9

บทที่ 9

บทที่ 9


            นับดาวตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความอ่อนแรงและเมื่อยล้า อีกไม่นานก็เช้าแล้ว ทว่าตอนนี้เธอยังนอนอยู่ในอ้อมอกของชารัฐ ลมหายใจอุ่นของเขาคลอเคลียอยู่เหนือศีรษะ ภายใต้ผ้าห่มร่างกายของเธอกับเขาเปลือยเปล่า ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาตอนนี้ทั้งแนบชิดและใกล้ชิดกันมากกว่าที่จินตนาการเอาไว้ นับดาวเหลือบมองชายหนุ่มที่หลับสนิท พินิจมองเขาอย่างละเอียด นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ไล่วนบนใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา มองใบหน้ายามหลับของชายหนุ่มเช่นนี้แล้วก็ถอนหายใจ พลางขยับตัวถอยห่างจากชายหนุ่มอย่างเชื่องช้า พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ทำให้เขาตื่น

เธอเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียง แสงไฟสีนวลที่โอบล้อมทำให้ภายในห้องดูอบอุ่น จากนั้นก็คว้าเอาสมุดสเกตช์ภาพของตัวเองขึ้นมา ค่อยๆ บรรจงร่างภาพของเขาลงกระดาษ ทั้งโครงหน้าหล่อเหลายามหลับ เรือนร่างท่อนบนที่แสนเย้ายวนใจ กล้ามเนื้อที่เธอชื่นชอบ เหล่าเส้นสีดำเกิดเป็นรูปร่างบนกระดาษเปล่า ท่ามกลางความเงียบนี้เอง นับดาวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในใจราวกับต้นกล้าเล็กๆ ค่อยๆ แตกหน่อผุดจากผืนดิน 

เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งเธอและเขาไม่อาจรู้

ทว่ามันคงถึงเวลาที่นับดาวต้องยอมรับกับตัวเองแล้วว่า ตอนนี้เธอเดินทางข้ามเส้นที่ตัวเองกำหนดไว้เสียแล้ว จากที่คาดหวังว่าต้องการแค่ร่างกายของชายหนุ่ม ตอนนี้เธอกลับต้องการมากกว่านั้น 

            เธออยากได้หัวใจของเขา ถึงรู้ว่าเจ้าของหัวใจดวงนี้จะไม่ใช่ตน แต่เธอก็ยังมีความโลภ อยากแย่งชิงหัวใจของชายหนุ่มมาไว้ในกำมือ ให้สายตาของเขามองมาแค่เธอ ให้ร่างกายของเขาเป็นของเธอ ให้หัวใจของเขาเป็นของเธอ 

ทั้งหมดนี้เป็นความโลภและความต้องการที่นับดาวไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น 

            แค่ระยะเวลาสั้นๆ ตั้งแต่ที่ข้อตกลงของพวกเขาเริ่มต้น สายตาของเธอก็เอาแต่จดจ้องอยู่ที่ชารัฐ โดยเฉพาะหลังจากเกิดเรื่องที่เธอแพ้อาหาร นับดาวก็รู้ตัวเลยว่าชายหนุ่มคนนี้เริ่มมีอิทธิพลต่อเธอมากขึ้นทุกวัน แม้แต่ในห้องของเธอก็ยังมีร่องรอยการมีอยู่ของเขา ข้าวของของเขาบางส่วนปรากฏอยู่ในห้องของเธอ เช่นเดียวกับที่ข้าวของส่วนตัวของเธอบางอย่างไปอยู่ที่ห้องของชายหนุ่ม ตัวตนของเขาเริ่มจะชัดเจนขึ้นจนเธอปฏิเสธความรู้สึกนี้ไม่ได้อีกแล้ว 

            ไม่นานเธอก็สังเกตว่าเจ้าชายนิทรากำลังตื่นจากฝัน ขนตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย เปลือกตาที่เคยปิดสนิทก็ค่อยๆ กะพริบถี่ แล้วลืมตาเต็มตื่นในไม่ช้า 

            “เจ้าชายนิทราตื่นแล้วเหรอเพคะ” เธอหยอกเย้าคนตรงหน้าเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็หรี่ตามองเปรียบเทียบภาพในมือกับชายหนุ่มตรงหน้า 

            “ถ้าผมเป็นเจ้าชายนิทรา คุณต้องจูบผมหรือเปล่า” 

แม้ว่าจะเป็นช่วงเพิ่งตื่น แต่สติสัมปชัญญะในการโต้ตอบของชารัฐยังคงแจ่มชัดไม่น้อย นับดาวยิ้มพลางขยับตัวเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม ระยะห่างระหว่างพวกเขาลดลงเรื่อยๆ ปลายจมูกของหญิงสาวแตะปลายจมูกของชายหนุ่ม ลมหายใจของทั้งคู่รดริน จังหวะที่ริมฝีปากอิ่มจวนเจียนจะเฉียดสัมผัสลงที่ริมฝีปากของชารัฐ นับดาวกลับถอยร่นออกมา ทิ้งไออุ่นแสนหอมหวานเอาไว้ให้คนตรงหน้าเสียดายเล่น 

            ชารัฐมองรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ของหญิงสาวแล้วใจอ่อน เขาลุกขึ้นนั่งพลางจดจ้องสำรวจร่างเล็กตรงหน้า 

            ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้านอนอย่างจริงๆ จังๆ ก็เล่นพลิกผ้าห่มกับเธอไปหลายรอบ เวลาผ่านไปเท่าไหร่เขาไม่ได้สนใจ ร่างกายของพวกเขาต่างเอาแต่เรียกร้องต้องการกันและกัน ตะกละตะกลามเหมือนคนที่กินไม่เคยอิ่ม 

ทั้งเขาและนับดาวต่างเพลิดเพลินไปกับการลิ้มรสสัมผัสที่แสนหอมหวานของแต่ละฝ่าย จวบจนความสุขของทั้งคู่ล้นปรี่ สำหรับชารัฐแล้ว นับดาวคือรสชาติกาแฟที่เขาไม่เคยได้สัมผัส เธอทั้งหวานทั้งหอม แต่ขณะเดียวกันก็มีรสชาติขมเข้มเจืออยู่ด้วย บางครั้งทำให้เขาสดชื่น บางครั้งก็ทำให้เขาตื่นตระหนก แต่สุดท้ายคือเธอทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง 

นอกเหนือจากนั้น พอได้เห็นตัวตนของหญิงสาวหลากหลายแง่มุมมากขึ้น ชารัฐก็ต้องยอมรับว่าตัวตนทั้งหมดของเธอทำให้เขาอยากรู้จักเธอมากขึ้น อยากรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ รอยยิ้มที่แสดงออกนี้หมายความว่าอย่างไร ภายใต้ท่าทางซุกซนเย้ายวนเหล่านั้นเธอคิดอะไรอยู่ แบบไหนกันแน่ที่คือตัวตนที่แท้จริงของนับดาว พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ไม่อาจละสายตาจากเรือนร่างบอบบางได้เลยสักครั้ง ต่อให้รอบข้างวุ่นวายแค่ไหน ‘เธอ’ ก็จะเป็นคนแรกที่เขามองเห็นได้โดยที่ไม่ต้องพยายามใดๆ ทั้งสิ้น 

ชารัฐไม่ได้ใสซื่อจนไม่เข้าใจว่ามันคือความสนใจ คือความชมชอบที่เขามีต่อเธอ และไม่ได้เขลาขลาดที่จะก้าวเข้าไปในความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เขามั่นใจว่าความรู้สึกเหล่านี้คือของจริงแท้ ไม่ใช่แค่ความลุ่มหลงที่เกิดจากห้วงเสน่หาเท่านั้น แต่เขากำลังตกหลุมรัก ตกหลุมรักผู้หญิงที่บุกเข้ามาในโลกของเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวคนนี้ 

ใช่แล้ว...เขากำลังหวั่นไหวกับผู้หญิงคนนี้ 

            “จะกี่จูบก็ไม่ค่ะ”

            นับดาววางของในมือพลางส่งยิ้มอย่างคนเหนือกว่าให้เขาอีกครั้ง จากนั้นสายตาของเขาจึงตกไปอยู่ที่ภาพวาดในมือของเธอ 

            รูปของเขา...

            ถึงแม้จะเป็นแค่การสเกตช์ภาพด้วยดินสอ แต่รายละเอียดทั้งหมดกลับชัดเจน มองปราดเดียวก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์แสนวาบหวามของคนในภาพ มันมีทั้งกลิ่นอายความเย้ายวนและการเชิญชวนอยู่ในภาพนั้น จนชารัฐอดคิดไม่ได้เลยว่าแค่ภาพเขานอนเปลือยท่อนบนจะสื่ออารมณ์ได้มากขนาดนี้ หรือเป็นเพราะคนวาดกันแน่ 

            “ฝีมือไม่เลวเลยใช่ไหมคะ” สายตาและรอยยิ้มของนับดาวเต็มไปด้วยประกายความพึงพอใจ เธอขยับมือลงวาดภาพอีกเล็กน้อย ก่อนจะตบท้ายด้วยการเซ็นกำกับที่มุมภาพ 

            จากนั้นชารัฐจึงค่อยๆ สังเกตเห็นรอยจูบที่ไม่ต่างจากกลีบกุหลาบสีแดงตามร่างกายของหญิงสาว เมื่อรวมกับการขยับตัวที่ฝืนๆ ของหญิงสาวแล้วเขาก็พลันเป็นห่วงขึ้นมา 

            “เมื่อคืนผมไม่ได้ควบคุมตัวเอง ขอโทษนะ”

            เขายกมือขึ้นพลางเกี่ยวปอยผมของหญิงสาวมาไว้ในมือ แล้วค่อยๆ เลื่อนมือไปแนบแก้มของนับดาวอย่างแผ่วเบา นิ้วโป้งของเขาเกลี่ยริมฝีปากอิ่มที่คราวนี้เจ่อแดงเล็กน้อย 

            นับดาวจ้องมองเขาด้วยนัยน์ตาสุกใส ริมฝีปากเล็กๆ ของเธอขยับขึ้นลง จากนั้นชารัฐก็เห็นเจ้าตัวน้อยตรงหน้าเริ่มบ่นกระเง้ากระงอดถึงความตะกละของเขา ทว่าน้ำเสียงของเธอกลับไม่มีอารมณ์โกรธเคืองใดๆ ซ่อนเร้นอยู่เลย เมื่อเธอโทษว่าเป็นความผิดของเขา ชารัฐก็พยักหน้ายอมรับแต่โดยดี 

            “ดูเหมือนคุณจะไม่รู้จักออมแรงบ้างเลยนะคะ” 

เสียงหวานของเธอติดจะแหบแห้งเล็กน้อย ชารัฐพลันนึกย้อนไปว่าเมื่อคืนนับดาวหลุดเสียงครางทั้งร้องขอและเว้าวอนเขาเท่าไหร่ 

            “อืม ผมผิดเองที่ไม่รู้จักกะแรงจริงๆ” เขาตอบเสียงอ่อนแล้วช้อนตามองหญิงสาวอีกเล็กน้อย “แบบนี้ให้ผมชดเชยให้คุณแล้วกัน”

            ชารัฐยิ้มก่อนลุกขึ้นจากเตียง เขาคว้ากางเกงบ็อกเซอร์ของตนที่ตกอยู่ไม่ไกลมาสวม พอลงมายืนข้างเตียงและยืดหลังตรงแล้ว แสงไฟสีนวลในห้องที่สาดทั่วแผ่นหลังของชายหนุ่มอย่างชัดเจนก็ทำให้เห็นรอยเล็บเป็นทางยาวบนแผ่นหลังกว้าง ไหนจะรอยจูบ รอยกัดตามลำคอ และไหล่ของเขา 

            นับดาวเบิกตากว้าง เพราะดูเหมือนว่าคนที่ไม่รู้จักถนอม แถมยังใช้ความรุนแรง ไม่ได้มีแค่ชายหนุ่มคนเดียว 

เห็นท่าทางอ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูกของนับดาวแล้วชารัฐก็พึงพอใจไม่น้อย เขาเลือกทำคุณไถ่โทษด้วยการจัดเตรียมอ่างน้ำอุ่นให้เรียบร้อย ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวดังไล่หลังดังมา

“ฉันมีบาธบอมบ์อยู่ ไหนๆ คุณก็บริการให้ขนาดนี้ ถือโอกาสนี้ใช้เลยดีกว่า”

พอรู้ว่าเจ้าบาธบอมบ์ของนับดาวอยู่ตรงไหน เขาก็หย่อนก้อนสบู่สีแดงลงในอ่าง ปล่อยให้มันแตกเป็นฟองฟู่เต็มอ่าง กลิ่นหอมของกุหลาบและดอกไม้หวานๆ ลอยเตะจมูก เขาเดินกลับเข้ามาในห้องก่อนจะฉวยจังหวะที่หญิงสาวเผลอช้อนตัวเธอมาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็เดินอาดๆ เข้ามาในห้องน้ำและก้าวลงอ่างอาบน้ำไปพร้อมๆ กัน

            “เอ๊ะ! จะลงมาด้วยทำไมคะ!”

            เขาไม่สนใจเสียงเล็กๆ ที่กำลังทัดทาน สุดท้ายเขาก็นั่งพิงอ่างเหยียดขาตรง จัดแจงให้เธอเอนพิงตัวเอง มือไม้ไม่หยุดนิ่ง คว้าชายกระโปรงชุดนอนของเธอไว้ เพียงพริบตาร่างกายของหญิงสาวก็เปลือยเปล่า 

ฟองจากบาธบอมบ์ช่วงปกปิดเรือนร่างของทั้งสองเอาไว้ น้ำอุ่นที่กำลังสบายทำให้กลิ่นกุหลาบและดอกไม้เข้มขึ้น 

“คุณเฌอ ฉันอึดอัด” 

นับดาวหันมาไล่ แต่เขาไม่สนใจ ทำเพียงโอบเอวของหญิงสาวให้แนบชิดตัวเองมากขึ้น พลางโน้มตัวลงไปกระซิบเบาๆ 

“เด็กดี นิ่งๆ นะ เดี๋ยวมันตื่น”

ใบหน้าของนับดาวแสดงอาการโกรธและความไม่เข้าใจอยู่ชั่วครู่ จากนั้นผิวแก้มของเธอก็แดงจัดไม่ต่างจากน้ำในอ่าง สุดท้ายเธอก็ยอมเอนหลังพิงเขาแต่โดยดี 

ชารัฐมองนับดาวที่แอบอิงตัวเองอย่างพึงพอใจ พอเธอเริ่มผ่อนคลาย หญิงสาวก็ยกมือไล่กวักฟองขาวๆ มาไว้ในมือ พลางเป่ามันอย่างอารมณ์ดี ไม่นานเธอก็คงลืมความคับข้องใจ ถึงได้พิงเขาอย่างสบายอารมณ์และฮัมเพลงในลำคอเบาๆ แบบนี้ ทว่าเขากลับไม่รู้สึกเดือดร้อนใดๆ ในใจอยากขอซึมซับช่วงเวลาเหล่านี้ทีละน้อย 

            “นับดาว”

            ชารัฐหลุดเรียกเธออย่างลืมตัว ขณะเดียวกันหญิงสาวก็เอี้ยวใบหน้ามามองเขาด้วยความสงสัย ใบหน้าของเธอใสกระจ่าง แววตาซื่อตรงไม่ต่างจากตัวตนของเธอ 

“หืม”

            เขายกมือเกลี่ยเส้นผมที่เปียกลู่แนบแก้มขึ้นไปทัดหลังใบหูเล็ก ก่อนจะขยับตัวขึ้นเล็กน้อย

ท่ามกลางบรรยากาศแสนหวาน ภาพตรงหน้าทำให้ชารัฐเหมือนตกอยู่ในภวังค์ กว่าจะรู้ตัว ชารัฐก็โน้มใบหน้าลงไปจูบนับดาวอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มันคือจูบที่เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ล้ำลึกที่มากกว่าความปรารถนา เขาค่อยๆ ขยับริมฝีปากอย่างแผ่วเบา เปลือกตาปิดสนิทคล้ายต้องการถ่ายทอดความรู้สึกนี้ให้อีกฝ่าย จนกระทั่งริมฝีปากผละออกไป ครู่ใหญ่นับดาวถึงกะพริบตาอย่างเชื่องช้าแล้วลืมตาขึ้นมาสบตาชายหนุ่ม

“แบบนี้อยากให้ฉันต่อของหวานหรือไงคะ” เสียงของนับดาวแผ่วเบาราวกับกระซิบ ดวงตาของพวกเขาไม่ได้ละจากกันแม้แต่น้อย ทำให้เขาเห็นคลื่นอารมณ์ในดวงตาของเธอ 

“ด้วยความยินดีครับ” เขาตอบเสียงกลั้วหัวเราะ จากนั้นจึงดึงร่างเล็กของเธอมาพิงอก “มื้อนี้จะเป็นพี่ก็ได้” 

“หึ!” นับดาวส่งเสียงขึ้นจมูก แต่ขณะเดียวกันก็คว้ามือของชารัฐขึ้นมาเล่นทั้งสองข้าง 

นับดาวพยายามรักษาความสงบของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่สามารถเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าลงไปได้เลย โชคดีที่เธอนั่งพิงชารัฐอยู่ เขาถึงไม่เห็นว่าสีหน้าของเธอในตอนนี้เป็นอย่างไร 

“หืม...ตกลงอยากกินอะไรครับ” 

“ชาบู”

“นั่นดูไม่เหมือนเป็นมื้อเช้าเลยนะ” เสียงของชายหนุ่มเจือความขบขัน 

“อยากกินค่ะ” 

“งั้นเราไปกินข้างนอกดีไหม” เขาเสนอถามอย่างยินดี แต่นับดาวกลับไม่ตกลง

“ข้างนอกร้อน คนก็เยอะ ไม่เอาหรอกค่ะ” เธอไม่อยากออกไปข้างนอก ความรู้สึกตอนนี้มันทั้งสบายและขี้เกียจจนไม่อยากเคลื่อนไหวไปไหน 

“ถ้าอย่างนั้นเราไปซูเปอร์มาร์เกตใกล้ๆ ไหม ผมมีหม้อไฟฟ้า ถ้าไม่อยากไปไหนเราก็ทำกินกันที่ห้องผมไหม”

“อืม...ถือว่าเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย” 

“ได้”

เสียงพูดคุยของชายหญิงดังก้องสะท้อนออกจากห้องน้ำ สลับกับเสียงหัวเราะแผ่วเบา จวบจนน้ำในอ่างหายอุ่นแล้ว พวกเขาสองคนถึงได้ขยับตัว 

 

“เอาเนื้อเยอะๆ นะคะ” 

เสียงของนับดาวทำให้ชายหนุ่มชะงักมือที่กำลังหยิบผัก ชารัฐหันไปมองคนข้างตัว หญิงสาวหยิบเห็ดเข็มทอง ผักกาดขาว ผักบุ้ง ข้าวโพดอ่อนใส่ตะกร้าพลางหันมาพูดกับเขาอีกรอบ 

“ผักแค่นี้พอแล้วค่ะ ไปโซนเนื้อกัน”

เห็นจำนวนแพ็กผักอันน้อยนิดที่อยู่ในตะกร้าแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจ สบโอกาสที่นับดาวเผลอหยิบผักใส่เพิ่มลงไปอีก ชารัฐปล่อยให้นับดาวเดินนำไปโซนแช่แข็งและเลือกเนื้อสดใส่ตะกร้า ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู กุ้ง หมูสไลด์ หมูสามชั้น เบคอน 

ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง! 

เสียงข้อความจากโปรแกรมสนทนาทำให้ชารัฐละสายตาจากหญิงสาวแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู พบว่าเป็นข้อความจากอชิ ตามด้วยสติกเกอร์รูปการ์ตูนตกใจ 

‘ผมเพิ่งเห็นว่าพี่ส่งแชตมาบอกว่าวันนี้ปิดร้าน’/

‘พี่ไม่สบายเหรอครับ’/

ชารัฐปัดหน้าจอสองครั้งแล้วพิมพ์ตอบหนุ่มรุ่นน้องอย่างใจเย็น 

อืม ขอโทษที่บอกกะทันหันไปหน่อยนะ พี่สบายดี’/

ข้อความขึ้นอ่านอย่างรวดเร็ว ส่วนคู่สนทนาก็พิมพ์ตอบกลับมาในนาทีเดียวกัน   

‘ดีแล้วครับ ผมก็นึกว่าพี่เฌอไม่สบาย หรือว่าพี่นับดาวไม่สบายอีกแล้วเหรอครับ’/

ชารัฐไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วถ่ายรูปหญิงสาวที่กำลังเลือกเนื้ออย่างใจจดใจจ่อส่งกลับไปแทนคำตอบ 

‘แหม ที่แท้พวกพี่ก็มีเดตกันนี่เอง อิจฉาคนมีความรักจริงๆ’

อชิส่งข้อความตามด้วยสติกเกอร์รูปหน้าคนกัดผ้าเช็ดหน้า ทำให้เขาส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ และเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายน้อยอกน้อยใจ เขาจึงพิมพ์ปลอบกลับไปด้วยความหวังดี 

‘อืม ตามใจนับดาวน่ะ’/

จากนั้นเขาก็ได้รับข้อความเป็นสติกเกอร์ตัวการ์ตูนที่แสดงถึงอารมณ์ของผู้ส่งได้ดี ชารัฐเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปหานับดาว มือข้างหนึ่งถือตะกร้า ส่วนอีกข้างคว้ามือของหญิงสาวไว้ 

นับดาวหันมองชายหนุ่มที่เข้ามาจับมือเธอกะทันหันด้วยความตกใจ แต่เธอไม่เห็นร่องรอยหรือสีหน้าผิดปกติใดๆ จากชารัฐแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าการกระทำของเขาเป็นธรรมชาติเหลือเกิน 

พอนึกถึงบรรยากาศที่อบอวลด้วยความรู้สึกแปลกๆ เมื่อเช้ามืดเธอก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมา ทว่าวินาทีต่อมานับดาวก็ตั้งสติ พยายามเมินความรู้สึกกระวนกระวายของตัวเอง ปล่อยให้ระหว่างเธอกับเขาเป็นไปตามธรรมชาติ 

ภายในซูเปอร์มาร์เกตช่วงเช้าค่อนข้างปลอดคน ทำให้นับดาวและชารัฐเดินซื้อของสะดวก ไม่ถึงชั่วโมงในตะกร้าก็เต็มไปด้วยของสดสำหรับมื้อเช้าและเพียงพอสำหรับมื้อถัดไป ตลอดเวลาที่ซื้อของ ชายหนุ่มไม่ได้ปล่อยมือเธอเลยสักครั้ง 

พอกลับมาถึงห้องของชารัฐ ชายหนุ่มเป็นเจ้าบ้านที่ดี ลงมือทำทุกอย่างตั้งแต่ตั้งหม้อ จัดจาน เตรียมวัตถุดิบ เวลาเธอเอ่ยปากช่วย เขาก็เพียงแค่ยิ้มนิดๆ ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“คุณนั่งรอดีกว่า ตรงนี้ผมจัดการเอง” 

แต่นับดาวกลับไม่ทำตามที่ชารัฐบอก เธอขยับตัวไปยืนข้างๆ เขาที่เคาน์เตอร์ทำครัว จากนั้นก็แกะผักสดออกจากแพ็กแล้วนำออกมาล้างให้สะอาดแทน 

“ฉันขอหั่นให้กินง่ายๆ นะคะ” 

“ได้ครับ” 

พวกเห็ดเข็มทองนับดาวก็ฉีกเป็นเส้นๆ ผักอย่างอื่น เธอก็หั่นเป็นท่อนๆ ส่วนชารัฐ เธอเห็นเขาปรุงน้ำจิ้มและเตรียมของสด จากนั้นไม่กี่อึดใจ ทั้งหม้อไฟฟ้าและวัตถุดิบทั้งหมดก็เตรียมเรียบร้อย 

นับดาวและชารัฐช่วยกันทยอยยกของทั้งหมดมาตั้งที่โต๊ะเล็กในห้องนั่งเล่น เธอเปิดสมาร์ตทีวีในห้องของชายหนุ่มพลางเลื่อนไปเปิดเพลงจากยูทูบฟังไปพลางๆ 

พอน้ำเดือด ชายหนุ่มเจ้าบ้านก็ค่อยๆ นำเนื้อลงหม้อทีละน้อย ตามด้วยผัก ชิ้นไหนที่สุกแล้ว เขาก็คีบมาวางในจานของหญิงสาว 

“ขอบคุณค่ะ คุณเองก็กินด้วยสิคะ ฉันตักเองได้นะ” ถึงนับดาวจะพูดอย่างนั้น แต่มือของเธอก็เคลื่อนไหวไม่ต่างจากอีกคน เธอคีบเนื้อใส่จานของเขาผลัดกับกินเนื้อในจานตัวเองไป เพลงที่เปิดคลอทำให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาดูสบายๆ ขึ้นมา 

ทั้งสองกินไปพลางพูดคุยกันไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีวัตถุดิบที่เตรียมไว้ก็พร่องไปเกือบหมด 

“จะว่าไปวันนี้คุณไม่เปิดร้าน จะไม่เป็นไรเหรอคะ”

นับดาวถาม ส่วนอีกฝ่ายทำเพียงส่งยิ้มบางๆ 

“นานๆ พักบ้างก็ดีครับ จะว่าไปผมเองก็ไม่ได้กินพวกชาบูมานานแล้ว ขอบคุณนะครับ”

“มาขอบคุณฉันเรื่องอะไรคะ ฉันก็แค่อยากกินเท่านั้นเอง” 

“งานของคุณเป็นยังไงบ้างครับ ก่อนหน้านี้ผมได้ยินคุณเดียร์บอกว่ามีโพรเจกต์ชิ้นใหญ่อยากจะหารือกับคุณ”

พอชายหนุ่มถามกลับ เธอก็นิ่งงันไปชั่วครู่ ที่ตกใจไม่ใช่เรื่องงาน แต่เป็นเรื่องที่เขารู้มาจากบรรณาธิการสาวของเธอต่างหาก ความไม่พอใจแวบผ่านเข้ามา ในวินาทีเดียวกันเธอก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ตอบด้วยน้ำเสียงยียวนคล้ายตั้งใจจะก่อกวนเล็กน้อย 

“คุณเฌอกำลังจะพยายามล้วงความลับของสำนักพิมพ์หรือเปล่าคะ”

“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ”

“หืม แต่คุณบอกว่ารู้มาจากบรรณาธิการของฉัน แสดงว่าคุณเองต้องมีเจตนาสิคะ ว่าแต่ว่าพวกคุณสองคนสนิทกันมากถึงคุยเรื่องนี้กันแล้วเหรอคะ”

คำถามนี้ของนับดาวหากฟังผิวเผินคงไม่มีอะไรแอบแฝง ทว่าความจริงแล้วเธออยากรู้ใจจะขาดว่าความคืบหน้าของทั้งสองคนนี้เป็นไปในทิศทางไหน แล้วชารัฐจะเริ่มรู้สึกหวั่นไหวกับอีกฝ่ายบ้างหรือไม่ ในเมื่อถ้าดูกันดีๆ ผู้หญิงที่เขารู้สึกดีๆ ด้วยตั้งแต่แรกก็คือบรรณาธิการของเธอไม่ใช่หรือไง

“ก็ไม่สนิทอะไรขนาดนั้นครับ คุณเดียร์เขาถามผมเรื่องกาแฟนิดหน่อย แล้วก็บอกว่าครั้งนี้ตั้งใจจะมาพบคุณเพื่อคุยเรื่องสำคัญ”

หึ! เรื่องสำคัญที่ว่าสำหรับไปรยาแล้วคงเป็นชารัฐซะมากกว่า! 

หญิงสาวส่งเสียงเยาะในลำคอ เธอยกมือศอกข้างหนึ่งขึ้นเท้าโต๊ะแล้วเกยคางลงบนมือ จดจ้องใบหน้าคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง 

“คนที่คุณคลั่งไคล้หนักมาอยู่ต่อหน้าแบบนั้น คุณไม่อยากคุยเรื่องอื่นๆ บ้างเหรอคะ ถ้าไม่ใช่ว่าฉันแต่งนิยายมาเยอะ บางทีคุณเดียร์ของคุณคงจะเริ่มสนใจคุณขึ้นมาบ้าง แล้วที่มาชวนคุยก็เพราะอยากรู้จักคุณมากกว่า”

หลังจากที่เธอพูดจบ ชารัฐก็มองเธอยิ้มๆ เพราะสายตาของเขาทำให้เธอร้อนๆ หนาวๆ 

“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ อะไรของคุณเดียร์ที่ทำให้คุณคิดว่าเธอสนใจผมจริงๆ”

นับดาวส่งเสียงจึ๊กจั๊กก่อนจะวางตะเกียบในมือลง 

“ถ้ามีผู้ชายหน้าตาดี มีฐานะ ท่าทางพึ่งพาได้แบบคุณมาอยู่ตรงหน้า ผู้หญิงที่โสดอยู่ใครเขาจะไม่สนใจกันคะ อีกอย่างคุณเดียร์ของคุณ อืม...จะว่ายังไงดีนะ เอาเป็นว่าฉันมีประสบการณ์เรื่องคนมาเยอะมากๆ ถ้าตาฉันไม่บอด เขาก็สนใจคุณชัดๆ ”

ใช่! สนใจมากพอที่จะมาถามเธอด้วยซ้ำว่าระหว่างเธอกับเขามีความสัมพันธ์แบบไหนกัน!

“ผมว่าเรื่องนี้คำพูดของคุณดูจะไม่ถูกต้องไปทั้งหมดนะ”

“เอ๊ะ! คุณเฌอ คุณยังไม่รู้จักผู้หญิงดีพอ แค่ฉันเห็นสายตาที่เขามองคุณ ฉันก็รู้แล้วว่ามันไม่ปกติ”

“แต่เมื่อกี้คุณก็พูดมาเองไม่ใช่เหรอครับว่าคุณมีประสบการณ์เรื่องคนมากๆ แต่ทำไมยังไม่เข้าใจล่ะครับ นับดาว” 

เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขากับเธอกำลังคุยหัวข้อเดียวกันอยู่หรือไม่ นับดาวเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ 

“คุณเฌอ เราพูดเรื่องเดียวกันอยู่ใช่ไหมคะ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณหลงประเด็นไปหน่อยนะคะ”

“ไม่หลงหรอกครับ แต่ที่ผมถาม เพราะผมคิดว่าประสบการณ์ที่คุณพูดถึงดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง”

“ยังไงคะ”

ครั้งนี้นับดาวรู้สึกเหมือนถูกคนตรงหน้าปั่นเข้าแล้ว นี่เขากำลังดูถูกความสามารถในการมองคนของเธออยู่! ไม่รู้หรือยังไงว่าเธอแต่งนิยายมาเท่าไหร่ ไอ้เรื่องเมกเซนส์แบบนี้ใครๆ ก็รู้ว่าผู้หญิงเขาต้องการเข้าหาตัวเองอยู่แท้ๆ ต่อให้เธอมองมาจากดวงจันทร์ยังเห็นเลย! 

“ถ้าคุณยืนกรานว่าตัวเองเชี่ยวชาญขนาดนั้น ทำไมแค่นี้ถึงดูไม่ออกล่ะครับ”

“ฉันก็บอกแล้วไงคะว่าคุณเดียร์ของคุณเขาสนใจ” 

ปลายเสียงของนับดาวทุกครั้งที่พูดว่า ‘คุณเดียร์ของคุณ’ มักตวัดสูงขึ้นโดยที่หญิงสาวไม่ทันได้เอะใจ แต่สำหรับคนฟังแล้ว มันดูเป็นน้ำเสียงที่แสนจะประชดประชันปนด้วยความรู้สึกจิกกัดอย่างชัดเจน ชารัฐรู้สึกว่าท่าทางต่อต้านรั้นๆ ของหญิงสาวตรงหน้าดูแล้วน่าเอ็นดูอย่างประหลาด และมันก็สร้างความพึงพอใจให้เขาไม่น้อย ติดอยู่ที่ว่าคนปากเก่งกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด 

“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้หมายถึง ‘บก. ของคุณ’ ”

หญิงสาวสบตาเขา แววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจผสมกับความหงุดหงิดและไม่ชอบใจขึ้นมา แน่นอนว่าชารัฐไม่คิดจะปล่อยให้ความข้องใจนี้รั้งไว้นาน 

“คนเก่ง มีประสบการณ์อย่างคุณทำไมถึงไม่รู้ล่ะครับว่า ผู้ชาย...ถ้าเขาไม่สนใจ เขาก็คงไม่ถาม ถ้าเขาไม่สนใจ เขาคงไม่ตามใจคุณ หรือถ้าเขาไม่สนใจจริงๆ เขาจะไม่อยากอยู่กับอีกฝ่ายแบบนี้”

จบคำพูดของชายหนุ่ม ทั้งคู่ก็ได้แต่สบตากันเงียบๆ นัยน์ตาคู่นั้นของหญิงสาวเริ่มสั่นไหวขึ้นมา แม้แต่สีหน้าและท่าทางมั่นใจของเธอก็ถูกกะเทาะออกจนเกือบเห็นความอ่อนไหวที่ซ่อนอยู่

ชั่วเวลาที่เป็นดั่งนาทีต้องมนตร์พลันชะงักด้วยเสียงแหลมบาดหูจากโทรศัพท์มือถือ เพราะอย่างนั้นนับดาวถึงตั้งสติได้ เธอถอนสายตาออกจากดวงตาคมของชายหนุ่มก่อนจะลุกลี้ลุกลนรับสายนี้ 

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีจ้ะนับดาว พี่ปุ้ยเองนะจ๊ะ นับดาวสะดวกคุยกับพี่สักครู่ได้ไหมจ๊ะ”

“ได้ค่ะ พี่ปุ้ยมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”

“พี่คิดว่าเมื่อวานเดียร์คงไปอัปเดตงานกับนับดาวแล้ว พี่เองก็รู้ว่านับดาวอยากจะรักษาความเป็นส่วนตัวเอาไว้ ดังนั้นที่ผ่านมาพี่และทางสำนักพิมพ์เลยไม่ได้ติดใจอะไร เพียงแต่ช่วงนี้นับดาวก็รู้ว่าการโพรโมตและงานการตลาดเป็นสิ่งสำคัญ พวกพี่ๆ เองไม่อยากจะฝืนใจนับดาวเรื่องการจัดมีตติงพบแฟนๆ นักอ่าน แต่นับดาวช่วยพิจารณาเรื่องนี้ให้พี่สักหน่อยได้ไหมจ๊ะ”

“เรื่องนี้นับก็เข้าใจพี่ปุ้ยนะคะ แต่ตอนนี้นับยังไม่พร้อมจริงๆ ค่ะ”

“ถ้าทางพี่และทีมงานของสำนักพิมพ์ทุกคนจะรับประกันความเป็นส่วนตัวให้นับดาว แบบนี้พอจะช่วยพิจารณาข้อเสนอของพี่อีกทีได้ไหมจ๊ะ ตั้งแต่นับดาวออกงานกับสำนักพิมพ์ พี่บอกจากใจจริงเลยนะจ๊ะว่านับดาวเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีมากๆ และพี่เองก็อยากจะทำงานกับน้องต่อไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ต้องรบกวนพี่คงไม่ฝืนใจนับดาวแน่ๆ แต่ครั้งนี้มันจำเป็นมากๆ นับดาวคงไม่รู้ว่าตอนนี้สำนักพิมพ์ต้องเจอปัญหาหลายด้าน แล้วโพรเจกต์ชิ้นนี้ก็เป็นหนึ่งทางของพี่จริงๆ ถ้านับดาวไม่สบายใจจริงๆ ก็ไม่เป็นไรจ้ะ พี่เข้าใจ แต่ก่อนที่นับดาวจะปฏิเสธพี่อีกครั้ง ช่วยเก็บไปพิจารณาหน่อยนะจ๊ะ”

น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูทั้งร้อนใจและเกรงใจ พอเธอคิดว่าตัวเองก็ได้รับความช่วยเหลือหลายอย่างจากอีกฝ่าย นับดาวก็กลืนคำปฏิเสธลงท้องไปแล้วตอบกลับไปใหม่ว่า

“ก็ได้ค่ะ นับจะลองเก็บไปพิจารณาอีกครั้งนะคะ”

“ขอบคุณมากจ้ะ ถ้าอย่างนั้นพี่จะนัดเข้าไปหานับดาวพร้อมกับเดียร์อีกครั้งนะจ๊ะ มีอะไรเราค่อยคุยกันอีกครั้ง ขอบคุณนับดาวมากจ้ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ปุ้ย สวัสดีค่ะ”

จากนั้นสายก็ตัดไป นับดาวเม้มปากเล็กน้อย จากบรรยากาศที่ทำให้ใจเต้นแรงระหว่างเธอกับชารัฐพลันเปลี่ยนเป็นความตึงเครียด 

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

เสียงนุ่มทุ้มที่แสนอารีของชายหนุ่มทำให้นับดาวต้องช้อนตามองอีกฝ่าย เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเล่าให้เขาฟัง

“คุณเฌอยังจำงานที่คุณเดียร์บอกได้ไหมคะ เมื่อกี้พี่ปุ้ย พี่บรรณาธิการใหญ่อีกคนที่คอยช่วยเหลือฉันมาตลอด ก็โทร. มาเพราะเรื่องนี้ละค่ะ

“พี่ปุ้ยอยากให้ฉันไปร่วมงานมีตติงที่สำนักพิมพ์จะจัดขึ้นเป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกพี่ปุ้ยไปแล้วว่าฉันไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องส่วนตัว รวมถึงตัวตนของตัวเองต่อหน้าสาธารณชน แต่คำขอในครั้งนี้มันค่อนข้างมากเกินไปที่ฉันจะตกลงรับปากในทันที แต่เพราะฉันรู้ว่าทางสำนักพิมพ์เองก็ต้องการความร่วมมือจากนักเขียนเหมือนกัน ฉันเลยไม่แน่ใจว่าควรทำยังไงดี”

“แต่คิดอีกแง่มุมผมว่ามันก็เป็นข้อเสนอที่ดีนะครับ เพราะมันหมายถึงการโพรโมตผลงานและสนับสนุนคุณมากขึ้น”

“ไม่เอาละค่ะ ฉันว่ามันค่อนข้างวุ่นวายเกินไป”

ชารัฐได้ฟังก็พอมองเห็นภาพรวมของงานทั้งหมดได้คร่าวๆ เขาพิจารณาอยู่ในใจแล้วจึงเสนอทางเลือกที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด 

“ผมไม่รู้ว่าทางบรรณาธิการของคุณเขามีเงื่อนไขอะไรบ้าง แต่ดูท่าทางแล้วเขาก็คงอยากให้คุณไปร่วมงานจริงๆ ถ้าคุณคิดว่าไปแล้วคุณสบายใจก็ทำเถอะครับ เพียงแต่คุณอาจจะต้องคุยกับทางสำนักพิมพ์เพื่ออำนวยความสะดวกให้คุณในหลายๆ อย่าง เช่น มาตรการการป้องกันความลับ รวมถึงการรักษาความปลอดภัยของตัวคุณเองด้วย คุณปิดหน้าปิดตาไปร่วมงานสักหน่อยคนคงไม่ติดใจ แถมช่วงนี้อากาศบ้านเราก็ไม่ดี สวมหน้ากากพรางใบหน้าสักหน่อยก็ไม่แย่นะครับ”

นับดาวพยักหน้าเห็นด้วยกับชายหนุ่ม เพราะเธอคิดอย่างนี้เช่นเดียวกัน ถ้าจะให้เธอช่วย อย่างมากที่สุดเธอก็ทำได้ประมาณนี้เท่านั้น 

“ฉันก็คิดไว้คร่าวๆ แบบนี้ค่ะ คงต้องลองคุยดูก่อน ฉันหวังว่าพี่ปุ้ยจะเข้าใจ”

“ถ้าไม่ได้ คุณก็ถอยออกมา ไม่ต้องกังวลหรอกครับนับดาว เพราะคนที่คุณต้องใส่ใจจริงๆ ก็คือตัวคุณเองนะ”

ชารัฐส่งยิ้มให้เธออีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นเก็บข้าวของบนโต๊ะให้เรียบร้อย เห็นดังนั้นแล้วนับดาวก็ไม่อยากอยู่เฉย เธอลุกขึ้นช่วยชายหนุ่มเก็บของเข้าไปในครัว ทั้งเขาและเธอยืนข้างๆ กัน ชารัฐรับหน้าที่ล้างน้ำยา ส่วนเธอล้างน้ำสะอาด เขาส่งมา เธอรับต่อ สองคนช่วยกันทำงานพริบตาเดียวทุกอย่างก็เรียบร้อยเหมือนก่อน

“อยากได้กาแฟล้างปากสักแก้วไหมครับ” 

นับดาวมองอีกฝ่ายเล็กน้อย จู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาขึ้นมา สุดท้ายก็ทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ 

“ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันรู้สึกง่วงๆ ขึ้นมา ว่าจะไปนอนให้เต็มตาสักตื่น ขอบคุณสำหรับมื้อนี้นะคะ”

ไม่รอให้เจ้าบ้านตอบรับ หญิงสาวก็เดินออกจากห้องของเขามาแล้ว จวบจนกลับมาถึงห้อง นับดาวถึงได้ทรุดนั่งลงหน้าประตู พิงศีรษะกับบานประตูแล้วยกมือเรียวบางทั้งสองปิดใบหน้าไว้

เมื่อลดมือลงแล้วมองไปทั่วทั้งห้อง นับดาวก็รู้สึกว่าตัวเองเห็นร่องรอยตัวตนของชารัฐที่อยู่ภายในห้องของเธอทุกจุด ถุงอาหารที่เขาเตรียมมาเมื่อวานตกอยู่ไม่ไกล ความสัมพันธ์จาก Friends with Business เปลี่ยนเป็นความใกล้ชิดอย่างที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว

วินาทีแรกที่ได้ยินประโยคดังกล่าว นับดาวยอมรับกับตัวเองอีกครั้งว่าเธอหวั่นไหว เดิมทีความรู้สึกของเธอที่มีให้ผู้ชายตรงหน้ามันก็เกินเลยจากความตั้งใจแรกของเธอไปแล้ว 

            เธอชอบร่างกายของเขา ชอบการสัมผัสเขา ชอบการได้แอบอิงแนบชิดและใช้ร่างกายของตนหล่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งกับเขา แต่ที่มากที่สุดคือเธอชอบช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเขา 

            หากเธอเอ่ยปากบอกทั้งหมดไปในวินาทีนี้ นับดาวเชื่อว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาอันเป็นต้องจบลงอย่างแน่นอน 

            นับดาวไม่ใช่คนโง่ เธอรู้ความหมายที่เขาพูดออกมาได้ทั้งหมด 

            นั่นอาจจะหมายความได้ว่าเขาเองก็มีความรู้สึกเดียวกันกับเธอ 

            ทว่าก่อนที่หัวใจของเธอจะพองโตลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ความทรงจำบางอย่างก็ย้อนกลับมา ความจริงข้อหนึ่งที่เป็นเหมือนเครื่องย้ำเตือนใจทำให้นับดาวต้องตั้งสติอีกครั้ง 

            หญิงสาวสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงบนเตียง ปากพร่ำย้ำเตือนตัวเองเบาๆ 

            “เธอไม่ใช่เด็กคนนั้นแล้ว เธอผ่านมันมาแล้ว ตั้งสติเอาไว้ ก็แค่ผู้ชายน่ากินสุดๆ คนหนึ่ง ช่างมัน ฟู่!”

            ระหว่างที่หลับตาสะกดตัวเองให้กลับมามั่นคง นับดาวคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองได้เผลอแนบกายให้ใกล้ชิดกับไออุ่นที่แสนบางเบาและกลิ่นกายของชารัฐที่ติดอยู่บนเตียง แม้ปากพร่ำบอกให้ตัวเองมีสติ แต่ร่างกายและหัวใจของเธอกลับเอนเอียงเข้าหาชายหนุ่มไปทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น