บทที่ 10
สมบัติล้ำค่าที่สุดปลายสายรุ้ง
แรงผลักของความตายปลุกเธอคืนสู่ชีวิต
รพินทรนาถ ฐากูร
วันนี้ท้องฟ้าใสกระจ่าง แม้มีแสงแดดแต่ไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิอันอบอุ่น เพียงช่วยคลายความหนาวเหน็บไปได้บางส่วนเท่านั้น
เซิ่งเจาซีขับรถไปที่สุสานประจำเมืองเหิงเฉิงด้วยตัวเองคนเดียว เพื่อไปเยี่ยมฮั่วซือเหยียน
พอขับมาถึงประตูสุสาน หญิงสาวถึงนึกได้ว่าควรซื้อดอกไม้ติดมือมาด้วย เธอจึงจอดรถแวะร้านดอกไม้แห่งหนึ่งที่หน้าทางเข้าสุสาน
ร้านดอกไม้ในย่านสุสานแตกต่างจากร้านดอกไม้ในเมืองที่งดงามประณีตและเต็มไปด้วยบรรยากาศของความรักอันอบอุ่น ร้านที่นี่สงัดเงียบและเรียบง่าย มีดอกไม้ให้เลือกเพียงชนิดเดียว ทั้งยังกองรวมอยู่กับพวงหรีดและกระดาษเงินกระดาษทอง บอกให้รู้อย่างชัดเจนว่านี่คือดอกไม้สำหรับมอบให้คนตาย ไม่ใช่คนเป็น
เซิ่งเจาซีคิดในใจว่าหากฮั่วซือเหยียนยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้เธอคงบีบจมูกพลางชี้ไปที่ดอกเบญจมาศชื้นแฉะพวกนั้นแล้วพูดว่า “กลิ่นอย่างกับของที่เป้ยเป้ยถ่ายออกมา”
เป้ยเป้ยคือหมาพันธุ์ปักกิ่งที่ครอบครัวเธอเลี้ยงไว้ เป็นหมาที่เชิดและหยิ่งไม่ต่างจากเจ้าของ
เซิ่งเจาซียืนเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตรงพวงหรีดครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงบรรจงเลือกดอกเบญจมาศสีม่วงอ่อนออกมาช่อหนึ่ง
หญิงสาวเพิ่งจ่ายเงินเสร็จ ก็ได้ยินเสียงฝนตกแว่วมาจากด้านนอก หยาดฝนกระทบเหนือผืนผ้าใบบนหลังคาร้านดอกไม้เสียงดังเปาะแปะเป็นจังหวะ
เซิ่งเจาซีหันไปมองและเห็นว่าดวงอาทิตย์ยังลอยโด่งเหนือท้องฟ้า แสงตะวันขับเน้นให้ม่านสายฝนปรากฏอย่างแจ่มชัด
“หาดูยากนะเนี่ย ฝนตกกลางแดด” เถ้าแก่เนี้ยที่นั่งตัดก้านดอกไม้อยู่บนม้านั่งตัวเตี้ยตรงประตูร้านพึมพำ
วันนี้เธอไม่ได้พกร่มจากบ้าน เพราะไม่นึกว่าฝนจะตกในวันที่แดดจ้าขนาดนี้ เซิ่งเจาซีเงยหน้ามองฟ้า แล้วถามตัวเองเงียบๆ อยู่ในใจว่า ‘เธอไม่อยากให้ฉันมาเจอเธอจริงๆ เหรอเนี่ย’
มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าเธอต้องใช้ความกล้ามากมายขนาดไหนถึงจะมายืนอยู่ที่นี่ได้ หากไม่ใช่เพราะสวี่ถงพูดถึงเรื่องวันหยินเซิง36ของฮั่วซือเหยียน เธอคงหาเหตุผลมายืนอยู่ที่นี่ในวันนี้ไม่ได้
เถ้าแก่เนี้ยเห็นหญิงสาวยืนลังเลอยู่หน้าร้าน ก็ยกม้านั่งตัวเตี้ยออกมาแล้วพูดกับเซิ่งเจาซีว่า “แม่หนู มานั่งก่อนสิ ฝนตกกลางแดดแบบนี้ ตกเดี๋ยวเดียวก็หยุดแล้ว”
วันนี้เซิ่งเจาซีลาหยุด จึงไม่ได้รีบร้อนไปไหน จึงหย่อนตัวลงนั่งพลางเท้าคางเหม่อมองออกไปด้านนอก แค่ข้ามถนนไปอีกด้านก็จะเจอหลุมศพของฮั่วซือเหยียนบนเนินที่ไม่สูงนักตรงนั้น หญิงสาวรู้สึกว่าจิตใจของเธอสงบกว่าที่จินตนาการไว้มาก
จริงดังที่เถ้าแก่เนี้ยบอก ฝนตกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็หยุด สายรุ้งคู่แถบหนึ่งปรากฏอยู่รางๆ ที่ปลายขอบฟ้า สายรุ้งทอดตัวจากฝั่งสุสานเหยียดยาวมาถึงฝั่งที่เธอนั่งอยู่ ราวกับกำลังสร้างสะพานเชื่อมพวกเขาเข้าด้วยกัน
คราวนี้แม้กระทั่งเถ้าแก่เนี้ยที่อายุสี่สิบกว่าปีแล้วยังแสดงสีหน้าประหลาดใจ เธอเดินเข้าไปในร้านแล้วลากสามีที่กำลังนั่งทำบัญชีออกมา “ดูนั่นสิ สายรุ้งคู่! ไม่ได้เห็นมาตั้งหลายปีแล้วเนอะ”
“จริงด้วย” เถ้าแก่เห็นเซิ่งเจาซีเหม่อมองราวตกอยู่ในภวังค์ ก็หันไปถามเธออย่างอารมณ์ดีว่า “แม่หนูรู้ไหม ที่บ้านเกิดของพวกเราเรียกสายรุ้งแบบนี้ว่า ‘สายรุ้งประสานใจ’ มีตำนานเล่าว่า ที่ปลายสายรุ้งประสานใจจะมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่”
เล่าจบชายวัยกลางคนท่าทางซื่อๆ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ คงรู้สึกอายที่เล่าเรื่องไร้สาระอะไรพรรค์นี้
แต่เถ้าแก่เนี้ยกลับพยักพเยิดอย่างเห็นด้วยเต็มที่ แววตาที่มองสามีของตนเต็มเปี่ยมด้วยความเทิดทูน “คุณนี่ความรู้รอบตัวเยอะจริงๆ เลยเชียว”
เซิ่งเจาซีนึกถึงครั้งหนึ่งตอนอยู่มัธยมต้น สมัยที่เธอกับฮั่วซือเหยียนยังไม่ทะเลาะกัน พวกเธอกินข้าวเสร็จเดินออกมาจากโรงอาหาร และได้เห็นสายรุ้ง
เซิ่งเจาซีรีบหยุดเดินและพนมมือขอพรจากสายรุ้ง เธอชอบขอพรกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก ทั้งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ดอกไม้ไฟ เธอรู้สึกว่าทุกสิ่งที่งดงามล้วนได้รับพลังอันน่าอัศจรรย์จากสรวงสวรรค์
แต่ฮั่วซือเหยียนกลับมองอย่างกับเธอเป็นคนปัญญาอ่อน ‘พี่ชายฉันบอกว่า สายรุ้งเกิดจากแสงอาทิตย์ส่องกระทบละอองน้ำเล็กๆ ทรงกลมบนท้องฟ้า ทำให้แสงสีเกิดการสะท้อนกลับและหักเห ในจำนวนนี้แสงที่ทำมุมหักเห 40-42 องศาจะมีความเข้มมากที่สุด ซึ่งก็คือรุ้งที่เรามองเห็นนั่นแหละ รุ้งไม่ใช่เทพเซียนสักหน่อย เธอขอพรตามสำนักไหนไม่ทราบ’
‘หุบปากเถอะน่า พี่ชายเธอน่ะโง่’
กลิ่นหอมของหญ้าที่ฟุ้งกระจายหลังฝนตก ราวกับนำพาเซิ่งเจาซีหวนย้อนไปสู่วันเวลาที่ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใดๆ ทั้งสิ้น
ฝนหยุดแล้ว หญิงสาวตั้งท่าจะเดินออกจากร้านดอกไม้ แต่เถ้าแก่ร้องเรียกเธอไว้ก่อน “แม่หนู ผ้าพันคอของเธอหล่นแน่ะ”
เถ้าแก่เนี้ยหยิบผ้าพันคอลายตารางสีกากีจากบนเคาน์เตอร์กระจกแล้วเดินไล่ตามหลังมา แล้วยัดผ้าพันคอใส่มือเธอ
สัมผัสนุ่มละมุนของผ้าแคชเมียร์ ทั้งยังเป็นแบรนด์ที่ดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ เห็นแล้วรู้ทันที ด้านในผ้าพันคอปักด้วยตัวเขียนภาษาอังกฤษ ‘y’ นี่ไม่ใช่ผ้าพันคอของเธอ
หญิงสาวปัดมือเป็นเชิงปฏิเสธ “นี่ไม่ใช่ของฉันค่ะ ฉันเห็นมันวางอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาในร้านแล้ว” สไตล์ของผ้าพันคอที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ขัดกับบรรยากาศของร้านอย่างเห็นได้ชัด เธอจึงสังเกตเห็นตั้งแต่แวบแรก เดาว่าคงมีลูกค้าสักคนถอดวางไว้ที่เคาน์เตอร์แล้วลืมหยิบกลับไปด้วย
เถ้าแก่เนี้ยขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปมองสามี “งั้นทำไงดี? ท่าทางเป็นของแพงซะด้วย ผ้าหนาออกแบบนี้”
“เก็บไว้ที่ร้านก่อนแล้วกันค่ะ บางทีลูกค้าอาจจะนึกได้แล้วกลับมาเอานะคะ” เซิ่งเจาซีเสนอ พลางยื่นผ้าพันคอผืนนั้นคืนให้เถ้าแก่เนี้ย
“อ๋อ! นึกออกแล้ว ต้องเป็นลูกค้าคนก่อนหน้านี้แน่ๆ ตอนที่เขาย่อตัวลงเลือกดอกไม้ ผ้าพันคอคอยจะร่วงลงพื้นทำให้เลือกไม่ถนัด เขาก็เลยถอดวางไว้บนเคาน์เตอร์นี่” เถ้าแก่ตบหน้าผากตัวเองเบาๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นลูกค้าชายที่มาซื้อดอกไม้เมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้
“เขายังอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ”
“เขายังอยู่ รถจอดอยู่หน้าประตูสุสานโน่น” พอเถ้าแก่พูดแบบนี้ เซิ่งเจาซีก็หันไปเหลือบมองที่หน้าประตูสุสานโดยอัตโนมัติ ตรงนั้นมีรถสเตชันแวกอนจอดอยู่คันหนึ่ง เป็นรถจี๊ปเชอโรกีสีดำรุ่นเดียวกับรถของเธอ จิ้นซืออวี้เคยบอกว่านี่คือรถในอุดมคติของเขา
เถ้าแก่เนี้ยถอนใจอย่างโล่งอก สำหรับคนที่หาเลี้ยงชีพด้วยความสมถะและสุจริตอย่างพวกเขาสองสามีภรรยา การเก็บของราคาแพงแบบนี้ได้ทำให้รู้สึกใจตุ๊มๆ ต้อมๆ ไม่ต่างจากการขโมยของ เธอคลี่ผ้าพันคอผืนนั้นอย่างระมัดระวัง แล้วค่อยๆ พับอย่างเรียบร้อยวางไว้บนเคาน์เตอร์ร้าน
หลังจากบอกลาสามีภรรยาร้านดอกไม้แล้ว เซิ่งเจาซีก็เดินเข้าไปในสุสาน วินาทีที่เท้าเหยียบเหนือดินโคลนอันอ่อนนุ่ม หญิงสาวพลันรู้สึกถึงหัวใจที่เบาหวิวเหมือนกำลังลอยล่อง
หญิงสาวถือช่อดอกเบญจมาศเดินขึ้นบันไดหินที่กว้างพอสำหรับหนึ่งคนไปทีละขั้น สุสานเงียบสงัดไร้ผู้คน ราวกับฉากในละครใบ้ สงบเงียบเนิ่นนาน
หญิงสาวไล่ดูลำดับตามตัวอักษรนำหน้าชื่อ จนในที่สุดก็เจอหลุมศพของฮั่วซือเหยียน ภาพของฮั่วซือเหยียนบนหลุมศพยังคงความอ่อนเยาว์ของวัยสิบเจ็ด ดวงตากลมโต เวลามองใครแววตาจะเอาจริงมาก ยิ่งเป็นภาพขาวดำ เอกลักษณ์ข้อนี้ของเธอยิ่งเด่นชัด
เซิ่งเจาซีวางดอกเบญจมาศในมือลงที่หน้าหลุมศพ และพบว่าด้านข้างยังมีดอกไม้อีกช่อหนึ่ง ยังสดใหม่มาก มีหยาดน้ำฝนเกาะพราว เธอพอเดาได้ว่าใครเป็นคนส่งดอกไม้ช่อนี้มา “เธอดีใจไหมล่ะ ผ่านมาสิบปีแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคิดถึงเธอตลอด”
แน่นอนว่าไม่มีคำตอบจากฮั่วซือเหยียน แต่เธอเหมือนกำลังรำลึกความหลังกับเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันนาน เผลอแวบเดียวก็ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นสองสามชั่วโมง
แต่ก่อนทั้งสองเหมือนน้ำกับไฟที่ไม่มีวันเข้ากันได้ อาจกล่าวได้ว่าอุปสรรคทั้งหลายในชีวิตเซิ่งเจาซีล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากฮั่วซือเหยียน ไม่นึกว่าวันหนึ่งอีกฝ่ายจะกลายเป็นคนที่ได้ฟังความในใจของเธอมากกว่าใครคนอื่น
ขอบฟ้าเริ่มปรากฏแสงยามเย็น หญิงสาวจึงยอมขยับขาที่แข็งทื่อและออกเดิน พอหันไปมองจึงเห็นว่าคนงานทำความสะอาดหลุมศพกำลังกวาดบันไดหินฝั่งซ้ายที่เธอเดินขึ้นมา บันไดหินมีสองฝั่งสร้างไว้ขนานกัน เซิ่งเจาซีจึงลองเลาะผ่านหลุมศพอื่นๆ เพื่อใช้บันไดหินฝั่งขวาเดินลงด้านล่างของเนินเขา
พอนับถอยหลังไปถึงหลุมที่สอง หางตาเธอพลันเหลือบไปเห็นรูปถ่ายใบหนึ่ง ทำให้เธอตกใจจนขาอ่อนยวบ หญิงสาวได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นทุกขณะ ศีรษะแข็งทื่อจนหันไปไหนไม่ได้ เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะกล้าหันกลับไปมองอีกครั้ง
เหนือป้ายสุสานหินอ่อนสีดำ คือตัวอักษรสีทองสามตัวที่สลักไว้ว่า ‘จิ้นซืออวี้’
เซิ่งเจาซีรู้สึกเหมือนถูกฟาดหัวอย่างแรง จู่ๆ ก็สูญเสียการรับรู้ทั้งหมด ขาอ่อนยวบทรุดลงนั่งตรงหน้าหลุมศพนั้น ปลายนิ้วแตะไล้ไปตามรอยสลักขีดตัวอักษรที่บุ๋มเป็นร่องในเนื้อหินอ่อนอย่างช้าๆ เส้นขวาง...เส้นตั้ง...เส้นตั้ง...เส้นขวาง...ชื่อที่มีทั้งหมด 29 ขีด37 เธอเขียนชื่อนั้นซ้ำๆ ในใจนับครั้งไม่ถ้วนอย่างไร้สุ้มเสียง
ชื่อเดียวกัน วันเดือนปีเกิดเดียวกัน หน้าตาเหมือนกัน ไม่เปิดโอกาสให้สิ่งที่เธอเห็นเป็นเรื่องเข้าใจผิดแม้แต่น้อยนิด
วันที่บนป้ายสุสานคือ วันที่ 3 เดือน มิถุนายน ปี 20xx ปีที่จิ้นซืออวี้เดินทางกลับประเทศ
“แม่หนู เป็นอะไรหรือเปล่า” คนงานทำความสะอาดสุสานยืนถือไม้กวาดอยู่ที่บันไดหินฝั่งตรงข้าม พลางมองเซิ่งเจาซีซึ่งนั่งหน้าซีดเผือดอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเป็นห่วง
หญิงสาวส่ายหน้า พลางใช้มือยันพื้นโคลนชุ่มน้ำลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งเหยาะๆ ลงบันไดหินไปด้านล่าง ไม่กล้าหันกลับไปอีก ด้วยกลัวจับใจว่าถ้าหันกลับไปอีกครั้ง จิตใจของเธอจะแหลกสลาย
กว่าหญิงสาวจะออกมาจากสุสาน ฟ้าก็มืดแล้ว เถ้าแก่เนี้ยร้านดอกไม้ยังนั่งอยู่ที่หน้าประตูร้าน พอเห็นเธอเดินมาก็โบกมือทักทายจากอีกด้านของถนน
เซิ่งเจาซีไม่เหลือเรี่ยวแรงจะตอบรับ เธอกระชับเสื้อโคตตัวบางให้แนบชิดลำตัวยิ่งขึ้น รู้สึกราวกับลมหนาวที่เย็นยะเยือนจนเข้ากระดูกดำกำลังแทงทะลวงร่างของเธอจนพรุนไปทั่ว สมองมึนชา ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่
หญิงสาวหันไปมองปากทางเข้าสุสานอีกครั้ง รถจี๊ปคันนั้นหายไปแล้ว ที่จอดรถว่างเปล่าเฉกเช่นเดียวกับหัวใจของเธอ
ตอนอยู่มหาวิทยาลัยปีสอง เซิ่งเจาซีอยากซื้อรถมือสองสักคันที่อเมริกา เธอไม่รู้เรื่องรถจึงขอความเห็นจากจิ้นซืออวี้
“คุณชอบรถแบบไหนล่ะ” จิ้นซืออวี้หั่นผักอยู่ในครัวแบบเปิด พลางถามความเห็นของเธอไปด้วย
“มินิคูเปอร์ ไปไหนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่จอดรถ” เธอขับรถไม่ได้เรื่อง รถคันเล็กแบบนี้ขับง่ายที่สุดแล้ว
เซิ่งเจาซีซึ่งกำลังขดตัวนอนดูทีวีอยู่บนโซฟา เลื้อยตัวขึ้นมาเกาะขอบโซฟาพลางมองแผ่นหลังของชายหนุ่มในครัว ในใจครุ่นคิดอยู่ว่าเวลาจิ้นซืออวี้ทำกับข้าวนี่เซ็กซี่ชะมัดยาด
“แต่คุณตัวสูงขนาดนี้ นั่งรถมินิคงลำบากแย่ ช่างเถอะ เอารถอย่างอื่นก็ได้ รถในอุดมคติของคุณคือรถอะไรล่ะ”
“จี๊ป” จิ้นซืออวี้หั่นมะเขือเทศเสร็จก็โยนลงในหม้อ ตุ๋นไปพร้อมกับเนื้อสันนอก
“พวกเรามีกันแค่สองคน ไม่ต้องใช้รถคันใหญ่ขนาดนั้นหรอก แพงก็แพง เปลืองที่”
“ไม่ใช่แค่สองคนสักหน่อย”
“มีใครอีกล่ะ...” พูดไม่ทันจบประโยค เซิ่งเจาซีก็ถึงกับอึ้ง “ใครบอกว่าจะยอมมีลูกกับคุณไม่ทราบ”
จิ้นซืออวี้หัวเราะพลางถอดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินเข้ามาในห้องรับแขก มือข้างหนึ่งเอื้อมจากด้านหลังโซฟามาโอบคอของเธอไว้ “งั้นคุณจะมีลูกกับใครล่ะ?”
“กับเต่า กับตะพาบ กับอะไรก็ได้ยกเว้นคุณ” เซิ่งเจาซีสลัดหลุดจากมือเขา แล้วลงไปกลิ้งบนโซฟาอย่างเกียจคร้าน
จิ้นซืออวี้ใช้มือทั้งสองข้างจับสองข้างศีรษะของหญิงสาว หยุดไม่ให้เธอกลิ้งไปกลิ้งมา “คุณอยากมีลูกเป็นไข่เต่าไข่ตะพาบ38สินะ”
“คุณนั่นแหละ...อึก” แต่แล้วริมฝีปากของเธอก็ถูกประกบปิดด้วยจุมพิต จึงพูดต่อไม่ได้อีก
เพียงครู่หนึ่งเขาก็ถอนจุมพิตจากกลีบปากที่แดงเจ่อของหญิงสาว ใบหน้าระบายด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “สรุปก็คือยังอยากมีลูกกับผมอยู่สินะ”
เซิ่งเจาซีตั้งท่าจะเถียงต่อ แต่จิ้นซืออวี้ชิงเดินกลับเข้าครัวไปปิดแก๊สก่อนแล้ว
“มากินซุปเร็ว” ฝาหม้อเปิดออก กลิ่นหอมของมะเขือเทศกับเนื้อสันนอกฟุ้งกระจายเต็มห้อง แม้กระทั่งเซิ่งเจาซีที่เร่าๆ จะเดือดดาลอยู่เมื่อครู่ยังต้องยอมศิโรราบ
รถแท็กซี่หยุดจอดอยู่ตรงหน้าแล้วหันมาเรียกเธอ เซิ่งเจาซีจึงยื่นมือที่แข็งทื่อออกไปเปิดประตูรถ ปลายจมูกเหมือนยังได้กลิ่นหอมฟุ้งของซุปเนื้อตุ๋นหม้อนั้น
ยืนตากลมหนาวอยู่กลางแจ้งตลอดบ่าย จู่ๆ เปลี่ยนมาอยู่ในรถอันอบอุ่น หญิงสาวสูดจมูกเบาๆ แล้วพึมพำว่า “หนาวจัง”
คนขับแท็กซี่มองผ่านกระจกมองหลัง เห็นหญิงสาวนั่งเหม่อลอยน้ำตานองหน้า จึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณครับ จะไปที่ไหนครับ”
หญิงสาวแจ้งที่อยู่ รถขับออกไปอย่างช้าๆ เซิ่งเจาซีทอดตามองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง พริบตานั้นเหมือนเธอย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน ช่วงเวลาที่เพื่อนฝูงและครอบครัวทอดทิ้งเธอไว้ วันเวลาที่ไม่มีจิ้นซืออวี้อยู่เคียงข้าง มีเพียงเธอต่อสู้ทุกอย่างเพียงลำพัง เวลานี้ก็เหลือเธอตัวคนเดียวอีกแล้ว...ตัวคนเดียวจริงๆ
หกปีก่อนตอนที่เขาจากไป เธอคิดมาตลอดว่าเขายังอยู่เคียงข้างเธอ ตราบใดที่ยังอยู่ใต้ฟ้าผืนเดียวกัน วันหนึ่งต้องมีโอกาสได้พบกันอีกแน่ แต่ที่แท้...เขาจากเธอไปนานแล้ว
เถ้าแก่ร้านดอกไม้บอกว่า ที่สุดปลายสายรุ้งมีสมบัติล้ำค่า
ที่แท้...สมบัติล้ำค่าของเธอก็ฝังอยู่ที่นั่นจริงๆ
ความคิดเห็น |
---|