บทที่ 9
พวกเราต่างเปลี่ยนไปแล้ว
ฉันเป็นคนหนึ่งที่คุ้นเคยกับราตรี
โรเบิร์ต ฟรอสต์
ผ่านไปไม่ทันสองวัน สวี่ถงก็เป็นฝ่ายติดต่อเซิ่งเจาซีก่อน และนัดเธอไปนั่งที่ร้านกาแฟในย่านไว่ทัน
สวี่ถงมาถึงก่อนเวลา เธอนั่งฝั่งติดถนน ข้างหน้าต่างที่สูงจากพื้นจดเพดาน มองออกไปเห็นเซิ่งเจาซีเดินมาแต่ไกล หญิงสาวสะพายกระเป๋าประดับพู่สไตล์โบฮีเมียน โซ่กระเป๋าสีทองคล้องอยู่เหนือไหล่ข้างหนึ่ง สวมกระโปรงลูกไม้สีดำที่ความยาวเป็นแบบไล่ระดับ ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง และสวมรองเท้าส้นสูง ดึงดูดสายตาคนที่เดินผ่านไปมาตลอดเส้นทาง
สวี่ถงยังจำได้ สมัยที่เซิ่งเจาซียังเป็นนักเรียน เธอไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่าดอกฟ้าหรือดาวประจำโรงเรียนเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนั้นเธอสูงไม่ถึงร้อยหกสิบเซนต์ ตัวเล็กจิ๋วหลิว ต่อให้มีคนชม อย่างมากก็จัดอยู่ในประเภทน่ารักเท่านั้น
ผลการเรียนก็ไม่มีอะไรโดดเด่น วนเวียนอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางล่างของชั้นเรียน จัดอยู่ในกลุ่มที่อาจารย์ถึงกับกุมขมับแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ในสายตาของสวี่ถง เธอเหมือนกระต่ายน้อยสีขาวที่ไม่มีพิษมีภัย เผลอๆ จะเชื่องเสียจนเกินเหตุด้วยซ้ำ บางครั้งเวลาโดดเรียนไปด้วยกัน เซิ่งเจาซีจะกลัวจนตัวสั่น ใจปลาซิวมากทีเดียว
พวกเธอคือกลุ่มเด็กที่พ่อไม่รักแม่ไม่สน อาจารย์ก็คุมไม่อยู่ แต่เซิ่งเจาซีเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวเศรษฐีที่รักใคร่กลมเกลียวกันดี แถมมีเพื่อนเป็นกระบุงใหญ่ ถึงเรียนไม่เก่งแต่มีพรสวรรค์โดดเด่นเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าอาจารย์
ไม่ว่ามองจากมุมไหนพวกเธอก็ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง ทุกอย่างเริ่มต้นจากการพบกันโดยบังเอิญครั้งนั้น และควรจะจบที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเอง
แต่เซิ่งเจาซีเหมือนเด็กหัวรั้น พอคิดอะไรแล้วไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ คอยตามก้นเธอไปทุกที่ เกาะเธอแจเป็นลูกลิง เธอเห็นอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อย บางครั้งก็แหย่เล่นบ้างไปตามเรื่อง
มีครั้งหนึ่ง เธอไม่มีเงินใช้เลยหลอกเซิ่งเจาซีว่าแม่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง ตอนนั้นอายุยังน้อย ไม่รู้ว่าการทำแบบนั้นเลวร้ายแค่ไหน ปรากฏว่าเซิ่งเจาซีร้อนใจยิ่งกว่าเธออีก ไปเที่ยวเรี่ยไรเงินจากเพื่อนนักเรียนและเพื่อนที่นั่นที่นี่ตลอดช่วงเช้า จนในที่สุดก็รวบรวมเงินได้สองพันหยวนและเอามาให้เธอ แถมยังโดดเรียนจะเอาเงินมาให้เธอที่บ้านด้วย ต้องกล่อมจนปากเปียกปากแฉะกว่าจะห้ามไว้ได้ ไม่งั้นถูกจับไต๋ได้แน่
เงินสองพันหยวน เธอใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ก็หมดเกลี้ยง เซิ่งเจาซีไม่ทวงเงินคืน เพื่อนคนอื่นๆ เห็นเซิ่งเจาซีเป็นพวกมีแต่เงินไม่มีสมอง จึงพากันรบเร้าให้สวี่ถงหลอกเอาเงินจากเซิ่งเจาซีอีก จึงโดนเธอด่าสาดเสียเทเสียจนต้องม้วนหลังกลับไปเป็นแถว
นับจากวันนั้น ทั้งสองก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่แน่นอน เรื่องราวของทั้งสองไม่ได้หลุดมาจากภาพยนตร์ให้กำลังใจวัยรุ่น เซิ่งเจาซีเจตนาดีอยาก ‘กอบกู้’ สวี่ถง แต่ตัวเองก็ยังเป็นแค่เด็กไม่เอาไหน ทำอะไรหยิบหย่ง สวี่ถงก็ยังเป็นเจ๊ใหญ่สวี่ถงที่อาจารย์เห็นทีไรเป็นต้องกุมขมับ ส่วนเซิ่งเจาซีก็ยังเป็นนักเรียนคนเดิมที่ไม่กล้าทอดทิ้งการเรียน แต่พยายามอย่างไรก็ไปไม่ถึงเป้าหมาย
สวี่ถงไม่เข้าใจว่าเซิ่งเจาซีจะหัวแข็งไปถึงไหน เห็นชัดอยู่ว่าอ่านหนังสืออย่างไรก็ไม่เข้าหัว แต่ยังพยายามทำตัวเป็นนักเรียนที่ดี เซิ่งเจาซีไม่เข้าใจสวี่ถง ทั้งที่โดยเนื้อแท้ไม่ใช่คนเลวร้าย แต่กลับชอบเกาะกลุ่มอยู่กับเพื่อนแก๊งนักเลงที่ชอบรังแกนักเรียนคนอื่น
ทั้งสองทะเลาะกันแล้วก็กลับมาคืนดี แบ่งปันทุกอย่าง แต่ในเวลาเดียวกันก็เก็บงำความลับของตัวเองไว้
ในช่วงวัยนั้น ทั้งสองคือเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งที่หายนะใหญ่หลวงมาเยือน ทั้งสองต่างต้องหนีเพื่อเอาตัวรอด
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตของเด็กสาวทั้งสองต้องพังทลาย ก็คือเรื่องฮั่วซือเหยียน...
ภาคเรียนสุดท้ายของชั้นมัธยมปลายปีที่สอง ฮั่วซือเหยียนกลั่นแกล้งเซิ่งเจาซีหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งสวี่ถงที่อยู่คนละห้องยังได้ยินข่าว
สวี่ถงอยากเอาคืนแทนเพื่อน แต่กลัวว่าเด็กใจปลาซิวอย่างเซิ่งเจาซีจะงอแงไม่เห็นด้วย จึงแอบใช้ชื่อเซิ่งเจาซีนัดฮั่วซือเหยียน บอกให้มาเจอเธอที่ห้องซ้อมเต้นของโรงเรียนหลังเลิกเรียน
ตอนนั้นเซิ่งเจาซีเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมนันทนาการของสภานักเรียน จึงมีกุญแจเปิดเข้าออกห้องซ้อมเต้น ส่วนสวี่ถงก็ตั้งชมรมสตรีตแดนซ์ที่โรงเรียน พวกเธอจึงไปเล่นกันที่ห้องเต้นบ่อยๆ
วันนั้นสวี่ถงยืมกุญแจจากเธอโดยอ้างว่าจะไปซ้อมเต้น เซิ่งเจาซีไม่ระแคะระคายอะไร ยื่นกุญแจให้สวี่ถงอย่างไม่อิดออด
หลังเลิกเรียน ฮั่วซือเหยียนบอกจงจื่อหรูว่าเย็นนี้เซิ่งเจาซีนัดกับเธอ บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย หลังจากนั้นก็ออกไป
ไม่มีใครคิดว่าหลังจากวันนั้น ฮั่วซือเหยียนจะไม่ได้กลับมาอีก
สวี่ถงเรียกเพื่อนชายหญิงในชมรมมาดักล้อมฮั่วซือเหยียนในห้องซ้อมเต้น จับเธอถอดเสื้อผ้าจนเปลือยหมดแล้วบังคับให้เธอเต้นหน้ากระจก
ฮั่วซือเหยียนถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมราวไข่ในหิน มีหรือจะทนรับการหยามศักดิ์ศรีแบบนี้ได้ ต่อให้ต้องตายเธอก็ไม่มีทางยอมทำตาม เมื่อไม่ยอมจึงถูกรุมตบตี แถมยังมีผู้ชายในกลุ่มฉวยโอกาสลวนลามเธอด้วย ฝ่ายฮั่วซือเหยียนก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้
สวี่ถงถ่ายรูปเก็บไว้ และขู่ว่าหลังจากนี้ถ้ากล้าอวดดีรังแกเซิ่งเจาซีอีก คนทั้งโรงเรียนจะได้เห็นรูปถ่ายพวกนี้แน่
พอทุกคนสนุกจนพอใจแล้วก็หัวเราะเสียงลั่นเดินออกจากห้องซ้อมเต้นไป ไม่ตระหนักแม้แต่น้อยว่าสิ่งที่ตนทำลงไปโหดร้ายทารุณแค่ไหน
ฮั่วซือเหยียนเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายทั่วห้อง แล้วหยิบมาสวมทีละชิ้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
คนที่ยิ่งในศักดิ์ศรีแบบเธอ มีหรือจะยอมให้ตัวเองต้องแปดเปื้อนแม้แต่เศษเสี้ยว
สวี่ถงจะปล่อยรูปนี้ไปทั่วโรงเรียนหรือไม่ เวลานี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย เพราะเธอถูกฆ่าด้วยสายตาของนักเรียนเป็นสิบคนที่อยู่ในห้องซ้อมเต้นเมื่อครู่ไปเรียบร้อยแล้ว
สุดท้าย ฮั่วซือเหยียนจึงกระโดดน้ำฆ่าตัวตายในแม่น้ำหมีเหอที่อยู่ข้างโรงเรียนมัธยมซื่อจง
จงจื่อหรูให้การยืนยันว่าฮั่วซือเหยียนไปเจอเซิ่งเจาซีในเย็นวันที่เธอฆ่าตัวตาย ส่วนเงินที่เซิ่งเจาซีให้สวี่ถงยืม กลับถูกใส่สีว่าเป็นสินบนที่เธอใช้เพื่อยืมมือฆ่าคน
เซิ่งเจาซีอธิบายให้ตำรวจฟังว่าเธอให้สวี่ถงยืมเงินเพราะแม่ของสวี่ถงไม่สบาย แต่พอตำรวจไปสืบดูกลับพบว่าในช่วงที่ผ่านมา แม่ของสวี่ถงไม่เคยป่วยเป็นโรครุนแรงอะไรเลย
แม้สวี่ถงจะสารภาพว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของเธอ เซิ่งเจาซีไม่รู้เห็นด้วย แต่สวี่ถงกับฮั่วซือเหยียนไม่มีความแค้นต่อกัน ทุกคนในโรงเรียนมัธยมซื่อจงจึงลือกันปากต่อปาก จนทุกคนปักใจเชื่อว่าเซิ่งเจาซีเป็นตัวการเบื้องหลังเรื่องนี้
เด็กสาวอายุสิบกว่าปีเป็นวัยกำลังขบถ ประกอบกับชื่อเสียงทางไม่ดีที่ติดตัวอยู่ก่อนหน้า ตาชั่งในใจของทุกคนจึงเอนเอียงอยู่เป็นทุนเดิม ก่อนศาลจะพิพากษา พวกเธอก็ถูกตีตราว่ามีความผิดด้วยอคติและกระแสสังคมไปก่อนแล้ว
สวี่ถงถูกตัดสินให้มีความผิดฐานดูหมิ่น และทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนา ต้องโทษจำคุก ส่วนเซิ่งเจาซีได้รับการปล่อยตัวเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ แต่เธอก็ไม่อาจใช้ชีวิตในเมืองนี้ได้อีกต่อไป
แม้กระทั่งพ่อแม่ยังไม่ยอมฟังคำอธิบายของเธอ ดึงดันจะส่งเธอไปต่างประเทศถ่ายเดียว ไม่เปิดโอกาสให้เธอแสดงความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น
เพียงพริบตา เวลาก็ผ่านไปสิบปี...
ช่วงเวลาสิบปีจะเกิดอะไรได้บ้าง...สวี่ถงคิด สิบปี...เท่านี้ก็นานเพียงพอให้เธอตกอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้
เซิ่งเจาซีดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเธอแล้วหย่อนตัวลงนั่ง สวี่ถงจิบกาแฟนิดหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เธอเปลี่ยนไปไม่น้อยเลยนะ”
“เธอก็เหมือนกัน” เซิ่งเจาซีจ้องหน้าเธอ ดวงตาฉายแววจริงจัง นี่คือสิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปจากเซิ่งเจาซีเมื่อสิบปีก่อนเลย
“เส้นทางชีวิตบีบบังคับ ฉันไม่มีทางเลือก” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ไม่เหลือวี่แววของเขี้ยวเล็บหรือความหัวขบถที่เคยมีในอดีต
จากบ้านไปสิบปี เหมือนเธอโยนทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นทิ้งไปในห้วงเวลาของอดีต เซิ่งเจาซีคิดว่าหากวันหนึ่งเธอมีความกล้ามากพอจะกลับมาที่นี่ ทุกคนจะยังเป็นคนเดิมเช่นในอดีต แต่ในความเป็นจริง ทุกคนเติบโตขึ้นและเปลี่ยนแปลงไป ไม่ต่างจากเธอ
สุดท้าย ความทรงจำทั้งหลายในอดีตก็เป็นเพียงภาพอันว่างเปล่า
พนักงานถือเมนูเดินมา เซิ่งเจาซีไม่แม้แต่เปิดอ่าน และหันไปสั่งกาแฟดำใส่นมไม่ใส่น้ำตาลโดยไม่หยุดคิด
“แต่ก่อนเธอกลัวขมจะตายไป”
“ตอนไปเรียนต่างประเทศต้องโต้รุ่งเขียนวิทยานิพนธ์ ดื่มแบบนี้จนชินแล้ว แล้วเธอล่ะ แต่ก่อนเธอเกลียดที่แบบนี้ที่สุดเลยไม่ใช่เหรอ เธอบอกว่าคนที่นั่งในร้านแบบนี้มีแต่พวกเสแสร้ง”
พอนึกถึงเรื่องที่ชอบพูดแหย่เล่นกันสมัยก่อน ทั้งสองก็ยิ้มออกมาพร้อมกัน
พอกาแฟมาเสิร์ฟ สวี่ถงหันไปช่วยยกโถใส่นม ทำให้แขนเสื้อไหลลงมาที่ข้อศอก เผยให้เห็นรอยช้ำสีแดงม่วงเป็นปื้นใหญ่
พอเห็นเซิ่งเจาซีจ้องมือเธอพลางขมวดคิ้ว สวี่ถงก็รีบจับแขนเสื้อกลับมาปิดไว้เช่นเดิมอย่างกระอักกระอ่วน
“เขาทุบตีเธอแบบนี้ประจำเลยเหรอ”
“อยากได้ผลประโยชน์ก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน” ดูเหมือนสวี่ถงจะปลงตกแล้ว “หลังจากกลับมาบ้าน เธอได้ไปเยี่ยมเขาบ้างไหม”
แม้ไม่พูดชื่อ แต่ทั้งสองรู้ดีแก่ใจว่ากำลังพูดถึงใคร
“ยังไม่ได้ไป งานยุ่งมากน่ะ” เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่ข้ออ้าง แต่ทั้งสองทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง
“ถ้าฉันจำไม่ผิด ใกล้ถึงวันเกิดเขาแล้วนะ ถ้าเธอไปเยี่ยมเขา ฝากบอกเขาว่าฉันขอโทษ”
เซิ่งเจาซียิ้มเฝื่อน พวกเธอสองคน ไม่ว่าใครก็ไม่มีหน้าไปพบเขาด้วยกันทั้งคู่ แต่สวี่ถงเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน เธอย่อมต้องไปตามคำขอของอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก
ความคิดเห็น |
---|