์ของพวกเราก็มีห้องพยาบาล” เหยียนเจิ้งพูดแล้วเดินนำออกไปที่ตึกใหม่ทางด้านซ้ายของสถานสงเคราะห์โดยไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวโต้แย้ง เซิ่งเจาซีจำต้องเดินตามเขาไป

ภายในอาคารมีเด็กหลายคนวิ่งไปวิ่งมาเสียงจอแจไปหมด ผู้ดูแลก็ไม่ห้ามปรามอะไร ปล่อยให้พวกเขาเล่นอย่างอิสระ เด็กๆ เห็นคนหน้าใหม่เดินเข้ามาก็ล้อมวงเดินตามก้นพวกเขาต้อยๆ แต่ไม่กล้าเข้ามาใกล้เกินไป เว้นระยะห่างสองสามเมตร แต่ตายังจดจ้องพวกเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น

เซิ่งเจาซีเองก็กวาดตาสำรวจเด็กๆ ด้วยความสงสัยไม่น้อยไปกว่ากัน เหยียนเจิ้งเห็นเธอทำสีหน้าแปลกๆ ก็ถามว่า 

“เป็นอะไรไป”

“คุณเหยียน ฉันขออนุญาตละลาบละล้วงถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ” หญิงสาวไม่ต้องการให้เด็กๆ ที่อยู่ด้านหลังได้ยิน จึงขยับเข้าไปใกล้และกระซิบข้างหูเหยียนเจิ้งอย่างแผ่วเบา “ปกติแล้วสถานสงเคราะห์จะรับดูแลเด็กที่พิการทางร่างกายหรือจิตใจ ส่วนเด็กๆ ที่ร่างกายไม่มีปัญหาอะไร ใช้เวลาแค่ไม่นานก็ต้องมีคนมารับไปอุปการะ แต่ดูเหมือนที่นี่จะมีสัดส่วนของเด็กที่แข็งแรงดีมากกว่าเด็กที่ป่วยเสียอีก ไม่แปลกเหรอคะ” 

ทักษะการสังเกตที่เฉียบคมของหญิงสาวทำให้เหยียนเจิ้งประหลาดใจไม่น้อย

“ในยุคแรกเริ่มของการก่อตั้ง สถานสงเคราะห์ซิงเล่อรับอุปการะเฉพาะเด็กที่เป็นออทิสติกเท่านั้น คุณรู้ไหมว่าเด็กออทิสติกมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘เด็กน้อยจากดวงดาว’ และนี่ก็เป็นที่มาของชื่อซิงเล่อ28 ต่อมาถึงแม้ว่าเราจะเริ่มรับดูแลเด็กกำพร้าจากหน่วยงานอื่นๆ แต่สุดท้ายแล้วเด็กออทิสติกก็ยังมีสัดส่วนมากที่สุด” เหยียนเจิ้งอธิบาย

“เด็กออทิสติกไม่ค่อยร่าเริงหรือมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก ดังนั้นเด็กที่คุณเห็นวิ่งเล่นเป็นลูกลิงอยู่ข้างนอกส่วนใหญ่ก็เลยมีแต่เด็กที่แข็งแรงดี เด็กที่อยู่ในตึกเก่าไม่ค่อยมีใครออกมาหรอกครับ”

มิน่าเมื่อครู่ตอนเธอทุบหน้าต่างขอความช่วยเหลือ เด็กในห้องเห็นแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่ตอบสนองอะไรเลย

“แต่สถานสงเคราะห์ทุกแห่งได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลไม่ใช่เหรอคะ แบบนี้มีสิทธิ์คัดเลือกเด็กที่จะรับดูแลด้วยเหรอคะ”

“ซิงเล่อเป็นสถานสงเคราะห์ที่ก่อตั้งโดยชาวอเมริกันในประเทศจีน ต่อมาบริษัททังซื่อรับช่วงดูแลต่อ ดังนั้นที่นี่ถือเป็นหน่วยงานเอกชนมาตั้งแต่ต้น”

ระหว่างที่พูดเหยียนเจิ้งก็ผลักเปิดประตูห้องพยาบาล ห้องเล็กๆ นั้นว่างเปล่า มีเพียงสายลมบางเบาที่พัดผ่านผ้าม่านสีขาวตรงหน้าต่างเท่านั้น

เหยียนเจิ้งเดินตรงเข้าไปเปิดตู้กระจกที่ข้างผนัง แล้วหยิบทิงเจอร์ไอโอดีนกับน้ำยาฆ่าเชื้อไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ออกมาจากตู้ หลังจากนั้นก็หยิบแผ่นสำลีกับผ้าก๊อซออกมาจากลิ้นชักตรงโต๊ะทำงาน

“ดูเหมือนคุณจะคุ้นเคยกับที่นี่มากนะ”

“ตอนที่เรารับช่วงบริหารซิงเล่อแรกๆ ผมขลุกอยู่ที่สถานสงเคราะห์เกือบทุกวัน”

เซิ่งเจาซีพยักหน้า ในหัวยังรู้สึกมึนงงอยู่เล็กน้อย ในความคิดของเธอ ผู้บริหารระดับสูงคือคนที่นั่งอยู่ในห้องทำงานเปิดแอร์เย็นฉ่ำ หน้าที่หลักคือเซ็นเอกสารและคุยโทรศัพท์ ผู้บริหารระดับสูงที่ ‘ใกล้ชิดประชาชน’ อย่างเหยียนเจิ้งถือเป็นประเภทที่พบได้น้อยมาก

เหยียนเจิ้งนั่งลงที่ขอบเตียงตรวจไข้ ปลดกระดุมคอเสื้อแล้วเลิกเปิดไหล่ขวา เผยให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งที่ส่วนหัวไหล่กับลายสักที่มองเห็นเพียงส่วนหนึ่ง

บาดแผลอยู่ใกล้กับกระดูกรูปผีเสื้อ29 ต้องถลกเปิดเสื้อถึงจะเห็นแผลทั้งหมด พอเห็นเหยียนเจิ้งนั่งเปลือยผิวเนื้ออยู่ตรงหน้า แม้จะเห็นแค่หัวไหล่ข้างเดียว แต่จู่ๆ เซิ่งเจาซีก็อายจนใบหน้าและโคนหูปรากฏสีแดงเรื่อ ต้องรีบหันหนีไปอีกด้าน พอหันไปถึงเห็นว่ามีเด็กใจกล้าสองสามคนกำลังเกาะวงกบประตูห้องพยาบาลมองพวกเขาอยู่

เธอหันไปโบกมือไล่ “พวกเธอไปเล่นตรงนู้นนู่น”

เซิ่งเจาซีดึงประตูไม้ของห้องพยาบาลปิดลง ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะหยอกล้อสลับเสียงวิ่งแว่วอยู่ด้านนอก

พอประตูปิดลง จู่ๆ เซิ่งเจาซีก็รู้สึกว่าบรรยากาศแปลกพิกล ราวกับพวกเขากำลังทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่จริงๆ

แต่ดูเหมือนเหยียนเจิ้งจะไม่สังเกตสักนิดว่าเธอกำลังประหม่า เขาหันมาเรียกเธอเบาๆ ว่า “คุณเซิ่ง รบกวนช่วยหยิบน้ำยาฆ่าเชื้อให้ผมที”

เซิ่งเจาซีเดินไปหยิบน้ำยาฆ่าเชื้อมายืนอยู่ข้างเตียงอย่างว่าง่าย เหยียนเจิ้งถือสำลีไว้ในมือซ้ายแล้วหยดน้ำยาจากปากขวด จากนั้นพยายามเอื้อมมือเช็ดแผลที่หลังด้านขวาอย่างไม่ถนัดนัก เขามองไม่เห็น ดังนั้นลำตัวจึงบิดเบี้ยวเป็นองศาที่แปลกประหลาด หัวคิ้วเขาขมวดเข้าหากันน้อยๆ ท่าทางเหมือนรำคาญใจอยู่เล็กน้อย

“เดี๋ยวฉันช่วย” เซิ่งเจาซีหยิบแผ่นสำลีจากมือเขา เธอคุกเข่าข้างหนึ่งลงที่ขอบเตียงคนไข้ แล้วจับลำตัวของเหยียนเจิ้งให้หันแผ่นหลังเข้าหาเธอ

“ขอบคุณครับ”

รอบลำคอของเขาคล้องด้วยสร้อยไม้กางเขนสีเงิน และเพื่อให้เธอทายาได้สะดวก เขาจึงคาบไม้กางเขนไว้ในปาก 

หญิงสาวใช้สำลีชุบน้ำยาฆ่าเชื้ออีกเล็กน้อย แล้วแตะไปที่ปากแผลอย่างแผ่วเบา ฤทธิ์ระคายเคืองของยาฆ่าเชื้อทำให้เหยียนเจิ้งตัวสั่นน้อยๆ แต่ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากไว้แน่น ไม่ส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว

ตอนที่ทาเบตาดีน เสื้อของเหยียนเจิ้งร่นขึ้นมาเล็กน้อย คอเสื้อเกือบเลอะเบตาดีนที่ทาไว้ตรงปากแผล เซิ่งเจาซีไม่ทันคิดอะไรมาก จึงเอื้อมมือไปดึงเสื้อของเขาลงมา จังหวะที่ปลายนิ้วสัมผัสโดนผิวที่แผ่นหลังของเขาโดยไม่ตั้งใจ ทั้งสองต่างสะท้าน อากัปกิริยาในเวลานี้ช่างคลุมเครือชวนคิดลึก เธอรีบถอยออกไปและลุกขึ้นจากเตียงคนไข้

“ไม่เป็นไร” เหยียนเจิ้งส่งผ้าก๊อซผืนหนึ่งให้หญิงสาว “รบกวนคุณตำรวจเซิ่งช่วยปิดผ้าก๊อซให้ผมก็พอครับ”

เซิ่งเจาซีสูดลมหายใจลึกพลางหยุดทำใจครู่หนึ่ง พอทำใจได้แล้วถึงกล้าขยับเข้าไปใกล้เพื่อช่วยเหยียนเจิ้งปิดผ้าก๊อซ

พอขยับเข้าไปใกล้ เซิ่งเจาซีจึงสังเกตเห็นว่าส่วนตรงกลางระหว่างกระดูกสะบักบนหลังของเขาสักเป็นลวดลายแปลกประหลาด เหมือนวงกลมซ้อนกันสี่วง แต่ถ้ามองจากอีกด้านจะเหมือนเลข 8 สองตัวเขียนซ้อนกันเป็นแนวนอน ด้านหลังยังมีลวดลายคล้ายดวงอาทิตย์อยู่ด้วย

ลายสักนี้ทั้งงดงามทั้งพิสดาร โดยเฉพาะด้านล่างของรอยสักที่มีส่วนปลายของรอยแผลเป็นอัปลักษณ์โผล่พ้นเสื้อมาให้เห็นเล็กน้อย ดูจากลักษณะน่าจะเป็นแผลเก่าที่เกิดขึ้นหลายปีแล้ว

เขาเป็นนักธุรกิจระดับแนวหน้าในสังคมชั้นสูง ทำไมถึงมีรอยสักและรอยแผลเก่าแบบนี้ได้

สัญชาตญาณอันเฉียบคมที่บ่มเพาะจากประสบการณ์การทำงานของเซิ่งเจาซีส่งสัญญาณเตือนอีกครั้ง

ปฏิกิริยาของเหล่าจิ่วเมื่อครู่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าข้อสันนิษฐานของเธอถูกเผง เขากับสถานสงเคราะห์แห่งนี้ต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรบางอย่าง ถ้าอย่างนั้นเป็นไปได้ไหมว่าคุณเหยียนซึ่งเป็นตัวแทนตามกฎหมายของที่นี่ก็อาจรู้เห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

เมื่อครู่เขาห้ามเธอไม่ให้ไล่ตามไป นั่นเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ หรือเป็นแผนช่วยเหล่าจิ่วให้หนีไปกันแน่?

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น