10

บทที่ 10

บทที่ 10

 

หลังจากนั้นนับดาวกับชารัฐก็ได้พบหน้ากันแค่ช่วงที่เธอลงไปนั่งที่ร้านกาแฟของเขา แน่นอนว่านอกเหนือจากคำทักทายปกติแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก ท่าทางของหญิงสาวยังเหมือนปกติ แต่ชารัฐสัมผัสได้ถึงกำแพงที่เธอกำลังก่อขึ้นมา 

ทว่านอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของนับดาวแล้ว ที่ร้านกาแฟแห่งนี้ยังมีลูกค้าอีกคนที่พบหน้าได้บ่อยกว่าที่คิด นับดาวมองเงาร่างที่คุ้นตาของไปรยาผ่านกระจกหน้าร้าน แค่เห็นเงาสะท้อนแผ่นหลังของอีกฝ่ายรางๆ ก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือบรรณาธิการสาวของเธอ 

สองสามวันมานี้ดูเหมือนว่าไปรยาจะแวะมาเป็นลูกค้าที่ร้านบ่อยเหลือเกิน เธอเองก็เริ่มแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะอยู่เฉยๆ แน่ๆ ในเมื่อครั้งก่อนกล้าถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชารัฐเสียขนาดนั้น ดูท่าแล้วครั้งนี้บรรณาธิการสาวคนนี้คงจะเริ่มเดินหน้าแล้ว

นับดาวยกมุมปากเล็กน้อยพลางเข้าไปในร้านตามปกติ สิ่งแรกที่สายตาของเธอประสานเข้าก็คือดวงตาคู่งามของชารัฐ ประกายที่เจือความปีติยินดีทำให้มือไม้ของเธออ่อนลงอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็หันหน้ากลับไปพูดคุยกับหญิงสาวร่างเล็กแทน 

ความไม่พอใจส่วนหนึ่งพลุ่งพล่านขึ้นมา สาเหตุเพราะที่นั่งตรงนั้นมักจะเป็นที่ประจำของเธอ สองสามวันมานี้มันถูกยึดไป แม้ในใจจะอยากก้าวไปกระชากบรรณาธิการของตนออกมาจากที่นั่งตรงนั้น แต่ในโลกของความเป็นจริง นับดาวทำเพียงเดินเข้าไปในร้าน นั่งลงบนเก้าที่ห่างไปสองสามตัว เมื่อเห็นว่าชารัฐกำลังง่วนอยู่กับการสนทนากับสาวน้อยอีกคน นับดาวก็คร้านจะสนใจ เธอเรียกเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยกันดีอีกคนมาแทน

“ข้าวตังคะ พี่ขอสั่งกาแฟหน่อย”

นักศึกษาหนุ่มคนนี้หน้าตาดีเลยทีเดียว เด็กหนุ่มตรงหน้ามักแสดงสีหน้าเดียวคือไม่ยินดียินร้าย ถึงอย่างนั้นบนใบหน้าของเขาก็ยังคงประดับรอยยิ้มที่มุมปากจางๆ ทำให้คนมองไม่ได้รู้สึกหมั่นไส้หรือไม่ชอบใจตั้งแต่พบหน้า 

“สวัสดีครับพี่นับดาว วันนี้รับเหมือนเดิมเลยหรือเปล่าครับ” 

เนื่องจากสองสามวันมานี้เธอไม่ได้มานั่งชิลๆ กินบรรยากาศที่ร้านนานๆ มีแต่จะพกกระติกน้ำร้อนของตัวเองมาพร้อมกับสั่งกาแฟขึ้นไปบนห้องเพื่อทำงานต่อ ทั้งอชิและปรินทร์จึงชินเสียแล้วที่เธอจะไปๆ มาๆ ระหว่างร้านกับห้อง มีบ้างที่อชิถามเธอว่าพกงานมาทำที่ร้านไม่ดีกว่าหรือ เธอจะได้ไม่ต้องขึ้นๆ ลงๆ แต่นับดาวก็เพียงส่งยิ้มเป็นคำตอบ 

โถๆ เจ้าหนูน้อย ถ้ารู้ว่าพี่สาวคนนี้ทำงานอะไร หนูจะไม่ตกใจกลัวเหรอจ๊ะ 

ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธความหวังดีของเด็กหนุ่ม และอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอไม่ได้อยากลงมาก็เพราะ...แขกคุ้นหน้าอีกคนมากกว่า 

            ไปรยากำลังทำคะแนนกับชารัฐ ไม่ถึงกับต้องตาบอดก็รู้ว่าหญิงสาวต้องการลดช่องว่างระหว่างตนกับชารัฐแค่ไหน นับดาวจึงไม่อยากเอาตัวเข้าไปยุ่งให้วุ่นวาย และที่สำคัญถ้าต้องให้เธอเห็นภาพของสองคนนี้บ่อยๆ เธอกลัวว่าตัวเองจะนอตหลุดขึ้นมาเสียก่อน 

            เพราะอย่างนั้นเธอจึงต้องพกใบหน้าที่ประดับแต่รอยยิ้มเอาไว้ ในใจท่องวนเป็นรอบที่ร้อยว่า ‘ไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ได้คิดอะไร ยุบหนอ พองหนอ’ อยู่อย่างนี้ 

            อีกอย่างวันนี้เธอมีเรื่องสำคัญต้องทำ จะมาให้อารมณ์แย่ๆ ทำลายวันดีๆ แบบนี้ไม่ได้ 

            “วันนี้พี่จะนั่งที่ร้านสักพักค่ะ ก่อนจะไปทำธุระ พี่เลยไม่ได้เอากระติกมาด้วย ข้าวตังอยากแนะนำอะไรให้พี่แทนไหมล่ะคะ พี่เริ่มเบื่อกาแฟแล้ว รสชาติ...ก็เหมือนเดิม” 

            ไม่รู้ว่าประโยคในตอนท้ายเป็นการจงใจหาเรื่องใครบางคนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ บทสนทนานี้ ชารัฐซึ่งตั้งใจฟังได้ยินเต็มสองหู ไม่ต้องถามก็รู้ว่าหญิงสาวกำลังจิกกัดเขาว่าเป็นกาแฟแก้วเก่าที่มีแต่รสชาติเดิมๆ 

            แทนที่จะอารมณ์เสีย ชารัฐกลับยกยิ้มมุมปาก ในหัวเริ่มจินตนาการแล้วว่าจะจัดการกับผู้หญิงปากร้ายคนนี้อย่างไรดี 

            “เมนูชาดีไหมครับ พวกชาพีชกำลังมา ที่ร้านไม่ใช้ไซรัปด้วย” 

            “ก็ดีค่ะ งั้นพี่ขอเป็นแบบเย็นนะคะ” 

            “ได้ครับ”

            ปรินทร์จดออร์เดอร์ลงกระดาษก่อนจะเดินไปทำชาพีชให้เธออย่างคล่องมือ ทั้งๆ ที่เพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน แต่เด็กหนุ่มคนนี้ดูจะรู้งานมากกว่าที่คิด ชั่วแวบหนึ่งนับดาวก็นึกอะไรขึ้นมาได้ 

            “ข้าวตังคะ พี่ขอถามได้ไหม น้องมีแฟนหรือเปล่าคะ”

            คำถามนี้ของนับดาวทิ้งระเบิดตูมใหญ่ให้ชายหนุ่มทั้งสาม 

            หนุ่มแรกคือคนที่ถูกถาม มือที่กำลังง่วนกับการชงชาเป็นอันต้องชะงัก

            หนุ่มที่สองก็คืออชิซึ่งอยู่ไม่ไกล รายนี้ถึงกับสำลักน้ำที่ดื่มพลางเบิกตาโพลงมองนับดาวสลับกับเพื่อนของตน และแอบชำเลืองมองสีหน้าของชารัฐด้วยความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ 

            ส่วนหนุ่มที่สามก็ไม่พ้นเจ้าของร้าน เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนมองสีหน้าของหญิงสาว พอเห็นสายตาแพรวพราวคล้ายว่าพอใจของเธอ เขาก็รู้แล้วว่านี่คือการกลั่นแกล้ง ทว่าในใจลึกๆ ชารัฐรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา นึกอยากจะเดินเข้าไปหาร่างบางที่แสนเย้ายวนของนับดาวแล้วคว้าเธอมาจูบสักครั้ง ให้รู้เสียบ้างว่าปากเล็กๆ ที่เขาชอบนี้ไม่ควรเย้าแหย่ผู้ชายคนอื่นอีก

            “อะแฮ่ม! แค็กๆ พี่นับดาวครับ แค็กๆ อยากรับขนมหวานด้วยไหมครับ” อชิรีบกระโดดเข้ามาในสนามพลางพูดทีเล่นทีจริง เขาเกือบลืมไปเลยว่าเวลาตัวเองอยู่ต่อหน้ารุ่นพี่สาวคนนี้ก็รับมือไม่ไหวเหมือนกัน

            “ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวพี่ต้องออกไปข้างนอก” นับดาวส่งยิ้มหวาน ทำเอาอชิหน้าแดงขึ้นมา 

            “อะ...อ๋อ ครับ ผมก็คิดอยู่เลยว่าวันนี้พี่นับดาวสวยกว่าปกติ” 

            คำชมซื่อๆ ของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้นับดาวยิ้มด้วยความเอ็นดู จนอดไม่ได้ต้องหยอกล้ออีกฝ่ายไปหนึ่งที

            “อชิพูดแบบนี้แสดงว่าวันอื่นๆ พี่ไม่สวย?”

            “มะ...ไม่ใช่ครับ! คือปกติพี่นับดาวก็สวยอยู่แล้ว แต่วันนี้สวยปะ...เป็นพิเศษ ผมก็เลย...ก็เลย...”

            เห็นท่าทางของอีกฝ่ายแล้วนับดาวก็เก็บอาการไม่อยู่ หลุดขำออกมาเต็มเสียง เสียงหัวเราะที่ไม่ต่างจากกระดิ่งใสทำให้จิตใจคนฟังสั่นไหวไปพร้อมกัน 

            “ขอบคุณค่ะอชิ วันนี้พี่มีเดต จะแต่งตัวง่ายๆ ก็คงไม่ดีจริงไหมคะ”

            “ดะ...เดต?”

            คำตอบของเธอทำให้อชินิ่งงัน เด็กหนุ่มหันไปมองคนที่เป็นทั้งรุ่นพี่ที่เคารพและเจ้านายด้วยความกระอักกระอ่วน แม้สิ่งที่เขาเห็นจะเป็นเพียงสีหน้าเรียบสงบของอีกฝ่าย แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบใจที่แผ่ออกมาจากชารัฐ เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงกลางระหว่างขั้วอำนาจทั้งสองอย่างเขาถึงกับโอดครวญในใจ 

            ‘พวกพี่สองคนทะเลาะอะไรกันมาคร้าบบบ อย่าทำให้เด็กตัวเล็กๆ อยากพวกผมต้องลำบากสิครับ!’ 

            อชิสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เริ่มมาคุ ถึงแม้ว่าพี่เฌอของเขาจะยังคงแจกยิ้มสดใสให้ลูกค้าสาวที่เขาพบหน้าบ่อยๆ อีกคนอยู่ก็ตาม พอคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นชนวนเกิดเหตุ อชิซึ่งทำใจให้สถานการณ์ในร้านตอนนี้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้จึงกัดฟันถามออกไปเพื่อความชัดเจน 

            “พี่นับดาวไม่ใช่ว่ากำลังคบ...”

            “ชาพีชครับ”

            ยังไม่ทันได้ถามจบประโยค เจ้าเพื่อนตัวดีของเขากลับเดินตัดหน้าแทรกระหว่างเขากับนับดาว แถมยังหันมาเลิกคิ้วใส่ ถ้าอ่านคำพูดที่อยู่บนหน้าของปรินทร์ได้มันคงเขียนไว้ว่า ‘ถ้าฉันจะขัด แล้วแกจะมีปัญหาอะไร’

            “ขอบคุณค่ะ แล้วตกลงน้องข้าวตังมีแฟนหรือเปล่าคะ”

            “ไม่มีครับ”

            ข้าวตังตอบพร้อมยิ้มให้หญิงสาวเล็กน้อย หญิงสาวเลิกคิ้วโก่งเรียวขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถามอีกครั้ง 

            “ปกติรับงานนอกได้หรือเปล่าคะ”

            คำถามนี้ทำให้เด็กหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย

“ถ้าพี่เฌอไม่ติด ผมก็ไม่ติด” 

“อย่างนี้นี่เอง คุณเฌอคะ ถ้าจะขอจ้างตัวข้าวตังสักวัน คุณจะอนุญาตไหมคะ” 

และแล้วบทสนทนาแรกของพวกเขาสองคนก็เกิดขึ้น แต่หัวข้อนี้ไม่ชวนให้คนฟังสบายใจสักนิด 

ชารัฐหันมาสบตาหญิงสาวก่อนไล่สำรวจการแต่งตัวของเธออย่างละเอียดอีกครั้ง เป็นอย่างที่อชิพูดไม่มีผิด นับดาววันนี้ดูสวยแปลกตากว่าวันไหนๆ เธอใส่มินิเดรสสีส้มปะการัง แขนเสื้อเป็นทรงระบาย ตัวเดรสเป็นผ้าเนื้ออ่อนเข้ารูป ทำให้เห็นสัดส่วนร่างกายที่สวยงาม ใบหน้าแต่งเติมเครื่องสำอางอย่างพิถีพิถันอย่างที่เขาไม่เคยได้เห็น โดยเฉพาะเปลือกตาที่ลงพาเลตต์ตาเป็นประกายทอง และลิปสีส้มอิฐเจือด้วยสีแดงเล็กน้อยก็ขับให้ใบหน้าของเธอดูมีเสน่ห์มากกว่าเดิม 

หญิงสาวยิ้มหวาน มือข้างหนึ่งของเธอยกมาเท้าไว้บนเคาน์เตอร์อย่างที่มักทำบ่อยๆ ในดวงตาทรงอัลมอนด์คล้ายมีคลื่นบางอย่างที่กำลังสะท้อนส่งมาหา มันคือความท้าทายและความอวดดี ราวกับว่าหญิงสาวในเวลานี้คือม้าป่าจอมพยศ ไม่ใช่เจ้าแกะที่หุ้มด้วยหนังหมาป่าตัวนั้นอีกแล้ว 

“จะจ้างข้าวตังไปทำอะไรครับ”

“ไม่ได้พาน้องเขาไปทำเรื่องไม่ดีหรอกนะคะ งานเพื่อการศึกษาทั้งนั้นค่ะ”

            ทั้งคิ้วทั้งหางตาของคนฟังกระตุก ไอ้คำว่า ‘งานเพื่อการศึกษา ไม่ใช่ว่านับดาวจับเขาเซ็นสัญญาก็เพื่อ ‘การศึกษาด้วยตัวเอง’ เหมือนกันหรอกหรือ 

            “ถามเจ้าตัวเลยดีกว่าครับ ขอแค่ไม่ใช่เรื่องเสียหายผมก็ไม่ติดอะไร”

“ขอยืมตัวแค่วันเดียวค่ะ แต่จะต่อรอบสอง สาม สี่ไหม คงต้องดูอีกที เพราะข้าวตังก็ดูจะเข้าท่า หนุ่มๆ พลังงานล้นเหลืออยู่แล้ว จริงไหมคะ” 

หญิงสาวยักไหล่ จากนั้นก็ยกแก้วชาขึ้นมาดื่ม ปรายตามองเขาเล็กน้อย เธอหันไปหาปรินทร์ก่อนจะอธิบายง่ายๆ 

“เดี๋ยวพี่ให้ค่าจ้างนะคะ ส่วนเนื้องานตังเอาเบอร์มานะ เดี๋ยวพี่จะส่งรายละเอียดให้ ดูอีกทีก็ได้นะคะ ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นอะไรค่ะ” 

ปรินทร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนที่ทั้งคู่จะแลกข้อมูลติดต่อกัน นับดาวส่งยิ้มกว้างให้เด็กหนุ่ม ก่อนสายตาเจ้าเล่ห์ของเธอจะมองสบชารัฐราวกับจะเย้ยกัน ถ้าสายตาของเธอมีคำพูดออกมาได้ คงเป็นประโยคว่า ‘ถ้าฉันจะเอาเด็กของคุณไป คุณจะทำไมล่ะคะ พี่เฌอ’

            ชารัฐยังไม่ทันได้เอ่ยปากอะไร ประตูร้านก็เปิดออกพร้อมกับการมาของชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง อีกฝ่ายแต่งกายมาอย่างดูดี ทั้งเสื้อเชิ้ตสีเข้ม กางเกง และรองเท้าที่เข้าชุด ลูกค้าหนุ่มตรงมาที่เคาน์เตอร์ แต่จุดประสงค์เหมือนไม่ใช่การสั่งกาแฟ แต่เป็นเพราะหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงนั้นมากกว่า 

            “นับดาว” 

            น้ำเสียงทุ้มเข้มของอีกฝ่ายทำให้เจ้าของชื่อหันไปมอง เขาสัมผัสได้ถึงประกายความดีใจเหลือล้นของเธอ ทั้งแววตาและรอยยิ้มของเธอช่างเป็นธรรมชาติแค่ไหน

            เพราะอย่างนั้นเขาถึงเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขึ้นมา อีกอย่างนับดาวก็พูดออกมาเองว่าวันนี้เธอมีเดต หรือคู่เดตที่ว่าจะหมายถึงผู้ชายคนนี้ 

ถึงในสัญญาจะบอกชัดแล้วว่าพวกเขาต่างมีชีวิตของตัวเองได้ แต่ชารัฐรู้ดีว่าบางอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว หากมันเป็นการแกล้งเพื่อความสนุกอย่างเมื่อก่อนชารัฐคงไม่ติดใจ แต่ในเมื่อความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับนับดาวกำลังเปลี่ยนไป เขาจะยังทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยก็คงไม่ได้ 

“พี่รัก”

นับดาวลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปสวมกอดชายหนุ่มคนนั้น ทั้งสองดูสนิทสนมกันมากคล้ายว่ารู้จักกันมานานแล้ว 

มือของชารัฐที่คลายออกค่อยๆ กำเข้าหากันทีละนิด แต่พอรู้ตัวขึ้นมาเขาก็พยายามสลัดความคิดบางอย่างออกไป

“พี่ไม่ได้มาสายใช่ไหม โทษทีนะ มีนักศึกษาปรึกษาโพรเจกต์นิดหน่อยน่ะ”

“ไม่ค่ะ มาก่อนเวลาด้วยซ้ำ ฉันยังคิดอยู่เลยว่าพี่จะลืมเวลานัดหรือเปล่า”

ชายหนุ่มคนนั้นส่งยิ้มขอโทษขอโพยกลับมา หากมองกันผิวเผินแล้วผู้ชายคนนี้ดูเข้ากับนับดาวได้ดีไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นในใจของชารัฐก็ต่อต้านอยู่ดี

“พี่รักคะ นี่คุณเฌอค่ะ เขาเป็นเจ้าของร้าน แล้วก็เป็นเจ้าของตึกที่ฉันอยู่ค่ะ” 

นับดาวหันมาส่งยิ้มให้เขา พอดีกับที่ชายหนุ่มคนนี้เดินเข้ามาใกล้แล้วทักทายเขาต่อ

“สวัสดีครับคุณเฌอ ผมชื่อรักครับ ขอบคุณที่ช่วยดูแลนับดาวด้วยนะครับ ไม่รู้ว่ายายตัวแสบทำอะไรให้คุณเดือดร้อนบ้างหรือเปล่า ผมเองก็ไม่ค่อยมีเวลามาดูเธอเลย” 

ชารัฐยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเองไว้ได้ เขายิ้มพลางตอบอย่างเป็นมิตร

“ไม่ต้องคิดมากครับ ผมกับนับดาว เราเข้ากันได้ดีเลยครับ”

ไม่พูดเปล่า เขายังส่งสายตาที่สื่อความหมายของคำว่าเข้ากันดีไปหาคู่กรณีอย่างจงใจ หญิงสาวซึ่งเห็นสายตาอย่างนั้นถึงกับถลึงตาใส่เขาก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ 

“พี่รักคะ นี่น้องอชิกับข้าวตังค่ะ”

“สวัสดีครับเด็กๆ”

“สวัสดีครับ”

            “เอ๊ะ แฟนคุณนับดาวเหรอคะ” คำถามนี้เป็นของไปรยาซึ่งนั่งเงียบอยู่นาน 

            นับดาวหันไปมองบรรณาธิการสาวของตัวเองเล็กน้อยแล้วเหยียดยิ้มในใจ 

แหม...แม่คุณ หาช่องทางอยากมีส่วนร่วมได้ถูกจังหวะเหลือเกินนะ ถ้าคิดจะกำจัดเธอออกจากสนามง่ายๆ ก็อย่าเรียกเธอว่ามิสกาเฟอีนเลยดีกว่า! 

            “เอ๊ะ คุณเดียร์ ฉันลืมไปเลยค่ะว่าคุณเดียร์ก็อยู่ด้วย มัวแต่สนใจอย่างอื่นเพลินๆ เลยไม่ทันได้ทัก ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

            “ไม่เป็นไรค่ะ เดียร์เองก็คุยกับคุณเฌอติดลมเหมือนกัน เลยไม่ทันได้ทักเหมือนกันค่ะ” 

            หึ! ทำมาเป็นอวด ยังไม่เคยกินเขาสักคำ อย่ามาแสร้งว่าเลยดีกว่าไหมจ๊ะยายตุ๊กตา 

            นับดาวค่อยๆ กดรอยยิ้มของตัวเองก่อนจะตอบด้วยท่าทางใสซื่อ

            “อ๋อ เหรอคะ ก็ว่าช่วงนี้เห็นคุณเดียร์มาที่ร้านบ๊อยบ่อย ท่าทางเดินทางเหนื่อยแย่เลยนะคะ เอ...ได้ยินมาว่าคุณเดียร์ไม่ชอบดื่มกาแฟ แต่ยังอุตส่าห์มาถึงที่นี่ แสดงว่าอะไรน้า...”

            ท้ายประโยคนับดาวจงใจลากเสียงยาว ขณะมองสีหน้าของบรรณาธิการสาวที่แดงสลับขาวกันไป

            “อ๋อ! สงสัยเพราะขนมร้านนี้อร่อยแน่เลย พี่เฌอเคยบอกไว้นี่คะว่าขนมที่นี่เป็นแบบโฮมเมดทั้งนั้น จริงด้วยๆ พี่เฌอช่วยเก็บขนมที่เราเคยกินตอนดูเน็ตฟลิกซ์ด้วยกันไว้ด้วยนะคะ ฉันอยากกินม้ากมาก พี่เฌอห้ามลืมนะคะ”

            ‘อย่ามาทำตีเนียนว่าสนิทเลยจ้ะน้องหนู ถ้าเขายังไม่เคยชวนไปดูเน็ตฟลิกซ์ด้วยซ้ำ!’ 

            พอเห็นสีหน้าทั้งมึนทั้งอึ้งและท่าทางทำอะไรไม่ถูกของไปรยาแล้วก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย 

            เธอหันไปหาชารัฐอีกครั้งโดยไม่ลืมทิ้งท้ายเล่นใหญ่ไว้อีกสักหน่อย

            “ฝากขนมไว้ที่พี่เฌอก่อน ไว้ฉันจะแวะไปหา พี่เฌออย่าลืมนะคะ!”

เสียงของนับดาวอ่อนลงเป็นเชิงออดอ้อน ทำให้คนฟังอ่อนใจขึ้นมา ชารัฐจะโกรธก็โกรธไม่ลง มีแต่รู้สึกว่าต้องตามใจ ปล่อยให้หญิงสาวกลั่นแกล้งคนอื่นตามใจชอบแบบนี้ไปก่อน 

“ครับ พี่จะเตรียมไว้ นับดาวก็อย่าลืมมาล่ะ เพราะเรายังช่วยกันแชร์ดูซีรีส์กับพี่นี่ จริงไหม” 

เขาตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทางอบอุ่นเหมือนเดิม แต่มีแค่นับดาวเท่านั้นที่รู้ว่าสายตาของเขาราวกับมีเปลวเพลิงซ่อนอยู่ ไหนจะสัญญาซีรีส์ที่เขายกมาอ้างอีก! 

“พี่ไม่เห็นรู้เลยว่าเราสนิทกับคุณเฌอขนาดนี้” ชายหนุ่มข้างตัวนับดาวหันมองชารัฐกับหญิงสาวสลับกันด้วยสีหน้าสับสนเล็กน้อย 

“โธ่ ก็พี่รักยุ่งจะตาย มีเวลาให้ที่ไหนกัน ไปๆ ค่ะ ถ้าเราไม่ไปเดี๋ยวได้สายของจริงแน่”

“จริงด้วย! ทุกคนครับ ผมขอลาก่อนนะครับ สวัสดีครับ”

ชายหนุ่มคนนี้ดูจะซื่อๆ เรียบร้อย ไปลามาไหว้ ผิดกับนับดาวที่มีนิสัยและท่าทางคนละขั้ว 

“ขอตัวก่อนนะคะ”

สุดท้ายทั้งสองคนก็เดินเคียงคู่กันออกไปข้างนอก ชารัฐได้แต่มองตามพวกเขาไปเงียบๆ ขณะเดียวกันเสียงจากไปรยาก็ดังขึ้นมา

“เอ...สุดท้ายเลยไม่รู้นะคะว่าคุณรักคนนี้เป็นแฟนคุณนับดาวหรือเปล่า จะว่าไปพวกเขาสองคนก็ดูเหมาะกันดีนะคะ คนหนึ่งร้อน คนหนึ่งเย็น ท่าทางคงรู้จักกันมานานเลย”

“แต่ผมว่ายังไงก็ดูไม่เหมือนแฟนนะครับ ดูเหมือนรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันมากกว่า อีกอย่างแฟนพี่นับดาวไม่ใช่คุณรักหรอกครับ ก็ในเมื่อแฟนตัวจริงเขา...”

“อชิ เก็บโต๊ะลูกค้าด้วย” 

ยังไม่ทันที่อชิจะพูดจบ เขาก็ถูกขัดเป็นครั้งที่สอง ซึ่งครั้งนี้คนที่ขัดเขาดันเป็นชารัฐ ต่อให้ใจกล้าแค่ไหน เด็กๆ อย่างเขาก็ทำได้แค่ปิดปากสนิท ก่อนจะตอบรับอย่างแข็งขันพร้อมลากเจ้าเพื่อนตัวดีออกมาจากรุ่นพี่หนุ่ม 

            “โอ๊ย น่ากลัวเป็นบ้า ไอ้ตัง แกเห็นสายตาพี่เฌอเมื่อกี้ปะวะ บรึ๋ยยย”

            “อืม ชัดอยู่”

            “ชัดสุดๆ เลยต่างหาก! ไม่รู้ว่าสองคนนี้ทะเลาะอะไรกันมา ตั้งแต่พี่นับดาวเข้าร้านมา สองคนนี้ยังกะกำลังใส่ฮาคิใส่กัน” 

“ตัวการของฮาคิก็พี่ตุ๊กตาคนนั้นไม่ใช่หรือไง นายดูไม่ออก?”

“ฉันว่าแล้ว!”

“เหมือนเขาจะเป็นเพื่อนร่วมงานของพี่นับดาวนะ”

“ดูท่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายซะแล้ว”

 

            “จะบอกพี่ได้หรือยังว่าเราไปสนิทกับคุณเฌอคนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”

            หลังออกจากร้านกาแฟและขึ้นรถยังไม่ทันได้หายใจ พสุหรือรักก็โยนคำถามใส่น้องสาวของตนเกือบจะทันที ส่วนแม่ตัวดีก็ได้แต่อมยิ้มก่อนจะเกาะแขนเขาไว้

            “พี่รักยุ่งจะตาย เดียร์เลยไม่ได้เล่าให้ฟัง” นับดาวตอบยิ้มๆ 

            “แล้วที่แชตมาบอกไม่ให้พี่เรียกชื่อเล่น ก็เพราะคุณเฌอคนนั้นด้วยใช่ไหม”

            “อือฮึ”

            นับดาวอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก็สองสามวันมานี้เธอต้องมาเจอหน้าไปรยาที่โผล่มาที่ร้านทุกวัน ไหนจะทำเป็นคุยกะหนุงกะหนิงกันสองคนแบบนั้นอีก เห็นแล้วเธอก็อดไม่ได้ เลยขอแสดงเดชบ้าง ให้มันรู้ไปบ้างสิว่าคนอย่างนับดาวก็ไม่ธรรมดา อีกอย่างเธออยากรู้ว่าชารัฐจะมีปฏิกิริยาอย่างไรด้วย 

            พอนึกถึงสีหน้าปูเลี่ยนของไปรยาแล้วเธอก็มีความสุขขึ้นมา 

            “เดียร์ มีอะไรที่เรายังไม่ได้บอกพี่อีกไหม”

            ‘โอ๊ย! เยอะแยะเลยค่ะพี่ชาย’

            แต่มีหรือที่นับดาวจะตอบความจริงข้อนี้ไป สาวน้อยสำหรับพสุจึงได้แต่ทำตาแป๋ว โกหกเสียงใสต่อหน้าพี่ชายตาไม่กะพริบ

            “ไม่มีค่ะ แค่สนิทกันเฉยๆ”

            “สนิทถึงขั้นไปดูหนังที่ห้องเขาแล้วเนี่ยนะ บอกพี่มาตามตรงดีกว่า เราชอบเขาใช่ไหม”

            “บ้าสิพี่รัก!”

            คนปฏิเสธกลับร้อนรน หลบตาไม่ยอมมองกันดีๆ คนเป็นพี่ถึงได้รู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือคนที่น้องสาวตัวเองสนใจ เผลอๆ เรียกว่าเป็นคนที่น้องสาวเขาชอบอยู่เลยก็ว่าได้ 

            “แต่เขาดูคุ้นๆ อยู่เหมือนกันนะ”

            พอพี่ชายทักขึ้นมา ใบหน้าเปื้อนยิ้มของนับดาวพลันเจื่อนลงราวกับคำพูดของพสุไปจี้โดนความทรงจำบางอย่างที่อยู่ในใจ 

            “เดียร์?”

            “หืม อ๋อ พี่รักคิดไปเองแล้วค่ะ ถ้าเป็นคนรู้จักกันเดียร์ก็บอกพี่ไปแล้ว ว่าแต่พี่จำน้องข้าวตังที่ร้านเมื่อกี้ได้ไหม พี่รักหาแบบวาดอยู่ไม่ใช่เหรอคะ น้องเขาหน่วยก้านดีเลยนะ เดียร์ได้เบอร์มาแล้ว ถ้าพี่รักสนใจเดี๋ยวเดียร์ส่งต่อให้”

            “เด็กคนนั้น อืม...ก็ได้อยู่ แต่เด็กๆ ของพี่จะไม่เสียสมาธิเหรอ”

            “แหม พี่รัก พาคนหน้าตาดีไปหน่อยไม่เป็นไรหรอกค่ะ เผลอๆ นักศึกษาจะรักพี่จนตาย”

            “ยายตัวแสบ!”

            คนเป็นพี่ส่ายหน้าพลางหัวเราะ โดยไม่ทันรู้เลยว่าคำพูดนี้ของน้องสาวจะมีผลต่อตัวเองในอนาคตมากแค่ไหน

            “อย่าลืมแวะร้านดอกไม้ร้านเดิมก่อนนะคะ”

            “อืม พี่โทร. หาคุณฝนแล้ว เดี๋ยวเราแวะไปรับดอกไม้ได้เลย เหมือนปีที่แล้ว”

            “ตกลงค่ะ แม่น่าจะดีใจ”

            “พี่ก็คิดแบบนั้น ว่าแต่เดียร์ คนคนนั้นติดต่อเรามาบ้างไหม” 

            พอได้ยินคำถามนี้จากพี่ชาย นับดาวก็นิ่งไปอีกครั้ง ระลอกคลื่นที่สั่นไหวในดวงตาค่อยๆ ขยายออกทีละน้อย เธอเม้มปากพลางตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ 

            “ไม่ค่ะ อีกอย่างเดียร์ก็ไม่อยากเจอเขาอีก เขาติดต่อหาพี่?”

            “เปล่าหรอก แค่บังเอิญเจอกัน”

            พสุเล่าช้าๆ ขณะเดียวกันนับดาวก็เริ่มตกลงไปในภวังค์ความคิดของตัวเอง 

            “ประมาณต้นเดือนพี่ไปเจอเขากับภรรยา ดูมีความสุขดี แต่พอเห็นหน้าพี่คงตกใจเหมือนกัน พี่ก็ไม่คิดจะเข้าไปหา แต่สถานการณ์นั้นมันหลบเลี่ยงไม่ได้ ถึงยังไงก็ต้องเผชิญหน้าอยู่ดี ได้ยินมาว่าลูกสาวเขาเพิ่งเรียนจบ ส่วนลูกชายคนเล็กตอนนี้ก็เรียนมหาวิทยาลัยพี่นี่แหละ” 

            “เดียร์ไม่อยากรู้”

            “พี่เข้าใจ ถึงพี่จะไม่ได้คุยกับเขามาก แต่เขาก็ยังถามถึงเดียร์นะ” 

            คำพูดนี้ทำให้นับดาวรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจขึ้นมาจริงๆ ภาพเงาที่สะท้อนจากกระจกรถในตอนนี้ไม่ใช่ใบหน้าของตัวเอง แต่กลับเป็นใบหน้าของเด็กหญิงอายุประมาณสิบสามสิบสี่ เค้าหน้าของเธอไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ผิดหูผิดตาไปอย่างมากคือความหนาของชั้นไขมันบนแก้มและลำคอ ถ้าพูดให้ถูก นี่คือสาวน้อยที่อวบอ้วนมากคนหนึ่งก็ว่าได้ 

            เมื่อก่อนนับดาวเข้าใจว่าบนโลกใบนี้แม้เธอจะไม่ใช่เด็กสาวที่งดงามที่สุด แต่เธอกลับมีสิ่งที่สวยงามและล้ำค่ากว่าสิ่งใดอยู่ในมือ นั่นคือครอบครัวที่แสนอบอุ่น พ่อแม่ที่รักกัน พี่น้องที่สนิทชิดใกล้กลมเกลียว ครอบครัวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ต่อให้บนโลกใบนี้นับดาวเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น แต่เธอก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวอยู่

            ทว่าความฝันและสิ่งที่นับดาวยึดมั่นมาตลอดกลับกลายเป็นเพียงภาพฝันภายในพริบตา เมื่อตอนที่เธออายุสิบสาม นับดาวถึงได้รู้ว่าครอบครัวที่เธอแสนจะภูมิใจนั้นมันไม่มีอยู่จริงอีกต่อไปแล้ว 

            ภาพตรงหน้าเด็กสาวคือชายวัยกลางคนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เขาอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน ทั้งรักและทะนุถนอมอีกฝ่ายอย่างถึงที่สุด มืออีกข้างจับจูงภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ไว้ ภาพตรงหน้าช่างเป็นภาพครอบครัวสุขสันต์ที่ไม่ว่าใครมองก็ต้องยิ้มตาม แต่นับดาวกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น ในเมื่อชายวัยกลางคนคนนั้นคือพ่อของเธอ

            ตราบใดที่ความลับไม่มีในโลก สุดท้ายเรื่องราวที่ถูกปกปิดก็ต้องมีวันที่ได้รับการเปิดเผย 

            พ่อของเธอสร้างโลกไว้สองใบ โลกใบแรกที่มีแม่ของเธอ มีพี่ชาย และโลกใบนี้ก็กำลังค่อยๆ กลายเป็นสีเทาที่ทำให้ชีวิตของเขาขาดสีสัน 

            นับดาวจำได้เพียงว่าช่วงเวลาสองปีหลังจากนั้น แม่ของเธอเอาแต่ร้องไห้ รอยยิ้มที่สวยสดใสพลันเหือดหายไปจากใบหน้า ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นกลับหนาวเหน็บจนเธอเจ็บปวดไปทั้งใจ ท้ายที่สุด บทสุดท้ายของนิทานในฝันก็มาถึง พ่อไม่กลับมาอีกเลย เขาเก็บทุกอย่างออกไป ทิ้งไว้เพียงความเจ็บปวดที่บาดลึกกินใจหัวใจทั้งสามดวง 

            พ่อกับแม่ของเธอไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ดังนั้นเขาจึงจากไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่นับดาวมาคิดดีๆ อีกที ต่อให้มีใบทะเบียนสมรสของพวกท่านวางอยู่ตรงหน้า พ่อของเธอก็คงไม่รอช้าที่จะเซ็นหย่าในทันที ก็ในเมื่อหัวใจของเขามันว่างเปล่า ไร้ที่อยู่สำหรับพวกเธอสามแม่ลูกแล้ว โลกใบนี้ของเธอก็ต้องถูกทำลายลงไม่ช้าก็เร็ว 

            หลังจากนั้นนับดาวก็ไม่เคยเจอพ่อของเธออีกเลย แม้จะได้ยินข่าวคราวของเขาจากปากคนอื่นอยู่บ้าง แต่ในเมื่อหมดเยื่อใยและความรักที่มีต่อกันไปแล้ว ไม่ว่าจะในฐานะที่เป็นสามีคนหนึ่งหรือพ่อคนหนึ่ง ท้ายที่สุดสิ่งที่เรียกว่าความผูกพันก็ไม่อาจเรียกคืนความหมายของช่วงเวลาที่สวยงามนั้นกลับมาได้ 

            นับดาวเข้มแข็งมากพอที่จะไม่ร้องขอให้พ่อกลับมา ถึงรู้ว่าในใจลึกๆ เธอมักโหยหาความรักและความสุขเหมือนเช่นอดีตก็ตาม ทว่าทุกครั้งที่คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด รวมถึงหัวใจที่แตกสลายไปแล้วจะคอยย้ำเตือนถึงสิ่งที่เธออยากลองไขว่คว้ากลับมาอีกครั้ง สุดท้ายเมื่อชั่งน้ำหนักถึงความสุขและความสบายใจแล้ว นับดาวจึงตัดสินใจโยนหัวใจของเด็กสาวโลกสวยคนนั้นไว้ข้างหลัง 

            ส่วนพสุ เขาโตมากพอที่จะลุกขึ้นมาเป็นผู้นำของแม่และน้องสาว แม้ในเวลานั้นพี่ชายของเธอจะเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยคนหนึ่งก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็พยายามทำทุกอย่างอย่างเต็มความสามารถเพื่อประคับประคองครอบครัวของสามแม่ลูกไว้ ตอนที่นับดาวอายุได้สิบหก อาการซึมเศร้าเสียใจของผู้เป็นแม่เริ่มดีขึ้น และช่วงนั้นก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เธอมีความรักครั้งแรก 

            แต่รักแรกครั้งนั้น ถึงอยากจะลงแรงทุ่มตัวและหัวใจลงไปในสนามแข่งที่น่าพิศวงนี้ เธอกลับทำได้เพียงแอบชอบเขาอยู่ห่างๆ มองเขาจากไกลๆ แม้จะรวบรวมความกล้าที่มีสารภาพรักออกไปแล้วก็ตามก็ใช่ว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างสวยงาม ได้แต่เก็บความจริงที่แสนเศร้ามากอดไว้ ปล่อยให้มันเป็นรอยแผลเล็กๆ ที่ค่อยๆ กัดกร่อนลงในใจอย่างไม่รู้ตัว 

            พอเธออายุได้สิบแปด แม่ของเธอตรวจพบมะเร็งเต้านม ตอนที่ทั้งเธอและพี่ชายทราบผลตรวจของท่าน มะเร็งก็ลุกลามไปถึงระยะที่สี่แล้ว ในเวลานั้นทั้งเธอและพี่ชายต่างร้อนใจไม่แม้กัน แม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาด ได้แต่รักษาแบบประคับประคองพยุงอาการไว้ ทว่าร่างกายก็ไม่ตอบสนองต่อการรักษา สุดท้ายท่านก็จากไปอย่างสงบ

นับดาวยังจำวินาทีสุดท้ายที่ท่านกำมือเธอไว้ได้ คำพูดของท่านกลับเป็นชื่อของผู้ชายที่หันหลังให้พวกเธอไปแล้ว ช่วงเวลาของชีวิตที่ใกล้จะดับแสง ท่านยังคงโหยหาคนรักของตน ทว่าจวบจนลมหายใจของท่านค่อยๆ หมดลงอย่างเชื่องช้า แม้แต่เงาของผู้ชายคนนี้แม่ก็ไม่ได้เห็น 

            ดังนั้นวันนี้ของทุกปี เธอกับพี่ชายจะกลับมาหาท่าน 

            หญิงสาวดึงตัวเองออกจากความคิดเมื่อพสุจอดรถลงหน้าร้านดอกไม้เจ้าประจำ หลังจากรับดอกไม้เรียบร้อยแล้ว นับดาวซึ่งเงียบอยู่นานก็พูดกับพี่ชาย

            “พี่รัก เดียร์ไม่คิดถึงเขาแล้ว เมื่อก่อนเดียร์อาจจะคิด แต่ตอนนี้ไม่แล้วละ ถ้าวันหลังพี่รักเจอเขาอีก ก็บอกเขาว่าเดียร์มีความสุขดี ถ้าเขาหวังดีจริงๆ ก็ไม่ต้องมองหาอดีตที่เขาไม่ต้องการอีก”

            “อืม”

            พสุนิ่งไปครู่หนึ่ง สำหรับเขาแล้ว สุดท้ายต่อให้ผู้ชายคนนั้นจะดีหรือเลวแค่ไหน เขาก็คือพ่อของตน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่หลงเหลือความรู้สึกรักและความผูกพันนั้นอีกแล้ว สำหรับพวกเขาสองพี่น้อง ความรักและความทรงจำที่สวยงามเป็นเพียงหนึ่งภาพฝันที่คล้ายว่าเคยเกิดขึ้น ตอนนี้พวกเขาก้าวออกมาจากภาพในวันวานแล้ว ดังนั้นในเมื่อไม่อาจรักษาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ก็ปล่อยให้แต่ละฝ่ายเดินไปตามเส้นทางของตัวเองดีกว่า

            เพราะใช่ว่าทุกอย่างเมื่อรักษาแล้วจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

            ความรู้สึกก็เช่นกัน 

            

            หลังจากไปเยี่ยมแม่ที่โบสถ์คริสต์แถวชานเมืองแล้ว นับดาวกับพสุใช้เวลาของครอบครัวให้คุ้มค่า เธอขอให้พี่ชายอัปเดตเรื่องราวในชีวิตให้ฟัง นับดาวถึงรู้ว่าพี่ชายของเธอกำลังช่วยเหลือรุ่นน้องสาวคนสนิทอยู่ โดยเขารับอาสาเป็นอาจารย์สอนพิเศษวาดรูปให้ที่โรงเรียนสอนศิลปะของอีกฝ่าย 

            “ตอนแรกพี่ก็ไม่ได้คิดอะไร แค่อยากหาอะไรทำแก้เบื่อด้วย สอนเด็กๆ ก็ไม่เลว”

            “หืม พี่รักไปช่วยสอน แถมยังคิดค่าตัวทู้กถูก แบบนี้มีซัมติงหรือเปล่า”

            “เพ้อเจ้อแล้วนะเรา ก็แค่คนกันเอง ช่วยๆ กัน อีกอย่างปั้นเขาน่าสงสาร อะไรที่พี่ช่วยได้ก็ช่วย”

            “แบบนี้ทุกที แล้วเมื่อไหร่เดียร์จะได้ข่าวดีของพี่บ้าง อายุก็ไม่น้อยแล้วนะอาจารย์รัก”

            “อย่ามามั่วซั่วยายเด็กคนนี้ เราล่ะ เรื่องคุณเฌอคนนั้น ตกลงยังไงกันแน่”

            นับดาวเบะปากใส่พี่ชาย 

            “ก็บอกแล้วไงว่าสนิทเฉยๆ”

            “เชื่อมากเลยจ้ะ”

            “พี่รัก!”

            พสุยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าแหย่น้องสาวได้แล้ว

            “พี่อ่านงานเล่มใหม่เราแล้วนะ แรงมาก ถ้าเป็นสาวๆ เขาต้องพูดว่าอะไรนะ ‘แรงมากแม่’ หรือเปล่า”

            “ตลกพี่รัก ใส่จริตเวลาพูดด้วยสิ”

            “วันก่อนพี่เผลอติดกระเป๋าไปมหา’ลัย ตอนนักศึกษาเห็นพี่เกือบทำตัวไม่ถูก ดีที่นักศึกษาไม่ถาม”

            “แปลกตรงไหน ใครๆ ก็อ่านงานเดียร์ เผลอๆ นักศึกษาพี่อาจจะเป็นแฟนคลับเดียร์ก็ได้”

            “เหรอ พี่ว่าไม่นะ เขาดูเงียบๆ ไม่น่าจะเป็นสายเดียวกับเรา”

            พสุนึกย้อนถึงนักศึกษาคนนั้น ถึงเขาจะเป็นอาจารย์ในคณะของนักศึกษาสาว และเคยสอนเธออยู่บางรายวิชา แต่ก็ไม่ได้ถือว่าสนิทหรือคุ้นเคยเท่าไหร่ อีกอย่างนักศึกษาที่เขาสนิทสนมมักเป็นกลุ่มเด็กหนุ่มห่ามๆ ติสต์ๆ มากกว่า

            “ก็ไม่แน่หรอก ของแบบนี้มันอยู่ที่รสนิยม!”

            “พอ พอเลย เย็นแล้วจะกลับเลยไหม พี่จะแวะไปส่ง แล้วเราจะไม่กินอะไรหน่อยเหรอ”

            “กลับเลยก็ได้ เดียร์ไม่ค่อยหิว พี่รักหิวหรือเปล่า”

            “ไม่เท่าไหร่ อีกอย่างพี่ยังมีของกินติดอยู่ที่ห้อง”

            “ตามนั้น”

 

            กว่านับดาวจะกลับถึงห้องจริงๆ ก็ค่ำแล้ว สองมือหิ้วถุงของกินไว้แน่น ขณะจะลงจากรถ พสุซึ่งออกมาจากรถแล้วก็ถาม

            “เยอะเหมือนกันนะ เป็นไงล่ะ ตอนซื้อไม่คิด”

            “ก็ขี้เกียจออกไปข้างนอก ซื้อทีเดียวง่ายกว่า”

            “ให้พี่ช่วยเอาขึ้นไปข้างบนไหม”

            นับดาวยิ้มกว้าง แบบนี้สิถึงจะเป็นพี่ชายของเธอ ถึงเธอจะชอบแกล้ง ชอบแหย่ให้เขาหงุดหงิด แต่พสุก็ไม่เคยพาลใส่เธอหรือโกรธเธอจริงๆ เลยสักครั้ง กลับกันบางครั้งเขาก็ทำตามใจเธอสุดๆ เลยต่างหาก เขาเป็นพี่ชายที่น่ารักสำหรับนับดาวที่สุด 

            “มา...”

            “ให้ผมช่วยไหมครับ”

            จนกระทั่งมีเสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มแทรกขึ้นกลบเสียงของเธอ นับดาวหันไปตามต้นเสียง พบชายหนุ่มที่คุ้นตายืนอยู่ข้างกายห่างจากเธอไปเพียงเล็กน้อย

            ชารัฐจริงๆ ด้วย

            เขามาหยุดยืนข้างๆ เธอ ก่อนที่ชายหนุ่มจะโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อสบตากับพสุ

            “สวัสดีอีกครั้งครับคุณรัก”

            “ครับ คุณเฌอ”

            “กลับกันค่ำเหมือนกันนะครับ”

            “เราไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้วเลยคุยกันยาวเลย”

            “อ๋อครับ คุณรักกลับดีๆ นะครับ เดี๋ยวผมช่วยนับดาวเอง”

            “ตามที่คุณเฌอสะดวกแล้วกันครับ...พี่ไปนะ”

            “เอ่อ...พี่รัก กลับดีๆ นะคะ ถึงแล้วโทร. หาน้องด้วย”

            “ได้ ไปนะ”

            พสุมือโบกลาน้องสาวอีกครั้ง แต่ก่อนจะไปเขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่คล้ายจะไม่เป็นมิตรของชายหนุ่มข้างๆ นับดาว ทว่าพอมองอีกครั้งเขาก็เห็นแต่ใบหน้าและรอยยิ้มที่เป็นมิตรจากอีกฝ่าย 

            เขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ย่อมสัมผัสได้ถึงลักษณะการแสดงความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจน

            สนิทกันเหรอ...

            ยายตัวแสบนับดาว คิดว่าคนอื่นเขาจะตาบอดหรือไง

            เอาเถอะ เขาจะรอดูเหมือนกันว่าไอ้คำว่า ‘สนิท’ ที่ว่ามันจะแค่ไหนกันแน่

 

            หลังจากที่รถยนต์ของพสุเคลื่อนตัวออกจากหน้าตึกไปแล้ว ชารัฐถึงได้เบือนหน้ากลับมาหาหญิงสาว ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้ม ครั้นสบตา นับดาวกลับรู้สึกว่าแววตาของเขามีอะไรซ่อนอยู่มากกว่านั้น

            “ผมช่วยถือนะครับ”

            เธอยังไม่ทันอนุญาต ถุงข้าวของในมือก็ถูกชารัฐยึดไปถือเอง นับดาวหรี่ตามองคนตรงหน้าอีกครั้งพลางยกมือขึ้นกอดอก 

            “มาทำอะไรตรงนี้คะ คุณเฌอ”

            “มารอครับ”

            คำตอบที่แสนจะตรงไปตรงมาของเขาทำเอานับดาวตกใจไม่น้อยเหมือนกัน...เขามารอเธอ?

            “รอทำไมคะ”

            คำถามนี้คล้ายจะรู้และไม่รู้ หัวใจของนับดาวเต้นดังเป็นจังหวะที่หญิงสาวก็ไม่เข้าใจ ฟันที่เรียงตัวกันสวยขบลงบนริมฝีปาก ทว่านิ้วโป้งของชายหนุ่มก็แตะลงที่ริมฝีปากของเธอเบาๆ พยายามไม่ให้เธอขบกัดริมฝีปากของตัวเอง

            “ไม่ไว้ใจ...”

            “ทำไมคะ ฉันแค่ออกไปเดต คุณไม่ไว้ใจอะไรกันแน่ ฉัน? หรือพี่รัก?”

            ชื่อของผู้ชายอีกคนที่หญิงสาวเรียกอย่างสนิทสนมทำให้ชารัฐไม่ชอบใจ เขาขมวดคิ้ว หลังจากมองหน้านับดาวแล้วก็ตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง 

            “เอ๊ะ! คุณเฌอ!”

            ชารัฐรวบตัวหญิงสาวขึ้นมาพาดบ่า 

            “คุณเฌอปล่อยฉันนะคะ”

            ชารัฐไม่สนใจเสียงของหญิงสาว เขาสาวเท้าขึ้นตึกไปอย่างรวดเร็ว แม้นับดาวจะพยายามดิ้นให้หลุด แต่เขากลับรัดตัวเธอแน่นขึ้น ไม่นานทั้งคู่ก็เข้ามาอยู่ในห้องของชายหนุ่มอีกครั้ง 

            ชายหนุ่มปล่อยนับดาวลงที่โซฟาภายในห้องอย่างเบามือ ส่วนข้าวของของเธอที่ชายหนุ่มถือไว้ เขานำไปวางที่โต๊ะกินข้าว พอหันกลับมาอีกครั้งก็พบกับใบหน้าบูดบึ้งของหญิงสาว

            “พามาทำไมคะ เอาของมานี่ค่ะ ฉันจะกลับห้อง”

            “ไหนบอกว่าให้ผมเก็บของหวานไว้ไม่ใช่เหรอครับ”

            นับดาวฮึดฮัดใส่ชารัฐ เธออดโมโหไม่ได้ที่เขาทำตัวเอาแต่ใจขึ้นมา แล้วที่สำคัญคือเขาไม่รู้ตัวหรืออย่างไรว่าไอ้ที่เธอพูดทั้งหมดมันก็เพราะเขา แล้วยังจะมาทำหน้าซื่อตาใสใส่เธออีก 

            “อย่ามาเนียนยกเรื่องนี้มาพูดเลยนะคะ คุณจงใจชัดๆ คุณก็รู้ว่าฉันไม่ได้อยากกินขนมจริงๆ เสียหน่อย”

            “ผมทำตามใจคุณนะ”

            “คุณเฌอ! ฉันจะกลับห้องแล้ว”

            นับดาวสะบัดหน้า จู่ๆ อารมณ์น้อยใจก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ อาจจะเพราะวันนี้เธอได้นึกย้อนไปถึงอดีตที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง จิตใจที่เข้มแข็งจึงพลันอ่อนไหวไปด้วย 

            “นับดาว อย่างอแง” 

            เสียงของชารัฐเข้มขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มจับต้นแขนเธอ รั้งตัวเธอไว้ไม่ให้ผ่านไปง่ายๆ 

            “ปล่อย”

            นับดาวพูดเสียงต่ำ แต่คนตรงหน้าไม่สนใจ เขารวบตัวเธอขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว วงแขนทั้งสองข้างวางทาบดักเธอไว้ทั้งสองข้างราวกับตั้งใจปิดทางหนีของเธอ 

            “คุณจะเอาอะไรกันแน่คะ” นับดาวสะบัดเสียงเล็กน้อยยามพูดท้ายประโยค มันเต็มไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นและน้อยใจ ชารัฐประสานสายตามองหญิงสาว สีหน้าของเขาเรียบเฉย แววตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ที่แสนหลากหลาย 

            ช่วงเวลานี้มีเพียงความเงียบปกคลุมร่างของทั้งสองและเสียงลมหายใจของพวกเขาที่ผสานเป็นจังหวะเดียวกัน 

            “ถ้าจะเอา ก็ให้เหรอครับ”

            นับดาวถลึงตามองชารัฐ ความรู้สึกขมปร่าในอกทำให้เธอเหยียดยิ้มออกมา ในเมื่อเธอกับเขามีความสัมพันธ์กันแค่เรื่องอย่างว่า ถ้าเขาเรียกร้องแบบนี้แล้วมีอะไรที่แปลก

            หรือว่าเป็นเธอที่คาดหวังบางอย่างมากกว่านี้กัน 

            นับดาวไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะมีความคิดเหลวไหลแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ มันเป็นความคิดที่เธอเคยปรามาสไว้ตลอดว่าแสนอ่อนแอและไร้สาระแค่ไหน ทว่าตอนนี้เธอกลับเป็นคนที่รู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาเสียเอง 

            “ไหนว่าอยากกินไม่ใช่เหรอครับ”

            เสียงของชารัฐกดลึกไม่ต่างกัน นัยน์ตาสีดำของเขาจดจ้องมองเธอไม่ยอมถอยไปไหน ยามมองเข้าไป เธอพลันรู้สึกเหมือนตกอยู่ในบ่อน้ำที่ไม่มีจุดสิ้นสุด

“ฉันโกหก ปลูกสตรอว์เบอร์รีไว้ทั้งสวนซะขนาดนี้ คุณดูไม่ออกหรือไงคะ”

“รู้สิ”

“ถ้ารู้ก็ปล่อยได้แล้วค่ะ” นับดาวพยายามปรับอารมณ์และน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

“นับดาว มองผม”

เสียงนุ่มลึกของชารัฐไม่ได้ทำให้นับดาวคล้อยตามที่เขาพูด เธอเบนสายตาลงต่ำ ไม่อยากสบตาเขา 

แต่เพราะท่าทางเช่นนี้ทำให้ชารัฐเข้าใจผิด คิดว่าที่หญิงสาวตรงหน้าต่อต้านเขาขนาดนี้อาจเป็นเพราะผู้ชายอีกคน...

‘พี่รัก’ อย่างนั้นเหรอ

“คุณไม่มองผม เพราะว่าพี่รักคนนั้น?”

ประโยคนี้ของตนทำให้นับดาวหันมาสบตาเขา ชารัฐจึงปักใจเชื่อไปแล้วว่าผู้ชายคนนั้นคงมีความหมายกับเธอมาก อาจจะมากกว่าเพื่อนนอนอย่างเขา 

“ในสัญญาบอกชัดนะครับว่าระหว่างที่เรายังอยู่ในระยะสัญญา ทั้งคุณและผมจะไม่ยุ่งกับใคร”

นับดาวสบตาเขาอย่างมีคำถาม 

“ฉันรู้ค่ะ แต่นั่นมันในแง่ของเซ็กซ์ คุณก็อย่าลืมเหมือนกันนะคะ ว่าคุณเป็นคนพูดเองว่าถ้าพวกเราสองคนอยากยุติความสัมพันธ์นี้ก็ทำได้เหมือนกัน”

“ผมจำได้”

“แล้วไงคะ คุณเลยกำลังจะบอกฉันว่าอยากหยุดเรื่องนี้แล้ว?”

“คุณล่ะ”

“ฉันทำไมคะ”

“คุณเองก็อยากหยุดเรื่องของเราไว้เท่านี้อย่างนั้นหรือครับ”

สิ้นสุดคำถาม ภายในห้องพลันกลับมาเงียบอีกครั้ง 

“นับดาว ผมว่าผมเริ่มไม่ชอบใจแบบนี้แล้ว”

ชารัฐขยับตัวเข้าไปใกล้หญิงสาว และสัมผัสได้ถึงร่างกายของหญิงสาวที่เกร็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของเธอซีดเผือดลงเล็กน้อย แววตาของเธอสั่นไหวราวกับว่าจิตใจของเธอพลันหายไปชั่วขณะ หญิงสาวก้มหน้าลง ทำให้เขาไม่สามารถมองความรู้สึกในดวงตาคู่นั้นได้อีก

“ผมไม่ชอบเลยที่คุณสร้างกำแพงขึ้นมา แต่ที่มากกว่านั้นคือการที่คุณไปเดตกับผู้ชายคนอื่น”

จบประโยคของเขา นับดาวก็เงยหน้าขึ้นมาในทันที สายตาของเธอเต็มไปด้วยคำถาม ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน 

“คุณบุกเข้ามาในโลกของผม ก่อกวนชีวิตประจำวันของผมให้เปลี่ยนไป พอผมแสดงออกตรงๆ คุณกลับถอยหนี ทำเป็นไม่รู้เรื่อง แถมคุณยังไปเดตกับผู้ชายคนอื่นอีก

“นับดาว คุณคงไม่รู้ว่าถ้าใครที่รู้จักคุณเข้าจริงๆ มันไม่ยากเลยที่จะตกหลุมรักคุณ ดังนั้นผมถึงใจเย็นไม่ได้ เพราะว่าเขาคนนั้นก็อาจจะหลงคุณได้ง่ายๆ เหมือนกับผมในตอนนี้”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น