11

บทที่ 11 ทำไมคุณถึงเลือกเส้นทางนี้



บทที่ 11 

ทำไมคุณถึงเลือกเส้นทางนี้

 

ณ เวลานี้ใครสักคนหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ 

กำลังร้องไห้อยู่ในโลกนี้โดยไม่มีเหตุผลใดๆ 

ร้องไห้เพราะฉัน

ไรเน มาเรีย ริลเค (Rainer Maria Rilke)

 

แท็กซี่ขับผ่านห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองเหิงเฉิง เซิ่งเจาซีเห็นชาวคาทอลิกกลุ่มหนึ่งกำลังจัดกิจกรรม พวกเขายืนขับร้องประสานเสียงเพลงพระคุณพระเจ้าอยู่ที่หน้าลานกว้างด้วยเสียงอันดัง ท่วงทำนองอันอ่อนโยนและเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกทำให้เธอหวนคิดไปถึงช่วงเวลาเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เธอเพิ่งเดินทางไปถึงสหรัฐอเมริกา

เซิ่งเจาซีเจอจิ้นซืออวี้ครั้งแรกที่โบสถ์ วันนั้นเธอเดินผ่านประตูโบสถ์ในย่านที่เธออยู่ ได้ยินเสียงคนกลุ่มใหญ่กำลังร้องเพลงพระคุณพระเจ้า

ตอนนั้นเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลงสรรเสริญพระเจ้าเพลงนี้ชื่อเพลงอะไร แต่เนื้อเพลงและท่วงทำนองดึงดูดให้เธอต้องชะงักฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว

Amazing grace, How sweet the sound, That saved a wretch like me. I once was lost, but now I am found. Was blind, but now I see.” (พระคุณพระเจ้านั้นแสนชื่นใจ ช่วยได้คนชั่วอย่างฉัน ครั้งนั้นฉันหลงพระองค์ตามหา ตาบอดแต่ฉันเห็นแล้ว)

เธอยืนอยู่ที่หน้าประตูโบสถ์ ดวงตะวันฤดูหนาวที่ไม่มีความอบอุ่นใดๆ ลอยสูงอยู่เหนือศีรษะ ขับเน้นให้ภายในโบสถ์มืดสลัวลึกลับ เธอเห็นเพียงแสงสว่างวงหนึ่งส่องอยู่เหนือศีรษะของพระเยซูเหนือไม้กางเขน ดุจดั่งแสงศักดิ์สิทธิ์ ดึงดูดให้เธอเดินเข้าไปใกล้

เซิ่งเจาซีเดินเข้าไปนั่งแถวหลังสุดด้วยใจตุ๊มๆ ต้อมๆ มองคนอื่นๆ ท่องบทสวดและร้องเพลงสรรเสริญอย่างพร้อมเพรียง

บาทหลวงเดินมาถามเธอว่า “เด็กน้อย เธอมาใหม่หรือ”

เด็กสาวส่ายหน้า “ฉันแค่ผ่านทางมาค่ะ”

“ไม่เป็นไร การที่เธอได้นั่งอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ล้วนเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เธออยากทำความรู้จักกับทุกคนไหม” บาทหลวงพูดพลางยื่นมือมาให้

แม้ว่าสีหน้าท่าทางของบาทหลวงจะกระตือรือร้นเพียงใด เซิ่งเจาซีก็ฟังไม่รู้เรื่องสักประโยค ตอนนั้นเธอเดินทางออกจากจีนด้วยความเร่งร้อน จนถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงเรียนภาษา ทักษะภาษาอังกฤษยังห่างไกลจากระดับที่สามารถสื่อสารกับเจ้าของภาษาได้

เซิ่งเจาซีอายจนหน้าแดงเรื่อ “Sorry. Pardon?”

ดูเหมือนบาทหลวงจะเข้าใจปัญหาของเธอ จึงยิ้มอย่างอ่อนโยน “เธอเป็นคนจีนใช่ไหม”

ประโยคนี้เธอฟังรู้เรื่อง จึงพยักหน้าเป็นการใหญ่

“สตีเวน มานี่หน่อย” บาทหลวงหันไปเรียกใครคนหนึ่ง

เด็กหนุ่มผมดำหันมา เขาอยู่ในมุมย้อนแสง เซิ่งเจาซีจึงเห็นเพียงเค้าโครงของเขา รูปร่างสูงสง่างาม เส้นโครงหน้าคมชัดได้รูป

พอเดินเข้าไปใกล้เซิ่งเจาซีจึงเห็นว่าเขาเป็นคนจีน เด็กหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยคาร์ดิแกนไหมพรมถัก รูปร่างสูงเพรียวแลดูปราดเปรียว แต่ดูจะผอมไปสักเล็กน้อย

ดูจากภายนอกน่าจะอายุไล่เลี่ยกับเธอ ปกติเด็กวัยนี้จะชอบทำตัวโชว์ออฟ แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นคล้ายมีท้องทะเลและภูผาอยู่ภายใน ใสกระจ่างและอ่อนโยน

บาทหลวงหันไปพูดอะไรสั้นๆ กับเด็กหนุ่มที่ชื่อสตีเวน เธอฟังออกแค่ศัพท์ไม่กี่คำ จึงได้แต่จ้องหน้าเขาอย่างกระตือรือร้น รอให้เขาแปลให้เธอฟัง

แต่เด็กหนุ่มกลับหันมาพูดแค่สั้นๆ ว่า “มากับฉัน”

แค่นี้เองเหรอ...เด็กสาวอึ้งไปชั่วขณะ ยังไม่ทันตั้งสติได้เด็กหนุ่มก็เดินดุ่มๆ โดยไม่สนใจเธอเข้าไปด้านในโบสถ์แล้ว

บาทหลวงยังมองเธอด้วยใบหน้าที่เปี่ยมเมตตา พลางส่งสายตาให้กำลังใจ เด็กสาวจึงจำต้องทำใจสู้เดินต่อไปข้างหน้า

“สวัสดี ฉันชื่อเซิ่งเจาซีนะ เรียกฉันว่าจอยซ์ก็ได้” ตั้งแต่มาที่นี่ก็ถูกรายล้อมด้วยชาวต่างชาติ ดังนั้นเพื่อนร่วมเชื้อชาติเพียงหนึ่งเดียวตรงหน้าจึงเหมือนสมบัติล้ำค่า เธอเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองก่อน และยื่นมือออกไปทักทายอย่างเป็นมิตร

น่าเสียดายที่ใบหน้าของเพื่อนร่วมชาติคนนี้มีข้อความแปะไว้หราว่า ‘ฉันไม่สนใจสักนิดว่าเธอชื่ออะไร’ ทั้งไม่แยแสมือที่เธอยื่นออกไปสักนิด เด็กสาวคิดในใจว่าขอทวงคืนความคิดเมื่อครู่ที่ว่าเขาดูอ่อนโยนมาก

เธอเดาว่าสตีเวนน่าจะช่วยแนะนำเธอให้สมาชิกโบสถ์คนอื่นๆ รู้จัก ทุกคนทักทายเธออย่างเป็นมิตร ไม่รู้เพราะคนที่มีศาสนาจะจิตใจดีงามกว่าคนทั่วไปแบบนั้นหรือเปล่า แม้เธอฟังไม่ค่อยรู้เรื่องว่าพวกเขาพูดอะไร แต่ก็สัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีจากพวกเขา

เซิ่งเจาซีพยักหน้าพลางยิ้มอย่างงงๆ ตัวยืนแอบอยู่ด้านหลังสตีเวนเสียครึ่งหนึ่ง เหมือนลูกเจี๊ยบที่เกาะติดเขาแจ

สตีเวนขมวดคิ้วมองเธอ ท่าทางเหมือนรำคาญมาก แต่ไม่ออกปากไล่ เขาแค่จดจ่อทำเรื่องของตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนเธอไม่อยู่ตรงนั้น ราวกับเธอเป็นอากาศธาตุ

เด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าไม้กางเขน ทำจิตใจให้สงบ สองมือประกบกัน พลางอธิษฐานเสียงแผ่วเบาว่า “สิริพึงมีแด่พระบิดา พระบุตร และพระจิต เหมือนในปฐมกาล บัดนี้และทุกเมื่อตลอดนิรันดร อาเมน”

เขาใช้ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วโป้งมือขวาแตะกัน วาดจดที่หน้าผาก ไล่ลงมาที่ไหล่ทั้งสอง เป็นสัญลักษณ์กางเขนศักดิ์สิทธิ์

เซิ่งเจาซีไม่ใช่คริสตชน แต่เธอเคารพคนที่ศรัทธาในศาสนา เด็กสาวยืนรออยู่เงียบๆ จนเขาอธิษฐานเสร็จ

“เธอชื่ออะไร? ชื่อภาษาจีนของเธอน่ะ”

สตีเวนยกเปลือกตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน ราวกับกำลังคิดอยู่ว่าจะตอบคำถามของเธอดีหรือไม่ เด็กหนุ่มลังเลอยู่นานจึงตอบว่า “จิ้นซืออวี้”

เสียงของเขาน่าฟังจริงๆ ทุ้มต่ำแต่ทุกคำที่ออกเสียงกังวานชัด ให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำสดชื่น บริสุทธิ์อยู่เหนือกิเลส

“พวกเธอมาที่โบสถ์ทุกวันเลยเหรอ มาทำอะไรน่ะ สวดมนต์? หรืออ่านไบเบิล?” เซิ่งเจาซีนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ตัวยาว พลางแกว่งขาทั้งสองไปมา

“สารภาพบาป” ไม่รู้ว่าเซิ่งเจาซีรู้สึกไปเองหรือไม่ แต่เหมือนว่าจิ้นซืออวี้พยายามตอบคำถามให้สั้นและกระชับที่สุด ตัดบทไม่ให้หาเรื่องคุยต่อได้ นอกจากนี้ทุกครั้งที่หันไปสบตา อีกฝ่ายก็คอยแต่หันหน้าหนี

คุณสมบัติพิเศษของเซิ่งเจาซีคือเป็นคนช่างสังเกต ตั้งแต่เด็กแม่ชอบบอกว่าเธอน่าจะโตไปเป็นนักจิตวิทยา แต่ในใจของทุกคนล้วนมีโรคร้ายแฝงซ่อนอยู่ และเธอไม่เคยคิดอยากไปขุดค้นออกมาดูให้รู้ว่าโรคที่ว่านั้นเป็นมาอย่างไร

“งั้นฉันขอสารภาพบาปกับเธอนะ!” จู่ๆ เด็กสาวก็ตบหน้าขาดังฉาดแล้วจ้องหน้าเขาเขม็ง

“หือ?” เขาตอบสั้นๆ อยู่ในคอ น้ำเสียงแฝงความเคลือบแคลง

“ฉันทำให้คนคนหนึ่งตาย เพราะงั้นฉันถึงถูกไล่ให้มาอยู่ที่อเมริกา” จู่ๆ เธอก็เริ่มเล่าเรื่องของตัวเองแบบน้ำไหลไฟดับ 

“หยุดก่อน” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขัดจังหวะเธอโดยไม่รักษามารยาท “ฉันไม่ใช่บาทหลวง”

“ฉันรู้” หางเสียงของเด็กสาวสูงขึ้นเล็กน้อย แฝงอารมณ์ทะเล้น “แต่ฉันไม่เก่งภาษาอังกฤษ”

“...” จิ้นซืออวี้ก้มหน้าลงอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีทีท่าว่าจะขัดจังหวะเธออีก

ตอนแรกเซิ่งเจาซีนึกว่าเขาจะไม่ยอมคุยกับคนแปลกหน้า แต่แล้วเธอก็พบว่าเขาไม่หลบเลี่ยง อันที่จริงเขาจะเดินหนีไปโดยไม่สนใจเธอเลยก็ได้ แต่เขากลับฝืนนั่งอยู่ข้างๆ เธอตลอดจนเธอเล่าจบ แม้ว่าการพูดคุยแบบนี้จะทำให้เขาอึดอัดอย่างมาก

“เขาเคยเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาจงใจทำร้ายจิตใจฉัน...ตอนนั้นความรักสำคัญกว่าอะไรทั้งหมดบนโลก ฉันเคยคิดอย่างจริงจังด้วยซ้ำว่าถ้าไม่มีเขาอยู่บนโลกคงดีน่าดู ตอนนั้นฉันคิดว่าเขาต้องรู้สึกติดค้างฉันไปตลอดชีวิต...

“แต่เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของฉัน เขาตาย ไม่มีใครยอมเชื่อฉัน ทุกคนบอกว่าฉันเป็นคนทำให้เขาตาย ภายในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน ฉันกลายเป็นคนบาปในสายตาของทุกคน แม้กระทั่งพ่อแม่ของฉันยังไม่ยอมฟังฉันอธิบาย คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะรีบส่งฉันออกนอกประเทศให้เร็วที่สุด อย่างกับว่าฉันคือความอัปยศอดสูของครอบครัว ฉันเองก็เคยพยายามคิดหาคำตอบเหมือนกันว่าตกลงฉันเป็นคนทำให้เขาตายหรือเปล่า...สรุปก็คือ สุดท้ายกลายเป็นฉันที่ติดค้างเขาตลอดชีวิต”

ตลอดช่วงเวลานั้น ไม่ว่าเรื่องที่เธอเล่าจะหมองเศร้าและหนักอึ้งแค่ไหน เซิ่งเจาซีก็ยังเล่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เหมือนเธอไม่แยแส ทำให้บรรยากาศแปลกพิลึก

เสียงระฆังภายในโบสถ์ดังขึ้น เสียงกังวานใสสี่ครั้งปานประหนึ่งทำให้เวลาหยุดนิ่งอยู่กับที่ สีหน้าของเซิ่งเจาซีก็พลอยแข็งทื่อไปด้วย

“โบสถ์ปิดแล้ว” เขาเงยหน้าขึ้นจ้องหน้าเธอตรงๆ เป็นครั้งแรก ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นซีดขาว มุมปากมีรอยยิ้มน้อยๆ แต่ดวงตากลับฉายแววหมองเศร้าอย่างไม่อาจปิดบัง

“ถึงเวลาแล้ว...” เธอหลบตาเขา แล้วจู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นตั้งท่าจะเดินออกไป 

หากไม่ใช่เพราะเสียงเพลงในโบสถ์ดึงความสนใจของเธอไว้ ตอนนี้เธอน่าจะกลายเป็นศพเย็นชืดนอนอยู่ในแอ่งน้ำโคลนแล้ว

แล้วจู่ๆ จิ้นซืออวี้ก็เรียกเธอไว้ 

“จอยซ์ พวกเรามาเล่นเกมกัน”

เธอหันไปมองเขา แม้ยังรู้สึกงุนงง แต่ดวงตาฉายประกายสุกสว่างอย่างสนอกสนใจ

เขาควักเหรียญควอเตอร์39ออกมาจากกระเป๋ากางเกง “ถ้าออกหัว เย็นนี้เธอต้องกินข้าวกับฉัน”

เซิ่งเจาซีเคยเรียนในวิชาฟิสิกส์สมัยมัธยมต้น และรู้ว่าหากควบคุมความเร็ว ท่าโยน และความแรงที่ใช้ในการโยนเหรียญ ก็จะสามารถควบคุมเหรียญให้ออกหัวหรือก้อยตามต้องการ เด็กสาวก้าวอาดๆ ออกมาอย่างไม่กลัวเกรง ฝ่ามือแบยื่นมาตรงหน้าเขา “ได้สิ แต่ฉันต้องเป็นคนโยนนะ”

จิ้นซืออวี้ยิ้มแล้ววางเหรียญลงบนฝ่ามือเธอ รอยยิ้มของเขาทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ

เหรียญลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ พอร่วงลงพื้นหญิงสาวก็พลิกมือตบปิดไว้ ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือเปิดอย่างช้าๆ...ไม่อยากเชื่อว่าเสี้ยววินาทีนั้น เธอหวังให้ออกหัวจริงๆ

“ฉันชนะ” มุมปากของจิ้นซืออวี้ยกขึ้นเล็กน้อย เป็นครั้งแรกของวันที่เธอได้เห็นสีหน้าที่พอจะเรียกได้ว่ามีความสุขของเขา ดูเหมือนเด็กหนุ่มตรงหน้าจะไร้ภูมิต้านทานต่อแรงยั่วยวนของคำว่าชัยชนะมาตั้งแต่เกิด

จนถึงวันนี้ เซิ่งเจาซีก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นเขาแน่ใจได้อย่างไรว่าเหรียญต้องออกหัวแน่นอน

เขาขับรถพาเธอออกจากโบสถ์ เธอไม่ได้เอ่ยปากถามด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหน ราวกับว่าคนที่เราเจอในโบสถ์น่าจะเชื่อใจได้กว่าคนทั่วไป แต่จะมีอะไรน่ากลัว ในเมื่อเธอไม่กลัวตายด้วยซ้ำ

จนรถขับผ่านแม่น้ำชาร์ลส์ เธอถึงรู้ว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน 

“เธอเรียนที่ฮาร์วาร์ดเหรอ”

แม้ว่าบอสตันจะเป็นเมืองศูนย์รวมของมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลก แต่สุดยอดมหาวิทยาลัยสองแห่งที่โดดเด่นจนยากจะเทียบชั้นก็คือมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ซึ่งอยู่เมืองเคมบริดจ์ อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำชาร์ลส์

เซิ่งเจาซีไม่อาจซ่อนความประหลาดใจในสีหน้า ชื่อเสียงเรียงนามอันลือเลื่องดุจแสงอสนีบาต เขาคือนักศึกษาจีนไอวีลีกคนแรกที่เธอรู้จัก

“ไม่ใช่ ฉันอยู่ MIT คณะชีวภาพการแพทย์ของฮาร์วาร์ดสู้ MIT ไม่ได้”

ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนที่ไม่เห็นฮาร์วาร์ดอยู่ในสายตา แต่น้ำเสียงของเขาไม่ฉายแววโอ้อวด แค่เป็นการอธิบายข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลางเท่านั้น

เย็นวันนั้นจิ้นซืออวี้พาเธอไปร้านราเมงญี่ปุ่นชื่อร้านยูมิโกะ แอนด์ คาตาเระ เป็นร้านดังในย่านเคมบริดจ์ ร้านนี้เป็นของสามีภรรยาวัยรุ่นชาวญี่ปุ่นคู่หนึ่ง ชื่อร้านก็มาจากชื่อของคนทั้งสองนั่นเอง

ร้านของพวกเขามีราเมงเนื้อวัวแค่เมนูเดียว ทั้งยังมีจำนวนจำกัดในแต่ละวันอีกด้วย แต่ก็ยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

พื้นที่ร้านเล็กแคบ ลูกค้าเข้าแถวรออย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านนอกร้าน หางแถวยาวไปถึงถนนด้านนอก บอสตันในฤดูหนาวอากาศหนาวมาก ทุกคนเขยิบเข้าชิดกัน ด้วยหวังจะได้ไออุ่นแม้เพียงเล็กน้อยจากคนรอบข้าง

เซิ่งเจาซีจึงได้รู้ว่าจิ้นซืออวี้ไม่ชอบให้คนอื่นโดนตัว แต่เขาก็ไม่แสดงท่าทีรังเกียจ แค่พยายามเบี่ยงตัวหลบออกมาอยู่นอกแถวสักครึ่งลำตัว ทำมุมแคบๆ ประมาณสามสิบองศากับคนในแถวที่เหลือ องศาการยืนนี้ช่วยรักษาระยะห่างระหว่างเขากับคนอื่นๆ ในแถวได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ทั้งยังช่วยบังลมหนาวได้พอดี 

เซิ่งเจาซีซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขาถูกหนีบอยู่ระหว่างกระจกร้านกับเสื้อโคตของจิ้นซืออวี้ หากหมุนตัวแค่นิดเดียวก็จะประกบชิดกับหน้าอกเขาพอดี เธอไม่อยากให้เขาอึดอัด จึงเบียดตัวแนบติดกับกระจก ลมหายใจที่เป่าออกมาทำให้กระจกเกิดฝ้ามัวๆ กระจายอยู่ทั่ว

สัญญาณกันขโมยดังขึ้นจากรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างทาง จิ้นซืออวี้หันหลังไปมองโดยอัตโนมัติ และพบว่าไม่ใช่รถของเขา พอเขาหันกลับไปอีกครั้ง จึงเห็นว่าเซิ่งเจาซีกำลังวาดรูปเมฆที่มีฝนตกลงมาอยู่ที่กระจกร้าน เขามองศีรษะที่มีผมดกหนาของเธอ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมกระต่ายน้อยตัวหนึ่งถึงมีปัญหาหนักใจมากมายขนาดนี้

ในที่สุดก็ถึงคิวของพวกเขา วันนี้เหลือราเมงชามเดียวเป็นชามสุดท้าย เจ้าของร้านผู้เป็นภรรยายกราเมงออกมาพลางขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แน่นอนว่าจิ้นซืออวี้ไม่มีทางพยายามแย่งยื้อราเมงกับเธอ ทั้งยังผลักชามมาไว้ตรงหน้าเธอด้วย...ราเมงเนื้อวัวชามใหญ่มาก เนื้อวัวแล่เป็นแผ่นบางๆ วางคลี่ไว้เต็มชาม น้ำซุปกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว ทำให้หญิงสาวถึงกับแอบกลืนน้ำลาย

เซิ่งเจาซีหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้ภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างตะกุกตะกักขอชามใบเล็กอีกใบจากเจ้าของร้าน เธอคีบราเมงออกมาใส่ชามเล็กจนเต็ม แล้วยกส่วนที่เหลือในชามใบใหญ่ให้จิ้นซืออวี้

พอเห็นเขานั่งนิ่งไม่ยอมแตะ เธอก็นึกว่าเขาอาจจะเป็นโรคบ้าสะอาด เลยไม่อยากแบ่งราเมงกับเธอ จึงรีบอธิบายว่า “ราเมงในชามนั้นฉันยังไม่ได้แตะเลยนะ”

จิ้นซืออวี้เห็นท่าทางลนลานของเธอก็หัวเราะออกมา แล้วหยิบตะเกียบก้มหน้าก้มตากินอย่างตั้งใจ

พอถึงเวลาเก็บเงิน เจ้าของร้านถือถาดเดินออกมา ตอนแรกเซิ่งเจาซีนึกว่าต้องจ่ายทิป เลยหยิบเงิน 5 ดอลฯ ใส่ในถาด

เจ้าของร้านส่ายหน้า แล้วชี้ไปที่ผนังด้านหลังแคชเชียร์เก็บเงิน

ตอนนี้เองเซิ่งเจาซีจึงสังเกตเห็นว่าเหนือผนังมีรูปโพลารอยด์ติดไว้เต็มไปหมด ก่อนเก็บเงิน สามีภรรยาเจ้าของร้านจะถามแขกว่ายินดีให้ถ่ายรูปหรือไม่ และถ่ายรูปพวกเขาติดไว้ภายในร้าน

พวกเขาบอกว่าการพบเจอทุกครั้งล้วนเป็นโชคชะตา ไม่ว่าจะเป็นโชคชะตาระหว่างร้านกับลูกค้า หรือระหว่างลูกค้าด้วยกัน ล้วนเป็นสิ่งล้ำค่าควรเก็บไว้ระลึกถึง รูปถ่ายทุกใบพวกเขาจะเก็บไว้ ด้วยหวังว่าหากลูกค้ามาที่นี่และได้เห็นรูปถ่ายนั้นอีกครั้ง ก็จะนึกถึงคนคนนั้นที่เคยนั่งกินราเมงด้วยกัน

ช่างเป็นคู่สามีภรรยาที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ มิน่าเล่าร้านของพวกเขาถึงขายดีเทน้ำเทท่า

ในสังคมที่เย็นเยือกดุจน้ำแข็งในปัจจุบัน สิ่งที่ขาดหายไปก็คือความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้

ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มและเด็กสาวแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันวันแรกจึงได้ถ่ายรูปร่วมกันเป็นใบแรก ตรงกลางมีโต๊ะไม้ตัวหนึ่งคั่นกลาง สะท้อนความกระอักกระอ่วนและไม่คุ้นเคยของคนทั้งสอง

พวกเขาเขียนชื่อของตัวเองลงบนพื้นที่ว่างด้านล่างรูปโพลารอยด์ ก่อนออกจากร้าน เซิ่งเจาซีเห็นเองกับตาว่าเจ้าของร้านผู้เป็นภรรยาใช้ปากกามาร์กเกอร์วาดรูปหัวใจดวงเล็กๆ ตรงกลางระหว่างพวกเขาสองคน จากนั้นสามีของเธอก็รับรูปถ่ายใบนั้นไปแปะไว้บนผนัง

ประตูกระจกของร้านปิดลงอย่างช้าๆ กระดิ่งลมที่หน้าประตูส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งใสเสนาะ จู่ๆ เซิ่งเจาซีก็รู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก

พอกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว จิ้นซืออวี้ก็พาเธอกลับไปส่งบ้าน และบอกว่าวันพรุ่งนี้จะพาเธอไปที่ที่น่าสนใจมากแห่งหนึ่ง

เซิ่งเจาซีรู้สึกราวกับตัวเองเป็นตัวเอกในเรื่องพันหนึ่งราตรี ที่ต้องรอแล้วรอเล่า ประวิงเวลาอย่างไม่สิ้นสุด เพราะความหวังที่เขามอบให้ เธอจึงตัดสินใจรอต่อไปอีกหนึ่งคืน

 

วันต่อมาจิ้นซืออวี้พาเธอไปที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาของฮาร์วาร์ด เขาชี้ไปที่สิ่งมีชีวิตสีขาวน้ำนมกึ่งโปร่งแสงตัวเล็กจิ๋วในตู้ปลา แล้วถามเธอว่ารู้จักตัวที่อยู่ในตู้นี้ไหม

“แมงกะพรุนไง” ไม่ใช่สัตว์ที่หาดูได้ยากอะไรสักหน่อย

“อืม นี่คือแมงกะพรุนน้ำจืด มันอยู่บนโลกนี้มา 650 ล้านปีแล้ว”

เซิ่งเจาซีไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งมีชีวิตตัวเล็กจิ๋วที่แลดูธรรมดาสามัญแบบนี้จะมีชีวิตยืนยาวอย่างไม่น่าเชื่อ

“เงื่อนไขในการดำรงชีวิตของแมงกะพรุนพันธุ์นี้ซับซ้อนมาก มันต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นน้ำจืดที่มีความบริสุทธิ์สูง ดังนั้นโลกในยุคปัจจุบันจึงไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของมันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แม้ว่าการมีชีวิตอยู่จะยากเย็นแค่ไหน มันก็ผ่านยุคสมัยต่างๆ มามากมาย ตั้งแต่ ยุคแคมเบรียน ยุคออร์โดวิเชียน ยุคไซลูเรียน ยุคดีโวเนียน ยุคคาร์บอนิเฟอรัส ยุคเพอร์เมียน มาจนถึงยุคปัจจุบัน”

เขาพูดคำศัพท์ที่ทั้งยากและยาวพวกนี้ต่อเนื่องกันแบบเก็บทุกรายละเอียด ความมุ่งมั่นของเขามองไปแล้วก็น่ารักอยู่ไม่น้อย

พอเห็นเธอไม่ตอบ เขาก็เอียงหน้ามาใกล้แล้วถามด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า “เธอเข้าใจไหม”

ระลอกน้ำสีฟ้าใสจากในตู้สะท้อนบนใบหน้าเขา แม้กระทั่งตอนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก็ยังงดงามเหลือเกิน

“เธอเข้าใจไหม แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วหลิวที่ไม่มีความซับซ้อนอะไรเลย ยังพยายามต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมที่แข็งแกร่งกว่ามันนับพันนับหมื่นเท่า และมีชีวิตอยู่ต่ออย่างเข้มแข็ง แล้วเธอล่ะ ทำไมต้องอยากตาย”

หลังจากวันนั้น ในชีวิตการทำงานของเซิ่งเจาซี เธอก็ใช้ตัวอย่างนี้พูดกับคนที่คิดฆ่าตัวตายนับครั้งไม่ถ้วน “ยุคแคมเบรียน ยุคออร์โดวิเชียน ยุคไซลูเรียน...”

แม้กระทั่งลำดับของยุคต่างๆ ยังไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่พยางค์เดียว

เซิ่งเจาซีอยากถามเขาเหลือเกินว่า ถ้าอย่างนั้น...จิ้นซืออวี้ ทำไมคุณถึงเลือกเส้นทางนี้ได้...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น