6

บทที่ 6

บทที่ 6

 

“นับดาว! คุณเป็นอะไร” 

เขาถามอีกฝ่ายอย่างร้อนรน ขณะเดียวกันก็ก้าวเท้าออกจากร้านขึ้นไปยังชั้นบนของตึกทันที หูยังคงฟังเสียงลมหายใจของหญิงสาวที่ติดๆ ขัดๆ ขาดห้วง จนในที่สุดเขาก็มาหยุดหน้าห้องของเธอ พอเปิดประตูเข้าไปเขาก็รีบตะโกนถามหาเจ้าของห้อง 

            “นับดาว! คุณอยู่ไหน”

            “คะ...คุณเฌอ” 

            เสียงของหญิงสาวพยายามร้องเรียกเขาดังมาจากห้องนอน ชารัฐรีบสาวเท้าเข้าไป ในห้องเขาเห็นนับดาวกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงข้างเตียง ใบหน้าซีดเผือด เขารีบเข้าไปข้างเธอแล้วถามพลางสังเกตอาการหญิงสาว 

            “นับดาว คุณเจ็บตรงไหน”

            “หายใจ...ไม่ออก...”

ชารัฐตั้งสติคว้าเสื้อคลุมมาคลุมนับดาวเอาไว้ ก่อนจะช้อนร่างของเธอขึ้นในอ้อมแขน 

            “นับดาว คุณพยายามหายใจนะ”

เขารีบสาวเท้ายาวๆ ลงไปชั้นล่างอย่างเร่งรีบ ก่อนจะอ้อมเดินไปหลังตึกเพื่อขึ้นรถของตัวเองที่จอดไว้ ค่อยๆ ประคองหญิงสาวลงบนที่นั่งข้างคนขับแล้วโทรศัพท์หาอชิ ไม่ต้องถือสายรออีกฝ่ายนาน รุ่นน้องหนุ่มก็รับสาย

            “พี่เฌอมีอะไรหรือเปล่าครับ”

            “อชิ พี่ฝากร้านก่อนนะ พี่ต้องพานับดาวไปโรงพยาบาล มีอะไรค่อยว่ากัน”

            “ได้ครับ”

            เขาวางสายและออกรถไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ตลอดทางเขาพยายามชวนเธอคุยเพื่อเช็กให้มั่นใจว่านับดาวยังพอมีสติอยู่กับเขา ปกติแล้วถ้าเป็นเรื่องบนท้องถนนเขาจะตั้งสติและไม่ร้อนใจเลยสักนิด แต่ชารัฐรู้สึกว่าวันนี้คงเป็นวันที่เขาขับรถอย่างเร่งรีบที่สุด 

ใช้เวลาไม่นานเขาก็ถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่จุดผู้ป่วยฉุกเฉินรีบเข้ามาช่วยประคองหญิงสาวขึ้นเตียงเข้าห้องฉุกเฉิน 

            ชารัฐนั่งรออยู่สักพัก นางพยาบาลก็ออกมาตามเขาให้เข้าไปพบแพทย์

            “เป็นอาการของภูมิแพ้นะครับ เกิดจากการแพ้อาหาร ผมฉีดยาให้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวรอดูอาการคนไข้ก่อน ตอนนี้คนไข้หลับไปเพราะฤทธิ์ยา รอดูอาการสักหนึ่งชั่วโมง หากไม่มีอาการแทรกซ้อนน่าเป็นห่วงก็กลับบ้านได้ครับ ทั้งนี้ต้องระวังและหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่จะทำให้เกิดอาการแพ้ซ้ำ หมอจะจ่ายยาให้ทานตามอาการครับ”

            “ครับ ขอบคุณคุณหมอมากครับ”

            หลังจากนั้นเขาก็ไปนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ เตียงผู้ป่วย สีหน้าของนับดาวดูดีขึ้น ไม่ซีดเผือดจนน่าใจหายเหมือนก่อนหน้านี้ ระหว่างนั้นเขาก็นึกย้อนกลับไป หากอาการที่ว่าเกิดจากการแพ้อาหาร หรือว่าจะเป็นมื้อเที่ยงที่เขาทำให้นับดาว

            ระหว่างนั่งนึกย้อนถึงสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวเกิดอาการแพ้ เวลาก็ผ่านไปจนกระทั่งนับดาวค่อยๆ ตื่นขึ้นมา ชารัฐเห็นพอดีก็รีบสอบถามอาการหญิงสาว

            “นับดาว เป็นไงบ้างครับ” 

            “แสบไปทั้งตัวเลยค่ะ เราอยู่ที่โรงพยาบาลใช่ไหมคะ”

            “ครับ หมอบอกว่าเป็นเพราะคุณแพ้อาหาร คุณมีอาหารที่กินไม่ได้ด้วยหรือเปล่า”

            “ค่ะ ฉันแพ้ปูค่ะ”

            “ว่าแล้วเชียว คงเป็นเพราะเมื่อเที่ยงผมทำข้าวผัดปูให้คุณ ผมขอโทษด้วยนะครับ”

            “อย่างนั้นเหรอคะ ฉันไม่ได้สังเกตเลย”

            สีหน้าของหญิงสาวยังดูเพลียไม่มีแรง เขาจึงบอกให้เธอนอนพักอีกสักครู่ และดูเหมือนนับดาวจะเห็นด้วย เธอจึงปิดตาแล้วหลับไปเพราะฤทธิ์ยา 

 

            หลังจากที่คุณหมอตรวจอาการเธออีกครั้งและเห็นว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่น่าเป็นกังวล จึงอนุญาตให้เธอกลับบ้านและกำชับให้กินยาตามที่กำหนด หากมีอาการผิดปกติก็ให้เธอมาที่โรงพยาบาล เดิมทีชารัฐอยากให้เธอแอดมิตสักคืน ทว่านับดาวรู้สึกว่าไม่ต้องขนาดนั้น เธออาการดีขึ้นแล้ว ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มคนนี้ก็แลกเปลี่ยนด้วยการรับผิดชอบค่ารักษาของเธอทั้งหมด ท่าทางจริงจังของเขาทำให้หญิงสาวยอมแพ้ แลกกับการไม่ต้องค้างที่โรงพยาบาล จึงปล่อยให้เขาจัดการตามสมควร

            ครั้งนี้ถือว่าโชคดีที่เขาพาเธอมาโรงพยาบาลได้ทัน ปกตินับดาวจะระวังเรื่องการกินของตัวเองอยู่เสมอ คงมีมื้อนี้นี่แหละที่เธอไม่ทันได้ดูให้แน่ใจว่ากำลังกินอะไรอยู่ ส่วนคนไม่รู้อย่างชารัฐเธอก็ไม่คิดจะโทษเขาสักนิด แต่ชายหนุ่มตอนนี้กลับเอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวด ดูก็รู้ว่ายังไม่สบายใจอยู่ 

            “ไม่ต้องคิดมากหรอกนะคะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้น ต้องขอบคุณคุณด้วยที่พามาโรงพยาบาล”

            “ไม่เป็นไรครับ คุณยังรู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า” 

            นับดาวนิ่งไปครู่หนึ่งพลางส่ายหน้า “ไม่นะคะ โดยรวมก็ปกติดีค่ะ”

            “อืม” 

            ระหว่างทางกลับจากโรงพยาบาล ชารัฐคล้ายว่าจะกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่นับดาวก็ยังเห็นร่องรอยของความตึงเครียดพาดผ่านใบหน้าของเขาอยู่บ้าง 

            ตอนที่พวกเธอกลับมาถึงที่พัก นับดาวถึงเห็นว่าในร้านกาแฟของชารัฐยังมีคนอยู่ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกเสียจากอชิ เด็กหนุ่มคนนี้ยังคงนั่งเฝ้ารอชารัฐอยู่ที่ร้าน สีหน้าของอีกฝ่ายดูทั้งสบายใจและกังวลอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะหัวหน้าหรือลูกน้องก็เหมือนกันไปหมด แต่นับดาวกลับไม่ถือสา เธอรู้สึกสบายใจกับความเป็นห่วงของพวกเขาทั้งสองคนด้วยซ้ำ 

            “พี่เฌอ! อ่า...คุณ...”

            เด็กหนุ่มตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย เพราะทั้งเธอและเขาต่างก็ยังไม่เคยได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการสักครั้ง 

            “นับดาวค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการนะคะ น้องอชิ” เธอส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ขณะที่ใบหน้าเด็กหนุ่มขึ้นสีแดงจางๆ จนเธอนึกเอ็นดู แรงบันดาลใจของตัวเองพุ่งขึ้นถึงขีดสุด

            นี่มันแครักเตอร์ที่เธอตามหาชัดๆ 

            “สวัสดีครับพี่นับดาว เอ่อ...อาการเป็นยังไงบ้างครับ”

            “สบายดีหายห่วงค่ะ ขอบคุณที่ถามนะคะ” 

อชิเผยรอยยิ้มขัดเขินออกมาอีกครั้ง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะหันไปหาชารัฐ

            “พี่เฌอครับ วันนี้ร้านเรียบร้อย ไม่ต้องห่วงนะครับ ยอดวันนี้ผมลงบันทึกแล้วก็ใส่ซองแล้ว นี่ครับ” 

            อชิยื่นซองกระดาษน้ำตาลพร้อมสมุดบัญชีของร้านให้ชารัฐ ข้างในน่าจะเป็นเงินสดที่เป็นยอดของร้านวันนี้ ชารัฐรับไว้แล้วเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่าย 

            “วันนี้ต้องทำให้เราอยู่เกินเวลาเลย โทษทีนะ เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องค่าแรงเราให้”

            “โอ๊ย ไม่เป็นไรครับพี่เฌอ พี่นับดาวไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวกลับก่อนครับ”

            “อืม กลับบ้านดีๆ นะ”

            “ครับ ไปแล้วนะครับ สวัสดีครับ พี่เฌอ พี่นับดาว”

            “ค่ะ สวัสดีค่ะน้องอชิ” 

            เด็กหนุ่มช่างมีพลังงานล้นเหลือจริงๆ เลยนะ...เธอมองแผ่นหลังของอชิที่เดินออกจากร้านจนลับสายตา ก่อนจะหันมาเห็นว่าชารัฐมองเธออยู่ก่อนแล้ว 

            “คะ?”

            “เราไปกันเถอะครับ ดูเหมือนคุณต้องพักผ่อนอีกสักนิดเหมือนกัน” 

            ชายหนุ่มเอ่ยปากแล้วแบบนี้ เธอก็ได้แต่เออออเห็นตามไปด้วย รออีกฝ่ายปิดล็อกร้านเรียบร้อยแล้ว พวกเขาถึงค่อยๆ เดินขึ้นไปชั้นบนของอาคาร แต่ที่นับดาวประหลาดใจคือชารัฐกลับไม่ได้แยกไปที่ชั้นของตัวเอง เขาเดินตามขึ้นมาหยุดหน้าห้องของเธอ คิดว่าเขาคงอยากมาส่งเธอถึงห้อง เขาถึงจะจากไป แต่...

            “วันนี้...ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ได้คุณฉันคงแย่เหมือนกัน”

เธอเปิดประตูห้องแล้ว เอ่ยปากขอบคุณก็แล้ว ทว่าคนตรงหน้าก็ยังไม่มีทีท่าจะไปไหน เขาเพียงสบตาเธอเงียบๆ อาการนิ่งงันเช่นนี้เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่

“เอ่อ...ฉันเข้าห้องก่อนนะคะ แล้วเจอกั...”

“คืนนี้ผมจะมาอยู่ด้วยครับ”

เธอยังไม่ทันได้พูดจบประโยค เขาก็เอ่ยแทรกขึ้นมา นับดาวเลิกคิ้ว เบิกตามองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย 

            “คะ? ค้างที่นี่เหรอคะ”

            “ผมไม่สบายใจ อาการแพ้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะครับนับดาว” 

            เห็นชารัฐพูดด้วยสีหน้าจริงจังแล้วเธอก็ทำตัวไม่ถูก นับดาวกอดอกยืนพิงขอบประตู สีหน้าประหลาดใจเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ขึ้นมา 

            “หืม คุณเป็นห่วงฉันขนาดนี้เลยเหรอคะ ประทับใจจัง” 

            ชารัฐเห็นท่าทางของหญิงสาวแล้วก็อ่อนใจ เขากอดอกพลางพิงขอบประตูห้องเธออีกฝั่งเช่นกัน 

            “ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องครับ ไม่ว่ายังไงคืนนี้คุณต้องให้ผมอยู่ เข้าห้องไปก่อนเลยครับ แล้วผมจะตามมา คุณอยากกินอะไรไหม ผมจำได้ว่ามียาที่คุณต้องกินหลังอาหารอยู่ตัวหนึ่ง”

            หญิงสาวเลิกคิ้วมองเขาเล็กน้อย นัยน์ตาเป็นประกายขณะมองเขาขึ้นลง มุมปากของเธอยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะขยับเปลี่ยนท่าทาง โน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ เขา เธอเอียงศีรษะเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงหวาน 

            “พี่เฌอ...ห่วงฉันเหรอคะ” 

            เสียงหวานๆ ออดอ้อนทำให้เขาชะงัก แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้งยั่วเขาไปอย่างนั้น แต่ชารัฐก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ หัวใจของเขาแกว่งสูงกว่าปกติเล็กน้อย จนต้องกระแอมกระไอปรับอารมณ์ตัวเอง

            “คุณนี่...”

            นับดาวไม่มีทีท่าจะยอม เธอยังคงขยับเบียดตัวเองจนร่างกายแนบติดกับเขา มือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าขอบประตูข้างๆ ใบหน้าของเขา เธอส่งยิ้มหวาน แม้หน้าของเธอจะซีดเผือดไม่ค่อยสดใสเหมือนเมื่อเช้า แต่ก็ยังดีกว่าตอนที่เขาเข้ามาพาเธอไปโรงพยาบาล 

            “จุ๊ๆ อย่านอกเรื่องสิคะ ว่าไง พี่ห่วงฉันเหรอคะ ไหนๆ บอกให้ชื่นใจหน่อยสิคะ” 

            เขาสบตาเป็นประกายของเธอแล้วนึกขำ ในเมื่อเธออยากเล่นกับเขานัก ชารัฐก็ยอม 

            เขาถอนมือที่กอดอกออกเป็นอิสระ ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็ต้อนร่างบอบบางของนับดาวไปชนขอบประตูอีกฝั่ง แล้วใช้มือข้างหนึ่งเท้าไว้เหนือศีรษะของหญิงสาวแทน 

            “ครับ พี่ห่วง คืนนี้ให้พี่ค้างด้วยนะครับ”

            สีหน้าเหนือกว่าของนับดาวพลันเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก นัยน์ตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ชารัฐคาดไว้แล้วว่าอย่างนับดาว เขามีแต่ต้องดับเครื่องชนเท่านั้น

            คนตัวเล็กกว่ายังคงไม่พูดไม่จา ตาของเธอล่อกแล่กไปมา ถ้าให้เขาเดา ตอนนี้ในหัวของเธอคงพยายามคิดหาวิธีร้อยแปดเพื่อหาทางเอาคืนเขาบ้าง แต่ชารัฐไม่ปล่อยให้เธอได้โอกาสนี้ไปหรอก เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหูของอีกฝ่ายก่อนกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา 

            “นะครับ นับดาว พี่ขอนะ...”

 

            วันนี้เธอถึงกับพ่ายแพ้ไปแล้วสองครั้ง นี่หรือเปล่าที่เขาเคยพูดกันว่าแพ้ทาง ตอนแรกนับดาวคิดว่าเธอจะสามารถควบคุมตัวเองและมีอำนาจการตัดสินใจใดๆ เหนือชายหนุ่มได้ จึงเลือกยื่นข้อเสนอทั้งหมดให้เขาไป คิดเองว่าคนอย่างเขาน่ะเธอ ‘เอาอยู่’ แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างผิดแผนไปหมด คนที่ถูกคุมถูกต้อนให้จนมุมกลับเป็นเธอไปเสียได้

            นับดาวเข่นเขี้ยวด้วยความขัดใจพลางมองดูชารัฐที่กำลังวุ่นอยู่ในครัวของเธอ จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปยังข้าวของเครื่องใช้ของเขาบางส่วนที่วางอยู่ในห้องนั่งเล่นตัวเอง นึกโทษตัวเองในใจที่พ่ายแพ้ไม่มีชิ้นดี ใครจะคิดว่าเขาดันใช้แผนชายงามล่อลวงเธอ!

            วินาทีที่เขาขยับเข้ามาประชิด ตอนนั้นสมองเธอก็พลันตื้อทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเขาโน้มตัวกระซิบด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เธอก็เกือบจะอ่อนยวบลงไปกองที่พื้น 

            ใครว่าผู้หญิงมีแต่มารยา ผู้ชายก็มีเหมือนกัน และชารัฐก็คือข้อพิสูจน์ชั้นดีเลยทีเดียว! 

            “มากินข้าวกันครับ”

            ชารัฐทำตัวเป็นแขกที่ดีจนเธอไม่สามารถใส่อารมณ์ใดๆ ได้เลย ทั้งหมดที่เขามาอยู่ห้องเธอตอนนี้ก็เพราะความเป็นห่วงและความหวังดีล้วนๆ ดังนั้นเธอจึงตัดใจทำตัวใจร้ายกับเขาไม่ลง 

            “โชคดีนะคะที่ห้องฉันเก็บไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคงขายหน้าแย่” 

            นับดาวพูดความจริง ก่อนหน้าที่เธอจะปิดต้นฉบับเสร็จ ห้องของเธอเรียกได้ว่ารกสุดๆ ยังดีที่สภาพห้องในตอนนี้คือหลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงได้เสียหน้าอีกครั้งแน่ๆ 

            ชารัฐยิ้มบางๆ ไม่พูดอะไร เขายกชามข้าวต้มหมูสับมาวางบนโต๊ะกินข้าวในห้อง จากนั้นก็ส่งช้อนส้อมให้เธอ 

            “รีบกิน จะได้กินยาครับ” 

            นับดาวรับช้อนส้อมมาแล้วจำต้องนั่งลงกินข้าวต้มหอมฉุยตรงหน้าเสียไม่ได้ เธอตักขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเป่าเบาๆ ไล่ความร้อนก่อนจะเอาเข้าปาก ข้าวสวยเป็นเม็ดนุ่มฟู รสชาติของน้ำซุปก็เข้มข้น เนื้อหมูเด้งหนึบ แค่คำแรกก็อร่อย เรียกน้ำย่อยจนนับดาวหยุดมือไม่ได้ 

            ส่วนพ่อครัวคนเก่งก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามพลางตักข้าวต้มเข้าปากบ้าง ระหว่างมื้ออาหาร เธอและชารัฐไม่มีใครพูดอะไรออกมา แค่นั่งกินข้าวเย็นด้วยกันเงียบๆ แต่นับดาวพลันรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้อร่อยกว่ามื้อไหนๆ และทำให้เธอรู้สึกอุ่นไปถึงในใจ

            ตั้งแต่เริ่มทำสัญญากับชารัฐ เธอก็รู้สึกว่าจำนวนมื้ออาหารที่ต้องนั่งกินคนเดียวเริ่มน้อยลงกว่าแต่ก่อน 

            “ข้าวต้ม...อร่อยมาก ขอบคุณนะคะ”

            คำขอบคุณครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องข้าวต้มอย่างเดียว นับดาวรู้ดีว่ามันมีความหมายมากกว่านั้น แต่เธอไม่ต้องการให้ชารัฐรู้ แค่นี้สำหรับเธอก็มากกว่าที่คิดไปเยอะแล้ว 

 

            นับดาวปล่อยให้ชารัฐเป็นคนเก็บโต๊ะอย่างเต็มใจ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเอ่ยปากอาสาทำให้ เธอก็ไม่อยากขัดศรัทธาเขา เธอไม่ปฏิเสธว่าตัวเองพึงพอใจ ถึงแม้จะแปลกจากปกตินิดหน่อยที่ไม่ชอบใครให้ก็ตามรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของตัวเอง แต่ชารัฐกลายเป็นข้อยกเว้นที่แม้แต่ตัวเองก็หาเหตุผลมาให้น้ำหนักไม่ได้ว่าทำไม ยิ่งมองชายหนุ่มทำนู่นทำนี่ในครัวของเธอ นับดาวก็ยิ่งค้นพบความประหลาดใจที่ผุดขึ้นมาในความคิดของตัวเองเรื่อยๆ อย่างเช่น...เธอรู้สึกว่าภาพตรงหน้าดูจะเข้าทีไม่น้อย การเห็นเขาอยู่ในพื้นที่ของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลย 

            นั่นสิ ทำไม...ทั้งๆ ที่เขาเป็นแค่หนึ่งในเป้าหมายที่เธอต้องการใช้แค่ประโยชน์จากร่างกายเขาแท้ๆ 

            เมื่อไม่ได้คำตอบ นับดาวก็เลิกสนใจค้นหาอีก เพราะลึกๆ เธอไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าคำตอบที่ได้จะเป็นคำตอบที่ตนพึงพอใจหรือไม่ ดังนั้นเธอจะปล่อยให้มันค้างคาและคลุมเครือแบบนี้ต่อไป อย่างน้อยให้เธอยึดตามความตั้งใจเดิมของตัวเองดีกว่า มองเขาเป็นคู่สัญญาก็พอ อย่างอื่นยังไม่ต้องไปสนใจอะไรทั้งนั้น 

            ระหว่างนั่งมองชายหนุ่มเพลินๆ เขาก็เอ่ยปากขึ้นมา 

“วันนี้ตอนที่ผมขึ้นมาหยิบของให้คุณ เหมือนว่าผมจะเห็นขวดโหลใส่ดาวด้วย” 

            สมองของนับดาวหนักอึ้ง เบลอๆ เพราะฤทธิ์ยา หลังจากทบทวนคำพูดของชารัฐอยู่พักใหญ่ หญิงสาวถึงเพิ่งกระจ่าง เธอหันหน้าไปมองโซนทำงานอย่างเชื่องช้า บนโต๊ะทำงานของเธอมุมหนึ่งมีโหลแก้วใบใหญ่ที่ใส่ดาวกระดาษสีสวยไว้เป็นร้อยดวง

            นับดาวเลิกคิ้ว หันกลับไปมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดจานชาม เธอพินิจ นึกอยากรู้ขึ้นมาเหลือเกินว่าสีหน้าและแววตาของเขาตอนถามคำถามนี้ขึ้นมาเป็นอย่างไร

            “ทำไมคะ” นับดาวยืดหลัง เธอกะพริบตา พยายามตั้งสติปัดเป่าความง่วงที่กำลังคืบคลานเข้ามา ตอนนั้นเองที่ชารัฐวางจานใบสุดท้ายลงบนที่พักจานแล้วหมุนตัวกลับมา 

            “ไม่มีอะไรครับ แค่ไม่ได้เห็นของแบบนี้มานานมากแล้ว” 

ใบหน้าของชายหนุ่มประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า ถึงได้รู้สึกว่าแววตาของเขามีความรู้สึกบางอย่างพาดผ่าน ทว่าเปลือกตาที่หนักอึ้งและสมองที่ยังไม่ปลอดโปร่งดีนักทำให้นับดาวไม่อาจจับความรู้สึกในดวงตาเขาได้อย่างชัดเจน เธอนึกขัดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งอยู่ที่เดิมและหรี่ตามองชายหนุ่มอย่างพิจารณา 

            “เมื่อก่อนผมก็เคยได้รับโหลดาวแบบนี้เหมือนกัน พอมาเห็นอีกครั้งก็เลยนึกขึ้นมาน่ะ”

            “ใครเป็นคนให้มาคะ”

            ชารัฐเดินเข้ามานั่งลงที่โซฟาเดี่ยวตัวเล็กถัดจากเธอไปอีกตัว 

            “รุ่นน้องสมัยเรียนครับ แต่ไม่ได้ติดต่อกันนานมากแล้ว...” ปลายเสียงของชายหนุ่มขาดห้วงไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะปรับโทนเสียงให้กลับมาเป็นปกติ “แล้วในโหลนี่พับเองหรือเปล่าครับ” 

            นับดาวมองชายหนุ่มเงียบๆ เธออยากรู้เรื่อง ‘รุ่นน้องคนนั้น’ ที่ชายหนุ่มคล้ายจะหลุดปากเล่าออกมามากกว่าจะตอบคำถามของเขาด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวไม่อยากทำอะไรให้มีพิรุธ จึงตอบเสียงเรียบกลับไป 

            “ค่ะ เวลาเซ็งๆ ไม่มีอะไรทำก็เอาออกมาพับเล่น ตามชื่อไงคะ...นับดาว จริงๆ เป็นกิจกรรมฝึกสมาธิของฉันมากกว่า” 

            เห็นชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ นับดาวจึงรีบถามเขากลับ 

            “แล้วเรื่องของคุณล่ะคะ เล่ามาเลยค่ะ”

            “อยากรู้เหรอครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว มองเธอพร้อมรอยยิ้มจางๆ 

            “ฟังดูมีลับลมคมในแบบนี้ กระตุ้นต่อมเผือกฉันมากๆ เลยค่ะ ไหนๆ ก็ไม่อะไรทำแล้ว เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิคะ” 

นับดาวหยิบหมอนมาวางบนตัก มืออีกข้างตบลงบนเบาะนั่งเป็นการให้เขาเล่าออกมา ชารัฐก็เหมือนนึกขึ้นได้ ว่าเรื่องซุบซิบโดยเฉพาะหัวข้อ ‘ความรัก’ เป็นบทสนทนาชั้นเลิศที่สาวๆ เกือบทุกคนไม่อยากพลาด 

            “ก็ไม่มีอะไรมากครับ ผมรู้จักกับเขาสมัยเรียนมัธยม น้องเขาเป็นคนเงียบๆ...” 

            “แล้ว?”

            “ผมได้ของขวัญจากน้องเขาเป็นโหลดาวครับ มันมีดาวเยอะมาก บรรจุจนเกือบจะล้นขวด”

            “หืม เป็นการสารภาพรักหรือเปล่าคะ แล้วยังไง คุณคบกับเขาหรือเปล่า” พอหญิงสาวเห็นว่าสายตาของเขาเจือไปด้วยคำถามว่า ‘ทำไมเธอถึงรู้ล่ะ’ นับดาวก็กลอกตามองบนแล้วตอบเขาอย่างขอไปที 

            “คอมมอนเซนส์มากๆ จะมีใครพับดาวเป็นร้อยๆ ใส่โหลแล้วไม่ใช่การสารภาพรักบ้างคะ นี่คุณเฌอดูหนังรักกับเขาบ้างปะเนี่ย สูตรสำเร็จรักในวัยเรียนชัดๆ” 

พอเห็นเธอเบ้ปากมองเขาอย่างไม่เชื่อแล้วชายหนุ่มก็นึกขำขึ้นมา 

            “ครับ ตามสูตรสำเร็จของคุณจริงๆ แต่ว่าพวกเราไม่ได้คบกัน” ชารัฐนิ่งไปเล็กน้อยราวกับกำลังนึกย้อนใบหน้าของเด็กสาวในความทรงจำ ทว่าภาพที่จำได้กลับเป็นดวงตาคู่สวยที่เจือด้วยหยาดน้ำตา และคำพูดบาดลึกที่ฝังอยู่ในใจเขาจนถึงทุกวันนี้ 

            “ทำไมล่ะคะ”

            แววตาของหญิงสาวเจือความสงสัยอย่างปิดไม่มิด ชารัฐยกมุมปากขึ้นคล้ายจะเย้ยหยันตัวเองยามหวนนึกถึงอดีตครั้งนั้น เขายังเคยคิดว่าหากย้อนกลับไปได้ เขาคงจะแก้ไขมัน และคงไม่ทำให้เด็กสาวคนหนึ่งเจ็บปวดขนาดนั้น

            “เพราะผมทำเขาเสียใจครับ”

 

            เรื่องราวหลังจากนั้นชารัฐไม่ได้เปิดปากเล่าอะไรอีก ต่อให้เธอพยายามคาดคั้นเท่าไหร่ เขาก็ปิดปากสนิท ดูท่าแล้วชายหนุ่มคงไม่อยากพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เธอจึงได้แต่ยกธงขาวยอมแพ้ไปเสียดีๆ แล้วเปลี่ยนใจรีบเดินเข้าห้องของตน หยิบเสื้อผ้าให้ครบแล้วเข้าห้องน้ำ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเธอก็ออกมาด้วยความรู้สึกสดชื่นกว่าเดิมเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นการอาบน้ำไม่ได้ช่วยให้ความง่วงงุนที่กำลังโจมตีตัวเองลดลงเลย 

            นับดาวทิ้งตัวลงบนเตียงทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่ชารัฐเดินเข้ามาในห้องนอนของเธอ 

            “ผมจะนอนที่โซฟาข้างนอกนะครับ ถ้ามีอะไรก็เรียกได้เลย” 

            หญิงสาวขมวดคิ้วทันทีที่เขาพูดถึงโซฟาสีแดงในห้องนั่งเล่นของเธอ 

“มันนอนไม่ได้นะคะตัวนั้น แค่ความยาวก็รู้แล้วว่าต้องนอนไม่ได้” 

เธอไม่ได้พูดเล่น โซฟาสีแดงตัวนั้นมันยาวแค่ไม่เท่าไหร่เอง ถ้าจะให้ผู้ชายวัยหนุ่มที่โตเต็มที่แล้วอย่างชารัฐนอนคงได้แต่ฝัน เพราะนอกจากเขาจะไม่สบายตัวแล้ว เธอยังไม่สบายใจ 

            นับดาวขยับลุกจากเตียง เดินไปค้นของในตู้เสื้อผ้า ก่อนจะหยิบชุดฟูกนอนพื้นแบบพับได้ออกมาด้วยอาการทุลักทุเลเล็กน้อย 

            “นอนบนนี้ดีกว่าค่ะ” 

            เธอจัดแจงปูมันลงบนพื้นข้างเตียง ถึงจะไม่ได้กว้างเท่าเตียงสามฟุตครึ่ง แต่มันก็ยาวและดีกว่าจะให้ชารัฐนอนที่โซฟาในห้องรับแขกของตน พอเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยนับดาวก็เขยิบขึ้นเตียง นอนมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่เล็กน้อย

            “ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอกค่ะ”

            เธอยิ้มกริ่มแล้วเปิดไฟในห้อง เปลี่ยนไปเปิดไฟสีส้มนวลไว้แทน จากนั้นก็เริ่มปรับหาท่าที่สบายที่สุดพลางหลับตาลง ขณะหลับตานับดาวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม เหมือนว่าเขาจะเดินกลับออกไปข้างนอก เธอเดาว่าคงไปหยิบหมอนกับผ้าห่มของตัวเองมา เพราะก่อนหน้านี้เธอเห็นเขาถือมันมาด้วย 

            นับดาวลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย สิ่งที่เธอคิดไม่ผิดจากที่คาดสักเท่าไหร่ เพราะชารัฐกำลังนั่งลงบนฟูกพับพลางจัดหมอนของตัวเองไปด้วย ก่อนที่เขาจะล้มตัวนอนและตะแคงข้างมาทางเธอ 

            เตียงนอนของเธอเป็นแค่เตียงเตี้ยๆ ติดพื้น ระยะความสูงของคนที่นอนบนเตียงกับนอนที่พื้นแทบจะไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ดังนั้นตอนที่ชารัฐพลิกตัวตะแคงข้างหันมาทางเธอ พวกเขาทั้งสองคนจึงสบตากันจังๆ 

            สำหรับนับดาว ฉากแบบนี้เป็นฉากที่เธอทั้งเขียนทั้งวาดในงานตัวเองมาเป็นร้อยๆ ครั้ง ทว่าในชีวิตจริง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้นอนสบตาใครสักคนแบบนี้ 

            หากพูดกันตามความจริงแล้ว ชารัฐคือผู้ชายคนแรกในชีวิตที่ได้เธอมีโอกาสทำบางอย่างกับเขา เป็นคนแรกที่ทำให้เธอได้ลิ้มลองรสชาติและเสน่ห์ของรสเพศระหว่างชายหญิงที่รู้จักแต่ในภาคทฤษฎี ดังนั้นระหว่างที่ทั้งสองคนสบตากันอยู่นี้โดยไม่มีใครละสายตาออกไปก่อนและไม่มีใครพูดอะไรออกมา ความรู้สึกแปลกๆ ที่คล้ายจะโอบล้อมเธอกับเขาไว้จึงทำให้นับดาวเริ่มทำตัวไม่ถูก สุดท้ายเธอจึงเป็นฝ่ายแรกที่เอ่ยปาก 

            “คืนนี้เอาแค่นี้ไปก่อนนะคะ อย่างอแงนะคะ”

            พอเห็นชายหนุ่มขมวดคิ้วเพราะคำพูดของเธอ นับดาวก็หัวเราะเบาๆ 

            “หลังจากนี้คุณจะชดเชยให้ผมอีกเหรอ”

            นั่นไง...เธอลืมไปได้ไงนะว่าเขาก็มีฝีไม้ลายมือมากพอจะโต้กลับเธอได้ไม่แพ้กัน 

            “วันนี้คุณได้กำไรไปแล้ว ยังจะขอชดเชยอีกเหรอคะ” 

            “คนที่ได้กำไรดูเหมือนจะไม่ได้มีผมคนเดียวนี่” รอยยิ้มของชารัฐกดลึกจนดูคล้ายจะยั่วยวนเธอ นัยน์ตาเขาเป็นประกาย ไม่ต้องบอกนับดาวก็รู้ว่าเพราะอะไร 

            “บางทีผมก็เริ่มสงสัยแล้วว่างานของคุณที่ออกมาโดนใจแฟนคลับแบบนี้ คุณศึกษามาจากไหนกัน” 

เธอมองค้อนเขาหนึ่งครั้ง เพราะรู้ถึงความหมายโดยนัยที่ชายหนุ่มสื่อออกมา ก่อนจะตอบไปตามความจริง

            “เว็บหนังโป๊ไงคะ ฉันสมัครเป็นลูกค้าพรีเมียมด้วยนะ”

            คำตอบของเธอเรียกเสียงหัวเราะของชารัฐได้ เขาขำให้เธอก่อนจะยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วมองตรงมา

            “อืม ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”

            “คุณพูดเหมือนกับอ่านงานของฉันแล้วเลยนะคะ”

            “ก็ยังหรอกครับ แต่ดูท่าผมอาจจะต้องไปหามาอ่านบ้างแล้ว” 

            นัยน์ตาวาววับคล้ายจะหยอกล้อของชายหนุ่มทำให้นับดาวรู้สึกเห่อร้อนที่ใบหน้า อาการง่วงซึมเพราะฤทธิ์ยาราวกับจะหายไปในทันที 

            “ว่าแต่ทำไมคุณถึงมาเปิดร้านกาแฟคะ ฉันเข้าใจว่าคุณจะเป็นสายวิชาการมากกว่า”

            ชารัฐเงียบไปราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ แต่ไม่นานเขาก็ให้คำตอบ

            “ผมแค่รู้สึกว่า บางทีชีวิตคนเราอาจต้องการอะไรที่เรียบง่ายก็พอ ความจริงผมชอบเรื่องกาแฟมานานแล้ว พอมีเวลา มีโอกาส ก็เลยอยากลองทำดู”

            “แสดงว่าก่อนหน้านี้คุณทำอย่างอื่นสินะคะ”

            เธอมองเขา ขณะเดียวกันก็เริ่มจินตนาการถึงชีวิตของผู้ชายตรงหน้า นึกถึงเขาในวัยมัธยมว่าคนตรงหน้าจะเป็นอย่างไร แล้วเขาตอนเรียนมหาวิทยาลัยจะทำอะไรบ้าง จะต่างจากตัวตนของเขาที่อยู่ต่อหน้าเธอแบบนี้ไหม 

“ก่อนหน้านี้ทำงานกับเพื่อนครับ จริงๆ ก็เหมือนเป็นหุ้นส่วน ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่”

คำอธิบายของคนตรงหน้าทำให้นับดาวเข้าใจแล้วว่า นอกจากร้านกาแฟนี้ เขายังมีธุรกิจที่ดูแลอยู่กับเพื่อนเหมือนกัน 

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”

“แล้วทำไมคุณถึงมาเป็นนักเขียนล่ะ”

คำถามของเขาทำให้เธอนิ่งไปชั่วครู่เหมือนกัน เธอก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะผันตัวมาอยู่บนเส้นทางนี้

“ตอนแรกฉันอยากเรียนอย่างอื่นค่ะ เพราะว่ามีเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จ แต่ไปๆ มาๆ ฉันก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่เหมาะกับทางนั้นเลย ต่อให้พยายามแค่ไหนก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ จากนั้นฉันก็ตามหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ”

ชารัฐยังคงนอนฟังเธออย่างตั้งใจ สีหน้าของเขานิ่งสงบคล้ายกำลังรอให้เธอเล่าต่อ 

“ฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยช้ากว่าหลักสูตรไปหนึ่งปี ที่หายไป...ก็แค่ใช้เวลาเพื่อทำความรู้จักตัวเองสักหน่อย จนพอได้คำตอบแล้วฉันเลยเรียนสายนิเทศฯ ตอนจบมาแรกๆ ก็อยู่ทีมโพรดักชันสักพักนะคะ ระหว่างนั้นก็เขียนงานไปด้วย ทำงานไปด้วย”

“แล้วยังไงต่อครับ”

“บังเอิญงานของฉันมันดันติดใจคนอ่านน่ะค่ะ พี่ปุ้ย...หมายถึงพี่บรรณาธิการสำนักพิมพ์เลยติดต่อมา จากนั้นฉันก็เขียนนิยายส่งเขาเรื่อยๆ หลังๆ ก็อยากวาดรูปเองบ้าง เลยไปเรียน เรียนไปทำงานไป แต่งนิยายไป สุดท้ายมันดันชอบกว่างานประจำที่ทำอยู่ ก็เลยลาออกแล้วมาทำงานของตัวเองเต็มตัวค่ะ”

“ฟังดูไม่เลวเลยนะครับ”

“ค่ะ แต่มันก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดหรอกนะคะ มีหลายอย่างที่เข้ามาทำให้ประสาทเสียเยอะแยะเหมือนกัน” 

“ผมเข้าใจ”

“แต่ฉันก็เห็นด้วยกับคุณนะคะ ชีวิตเราจะต้องการอะไรไปมากกว่าความสุขล่ะ ขอแค่ทำอะไรแล้วมีความสุข ไม่เดือดร้อนคนอื่น ฉันก็พอใจแล้ว คุณคิดแบบนั้นไหมคะ”

จังหวะที่พูดจบ เธอหันไปมองชารัฐอีกครั้ง แต่คราวนี้นัยน์ตาของเขาที่มองตรงมากลับดูหยั่งลึกราวกับบ่อน้ำที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ดึงดูดให้เธอจมลงไปในนั้น เป็นประกายจากดวงตาที่ทำให้เธอรู้สึกทั้งเคลิบเคลิ้มและหวั่นใจ เหมือนกำแพงที่ตั้งตระหง่านกำลังสั่นคลอนลงช้าๆ เพราะสายตาที่แผดเผาเธอคู่นี้ 

“ฉัน...”

เธอกลืนน้ำลายลงลำคอที่แห้งผาก แล้วค่อยๆ เค้นเสียงออกมาอีกครั้ง

“ดูเหมือนจะเริ่มง่วงจริงๆ แล้ว ขอนอนก่อนละกันนะคะ ฝันดีค่ะ”

เธอไม่รอให้อีกฝ่ายตอบก็พลิกตัวหันหนีพลางกระชับผ้าห่มขึ้นมา ระหว่างที่หลับตาอยู่นั้นเธอได้ยินเสียงของเขาดังอยู่ไม่ไกล แต่นับดาวกลับรู้สึกเหมือนเสียงนั้นกำลังกระซิบบอกที่ข้างหู เป็นเสียงทุ้มต่ำที่ฟังแล้วทั้งสงบและอุ่นใจอย่างประหลาด และนับดาวคงไม่ทันรู้ตัวเลยว่าคำพูดสุดท้ายของเขาจะเป็นดังมนตร์วิเศษที่ทำให้เธอหลับลึกอย่างสบายใจแค่ไหน

“ฝันดีครับ นับดาว”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น