7

บทที่ 7 ปัญญาดุจเคหาสน์ทองคำ



บทที่ 7 

ปัญญาดุจเคหาสน์ทองคำ30

 

แต่หวังว่าพระผู้เป็นเจ้าจะปกป้องเจ้า และหวังว่าอีกคนหนึ่งจะรักเจ้าเช่นที่ข้ารัก

อะเลคซันดร์ ปุชกิน 

 

สุดสัปดาห์นี้เป็นวันเกิดของเซิ่งหมิงซี น้องชายของเธอ พ่อกับแม่โทร. มากำชับเธอแต่เนิ่นๆ ว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลับบ้านมากินข้าวด้วยกัน

ตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา เซิ่งเจาซีกลับบ้านแทบนับครั้งได้ เอาแต่อ้างว่างานยุ่งมากอยู่ตลอด

เรื่องนี้ทำให้แม่ไม่พอใจอย่างมาก ถึงกับโทร. มาสั่งว่าต้องกลับบ้านอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง น้องชายจะขึ้นชั้นมัธยมต้นอยู่แล้ว เธอน่าจะใช้โอกาสนี้กลับมาช่วยติวภาษาอังกฤษให้น้องบ้าง

อันที่จริงไม่เกี่ยวอะไรกับทักษะภาษาอังกฤษของเธอสักนิด พ่อแม่จะเชิญติวเตอร์ที่เก่งภาษาอังกฤษกว่าเธอสักเจ็ดหรือแปดคนมาสอนที่บ้านก็ไม่มีปัญหา พวกเขาแค่กลัวว่าเธอจะตีตัวออกหากน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง

เธอถูกส่งไปเรียนที่อเมริกาเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นน้องชายยังอ้อแอ้พูดไม่ค่อยได้ ตอนแรกๆ ยังรู้สึกผูกพันอยู่ แต่พอแยกห่างกันนานเข้า ต่างคนต่างหายไปจากวันเวลาในชีวิตของกันและกัน จนสุดท้ายแทบไม่เหลือความรู้สึกอะไรมากนัก

ตอนนี้เซิ่งเจาซีเองก็อยู่ในวัยเด็กโค่ง อายุมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และความอดทนน้อยกว่าแต่ก่อนด้วย

ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่ แต่ต่อให้เป็นพ่อแม่แท้ๆ ที่สายเลือดเข้มข้นกว่าน้ำ กระแสธารแห่งกาลเวลาถึงสิบปีก็ชะล้างจนเริ่มอ่อนจาง ทั้งสองไม่อาจบังคับเธอได้เหมือนแต่ก่อน

ปกติถ้าเธอหนีได้จะหนีตลอด ส่วนแม่ก็โทร. หาเธอทุกวันอย่างกับจะทวงเอาชีวิต บอกว่าวันเกิดน้องชายไม่ว่ายังไงก็ต้องกลับบ้าน ด้วยเหตุนี้เธอจำต้องลดเวลาคลาสพิเศษของหน่วยเจรจาต่อรองและสอนให้จบภายในครึ่งเช้า ตอนบ่ายให้พวกเขาพักผ่อน

ก่อนเข้าบ้านเซิ่งเจาซียังอุตส่าห์แวะซื้อของขวัญชิ้นใหญ่ให้น้องชาย และห่อในกล่องของขวัญอย่างสวยงาม คอยแทบไม่ไหวที่จะได้เห็นสีหน้าของเจ้าปีศาจน้อยตอนแกะของขวัญ

พอขับรถมาถึงประตูคฤหาสน์หลังเก่า ถึงเห็นว่าลานหน้าบ้านมีรถจอดอยู่หลายคัน เดาว่าพ่อกับแม่คงจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้เจ้าปีศาจน้อย

เซิ่งเจาซีเดินไปกดกริ่งที่หน้าประตู อันที่จริงตอนกลับประเทศแม่เคยให้กุญแจบ้านเธอไว้ชุดหนึ่ง แต่เธอไม่เคยพกติดตัวเลย บางทีเธออาจคิดไว้อยู่แล้วว่าโอกาสที่จะได้ใช้กุญแจดอกนี้มีน้อยมาก

เสียงของเจ้าปีศาจน้อยแว่วมาจากระบบอินเตอร์คอม “ใครอะ”

“พี่สาวนายไง” เธอกดกริ่งอีกหลายครั้งด้วยความหงุดหงิด เร่งให้เซิ่งหมิงซีรีบเปิดประตู ในบ้านมีจอเชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิด เขาต้องเห็นคนที่อยู่หน้าบ้านอยู่แล้ว แต่เจ้าปีศาจน้อยยังแกล้งทำบื้อ

“ผมไม่มีพี่สาวสักหน่อย”

เซิ่งหมิงซีแกล้งทำเสียงไร้เดียงสา ทำให้หญิงสาวยิ่งโมโหจนควันแทบออกหู วันนี้ตอนซื้อของขวัญน่าจะเอาไม้ขนไก่ติดมือมาด้วย

“เซิ่งหมิงซี รีบเปิดประตูก่อนฉันจะอารมณ์เสีย”

“พ่อหนูน้อย มัวแกล้งพี่สาวอยู่นั่นแหละ... เสี่ยวซีใช่ไหม รีบเข้ามาสิ” เสียงพ่อพูดผ่านอินเตอร์คอม ขณะแกะมือของเซิ่งหมิงซีออกจากปุ่มเปิดประตู

พ่อยิ้มกว้างรออยู่ที่ประตูบ้าน และหยิบรองเท้าสลิปเปอร์ให้เธอเปลี่ยนสวม “แค่มากินข้าวเอง ไม่เห็นต้องซื้อของขวัญอะไรให้เจ้าหนูนั่นเลย เธอนี่จริงๆ เลยนะ”

เซิ่งเจาซีได้ยินดังนั้นก็รู้สึกฝืดเฝื่อนอยู่ในใจ เวลามาที่นี่ เธอรู้สึกเหมือนเป็นแค่แขกคนหนึ่ง

ในห้องโถง แขกเหรื่อจำนวนไม่น้อยกำลังนั่งจับกลุ่มคุยเรื่องหุ้น คุยเรื่องธุรกิจ ถามมาตอบไป เสียงชนแก้วแว่วมาเป็นระลอก ไม่มีบรรยากาศของการมาร่วมปาร์ตีฉลองวันเกิดของเด็กอายุสิบกว่าขวบแม้แต่นิดเดียว

กลุ่มที่เป็นเด็กจริงๆ แน่นอนว่าไม่ตะขิดตะขวงอะไร เซิ่งหมิงซีนำกลุ่มเด็กผู้ชายวิ่งขึ้นลงบันไดชั้นหนึ่งกับชั้นสองอย่างสนุกสุดเหวี่ยง เหลือเพียงเธอที่ไม่เข้ากลุ่มกับใคร รู้สึกเหมือนแกะดำที่เป็นส่วนเกิน

พ่อกับแม่ต่างยุ่งอยู่กับการต้อนรับแขกเหรื่อ เธอถืออาหารปลาเอาไว้ในมือ ยืนอยู่ที่ตู้ปลาแบบตั้งพื้นขนาดใหญ่พลางเล่นกับเหล่าปลาที่แหวกว่ายอยู่ในตู้ไปเรื่อยเปื่อย คนอื่นมองมาไม่มีทางรู้เลยว่าเธอก็เป็นคุณหนูเจ้าของบ้านหลังนี้ด้วยเช่นกัน

“เฮ้ จอยซ์” ใครคนหนึ่งเรียกชื่อภาษาอังกฤษของเธอ แปลกจริง ที่นี่ไม่น่ามีใครรู้ชื่อภาษาอังกฤษของเธอ

โจวฮวายจิ่นในชุดทักซิโดหางนกนางแอ่นเดินเข้ามาหาเธอ “บังเอิญจังเลย คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ”

“ฉัน? ฉันเป็นลูกสาวบ้านนี้ค่ะ คุณล่ะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

สีหน้าประหลาดใจของชายหนุ่มบ่งบอกว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าตระกูลเซิ่งยังมีลูกสาวอีกคนหนึ่ง เซิ่งเจาซีมองออกแต่ไม่มีทีท่ากระอักกระอ่วนแต่อย่างใด “คุณปู่ของผมกับคุณลุงทำธุรกิจร่วมกัน วันนี้เป็นวันเกิดของคุณชายน้อย คุณปู่ส่งผมมาในฐานะตัวแทนเพื่อมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ และร่วมแสดงความยินดีน่ะครับ”

โจวฮวายจิ่นเป็นคนพูดจาสุภาพนิ่มนวล ให้ความรู้สึกเป็นสุภาพบุรุษ หญิงสาวย้อนคิดถึงครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันบนเครื่องบิน หากยังไม่ได้เห็นหน้าเขา เธอคงนึกว่าเขาเป็นคนยุโรปที่เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วและนิสัยอ่อนหวานโรแมนติกด้วยซ้ำ

“คุณซื้ออะไรเป็นของขวัญเหรอคะ”

“หือ?” อีกฝ่ายไม่ทันคาดคิดว่าเธอจะถามอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ โจวฮวายจิ่นชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กน่ะครับ”

เซิ่งเจาซีเหลือบมองกล่องแพ็กเกจที่วางรวมอยู่ในกองของขวัญ เป็นชุดคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ ‘เอเลียนแวร์’ รุ่นใหม่ล่าสุดพร้อมอุปกรณ์ครบเซต เป็นคอมพิวเตอร์สเปกสูงสำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะ ราคาไม่น้อยเลยทีเดียว น่าจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับเด็กชอบเล่นเกมอย่างเซิ่งหมิงซี

“แล้วคุณล่ะครับ” ชายหนุ่มถามบ้าง อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเธอเตรียมอะไรเป็นของขวัญ

“ลองถือดูสิ” เซิ่งเจาซีหยิบกล่องของขวัญที่วางอยู่ข้างโต๊ะน้ำชาขึ้นมาวางไว้ในมือของโจวฮวายจิ่น “ของขวัญของฉันไม่ใช่เบาๆ หรอกนะคะ ทั้งหนาทั้งหนัก เรื่องแบบนี้ฉันไม่เบามือหรอกค่ะ”

“สงสัยจะเป็นทองคำละมั้งครับ?” โจวฮวายจิ่นแกล้งแหย่ 

“ธรรมดาเกินไป แต่อันที่จริงก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่หรอก”

โจวฮวายจิ่นพยักพเยิดไปทางอาหารปลาที่อยู่ในมือเธอ “คุณชอบเลี้ยงปลาเหรอครับ”

“ก็พอได้ ตอนเด็กๆ พ่อชอบอุ้มฉันไปดูปลา สมัยนั้นเลี้ยงแต่ปลาคาร์ป แต่ฉันไม่เห็นมาหลายปีแล้ว ปลาการ์ตูนพวกนี้เป็นปลาที่เซิ่งหมิงซีร้องงอแงจะซื้อ หลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนีโมน่ะ” เธอโปรยอาหารปลาทั้งหมดที่เหลือในอุ้งมือลงในตู้ แล้วตบๆ เศษอาหารปลาที่เหลือในมือ

อาหารปลาลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ไม่มีใครคิดจะแยแส เหล่าปลาก็แหวกว่ายอย่างเกียจคร้าน ไม่มีทีท่าจะสนใจ สมแล้วที่เป็นปลาในบ้านของเศรษฐี ต้องรอให้อาหารปลาลอยมาอยู่ตรงหน้าถึงจะอ้าปากกินสักเม็ดหนึ่ง

“เจ้าของเป็นยังไง สัตว์เลี้ยงก็เป็นแบบนั้นจริงๆ” เซิ่งเจาซีส่ายหน้าน้อยๆ อย่างเหนื่อยหน่าย

โจวฮวายจิ่นเห็นหญิงสาวทำหน้าเอือมระอาก็อดไม่ได้ที่จะนึกขำ “ผมก็เลี้ยงปลาเหมือนกัน แล้วก็มีเต่าเฒ่าตัวหนึ่งด้วยนะ ไว้วันไหนมีโอกาส แวะมาดูได้นะครับ”

เขาเอ่ยเชิญอย่างไม่คิดอะไรมากนัก ส่วนเธอก็ตอบรับอย่างไม่คิดอะไรมากนักเช่นเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างไม่เก็บมาใส่ใจ

“อ้อใช่ ผมอยากแนะนำใครคนหนึ่งให้คุณรู้จัก เขาอยากรู้จักคุณมาตั้งนานแล้ว”

เซิ่งเจาซีไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ยักไหล่น้อยๆ ด้วยความสงสัย 

โจวฮวายจิ่นนำเธอเดินไปที่ชิงช้าในสวนดอกไม้ ชิงช้าอันนี้ตอนเด็กๆ เธอเป็นคนอ้อนให้พ่อของเธอช่วยสร้างให้ วันนี้เหลือเพียงวัตถุที่คงเดิม ส่วนคนนั้นเปลี่ยนไปแล้ว

“ฮวายอัน” โจวฮวายจิ่นร้องเรียก

ได้ยินเสียงสวบสาบแว่วมาจากในสวน เด็กหนุ่มคนหนึ่งแหวกพุ่มไม้โผล่หน้าออกมา

ตอนนี้เองเซิ่งเจาซีจึงสังเกตเห็นว่ามีเด็กอีกคนนั่งอยู่ในนั้น ในมือเขาถือไม้ท่อนหนึ่งกับมีดเล่มเล็ก

“อ้อ เธอนี่เอง” เซิ่งเจาซีจำได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคือเด็กหนุ่มชาวจีนที่เธอเจอบนเครื่องบิน

เด็กหนุ่มหันมามองเซิ่งเจาซีแวบหนึ่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ก่อนจะก้มหน้าทำเรื่องตรงหน้าตัวเองต่อ ไม่มีท่าทีอยากสนใจเธอแม้แต่น้อย พอเห็นแบบนี้ เซิ่งเจาซีอดงงไม่ได้ว่าเธอไปทำอะไรให้เขาโกรธตอนไหน

“นี่คือโจวฮวายอัน น้องชายของผม คุณเซิ่งอย่าถือสาเลยนะครับ บุคลิกเขาเป็นแบบนี้โดยกำเนิด ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบคุณนะครับ แค่เขาไม่รู้จะแสดงความรู้สึกออกมายังไง”

เขาเป็นโรคออทิสติก? เซิ่งเจาซีเข้าใจคนที่มีบุคลิกแบบนี้ดีทีเดียว

“ที่แท้เขาก็เป็นน้องชายของคุณเองเหรอคะ”

“ใช่ครับ ต้องขอขอบคุณคุณจริงๆ ที่ช่วยชีวิตฮวายอันจากมือของคนร้ายในเหตุจี้เครื่องบินเมื่อหลายเดือนก่อน ผมเป็นตัวแทนเขาเอ่ยขอบคุณกับคุณนะครับ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ นี่เป็นงานของฉันอยู่แล้ว ถ้าคนร้ายจับฉันเป็นตัวประกัน ฉันจะจัดการอะไรได้ง่ายกว่าการที่น้องชายคุณเป็นตัวประกันมาก และความเป็นจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ”

คำพูดของเธอแข็งกร้าวและแสดงอีโก้อย่างไม่เกรงใจใคร แต่คนที่เก็บเนื้อเก็บตัวอย่างโจวฮวายจิ่นกลับรู้สึกชื่นชมความเชื่อมั่นของเธออย่างมาก

แล้วจู่ๆ ก็มีดอกกุหลาบที่แกะสลักจากไม้ดอกหนึ่งยื่นออกมาจากในพุ่มไม้ ดอกกุหลาบนี้แกะสลักอย่างสวยงาม กลีบดอกซ้อนสลับกันอย่างละเอียดประณีต แม้กระทั่งหยาดน้ำค้างที่เกาะเหนือกลีบกุหลาบยังแกะสลักออกมาได้อย่างสมจริง

“ให้ฉันเหรอ” เซิ่งเจาซีเอ่ยถามพลางชี้นิ้วมาที่ตัวเอง

คนในพุ่มไม้ไม่ยอมตอบ เอาแต่ถือดอกกุหลาบไว้อย่างนั้น 

นี่เป็นวิธีแสดงความขอบคุณในแบบของเขา เด็กคนนี้เป็นเด็กที่พิเศษมากทีเดียว

เซิ่งเจาซีรับดอกกุหลาบมาไว้ในมือพลางเอ่ยขอบคุณ 

“ถ้าจะว่ากันตามจริง คุณก็ช่วยชีวิตฉันไว้เหมือนกัน เพราะงั้นเราหายกันแล้ว” หญิงสาวควานหาปากกาหมึกซึมจากในกระเป๋า “นี่ค่ะ ขอคืนให้เจ้าของ”

“ของชิ้นนี้มีวาสนากับคุณเซิ่งมาก ถ้าไม่รังเกียจ คุณเก็บไว้ป้องกันตัวก็ได้นะครับ ปากกาประเภทนี้ออกแบบส่วนปลายให้แหลมคมกว่าปากกาทั่วไป อาจมีประโยชน์เวลาคับขันนะครับ”

“ขอบคุณในความปรารถนาดีของคุณนะคะ แต่ฉันคิดว่าปากกาด้ามนี้น่าจะเป็นของสำคัญที่มีความหมายต่อคุณมาก อีกอย่าง ฉันมีอุปกรณ์ป้องกันตัวครบมืออยู่แล้วค่ะ” เธอกลัวเขาไม่เชื่อ จึงเปิดกระเป๋าให้เขาดู ในนั้นมีทั้งสเปรย์พริกไทย อุปกรณ์เตือนภัย...เรียกได้ว่าครบครันอย่างที่เธอพูดจริงๆ

“ก็ได้ครับ” โจวฮวายจิ่นไม่อยากฝืนใจเธอ จึงรับปากกาด้ามนั้นมาเสียบไว้ในกระเป๋าเสื้อสูท ด้านที่สลักเป็นตัวเขียนภาษาอังกฤษ R หันออกมาตรงหน้าเธอพอดี

“R มีความหมายอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ” เซิ่งเจาซีถามพลางชี้ไปที่ปลอกปากกาด้ามนั้น

“เป็นตัวอักษรแรกของชื่อภาษาอังกฤษของผมน่ะครับ ผมชื่อเร็กซ์ ส่วนน้องชายผมชื่อเรย์ ผมรู้ว่าคุณเคยอยู่ที่ต่างประเทศมาสิบปี ถ้าจำชื่อภาษาจีนไม่ได้ เรียกชื่อภาษาอังกฤษของผมก็ได้นะครับ”

“พูดเป็นเล่นไป กว่าฉันจะย้ายออกจากประเทศจีนก็ตอนอายุสิบเจ็ดโน่น ความเป็นคนจีนขนานแท้ฝังลึกเข้ากระดูกฉันไปเรียบร้อย สำหรับคนจีน ชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญที่มีค่าและมีความหมายมาก หรือคุณว่าไม่จริงคะ คุณฮวายจิ่น”

 

หากมองจากหน้าต่างความสูงจากพื้นจดเพดานของบ้าน ไม่ยากที่จะสังเกตเห็นคู่หนุ่มสาวที่งดงามราวกิ่งทองใบหยกภายในสวนดอกไม้

“พ่อจ๊ะ มาดูนี่เร็ว” แม่เซิ่งกวักมือเรียกสามีของตัวเอง “นั่นหลานชายคนโตของตระกูลโจวใช่ไหมคะ ดูท่าทางสนิทสนมกับเสี่ยวซีของพวกเราดีนะคะ”

“ก็แม่นั่นแหละ ชอบกังวลไม่เข้าเรื่อง เรื่องใหญ่ในชีวิตของลูกเรา เขาตัดสินใจด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว” ถึงปากจะพูดแบบนี้ แต่พ่อก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองหนุ่มสาวทั้งสองอย่างสนใจ

ตระกูลเซิ่งกำลังเข้าสู่ยุคเสื่อมถอย ส่วนตระกูลโจวกำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด หากทั้งสองมีวาสนาต่อกันจริง การแต่งงานครั้งนี้ก็นับเป็นข่าวดีของตระกูล

ระหว่างมื้ออาหารทั้งคู่ก็นั่งด้วยกัน อันที่จริงเพราะรอบโต๊ะตัวยาวนี้ นอกจากครอบครัวเธอแล้ว เธอไม่รู้จักใครนอกจากสองพี่น้องตระกูลโจว

“วันนี้ละครเรื่องแรด31จะจัดแสดงที่โรงละครประจำเมือง เพื่อนผมที่อยู่ชมรมละครเวทีส่งบัตรมาให้สองใบ เชิญให้ผมไปร่วมชมละคร ไม่แน่ใจว่าคุณเซิ่งพอจะให้เกียรติรับคำเชิญของผมไปดูละครด้วยกันได้ไหมครับ”

เซิ่งเจาซีรู้จักละครเรื่องที่เขาพูดถึงเพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก ทั้งยังโพรโมตอย่างยิ่งใหญ่ ดังนั้นตั๋วหายากมากทีเดียว เธออยากไปดูตั้งนานแล้วแต่ติดตรงที่หาซื้อตั๋วไม่ได้

ช่างเป็นคำเชื้อเชิญที่ยั่วยวนใจอย่างที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เธอกำลังมองหาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวจากงานเลี้ยงอันแสนน่าเบื่อตรงหน้า

“ดีเลยค่ะ ฮวายอันจะไปด้วยกันไหม”

“เขาไม่ชอบดูอะไรพวกนี้ครับ เดี๋ยวพวกเราไปส่งเขาที่บ้านก่อน”

“ได้เลยค่ะ”

ทั้งสองสนทนากันอย่างออกรส ราวกับรอบข้างไม่มีใครนั่งอยู่ด้วย

แม่เอ่ยตำหนิเธอว่าละเลยมารยาท ทำไมไม่ทักทายผู้ใหญ่ทั้งหลายที่มาร่วมงาน

ตอนนี้เองทุกคนถึงตระหนักว่าตระกูลเซิ่งยังมีลูกสาวคนโตอยู่ด้วยคนหนึ่ง หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนและดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งแก้ว ถือเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

“ลูกสาวของพวกเราไปทำงานอยู่ต่างประเทศ เพิ่งย้ายกลับมาอยู่จีนได้ไม่นาน ทุกท่านคงยังไม่เคยเจอมาก่อน ตอนนี้เธอทำงานเป็นโคชด้านการเจรจาและต่อรองอยู่ที่กรมตำรวจเมืองเหิงเฉิง อย่างไรก็ขอให้ผู้ใหญ่ทุกท่านช่วยดูแลเธอด้วยนะครับ” น้ำเสียงพ่อเวลาพูดถึงเธอเต็มเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจ

“ไม่เคยได้ยินชื่อตำแหน่งนี้มาก่อนเลยนะครับ คงเป็นตำแหน่งที่รับเข้ามาจากต่างประเทศเมื่อไม่นานมานี้แน่ๆ ลูกสาวเก่งมากครับ อนาคตต้องก้าวไกลและสดใสมากแน่นอน”

สมดังคำที่คนพูดไว้ อะไรที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ พูดว่าดีไว้ก่อนเป็นอันรอดตัว แล้วทุกคนก็พากันสรรเสริญเยินยอเซิ่งเจาซีเป็นการใหญ่

“ทุกท่านชมเกินไปแล้วค่ะ ลูกหลานของบ้านเราเพิ่งเริ่มเข้าสู่โลกการทำงานได้ไม่นาน ประสบการณ์ยังน้อย อย่างไรก็ขอให้ทุกท่านช่วยสนับสนุนและดูแลเธอด้วยนะคะ”

แม่ของเธอก็ไม่ต่างจากพ่อแม่ในครอบครัวอื่นๆ เวลาพูดถึงลูกสาวบ้านตัวเองต้องถ่อมตัว แต่ในคำพูดก็แฝงไว้ด้วยความภูมิใจอย่างปิดไม่มิด

เซิ่งหมิงซีที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่งเสียงจึ๊กจั๊กเบาๆ อยู่ในคอ ถ้าเขาไม่ส่งเสียงเรื่องคงจบแค่นั้น แต่พอส่งเสียงเซิ่งเจาซีถึงนึกได้ว่าเธอเตรียมของขวัญมาด้วย

“น้องรักจ๊ะ มานี่มา พี่สาวเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่มาให้เธอด้วยนะ” เซิ่งเจาซีกวักมือเรียกเขาพลางทำเสียงหวาน

เซิ่งหมิงซีสังหรณ์ใจอยู่หน่อยๆ ว่าต้องมีหลุมพรางแน่ แต่ไม่อาจต้านทานแรงยั่วยวนของของขวัญที่ห่ออย่างสวยงาม จึงยอมเดินเข้าไปหาพี่สาวอย่างว่าง่าย “อะไรเหรอ”

“นี่เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ ต่อให้มีเงินเป็นสิบล้านร้อยล้านก็ซื้อไม่ได้” เซิ่งเจาซีพูดพลางทำท่าให้เขาแกะของขวัญ

เด็กเอ๋ยเด็ก อายุยังน้อยนัก สุดท้ายก็ตกหลุมพราง ปากฉีกยิ้มกว้างแทบจะถึงโคนหู...เด็กชายรีบฉีกกระดาษห่อของขวัญลายการ์ตูนแล้วเปิดฝากล่องด้วยสีหน้าตื่นเต้นสุดขีด แต่พอเห็นชัดเต็มสองตาว่าของที่วางเรียงอย่างเรียบร้อยสวยงามอยู่ในกล่องคือเอกสารทบทวนบทเรียนและแบบฝึกหัดเสริมบทเรียนสำหรับเตรียมตัวสอบเข้าชั้นมัธยมต้นชุดใหญ่ หน้าของเขาก็เปลี่ยนสีในฉับพลัน

แขกคนอื่นๆ พากันเขยิบเข้ามาใกล้ เพื่อดูว่าของในกล่องคืออะไร    

สำนวนโบราณว่าไว้ ปัญญาดุจเคหาสน์ทองคำ เซิ่งเจาซีเดินยิ้มหวานเข้าไปลูบศีรษะน้องชาย แล้วพูดว่า “ของขวัญที่พี่ให้คือความรู้ที่มีค่ามหาศาล ทองคำเป็นพันชั่งก็เอามาแลกไม่ได้”

ทุกคนพากันร้องอ๋อ ในใจนึกชมว่าพี่สาวคนนี้ช่างใส่ใจน้องชายดีเหลือเกิน

เซิ่งหมิงซีอยากอาละวาด แต่ถูกพ่อถลึงตาเป็นเชิงเตือน จึงได้แต่ทำตัวเป็นเด็กดีถือกล่องของขวัญเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง

เธอแทบได้ยินเสียงกัดฟันกรอดๆ ของเซิ่งหมิงซี ทำรู้สึกสะใจอย่างที่สุด

พอโจวฮวายจิ่นเห็นรอยยิ้มของเธอก็ยิ่งชอบใจ...คนสวยมีอยู่กลาดเกลื่อน แต่คนที่เต็มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและน่าสนใจแบบนี้มีน้อยนัก

พอกินข้าวเสร็จ ทั้งสองจะไปส่งโจวฮวายอันที่บ้านก่อน แต่พอออกมาจากบ้านตระกูลเซิ่ง โจวฮวายจิ่นก็หลงทาง อันที่จริงเซิ่งเจาซีก็ซื่อบื้อเรื่องเส้นทางไม่แพ้กัน แต่ไม่ย่ำแย่ถึงขั้นที่จะหลงทางจนกลับบ้านตัวเองไม่ถูก “คุณไปอยู่ต่างประเทศนานจนลืมทางกลับบ้านตัวเองเลยเหรอคะ”

โจวฮวายจิ่นได้แต่ยิ้มแห้งอย่างอายๆ “เมื่อหกปีก่อนผมล้มป่วยอย่างหนัก หลังจากนั้นความจำก็ไม่ค่อยดีครับ มีหลายเรื่องที่จำไม่ค่อยได้ พ่อก็เลยต้องส่งผมกับฮวายอันไปอยู่อังกฤษเพื่อรับการรักษาและเรียนต่อไปด้วยน่ะครับ”

“ขอโทษด้วยค่ะ” เซิ่งเจาซีไม่นึกว่าจะแตะโดนประเด็นในอดีตของอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจแบบนี้

“ไม่เป็นไรหรอกครับ พ่อบอกว่าแต่ก่อนผมนิสัยเหมือนฮวายอันมาก ไม่ค่อยสนใจคนรอบตัว แต่หลังจากป่วยหนักรอบนั้นนิสัยก็เปลี่ยนไป จะเรียกว่าร้ายกลับกลายเป็นดีก็คงไม่ผิดนะครับ”

ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นก็ขับรถมาถึงถนนใหญ่ ไฟเขียวเหลือเวลาแค่ไม่กี่วินาที เซิ่งเจาซีจึงพูดเตือนเขาว่า “เลี้ยวขวา”

ไม่นึกว่าพวงมาลัยของโจวฮวายจิ่นกลับหมุนเลี้ยวไปทางซ้าย กว่าจะตั้งสติได้ก็สายไปเสียแล้ว

“ขอโทษด้วยครับ เวลาผมตื่นเต้นจะแยกซ้ายขวาไม่ค่อยถูกน่ะครับ”

เซิ่งเจาซีตัวแข็งไปชั่วขณะ แต่ก่อนจิ้นซืออวี้ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ต้องใช้เวลานานกว่าคนปกติในการแยกแยะซ้ายขวา

พอเห็นหญิงสาวสีหน้าเริ่มไม่ดี โจวฮวายจิ่นก็เอ่ยถามอย่างห่วงใยว่า “เป็นอะไรไปครับ รู้สึกไม่สบายหรือเปล่า”

หญิงสาวฝืนยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พอดีคิดถึงเพื่อนคนหนึ่งขึ้นมา”

รสขมขื่นในถ้อยคำนั้นชัดเจนเหลือเกิน ฮวายจิ่นจึงไม่อยากซักไซ้ถามต่อ

ในที่สุดทั้งสองก็บึ่งมาถึงโรงละครประมาณสิบห้านาทีก่อนละครเริ่มแสดง

 

ละครเวทีเรื่องนี้ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด แม้ละครจบแล้วแต่อารมณ์ของคนดูยังประทับแน่นไม่เลือนหาย ทั้งสองคุยเรื่องละครโยงไปถึงเรื่องชีวิต เรื่องศาสนา และเรื่องการทำงาน

แนวความคิดของทั้งสองเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ พอออกจากโรงละครแล้วยังไปนั่งต่อที่ร้านกาแฟจนฟ้ามืด แถมยังไปกินข้าวเย็นด้วยกันต่ออีกมื้อ

“ฉันไม่ได้คุยจนติดลมแบบนี้มานานมากแล้ว ฉันชอบวิธีคิดของคุณมากเลย คุณนับถือศาสนาคริสต์ใช่ไหมคะ” เซิ่งเจาซีจำได้ว่าเธอได้ยินเสียงเขาสวดมนต์ตอนอยู่บนเครื่องบิน

ระหว่างที่พูดเธอก็หั่นสเต๊กเนื้อจิ้มเข้าปากไปด้วย...มีเดียมแรร์ เนื้อกึ่งสุกกึ่งดิบนุ่มเนียนละมุนลิ้น

โจวฮวายจิ่นสั่งเนื้อแบบแรร์ ยังเห็นเนื้อสีแดงก่ำอยู่ด้านใน เซิ่งเจาซีอดไม่ได้ที่จะตกใจ ตอนแรกเธอคิดว่ามีแค่คนต่างชาติที่ชอบกินเนื้อแบบนี้ คนจีนส่วนใหญ่ชอบกินเนื้อสุก ยิ่งสุกเท่าไหร่ยิ่งดี สมัยก่อนตอนไปเรียนที่อเมริกา เธอกับเพื่อนนักเรียนพากันหัวเราะเยาะฝรั่งที่สั่งสเต๊กเนื้อแบบแรร์ว่าเป็นพวกวัวบ้า

แต่อากัปกิริยาขณะกินของโจวฮวายจิ่นช่างงามสง่า ราวกับกำลังเข้าเรียนวิชามารยาทการรับประทานอาหารแบบตะวันตก “ใช่ครับ ผมเปลี่ยนมานับถือคริสต์ตอนไปเรียนต่างประเทศ คุณก็เป็นคริสต์เหมือนกันเหรอครับ”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่ฉันเคยมีเพื่อนคนหนึ่งที่นับถือศาสนาคริสต์และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาก คุณไปเรียนที่อังกฤษใช่ไหมคะ”

“ผมเรียนด้านสื่อสารมวลชนที่อังกฤษครับ คุณรู้ได้ยังไง”

“ครั้งที่แล้วตอนอยู่บนเครื่องบิน สำเนียงบริติชของคุณชัดมาก”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วคุณล่ะครับ ทำไมถึงไปเรียนที่ต่างประเทศ”

“ฉันเหรอคะ” สีหน้าของเซิ่งเจาซีหม่นลงในทันที รอยยิ้มคล้ายหมองเศร้าปรากฏบนใบหน้า “ฉันถูกเนรเทศไปน่ะค่ะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น