8

บทที่ 8 ฉันไม่เหมือนกับพวกเธอ


บทที่ 8 

ฉันไม่เหมือนกับพวกเธอ

 

เมื่อมนุษย์กลายเป็นเดรัจฉาน พวกเขาต่ำทรามยิ่งกว่าเดรัจฉาน

รพินทรนาถ ฐากูร

 

ในที่สุดรายการวิทยุรายการใหม่ของฉินจิ้งกับโจวฮวายจิ่นก็เริ่มออกอากาศ ชื่อรายการคือ “โจวฉินรับฟังมวลชน32

เพื่อให้สอดคล้องกับธีมของรายการ ผู้จัดรายการจึงร่วมมือกับกรมตำรวจในท้องที่ และเชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำหน้าที่เป็นทูตผู้พิทักษ์กฎหมาย รับฟังปัญหาของประชาชน และถือโอกาสนี้ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายด้วย

ในรายการนี้ พิธีกรผู้จัดจะเปิดละครวิทยุที่อัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ใช้ละครวิทยุเป็นสื่อกลางในการแสดงเหตุการณ์ของเคสจริงที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นพิธีกรหญิงและชายจะสลับกันอภิปรายแสดงความเห็นและจุดยืนของตัวเองเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว พร้อมกันนั้นจะเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ร่วมถกเถียงและมีปฏิสัมพันธ์ในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นน่าสนใจที่เกี่ยวข้อง

หัวข้อของรายการตอนแรกคือความรุนแรงในครอบครัว และทูตผู้พิทักษ์กฎหมายที่มาร่วมพูดคุยก็คือเซิ่งเจาซีนั่นเอง

ตอนแรกเธอไม่อยากรับงานลักษณะนี้ แต่เบื้องบนบอกว่าการให้ความรู้เรื่องกฎหมายแก่ประชาชนเป็นเรื่องที่ดี ต้องพยายามให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ดังนั้นเธอในฐานะ ‘คนที่ว่างงานที่สุด’ ในกรมตำรวจต้องรับงานนี้โดยไม่มีสิทธิ์บ่ายเบี่ยงไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น

เคสในตอนนี้เป็นเรื่องราวของหญิงชาวบ้านชื่ออาเสียซึ่งถูกสามีทำร้ายร่างกายเป็นเวลานานถึงสิบสองปี จนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่สามีเธอดื่มเหล้าเมาและใช้ความรุนแรงกับเธออีก อาเสียไม่อาจทนต่อไปได้จึงหยิบจอบเหล็กขึ้นสู้และพลั้งมือฆ่าสามี ผลลัพธ์คืออาเสียถูกตัดสินประหารชีวิต ลูกชายและลูกสาววัยเยาว์ของเธอต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า

น้ำเสียงของโจวฮวายจิ่นขณะบรรยายเรื่องราวช่างเปี่ยมด้วยความรู้สึก ผู้ฟังจำนวนไม่น้อยถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อฟังมาถึงตอนที่อาเสียกับลูกชายลูกสาวได้เจอหน้าและสวมกอดกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้าลานประหาร 

หัวข้ออภิปรายในรายการตอนนี้ คือผู้หญิงควรรับมืออย่างไรเมื่อเจอกับการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ผู้ชายมีทัศนคติอย่างไรต่อการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ผู้หญิงที่เป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัวควรเลือกที่จะให้อภัยหรือไม่ สภาพสังคมในปัจจุบันเป็นสิ่งบ่มเพาะและเอื้อให้เกิดการใช้ความรุนแรงในครอบครัวหรือไม่

หัวข้อสนทนาที่ตั้งคำถามให้สองเพศเผชิญหน้าเอื้อต่อการจุดประเด็นให้เกิดการถกเถียง และสร้างประเด็นสนทนาได้ง่าย ฉินจิ้งเป็นตัวแทนของฝ่ายหญิง ส่วนโจวฮวายจิ่นเป็นตัวแทนของฝ่ายชาย ทั้งสองเป็นตัวนำในการโต้วาทีครั้งนี้

“ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงจุดยืนไว้ ณ ที่นี้ก่อนว่า ตัวผมเองต่อต้านการใช้ความรุนแรงในครอบครัว และสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคนใช้กฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง แต่เนื่องจากเนื้อหาของรายการต้องการความเห็นที่แตกต่าง ผมจึงต้องรับหน้าที่เป็นตัวแทนของฝ่ายค้าน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้รับฟังความเห็นจากหลายๆ ด้านในการโต้วาทีครั้งนี้นะครับ”

ฉินจิ้งแกล้งแหย่กลับว่า “พวกเราทุกคนต่างรู้ดีว่าคุณฮวายจิ่นเป็นสุภาพบุรุษมาก ไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเซิ่งมีความคิดเห็นอย่างไรต่อประเด็นนี้บ้างคะ”

“ตัวเลขสถิติแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้ชายที่เคยแสดงพฤติกรรมรุนแรงในครอบครัวแล้วหนึ่งครั้ง มีโอกาสที่จะใช้ความรุนแรงซ้ำอีกสูงถึง 90% ดังนั้นคำแนะนำของดิฉันคือ ถ้าอีกฝ่ายเคยลงมือกับคุณแม้แต่ครั้งเดียว ให้หย่ากับเขาทันทีค่ะ”

“คำพูดนี้ฟังดูเด็ดขาดมากเลยทีเดียวนะคะ สมกับสุภาษิตโบราณของจีนที่กล่าวไว้ว่า ถ้าให้เลือกระหว่างลูกชายยอมกลับตัวกับทองคำ ขอเลือกอย่างแรก33 งั้นพวกเราลองมาฟังความเห็นของผู้ฟังกันดีกว่าค่ะ”

“ฟังตำรวจหญิงคนนั้นพูดก็รู้เลยว่าเขาไม่มีแฟนแน่ๆ ผู้ชายที่ไหนไม่เคยอารมณ์เสียบ้าง?” ผู้ฟังชาย ก. แสดงความเห็น

“อารมณ์เสียไม่ได้แปลว่าจะใช้แฟนหรือภรรยาของตัวเองเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ได้ตามอำเภอใจ คนที่เป็นลูกผู้ชายจริงๆ ไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด” เซิ่งเจาซีสวนกลับอย่างประชดประชัน “อีกอย่าง ดิฉันมีแฟน แล้วเขาก็ดีต่อฉันมากด้วยค่ะ”

โจวฮวายจิ่นเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง เห็นเซิ่งเจาซีถอยห่างจากไมโครโฟนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขาครุ่นคิดอยู่ในหัวว่าแฟนที่เธอพูดถึงคือใครกัน สมาธิหลุดจนเกือบลืมฟังความเห็นจากผู้ชมคนต่อจากนั้น

“ถ้าหย่ากันจริงๆ แล้วลูกจะทำยังไงล่ะคะ” ผู้ฟังหญิงถาม ท่าทางเห็นด้วยกับความเห็นของเซิ่งเจาซี

“ทุกชีวิตล้วนเป็นปัจเจก ไม่มีใครพ่วงติดกับใคร ทุกคนต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ลูกไม่ใช่ข้ออ้างให้คุณทำตัวอ่อนแอ อีกอย่าง ถ้าปล่อยให้เด็กเติบโตในครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง จะยิ่งเป็นอันตรายต่ออนาคตของเด็ก” คำปลอบของเซิ่งเจาซีค่อนข้างชืดชา ไม่แสดงความอ่อนโยนมากนัก

“ความรุนแรงในครอบครัวไม่ได้มีแค่ผู้ชายทุบตีผู้หญิงฝ่ายเดียวสักหน่อย บางครั้งผู้หญิงก็เป็นฝ่ายทำร้ายผู้ชายเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ก็เคยมีข่าวคดีฆ่าสามีให้เห็นกันอยู่!” ผู้ฟังชาย ค. คัดค้านด้วยการยกตัวอย่างเคสที่เคยเกิดขึ้น

“ถูกต้องค่ะ อ้างอิงจากงานวิจัยของผู้เชี่ยวชาญ คุณสิงหงเหมย สถานคุมขังแห่งหนึ่งในมณฑลซื่อชวน34 มีผู้ต้องขังคดีร้ายแรงที่เป็นเพศหญิง 121 คน ในจำนวนนี้มีผู้หญิงกว่า 80% ที่ถูกจับกุมโดยมีชนวนมาจากความรุนแรงในครอบครัว พวกเราต้องแยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผลของแต่ละกรณีให้ชัดเจน”

ฉินจิ้งรู้สึกว่าเซิ่งเจาซีควบคุมสถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม เธอซึ่งเป็นตัวแทนของฝ่ายหญิงแทบไม่ต้องพูดอะไร

“สวัสดี” มีสายโทรศัพท์เข้ามาใหม่ เสียงจากปลายสายเป็นเสียงกลางๆ ยากจะระบุเพศ ในแวบแรกที่ได้ยินเสียง ฉินจิ้งแยกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นเสียงของผู้ชายหรือผู้หญิง “เสี่ยวซี นี่ฉันเองนะ”

ฉินจิ้งกับโจวฮวายจิ่นหันมามองเธอเป็นตาเดียว เซิ่งเจาซีหน้าเปลี่ยนสีทันควัน มือทั้งสองที่วางอยู่ใต้โต๊ะสั่นน้อยๆ ใบหน้าซีดเผือดจนเป็นสีเถ้า

“ฉันเอง สวี่ถง”

ราวกับสวี่ถงสัมผัสได้ว่าเซิ่งเจาซีกำลังตัวสั่นด้วยความหวาดผวาอยู่ที่ปลายสาย สิบปีก่อน เซิ่งเจาซีเหมือนลูกเจี๊ยบตัวน้อยที่คอยเดินตามหลังเธอต้อยๆ สวี่ถงชอบพูดหยอกเล่นว่าตัวเองเป็นแม่ไก่

ลูกเจี๊ยบถูกรังแก แม่ไก่จิกคนชั่วจนตาย หลังจากนั้นแม่ไก่ก็ถูกจับ ส่วนลูกเจี๊ยบบินหนีไปไกลแสนไกล ไม่เคยกลับมาหาเธอแม้แต่ครั้งเดียว

“ไม่เจอกันตั้งนาน เสี่ยวซียังจำเสียงของฉันได้ไหม”

“เธอ...ออกจากคุกแล้วเหรอ”

“ออกจากคุกมาหลายปีแล้วละ”

“หลายปีมานี้ เธอสบายดีไหม”

ผู้ฟังที่นั่งอยู่หน้าวิทยุพากันเงี่ยหูรอฟัง หวังว่าจะมีประเด็นดรามาให้เอามาซุบซิบสนุกปาก

ทีมผู้จัดรายการส่งสัญญาณมืออย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ที่ห้องอีกด้าน บอกให้ฉินจิ้งรีบตัดสาย ก่อนหน้านี้เวลามีผู้ฟังที่โทร. เข้ามาในรายการและพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด พิธีกรจะตัดสายทันที และแกล้งทำเป็นว่าสัญญาณโทรศัพท์มีปัญหา

แต่ฉินจิ้งเห็นสีหน้าของเซิ่งเจาซีแล้ว ก็ทำใจตัดสายไม่ได้

“ไม่ดีเลย” แต่ไหนแต่ไรมาสวี่ถงก็ไม่ใช่ประเภทชักแม่น้ำทั้งห้า แล้วเจ้าตัวก็ไม่สนใจด้วยว่าคนที่ฟังรายการอยู่จะคิดยังไง “บังเอิญฉันเปิดวิทยุแล้วได้ยินเสียงเธอ ตอนแรกยังนึกว่าฟังผิด ไม่นึกเลยว่าตอนนี้เจ้าหนูน้อยจะได้เป็นตำรวจจริงๆ”

หลังจากสวี่ถงออกจากคุกก็เปลี่ยนชื่อ ทั้งยังตัดขาดความสัมพันธ์กับทุกคนที่เคยรู้จักในอดีต แน่นอนว่าเธอย่อมไม่รู้เรื่องที่เซิ่งเจาซีกลับมาอยู่จีน

พอได้ยินสวี่ถงซึ่งแยกจากกันไปเป็นสิบปีเรียกเธอว่าเจ้าหนูน้อยเหมือนสมัยก่อน เซิ่งเจาซีรู้สึกถึงปลายจมูกที่แสบร้อนน้อยๆ จนเสียงเริ่มอู้อี้ “แล้วเธอล่ะ ตอนนี้ทำอะไรอยู่”

“ฉันเหรอ ได้รับผลกรรมของตัวเองแล้วน่ะ” สวี่ถงส่งเสียงหึในลำคออย่างไม่ยี่หระ ราวกับกำลังเล่าเรื่องราวของคนอื่น “สามีของฉันเขา...”

“อ๊า!”

เสียงกรีดร้องแหลมลั่นแว่วมาจากปลายสาย ตามด้วยเสียงม้านั่งถูกลาก โทรศัพท์หลุดจากมือของเจ้าของ หูโทรศัพท์ห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศ ภายในห้องออกอากาศได้ยินเพียงเสียงผู้ชายกำลังตะคอกอยู่ไกลๆ ไม่ชัดเจนนัก “แกโทร. หาผู้ชายสารเลวที่ไหนอีก แกคิดจะหนีอีกเหรอ”

แม้มีระยะห่างพอสมควร แต่เซิ่งเจาซีก็ได้ยินเสียงตบดังฉาดชัดเต็มสองหู สวี่ถงพยายามหลบฝ่ามือของชายคนนั้น พลางกรีดร้องใส่หูโทรศัพท์โดยสัญชาตญาณ “เสี่ยวซี ช่วยฉันด้วย!”

เซิ่งเจาซีลุกพรวด แล้วตะโกนเสียงดังลั่น “แกเป็นใคร! แกคิดจะทำอะไร ห้ามทำร้ายเขานะ!”

แกร๊ก! โทรศัพท์ถูกตัดสาย เหลือเพียงเสียงตู๊ดๆ ดังเป็นจังหวะ

ฉินจิ้งกับโจวฮวายจิ่นหันไปมองเซิ่งเจาซีด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอดหูฟังและวิ่งออกไปทันที

โจวฮวายจิ่นมองตามแผ่นหลังของเธอที่วิ่งออกไป ระหว่างนั้นก็ยังพูดสรุปของตัวแทนฝ่ายชายไปด้วย พอพูดจบก็หันไปส่งสัญญาณมือให้ฉินจิ้ง อีกฝ่ายทำท่า OK แล้วโจวฮวายจิ่นก็รีบถอดหูฟังวิ่งตามออกไป

สายของสวี่ถงที่โทร. เข้ามาแทรกรายการเมื่อครู่ ทำให้เวลาล่วงเลยมาจนใกล้จบรายการ ฉินจิ้งทำหน้าที่สรุปเนื้อหาทั้งหมดก็เป็นอันเสร็จสิ้น สายไลฟ์สดการทำร้ายร่างกายในครอบครัวที่ออกอากาศในรายการคราวนี้ต้องตกเป็นข่าวดังสะเทือนวงการอย่างไม่ต้องสงสัย 

เซิ่งเจาซีดูข้อมูลในห้องผู้จัดรายการและจดเบอร์สายที่โทร. เข้ามา แล้วโทร. หาเซี่ยหย่งระหว่างเดินออกไปที่ระเบียง ไหว้วานให้เขาช่วยค้นที่อยู่ของเบอร์โทรศัพท์นั้น

โจวฮวายจิ่นยืนรออยู่ด้านหลังจนเธอวางสาย พอเธอหันไปเห็นเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนสีหน้าจะหม่นลงในทันที “ขอโทษด้วยนะคะ”

เมื่อครู่จู่ๆ เธอก็วิ่งออกมา ทิ้งให้พิธีกรสองคนเดดแอร์อยู่กลางรายการถ่ายทอดสด เป็นการกระทำที่ไม่เป็นมืออาชีพเลยสักนิด

“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็วิ่งออกมาเหมือนกัน ยิ่งห่วงยิ่งลนลาน เป็นเรื่องปกติครับ”

พอพลั้งปากพูดไปแล้ว โจวฮวายจิ่นถึงฉุกคิดได้ว่าเลือกคำพูดผิด ตอนแรกเขาตั้งใจจะสื่อความหมายว่าเซิ่งเจาซีเป็นห่วงสวี่ถง แต่พอพูดออกไปแล้วดูเหมือนความหมายจะแฝงนัยอย่างอื่น และไม่อาจรู้ได้เลยว่าเซิ่งเจาซีจะเข้าใจผิดหรือไม่ เธอนั่งกอดเข่าไม่พูดไม่จาอยู่ตรงบันไดระเบียงทางเดิน เขาจึงย่อตัวลงนั่งเป็นเพื่อนเธอด้วย

เขาไม่พูดอะไร แค่นั่งอยู่ข้างเธอเงียบๆ นั่งอยู่นานจนเธอคิดว่าตัวเองควรเป็นฝ่ายพูดอะไรกับเขาสักหน่อย

“สมัยมัธยมต้น ฉันกับอาจิ้งยังมีเพื่อนสนิทมากอีกคนหนึ่งชื่อฮั่วซือเหยียน หนึ่งวันก่อนขึ้นชั้น ม. ปลายปีที่สอง35 พวกเราไปซื้อเครื่องเขียนด้วยกัน ไปเลือกปกห่อหนังสือที่ตัวเองชอบด้วยกัน ฮั่วซือเหยียนยังพูดกับฉันอยู่เลยว่าพรุ่งนี้พอได้แบบเรียนใหม่แล้วจะให้ฉันช่วยห่อปกหนังสือให้ บุคลิกเขาเหมือนเจ๊ใหญ่ประจำแก๊ง เป็นเด็กหน้าตาสวยแถมเรียนดี ดูภายนอกเหมือนหยิ่ง แต่พวกเราสนิทกันมาก”

เซิ่งเจาซีจ้องปลายเท้าของตัวเอง พลางเล่าเรื่องราวในอดีตอย่างช้าๆ

“จนถึงวันที่พวกเราขึ้นชั้น ม. ปลายปีที่สอง โลกของฉันก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ จู่ๆ อาจิ้งก็ย้ายโรงเรียนโดยไม่บอกพวกเราสักคำ หลังจากนั้นฮั่วซือเหยียนก็ไม่สนใจฉันอีก สายตาของเขาเวลามองฉันเย็นชาเหมือนเป็นคนแปลกหน้า ฉันถามเขาว่าฉันทำอะไรผิด เขากลับบอกว่าไม่มี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น แต่นับจากตอนนั้นหลังเลิกเรียนเขาก็ไม่ไปกินข้าวกับฉันอีก ทั้งที่อยู่ห้องข้างกันแต่ไม่คุยกับฉันเลยแม้แต่คำเดียว แถมยังตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องคนที่ฉันชอบ...”

 

สิบปีก่อน ห้องเรียนชั้นมัธยมปลายปีสองของโรงเรียนมัธยมซื่อจง เกิดเหตุลักขโมยบ่อยครั้ง

เนื่องจากอาคารเรียนของโรงเรียนมัธยมซื่อจงเป็นพื้นที่ปิด คนภายนอกเข้าออกไม่ได้ ทุกคนจึงสงสัยว่า ‘เกลือเป็นหนอน’ แต่หัวขโมยผู้ก่อเหตุระวังตัวมาก ทุกครั้งที่เกิดเรื่องลักเล็กขโมยน้อยไม่เคยมีผู้เห็นเหตุการณ์

จงจื่อหรูซึ่งเป็นกรรมการนักเรียนฝ่ายกีฬาจึงรวมกลุ่มนักเรียนที่เป็นคณะกรรมการ ซุ่มดักรอเตรียมจับขโมยที่ด้านนอกห้องเรียน ในช่วงเวลาระหว่างคาบเรียนที่นักเรียนคนอื่นต้องไปออกกำลังกายที่ลานกีฬา

ปรากฏว่าอีกฝ่ายติดกับดักดังคาด หัวขโมยแอบย่องเข้าไปในห้องชั้นมัธยมปลายปีที่สองห้อง 1 และขโมยกระเป๋าเงินจากเก๊ะใต้โต๊ะเรียนที่ไม่ได้ล็อก กระเป๋าเงินของเซิ่งเจาซีก็เป็นหนึ่งในของที่ถูกขโมยไป

กลุ่มนักเรียนซึ่งออกกำลังกายเสร็จแล้วและกำลังเดินกลับห้องเรียน จึงได้เห็นฉากการไล่ล่าหัวขโมยที่ดุเดือดไม่แพ้ฉากในภาพยนตร์อยู่ในอาคารเรียนของตัวเอง

หัวขโมยรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี และหลบหนีได้รวดเร็วมาก เพียงอึดใจฝ่ายที่ไล่จับส่วนใหญ่ก็ตามเขาไม่ทันแล้ว

จงจื่อหรูเป็นกรรมการฝ่ายกีฬา ร่างกายแข็งแรงว่องไวเป็นทุนเดิม ประกอบกับแขนขายาว กระโจนข้ามรั้วกระโดดเหนือเก้าอี้ ตะครุบตัวหัวขโมยล็อกไว้กับพื้นอย่างมีมาด และริบกระเป๋าเงินของเพื่อนนักเรียนกลับมาได้สำเร็จ

หัวขโมยเป็นนักเรียนจากครอบครัวยากจนซึ่งเรียนอยู่ห้อง 2 ทางโรงเรียนไม่แจ้งตำรวจ แต่เรียกตัวไปตักเตือน ส่วนจงจื่อหรูรับผิดชอบนำกระเป๋าเงินคืนให้ถึงมือนักเรียนในชั้นทีละคน

เซิ่งเจาซีเป็นหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรกจนจบ ตอนที่จงจื่อหรูเดินกะเผลกน้อยๆ แล้วเอากระเป๋าสตางค์รูปหมีน้อยสีชมพูกลับมาคืนเธอ เซิ่งเจาซีต้องยอมรับว่า เสี้ยววินาทีนั้นหัวใจของเธอสั่นระรัว

เธอไม่รู้จะระบายความในใจของตัวเองให้ใครฟัง จึงลองเลือกใช้วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด เธอแอบเขียนจดหมายรักฉบับหนึ่งและยัดไว้ในเก๊ะใต้โต๊ะจงจื่อหรู แต่ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ตอนนั้นจงจื่อหรูนั่งโต๊ะเดียวกับฮั่วซือเหยียน

นอกจากจะแอบอ่านจดหมายรักของเธอแล้ว ฮั่วซือเหยียนยังเรียกนักเรียนชายนิสัยขี้แกล้งในห้องมาอ่านจดหมายรักฉบับนั้นดังๆ ที่หน้าห้องด้วย

สมัยนั้นการชอบใครสักคนหนึ่งควรเก็บเป็นความลับ ปิดเงียบไม่ให้ใครรู้ ทันทีที่ความในใจถูกประกาศต่อสาธารณชน ก็ไม่ต่างอะไรจากการถูกจับแก้ผ้าประจาน เซิ่งเจาซีโมโหจนเลือดขึ้นหน้า และตรงเข้าไปด่าฮั่วซือเหยียนทันที

ฮั่วซือเหยียนนิสัยเหมือนเจ๊ใหญ่ประจำแก๊ง เย่อหยิ่งหัวแข็งไม่ยอมคน พ่อกับแม่เลี้ยงแบบเอาใจมาตั้งแต่เด็ก มีหรือจะยอมให้เซิ่งเจาซีตะโกนด่าปาวๆ ต่อหน้าคนทั้งห้อง ตอนแรกเธอยังรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย แต่เสี้ยวนาทีนั้นความละอายใจสลายหายไปสิ้น

จังหวะประจวบเหมาะ จงจื่อหรูซึ่งตอนนั้นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย บังเอิญอุ้มลูกบอลเดินจากสนามบอลกลับเข้ามาพอดี

เพื่อนนักเรียนเห็น ‘พระเอก’ เดินกลับมาก็พากันร้องแซว ฝ่ายจงจื่อหรูซึ่งยังงงเป็นไก่ตาแตกก็มองไปที่โต๊ะของตัวเอง และเห็นเด็กสาวสองคนกำลังเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง 

“เกิดอะไรขึ้น”

ฮั่วซือเหยียนผู้ไม่เคยรู้จักคำว่าแพ้ พุ่งเข้าไปยืนตรงหน้าเขาแล้วถามว่า “จงจื่อหรู ฉันชอบนาย นายชอบฉันไหม  เซิ่งเจาซีบอกว่าเขาก็ชอบนายเหมือนกัน เขากับฉัน นายจะเลือกใคร”

ฮั่วซือเหยียนเป็นดาวโรงเรียน นักเรียนชายทุกคนในชั้นต่างรู้ดีกว่าจงจื่อหรูชอบเธอ ถึงขั้นทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้แลกโต๊ะไปนั่งโต๊ะเดียวกับเธอ

ใครจะนึกว่าจู่ๆ ฮั่วซือเหยียนจะสารภาพรักโดยเขาไม่ทันตั้งตัว ทำเอาเขาทำตัวไม่ถูก

แต่ไหนแต่ไรมาความรักก็เป็นเรื่องของคนสองคน ยิ่งเด็กผู้ชายอายุแค่สิบหกสิบเจ็ด มีหรือจะรู้จักการถนอมความรู้สึกของบุคคลที่สาม

จงจื่อหรูมองหน้าฮั่วซือเหยียนอย่างอายๆ แล้วตอบว่า “ฉันจะชอบเขาได้ยังไงกัน ฉันชอบเธอคนเดียวนะเสี่ยวเหยียน”

ฮั่วซือเหยียนมองเธอด้วยสีหน้าลำพองใจเหมือนนกยูงรำแพนหางเวลาสู้ชนะ เซิ่งเจาซีรู้สึกราวกับถูกสาดน้ำเย็นเจี๊ยบใส่ตั้งแต่หัวจดเท้า 

ฉันกับเขา นายจะเลือกใคร

ฉันจะชอบเขาได้ยังไงกัน

ถูกจับใส่พานให้คนเลือกราวกับเป็นสิ่งของ แถมยังถูกคนที่ชอบทิ้งขว้างราวกับเป็นรองเท้าเก่าหมดสภาพ

นับจากวันนั้นฮั่วซือเหยียนกับจงจื่อหรูก็เริ่มความสัมพันธ์แบบลับๆ กันจริงๆ ฝ่ายจงจื่อหรูก็เหมือนคนได้ดื่มน้ำผึ้งแสนหวาน หลงรักอีกฝ่ายอย่างหัวปักหัวปำ

แต่ฮั่วซือเหยียนเคยมาดักหน้าเธอตรงหอหญิง และบอกเธอเองกับปากว่าไม่เคยชอบจงจื่อหรู เธอแค่อยากเห็นสีหน้าผิดหวังของเซิ่งเจาซีตอนอกหักก็เท่านั้น

“เซิ่งเจาซี เธอได้เห็นแล้วหรือยัง คนที่เธอชอบ เวลาอยู่ต่อหน้าฉัน ไม่ต่างอะไรจากหมาปั๊กที่คอยกระดิกหางเรียกร้องความสนใจ”

ความริษยาทำให้คนชั่วช้า เวลานั้นพวกเธอยังไม่รู้ซึ้งถึงสัจธรรมข้อนี้

วันนั้นเซิ่งเจาซีแอบไปร้องไห้อยู่ที่ลานกีฬา และตอนนั้นเอง เธอก็ได้พบกับสวี่ถง

เวลานั้นสวี่ถงกำลังแอบสูบบุหรี่อยู่ที่มุมลาน แล้วจู่ๆ ก็เห็นเงาดำพุ่งผ่านไป ทำเอาเธอตกใจจนรีบทิ้งบุหรี่ลงร่องน้ำตั้งท่าจะวิ่งหนี พอหันไปจึงเห็นว่าที่แท้เป็นเด็กผู้หญิงในชุดยูนิฟอร์มแบบเดียวกับเธอกำลังแอบนั่งร้องไห้ เธอจึงย่างเท้ากลับไปอย่างช้าๆ “โอ๊ยโหย...แม่เจ้า ตกใจหมดเลย นึกว่าครูระเบียบมาตรวจซะอีก”

เซิ่งเจาซีปาดน้ำตาแล้วพูดเสียงเจือสะอื้นว่าขอโทษ แต่พออ้าปากก็สำลักอากาศจนไอค็อกแค็กไม่หยุด

สวี่ถงรู้สึกว่าตลกดี จึงเข้าไปช่วยลูบหลังให้ แถมยังฟังเซิ่งเจาซีระบายเรื่องที่เธอไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก

“เด็กผู้หญิงอย่างพวกเธอนี่วุ่นวายจริงเชียว”

“เธอก็เป็นเด็กผู้หญิงเหมือนกันไม่ใช่หรือไง”

“ฉันกับพวกเธอไม่เหมือนกัน”

ในสายตาของเซิ่งเจาซีซึ่งในเวลานั้นอายุสิบหกเหมือนกัน คำพูดของสวี่ถงที่บอกว่า ‘ฉันกับพวกเธอไม่เหมือนกัน’ คือคำพูดที่เท่ระเบิด...

 

ทั้งสองขับรถไปตามที่อยู่ที่เซี่ยหย่งให้มา และบึ่งมาถึงบ้านของสวี่ถง บ้านหลังนั้นอยู่ในย่านคฤหาสน์หรูของเมืองเหิงเฉิง ระยะห่างระหว่างบ้านแต่ละหลังไกลกันมาก แต่ละบ้านมีลานสวนดอกไม้ของตัวเองอยู่หน้าประตูบ้าน

เท่าที่เซิ่งเจาซีรู้มา ครอบครัวของสวี่ถงไม่จัดว่าร่ำรวย ทำไมสวี่ถงถึงย้ายมาอยู่บ้านแบบนี้ได้...หญิงสาวเดินผ่านสวนดอกไม้เข้าไปเคาะประตูบ้านอย่างไม่แน่ใจนัก รออยู่พักหนึ่งก็ยังไม่มีคนมาเปิดประตู

โจวฮวายจิ่นลงรถเดินตามมาด้านหลัง มือเอื้อมข้ามไหล่ของหญิงสาวไปทุบประตูแรงๆ ผู้ชายย่อมแรงเยอะกว่าผู้หญิงโดยธรรมชาติ

เสียงกระแทกสะท้อนก้องในประตูไม้เป็นเสียงแน่นและหนัก เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านใน ชายคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู

ดูลักษณะแล้วชายคนนั้นน่าจะอายุราวสี่สิบกว่า สวมเสื้อผ้าป่านกับกางเกงขาบานสีขาว ดูลักษณะแล้วเหมือนคนบำเพ็ญกรรมฐาน เขาแง้มประตูออกเพียงนิดเดียว โซ่กันขโมยยังคล้องไว้ ตากวาดมองโจวฮวายจิ่นกับเซิ่งเจาซีจากในบ้านอย่างระแวดระวัง “พวกคุณมาหาใคร”

“สวี่...” เซิ่งเจาซีชะงักไปชั่วครู่ เธอนึกขึ้นได้ว่าในข้อมูลที่เซี่ยหย่งให้มาก่อนหน้านี้ สวี่ถงเปลี่ยนชื่อในทะเบียนบ้านแล้ว

“ไม่ทราบว่าคุณสวี่เวยอยู่ไหมคะ”

“เขาเป็นภรรยาของผมเอง พวกคุณมาหาเขาดึกดื่นป่านนี้ มีธุระอะไร” อีกฝ่ายยังไม่ยอมปลดโซ่คล้องประตู

“ตำรวจ” เซิ่งเจาซีตอบพลางควักบัตรประจำตัวออกมา “พวกเราได้รับข้อมูลจากพลเมืองกลุ่มหนึ่ง และมีเหตุผลเพียงพอให้สงสัยว่าเกิดเหตุใช้ความรุนแรงในบ้านของคุณ กรุณาเปิดประตูและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย”

พอชายคนนั้นได้ยินดังนี้จึงยอมเปิดประตู “ขอผมดูบัตรประจำตัวของคุณให้ชัดๆ ได้ไหม”

เซิ่งเจาซีให้เขาตรวจดูบัตรอย่างละเอียดอีกรอบก่อนจะเดินเข้าบ้าน

พอเดินผ่านโถงทางเข้าบ้านมาแล้วก็เจอห้องรับแขกอันโอ่โถง ตกแต่งเป็นสไตล์ยุโรปแบบคลาสสิก หรูหราแต่เย็นเยือกราวน้ำแข็ง

สามีของสวี่ถงเดินขึ้นชั้นบนไปเรียกเธอลงมา เซิ่งเจาซีกับโจวฮวายจิ่นยืนรออยู่ที่ห้องรับแขก

ตอนที่สวี่ถงเดินลงบันไดมา เซิ่งเจาซีเกือบจำเธอไม่ได้

เธอไว้ผมยาวประบ่า สวมชุดคลุมนอนผ้าแพรสีแดงเลือดนก ลักษณะท่าทางเป็นผู้หญิงบอบบางอ่อนแอ ไม่มีอะไรที่เชื่อมโยงคนตรงหน้ากับเจ๊ใหญ่สวี่ถงที่เธอเคยรู้จักได้แม้แต่อย่างเดียว

มาดสุดเท่ของสวี่ถงตอนพูดว่า ‘ฉันกับพวกเธอไม่เหมือนกัน’ ยังประทับแน่นในความทรงจำ เด็กทอมบอยท่าทางดุดันไม่กลัวใครในตอนนั้นกลายสภาพเป็นแบบนี้ คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าอานุภาพของกาลเวลาช่างยิ่งใหญ่เกินต้านทาน

พอสวี่ถงเห็นเซิ่งเจาซีก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ตัวเธอสั่นเทิ้ม ท่าทางเหมือนกำลังกลัว

“ตัวสั่นอะไรของเธอ เดี๋ยวตำรวจเห็นก็เข้าใจผิดคิดว่าฉันข่มเหงเธอจริงๆ หรอก” ชายคนนั้นตวัดสายตามองเธออย่างหงุดหงิด 

เซิ่งเจาซีเข้าใจความหมายในแววตาของอีกฝ่าย และแกล้งทำเหมือนพวกเขาเพิ่งเจอกันครั้งแรก เธอเป็นฝ่ายเดินเข้าไปและขอให้สวี่ถงแนะนำตัวเอง “สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นนักเจรจาจากกรมตำรวจเมืองเหิงเฉิง มีคนได้ยินเสียงคุณร้องขอความช่วยเหลือในรายการวิทยุและแจ้งความมาที่สถานีตำรวจ พวกเราก็เลยมาที่นี่เพื่อตรวจดูสถานการณ์ ไม่ทราบว่าสามีของคุณทำร้ายร่างกายคุณหรือเปล่าคะ”

“รายการวิทยุ? เธอโทรศัพท์ไปที่สถานีวิทยุแล้วกล่าวหาว่าฉันทำร้ายร่างกายเธอเหรอ”

“ฉันเปล่านะคะ ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ”

สวี่ถงหันไปส่ายหน้าเป็นระวิงให้เซิ่งเจาซี แต่เธอเห็นเต็มสองตาว่าสองข้างแก้มของอีกฝ่ายยังบวมและแดงอยู่เล็กน้อย

“คุณผู้ชายคะ กรุณาอย่าขัดจังหวะการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่” เซิ่งเจาซีควักสมุดโน้ตกับปากกาออกมา แล้วชี้ไปที่สามีของสวี่ถง “คุณชื่ออะไรคะ อายุเท่าไหร่ ทำงานอะไร”

“ผมชื่อไต้ไห่ชวน อายุสี่สิบสอง เป็นหมอ”

“แล้วคุณล่ะคะ” เซิ่งเจาซีรู้ว่าสวี่ถงไม่กล้าพูดเพราะอยู่ต่อหน้าสามี และวันนี้เธอก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อสอบสวนข้อมูลเชิงลึก เพียงแค่มาดูให้แน่ใจว่าสวี่ถงยังปลอดภัยดีเท่านั้น

“ฉันชื่อสวี่เวยค่ะ อายุยี่สิบเก้า เป็นแม่บ้าน”

เซิ่งเจาซีรู้ว่าข้อมูลที่เธอให้เป็นเท็จ แต่ก็แกล้งทำเป็นจดใส่สมุด

“พวกเราจะติดต่อกลับมาเรื่อยๆ หากว่าสามีของคุณมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงไม่ว่ารูปแบบไหน คุณสามารถโทร. หาดิฉันได้ทุกเมื่อนะคะ” เซิ่งเจาซีพูดพลางฉีกมุมหนึ่งของสมุดโน้ตแล้วยื่นให้

สวี่ถงรับกระดาษนั้นมากำไว้แน่นในมือ ก่อนจะส่งเซิ่งเจาซีและโจวฮวายจิ่นกลับออกไป

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น