5

ทางที่ต้องเลือก

5

ทางที่ต้องเลือก

 

บรรยากาศมึนตึงระหว่างคนทั้งคู่ลากยาวมาจนถึงเช้าวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันทำงาน คริมาไม่ได้เงยหน้ามองเจ้านายหนุ่มที่เดินเข้าออกห้องทำงานเป็นรอบที่หกภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงนี้ จะไม่เป็นปัญหาเลยหากว่าทางที่เขาต้องเดินผ่านไม่ติดกับโต๊ะทำงานของเธอ

เดินไปมาจนเธอเวียนหัวไปหมดแล้ว!

เลขานุการสาวบ่นในใจ วันนี้ท่านประธานหนุ่มของเคเอกรุ๊ปไม่ได้มีธุระที่ไหน มีเพียงการประชุมผู้ถือหุ้นในรอบเช้าที่ผ่านพ้นไปแล้วอย่างราบรื่น แต่ท่าทีงุ่นง่านและการเดินเข้าเดินออกจนน่าปวดหัวนี้เองทำให้การทำงานของเธอไม่ราบรื่นเท่าไรนัก 

แล้วพอเธอไม่สนใจ ก็กลายเป็นว่าเจ้าของร่างสูงพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานเธอเป็นที่เรียบร้อย 

“นัดคุณภานพให้ฉันหรือยัง” 

“เรียบร้อยแล้วค่ะ เป็นบ่ายสามของวันพรุ่งนี้ที่ร้าน X” 

“แล้วโรงแรมที่ภูเก็ตล่ะ ที่ต้องต้อนรับทูตจากฝรั่งเศสปลายเดือนนี้”

“ครีมแจ้งกับทางนั้นไว้แล้วค่ะ ผู้จัดการฝ่ายและทุกส่วนงานรับทราบแล้ว ส่วนเรื่องคุณสมิทที่ต้องนัดเซ็นสัญญาสัปดาห์หน้า ครีมก็นัดให้เป็นวันพฤหัสตามคำสั่งของบอสแล้ว ทุกอย่างราบรื่นไม่มีปัญหาค่ะ”

“แล้ว...”

“คะ?”

“เปล่า ไม่มีอะไรแล้ว เธอทำงานต่อเถอะ”

“ค่ะ”

บทสนทนาจบลงเพียงแค่นั้น ก่อนเลขานุการอย่างเธอจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ เมินเฉยต่อสายตาชนิดหนึ่งของเจ้านายหนุ่มที่ยังจับจ้องไม่วางตาคล้ายกับเจ้าตัวกำลังนึกหาคำพูด คล้ายกำลังจะหาเรื่องคุยด้วย แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูดแล้วเดินกลับเข้าห้องทำงานของตัวเอง

บรรยากาศอึมครึมของเจ้านายกับเลขานุการยาวมาจนถึงช่วงเที่ยง กระทั่งถึงเวลาพักเบรกคริมาที่นัดกับกลุ่มพี่ๆ เอาไว้ว่าจะไปร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำเปิดใหม่ใกล้ๆ ออฟฟิศ เธอรีบคว้ากระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ ตั้งใจจะรีบออกจากห้อง แต่ยังไม่ทันขยับก็เจอเจ้านายหนุ่มที่ไม่รู้มาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะตั้งแต่เมื่อไร 

“จะไปไหน” คนตัวสูงเอ่ยถาม พยายามแล้วที่จะสบสายตา แต่คนตัวเล็กกว่าก็ยังเฉไฉไปทางอื่น 

“ครีมจะไปทานข้าวค่ะ ส่วนของบอสครีมให้ฝ่ายบริการจัดไว้ให้แล้ว จะรับเลยไหมคะครีมจะได้โทร. บอก...”

“ไม่ต้อง ฉันจะไปกินข้าวกับเธอ”

“หา!”

“จะไปร้านไหน รีบนำไปสิ”

‘เดี๋ยวสิ! 

‘เล่นง่ายๆ แบบนี้ก็ได้เลยใช่ไหม!?’

แล้วถามว่าเธอขัดได้หรือเปล่า ก็ดูคำตอบจากสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสาวๆ แต่ละคนในร้านก๋วยเตี๋ยวตอนนี้ได้ 

พนิตพรหรือพี่ผึ้ง…เลขานุการของกรรมการบริหารที่คุ้นเคยกับคนใหญ่คนโตที่สุดในนี้ยังพยายามปิดบังสีหน้าตื่นตระหนกอย่างสุดความสามารถ ไม่ต้องถามถึงตติยากับปุณยวีร์ สองพนักงานต้อนรับสาวช่างจ้อที่ตอนนี้ได้แต่นั่งกลืนน้ำลายอึกๆ ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำพูด ส่วนจริญลักษณ์…เพื่อนอีกคนในกลุ่มที่ไม่ได้มาด้วยเนื่องจากลาพักร้อนรอดตัวไปอย่างหวุดหวิด

บรรยากาศแสนกดดันนี้ทำเอาคริมาต้องขอโทษขอโพยเพื่อนร่วมโต๊ะเป็นการใหญ่ เนื่องจากมี ‘แขก’ คนสำคัญที่เชิญตัวเองมานั่งด้วยเสร็จสรรพ และดูเหมือนจะไม่ได้มีเพียงแค่เพื่อนร่วมโต๊ะที่แตกตื่น พนักงานหลายคนที่จำได้ก็พากันมองมายังเจ้านายหนุ่มที่นั่งใส่สูทในร้านก๋วยเตี๋ยวด้วยความตื่นตระหนกไม่แพ้กัน 

“เอ่อท่านประธานจะรับอะไรดีคะ คือว่า...”

“พูดปกติกับผมเถอะ ไม่เห็นต้องเกร็งขนาดนั้น”

“คะ…ค่ะ”

“พี่ผึ้งคะ มาครีมสั่งให้ดีกว่าค่ะ”

แล้วก็กลายเป็นเลขานุการสาวที่เข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ 

‘บอกคนอื่นไม่ให้เกร็งด้วยหน้านิ่งๆ แบบนั้นน่ะนะ ใครมันจะไปทำได้!’ คริมาค่อนขอดคนตัวสูงในใจ นี่เธอโดนคาดโทษไปกี่กระทงแล้วนะ หวังว่าจบงานนี้พี่ๆ จะไม่เลิกคบเธอแล้วยอมให้กินข้าวด้วยอีก 

“บอสทานอะไรดีคะ”

“เธอสั่งอะไรไป”

อีกฝ่ายไม่ได้ตอบ แต่ย้อนถามเธอกลับ แน่ละ เจ้านายของเธอไม่คุ้นชินกับการสั่งอาหารประเภทนี้

“ครีมสั่งเส้นเล็กต้มยำค่ะ”

“งั้นฉันเอาเหมือนเธอก็แล้วกัน”

คณิณบอกเพียงสั้นๆ จบบทสนทนารอบที่หนึ่งลงด้วยความกระอักกระอ่วนระดับสอง ส่วนคนรับคำสั่งก็รีบจดเมนูแล้วนำไปให้เจ้าของร้าน

ความจริงร้านนี้เป็นร้านของญาติพี่แตที่เพิ่งเปิด พวกเธอจึงถือโอกาสแวะมาอุดหนุนเป็นลูกค้า ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ ท่านประธานจะมาช่วยเปิดฤกษ์งามยามดีให้ ไม่รู้ยอดขายจะถล่มทลายหรือว่าอะไร แต่คริมาภาวนาให้เป็นอย่างแรกแล้วกัน

ดีที่ร้านตกแต่งทันสมัยและมีเครื่องปรับอากาศที่ช่วยคลายร้อน รวมถึงพวกเธอโทร. มาสั่งอาหารกันล่วงหน้าไว้แล้ว จึงเหลือเพียงเมนูของแขกกิตติมศักดิ์ที่ต้องสั่งเพิ่ม รอไม่นานก็คงได้รับประทาน และก็ไม่นานดังคาดจริงๆ ที่ก๋วยเตี๋ยวต้มยำน้ำสีแดงฉานถูกทยอยนำเสิร์ฟ 

ที่นี่มีเอกลักษณ์เรื่องความเผ็ดร้อน การันตีได้ว่าแซ่บซี้ดสะใจ เลขานุการสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเจ้านายไม่รับประทานของเผ็ดก็ตอนที่เห็นเขามองไปยังชามก๋วยเตี๋ยวด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

“ครีมลืมไปว่าบอสทานเผ็ดไม่ได้ สั่งใหม่ดีกว่าไหมคะ”

“ไม่เป็นไร ฉันอยากลองดู”

“แต่มันเผ็ดมากนะคะ”

“แต่ฉันอยากกินเหมือนเธอ” 

ไม่เพียงแค่เสียงที่เข้มขึ้น สายตาฟาดฟันระหว่างเจ้านายกับเลขานุการนั้นทำเอาสาวๆ ทั้งโต๊ะลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ช่วยกันภาวนาให้มื้อก๋วยเตี๋ยวต้มยำในวันนี้ไม่เกิดการนองเลือด เพราะใครๆ ต่างก็รู้ว่าท่านประธานของเคเอกรุ๊ปขึ้นชื่อว่าน่ากลัวแค่ไหน 

ทุกคนเกือบจะพนมมือภาวนา เอาใจช่วยเลขานุการคนเก่ง แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้มีท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนแต่อย่างใด แถมยังตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายจะไม่พอใจอีกต่างหาก

“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณเลย”

เพื่อนร่วมโต๊ะนั่งกะพริบตาปริบๆ มองเจ้านายสลับกับเลขานุการที่ถกเถียงกันในหัวข้อการกินอย่างเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนสุดท้ายเจ้านายหนุ่มจะเป็นฝ่ายชนะไป เจ้าตัวถึงได้จ้วงตะเกียบคีบเส้นเหนียวนุ่มแล้วส่งเข้าปาก 

“ซี้ด!”

เพียงแต่ว่าเรื่องราวไม่ได้จบที่ตรงนั้น เพราะใบหน้าที่เหงื่อผุดซึมเป็นเม็ดทั้งที่นั่งอยู่ในห้องแอร์ เห็นแล้วเล่นเอาสาวๆ ต้องหันมองกันเลิ่กลั่ก โดยเฉพาะตติยาที่ร้อนๆ หนาวๆ กลัวว่าร้านของญาติผู้พี่จะเสียลูกค้ารายใหญ่ไปอย่างน่าเสียดาย 

“น้ำค่ะ ทานลูกชิ้นลวกไปเลยนะคะ ส่วนชามนี้น่ะพอแล้ว”

สุดท้ายเรื่องราวก็จบอย่างราบรื่น เอ่อ...ละมั้ง 

เลขานุการสาวถามพลางมองไปยังเจ้านาย พร้อมทำตาดุเมื่อทั้งแก้มและริมฝีปากของเขาแดงจัดเนื่องจากความเผ็ดร้อนของเครื่องต้มยำ คริมาดึงชามก๋วยเตี๋ยวออกห่างเขาแล้วเลื่อนชามลูกชิ้นลวกเปล่าๆ เมนูเด็กน้อยที่เธอมักเห็นผู้ปกครองสั่งให้ลูกหลานประจำไปวางตรงหน้าแทน

ทั้งที่คิดว่าจะไม่สนใจแล้ว แต่พอมองใบหน้าที่มีเม็ดเหงื่อผุดจนเกือบจะเปียกชุ่มก็อดสงสารไม่ได้ 

ด้วยความเคยชินเธอจึงเผลอหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นซับบนใบหน้าหล่อเหลานั่น กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนที่ได้เห็นรอยยิ้มบางของคนตัวสูง รวมไปถึงความเงียบของเพื่อนร่วมโต๊ะที่มองรอยยิ้มของท่านประธานอย่างตกตะลึง

“ทุกคนจะสั่งกลับบ้านก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ ผมเลี้ยงเอง”

ตอนแรกก็ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก กระทั่งคริมาพยักหน้า สาวๆ ร่วมโต๊ะจึงต่างยิ้มกันเต็มแก้ม นอกจากจะซื้อไปฝากคนในแผนกแล้วยังถือว่าได้อุดหนุนญาติเพิ่มด้วย ยิงปืนนัดเดียวแล้วได้นกสองตัว 

ทว่าพอถึงตอนออกมายืนหน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงิน เสียงกระซิบแผ่วจากคนข้างกายก็ทำเอาเลขานุการที่กำลังปั้นหน้าดุถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมา

“ครีม...ฉันไม่มีเงินสด” 

‘นั่นปะไร!’

แน่นอนว่าคงรวมถึงบัตรเครดิตต่างๆ ด้วย เพราะปกติแล้วหน้าที่นี้เป็นเธอที่คอยจัดการให้ ถึงเงินและบัตรทั้งหมดจะเป็นของเขาก็เถอะ คริมากลั้นขำจะเก๊กขรึมต่อ แต่พอเห็นใบหน้าขัดเขินของคนตรงหน้าแล้วก็หลุดยิ้มจนได้ 

กลายเป็นว่าครั้งนี้เป็นเธอที่ออกเงินให้ก่อน โดยเจ้านายหนุ่มสัญญาว่าจะใช้คืนหนึ่งพันเท่า ซึ่งคนอื่นๆ อาจจะยิ้มเพราะคิดว่านี่เป็นมุกตลกขำขัน มีก็แต่คนฟังอย่างเธอเท่านั้นที่รู้ว่าประโยคนี้ของเขาจริงจังทุกคำพูด

“ขอบคุณบอสมากนะคะ วันนี้พวกเราอิ่มมากๆ เลย”

คนเป็นเจ้านายกระแอมกระไอเล็กน้อยเพราะความเขิน ทุกคนแตกตื่นเป็นรอบที่สองเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปากของเจ้านายกับตาเป็นครั้งแรก 

‘หล่อมากแม่!’

เสียงอุทานดังในใจทุกคนพร้อมกันเป็นสิบๆ รอบ เพิ่งรู้วันนี้เองว่าท่านประธานไม่น่ากลัวตามเสียงลือเสียงเล่าอ้าง ไม่สิ...ที่เขาดูใจดีก็อาจจะเพราะมีใครบางคนอยู่ด้วยก็เป็นได้ 

คริมาบอกลาพี่ๆ เมื่อเดินกลับมาถึงบริษัท ก่อนจะแยกย้ายกัน เธอไม่ลืมเอ่ยคำขอโทษอีกครั้งที่พาแขกหน้าดุไปร่วมโต๊ะด้วย เธอกลัวจะทำให้ก๋วยเตี๋ยวมื้อนี้ฝืดคอ ทว่าทุกคนกลับปฏิเสธและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...

‘พี่ไม่คิดว่าท่านประธานจะน่ารักขนาดนี้’

‘ยิ้มที่พี่ตาพร่าเลย’

‘คราวหลังชวนมาอีกก็ได้ พี่เลิฟๆ’

เธอทั้งโล่งใจทั้งกลัดกลุ้ม พวกพี่ๆ คงไม่รู้หรอกว่านั่นน่ะแค่บางช่วงบางตอนในชีวิตเขา เวลาท่านประธานกลายร่างน่ะน่ากลัวน้อยเสียเมื่อไร

“ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้รสชาติไม่เลว น่าจะเหมาะกับคนทานเผ็ดแบบเธอ”

คนร้ายกาจที่เธอเพิ่งค่อนขอดในใจไปเมื่อครู่เอ่ยขึ้นหลังเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน คริมารู้สึกว่าบรรยากาศตึงเครียดระหว่างกันคลายลงเล็กน้อย 

“ครีมชอบค่ะ แต่คุณน่ะอย่าทำอีกนะคะ ถ้ามันเผ็ดมากก็ไม่ต้องฝืนทานเข้าไป เดี๋ยวจะปวดท้องเอาเปล่าๆ” 

แต่แทนที่คนถูกดุจะโกรธเคือง คณิณกลับยิ้มมุมปากอย่างพอใจที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น

“เธอเป็นห่วงฉัน?”

“...”

“ว่ายังไง”

“ครีมก็เป็นห่วงทุกคนนั่นแหละค่ะ ไม่ใช่แค่บอสหรอก”

“เธอนี่มันจริงๆ เลยครีม”

จบประโยคนั้นคนมันเขี้ยวมาตลอดวันทั้งวันก็ดึงเอาคนตัวเล็กเข้ามาจูบปิดปากอย่างอดไม่ได้ สัมผัสที่เต็มไปด้วยความอ่อนหวานที่ตั้งใจชดเชยที่เคยทำไม่ดีก่อนหน้า เขาแตะปลายลิ้นลงบนนั้นอย่างหยอกเย้า ทว่าไม่ได้รุกล้ำ กระทั่งสัมผัสได้ถึงฝ่ามือเล็กๆ ที่กำเสื้อเชิ้ตของเขาจนยับย่น นั่นทำให้เจ้าของริมฝีปากเปลี่ยนใจตักตวงเอาความหวานจากเธอทุกหยาดหยด 

เป็นจูบอ่อนหวานที่แฝงด้วยความทรมานเพราะความต้องการที่เจืออยู่ ยังไม่ทันพอใจโทรศัพท์ของเขาก็แผดเสียงขึ้นเสียก่อน มันดับและดังขึ้นอีกครั้ง จนคณิณต้องตัดใจจากสัมผัสอ่อนหวานแล้วกดรับสาย

“มาเปิดประตูให้หน่อยค่ะ ฉันอยู่หน้าห้องคุณ”

เสียงนั้นดังลอดออกมาให้ได้ยินเพราะเขาเผลอกดเปิดสปีกเกอร์โฟน เป็นประโยคสั้นๆ ที่ทำเอาหญิงสาวในอ้อมแขนรีบผละกายออกห่างทันที

บรรยากาศในห้องทำงานกลับมาอึดอัดอีกครั้งเมื่อมีแขก ‘คนสำคัญ’ มาเยี่ยม คริมามองหญิงสาวที่ส่งยิ้มอ่อนหวานมาให้ 

“นี่ศรัณญา เป็นเพื่อนของฉัน” คณินแนะนำให้พวกเธอรู้จักกัน “ส่วนนี่คริมา เป็นเลขานุการของฉันเอง”

“สวัสดีค่ะครีม เรียกทรายเฉยๆ ดีกว่านะคะ ศรัณญามันดูทางการเกินไปยังไงไม่รู้” 

“เอ่อ สวัสดีค่ะคุณทราย” ยังไม่ทันได้ทักทายกันดี คำสั่งเฉียบขาดของท่านประธานหนุ่มก็ดังขัดขึ้น 

“ครีมออกไปรอข้างนอกก่อน ถ้าฉันไม่เรียกก็ยังไม่ต้องเข้ามา”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

นี่แหละความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา เป็นความสัมพันธ์ที่จูบกันเสร็จแล้วเขาก็ไล่เธอออกจากห้องได้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา ช่างเป็นความเจ็บที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกทีเดียว

คริมาพาตัวเองออกมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องด้วยสมองที่ขาวโพลนและว่างเปล่า ความรู้สึกวนเวียนอยู่กับเจ้าของชื่อที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อครู่

‘ทราย’

‘คนนี้สินะ’

เหมือนจะเป็นคนที่เธอไม่มีอะไรเทียบได้เลยจริงๆ เพราะแม้จะเจอกันเพียงไม่กี่นาที แต่เธอก็รับรู้ได้ถึงความเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว แม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่หญิงสาวเรียกเธอด้วยชื่อเล่นราวกับรู้จักกันมาก่อน แต่รอยยิ้มหวานบนใบหน้าของศรัณญาก็ดึงความสนใจเธอไปจนหมด

แค่ลองเทียบเล่นๆ คริมายังรู้สึกว่าตัวเองแพ้ตั้งแต่ไม่ลงแข่ง พวกเขาทั้งคู่เหมาะสมกันมาก ส่วนเธอนั้นถือว่าทิ้งห่างจนไม่เห็นฝุ่น

‘ครีมออกไปรอข้างนอกก่อน ถ้าฉันไม่เรียกก็ยังไม่ต้องเข้ามา’

ซึ่งนี่ก็อาจเป็นคำตอบที่ชัดเจนจนเธอไม่ต้องถามอะไรด้วยซ้ำ

เลขานุการสาวยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเกือบเป็นนาทีกว่าจะรวบรวมสติได้ เธอสูดลมหายใจลึก พร้อมทั้งสะบัดศีรษะไล่ความรู้สึกไม่ดี ตอนนี้เธอควรไปรอไปที่ไหนสักแห่ง คงไม่ดีแน่หากจะยืนอยู่ตรงนี้กระทั่งพวกเขาออกมา ซึ่งสถานที่ที่เธอนึกถึงในเวลานี้ก็มีไม่มาก อาจจะเป็นที่เดียวด้วยซ้ำที่นึกถึง 

คริมาตัดสินใจแล้วว่าจะลงไปรอที่ร้านคาเฟ่ด้านล่าง แต่ปัญหาใหญ่ของเธอในตอนนี้คือไม่มีเงินติดตัวสักบาท เพราะเมื่อกี้รีบมากจึงไม่ได้หยิบอะไรติดมือมาเลย แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือก็ไม่ได้เอาออกมากด้วย

เลขานุการสาวหันรีหันขวางอยู่หน้าห้อง ชั่งใจระหว่างเปิดประตูกลับเข้าไปเพื่อหยิบของ กับจะลงไปขอหยิบยืมจากพี่แต ไม่ก็พี่ปอข้างล่าง ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ เสียงเรียกคุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“ครีมมายืนทำอะไรตรงนี้น่ะ” 

เป็นคุณผู้ช่วยนั่นเอง

“อ่า คือครีมกำลังจะลงไปคาเฟ่ข้างล่างน่ะค่ะ แต่ลืมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา” 

“อ้าว แล้ว...”

“บอสมีแขกน่ะค่ะ เขาห้ามไม่ให้ใครรบกวน” พอเห็นอีกคนมองด้วยแววตาสงสัย เธอจึงรีบอธิบายต่อ 

พอได้ยินคำตอบนั้นชายหนุ่มก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจทันที “งั้นก็ไปกันเถอะ ผมกำลังจะลงไปที่นั่นเหมือนกัน เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง ตอบแทนกาแฟแก้วนั้นของครีมไง”

คุณผู้ช่วยขยิบตาให้หนึ่งจังหวะก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำไปที่ลิฟต์ ส่วนคนมองก็อมยิ้มพลางส่ายหน้า แต่สุดท้ายก็ยอมเดินตามเขาออกไปอยู่ดี 

“ต้องรบกวนคุณมาร์คแล้วละค่ะ”

คริมาบอกยิ้มๆ หลังลงมาถึงด้านล่าง ดูเหมือนแต้มบุญของเธอจะยังพอมีเหลืออยู่บ้างถึงได้มานั่งในร้านคาเฟ่พร้อมเครื่องดื่มและเค้กมะพร้าวอ่อนหน้าตาน่ารับประทานอีกชิ้น ตรงหน้าเป็นคุณผู้ช่วยคนสนิทที่วันนี้ดูไม่ค่อยร่าเริง ถึงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า แต่แววตาของเขาดูเศร้าอย่างไรบอกไม่ถูก

“ช่วงนี้บอสใช้งานคุณมาร์คหนักเกินไปหรือเปล่าคะ คุณดูไม่ค่อยร่าเริงเลย” คริมาแซว ตั้งใจจะบอกให้เขาพักผ่อนบ้าง อย่ามัวแต่โหมงานหนักตามคำสั่งเจ้านายใจร้าย ทว่าคำตอบของเขากลับทำเอาดวงตาคู่สวยของคนถามเบิกกว้าง 

“เปล่าหรอกครับ คือผมเพิ่งอกหักน่ะ” 

“ขอโทษนะคะ คือครีมไม่รู้ว่าคุณ เอ่อ ครีมไม่ได้จะทำให้คุณเศร้านะ”

ไม่เพียงแต่อธิบาย แต่คนถามยังทำไม้ทำมือปฏิเสธเป็นพัลวัน ปากก็ขอโทษขอโพยอีกฝ่ายเป็นการใหญ่ คริมารู้สึกผิดจริงๆ ที่เผลอถามอะไรออกไปแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าท่าทางของเธอตลกหรืออย่างไร คุณผู้ช่วยที่เศร้าอยู่ถึงได้หลุดหัวเราะ

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้โกรธอะไร คุณนี่เวลาล่กก็ตลกดีเหมือนกันนะ”

คริมาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก พอเห็นว่าเจ้าตัวเล่นกลับด้วย รอยยิ้มของเธอก็มีความเบาใจขึ้นหลายส่วน

“แต่ชินแล้วละครับ บางทีคนแบบผมอาจต้องอยู่คนเดียวจนแก่จริงๆ นั่นแหละ”

“ไม่จริงหรอกค่ะ คุณมาร์คเป็นคนน่ารักจะตาย ครีมว่าค่อยๆ พูดๆ จากันดีกว่านะคะ บางทีมันอาจจะไม่ได้มีอะไรมากก็ได้”

“เธอนอกใจผมน่ะครับ บอกว่าผมไม่มีเวลาให้ ก็แปลกดี ทั้งที่พวกเราเพิ่งทานข้าวด้วยกันเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง”

“อ่า”

จากตั้งใจจะช่วยกู้สถานการณ์ แต่พอได้ฟังเหตุผลแล้วก็พูดไม่ออกเสียอย่างนั้น 

“ครีมเชื่อว่าสักวันคุณมาร์คต้องได้เจอคนที่พร้อมจะรักและเข้าใจคุณจริงๆ แน่ค่ะ หรือถ้ายังไม่เจอเร็วๆ นี้ให้ครีมจะช่วยอีกแรงดีไหม ครีมรู้จักคนเยอะนะ ไม่อยากจะคุย” 

‘คนไม่อยากจะคุย’ กระซิบบอก แทบจะลืมความเศร้าของตัวเองก่อนหน้าไปเสียสนิท

“ครับ ดีครับ ขอบคุณครีมล่วงหน้าด้วยแล้วกัน” มนภาสส่งยิ้มบาง ท่าทางขึงขังของหญิงสาวตรงหน้าทำเอาคนกำลังเศร้าเพราะอกเดาะอย่างเขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง 

นั่นสินะ ต้องมีสิ คนที่พร้อมจะรักและยอมรับในตัวตนของเขาจริงๆ 

ชักจะอิจฉาเจ้านายแล้วสิ ที่ได้เจอเธอคนนั้นแล้ว

“ไม่ต้องเศร้าหรอกนะคะ ทานเค้กดีกว่า มะพร้าวอ่อนที่นี่ดีมากเลย”

ฟังดูอาจเป็นเรื่องตลกร้ายที่คนกำลังเศร้าอย่างเธอปลุกปลอบคนอื่นได้ในขณะที่ตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เพียงแต่ความเศร้าของเธออาจนิยามเป็นคำพูดไม่ถูกว่าเป็นอย่างไรกันแน่ อกหักก็ไม่ใช่ ถูกนอกใจก็ไม่เชิง เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและน่าสับสนดีเหลือเกิน

“คุณมาร์ครู้จักคุณทรายไหมคะ”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้อยู่ๆ เธอถึงโพล่งถามแบบนั้น แต่จะเปลี่ยนใจก็คงไม่ทันแล้ว เพราะคุณผู้ช่วยหนุ่มละสายตาจากถ้วยกาแฟขึ้นมามองเธอราวกับกำลังตกใจเพราะคำถาม

“ครีมเจอทรายแล้ว?”

“ความจริง...เธอเป็นแขกของบอสวันนี้น่ะค่ะ”

นอกจากนั้นยังเป็นคนที่ทำให้เธอต้องระเห็จจากห้องมานั่งอยู่ในร้านกาแฟแห่งนี้ด้วย ท่าทางของผู้ช่วยหนุ่มทำให้เธอพอเดาได้ว่าเขารู้จักกับผู้หญิงคนนี้

“เธอน่ารักดีนะคะ ดูๆ แล้วก็เหมาะกับบอสของเราอยู่เหมือนกัน”

ไม่ว่าจะหน้าตาหรือฐานะ พวกเขาทั้งคู่ก็ล้วนแต่เหมาะสมกันทุกด้านเลย

“หมอนั่นรู้จักกับทรายสมัยเรียนที่อเมริกาน่ะครับ ก็รู้จักกันมาเรื่อยๆ ที่บ้านของทรายทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมด้วยก็เลยคุยกันถูกคอ ผมได้ยินว่าเธอเพิ่งกลับมาจากอเมริกา ส่วนเรื่องอื่นผมว่าครีมรอถามจากปากมันเองดีกว่านะ”

คริมาระบายยิ้มบาง การถามคณิณคงเป็นเรื่องสุดท้ายที่เธอจะเลือกทำ เพราะสถานะอย่างเธอไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นได้อยู่แล้ว 

“อย่าคิดมากเลยนะครับ”

“ครีมไม่กล้าคิดหรอกค่ะ คุณมาร์คก็รู้ว่าครีมไม่มีสิทธิ์ทำอะไรแบบนั้นด้วยซ้ำ” 

มนภาสไม่สบายใจเอาเสียเลยที่ได้ยินแบบนี้ ลางสังหรณ์ของเขาร้องเตือนว่าอาจจะมีเรื่องน่าปวดหัวตามมา ได้แต่หวังว่าเรื่องน่าปวดหัวนั้นคณิณจะ ‘จัดการ’ ได้อย่างที่พูดไว้จริงๆ 

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ ครีมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ครีมว่าเราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่านะคะ นี่คุณมาร์คชิมสิ ครีมว่าเค้กร้านนี้อร่อยมากเลยนะ ถ้าสมมุติว่าครีมได้ทำร้านดอกไม้ของตัวเองจริงๆ ครีมจะติดต่อเอาไปวางขายที่ร้านด้วยแหละ”

มนภาสมองหญิงสาวตรงหน้าที่ยังพูดคุยเจื้อยแจ้ว ดวงตาของเธอปกปิดความรู้สึกไว้ไม่มิดเลย เขาก็ได้แต่หวังว่าอะไรๆ จะไม่เลยเถิดจนเรื่องยุ่งยากกว่าที่เป็นอยู่

‘ผมช่วยคุณได้เท่านี้นะครับไอ้บอส ส่วนเรื่องอื่นคงต้องรบกวนคุณจัดการเอง’

ผู้ช่วยหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะเรื่องราวอาจไม่ง่ายเหมือนที่เจ้านายคิดและวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น คริมาดูโอนอ่อนและว่าง่ายก็จริง แต่เขาเชื่อว่าหากเธอตัดสินใจทำบางอย่างไปแล้วคงยากที่จะขัดขวาง

‘หาเรื่องใส่ตัวหรือเปล่าวะคณิณ’

คนเป็นเพื่อนตั้งคำถามอย่างปลงๆ และดูเหมือนคนที่เขาเพิ่งนึกถึงจะอายุยืนมากทีเดียว ยังไม่ทันถึงนาที คนที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนสนิทก็เปิดประตูเข้ามาในร้าน ผู้ช่วยหนุ่มมองร่างสูงใหญ่ของท่านประธานที่เดินตรงมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

“ตกใจนะครับ ไม่คิดว่าบอสจะตามลงมาถึงที่นี่” มนภาสเอ่ยทัก ตั้งใจจะช่วยเพื่อนกอบกู้สร้างสถานการณ์ให้ดีขึ้น เพราะเหตุการณ์ที่เขาโดนทัณฑ์บนข้อหาชงเหล้าให้ ‘เมีย’ เจ้านายจนถูกโยนงานมาเป็นตับยังตามหลอกหลอน 

“ฉันแค่ลงมาส่งทราย”

แต่คำตอบที่ได้ทำเอาคนถามแทบกุมขมับ จากตั้งใจจะกอบกู้สถานการณ์ให้ก็กลายเป็นตอกย้ำความรู้สึกบางอย่างในใจของผู้หญิงตรงหน้าให้ดิ่งลงไปอีก 

“งั้นครีมขอตัวเลยนะคะคุณมาร์ค พอดีครีมทำงานค้างไว้อยู่ ขอบคุณสำหรับเค้กแล้วก็กาแฟวันนี้นะคะ ไว้เดี๋ยวคราวหน้าครีมจะมาเลี้ยงคืน”

บรรยากาศอึมครึมและมืดครื้มราวจะมีพายุฝนตั้งเค้า เมื่อเลขานุการสาวเดินออกจากประตูไปโดยไม่รอฟังคำคัดค้านจากใครทั้งนั้น ทิ้งให้เขาและเจ้านายหนุ่มอยู่เผชิญหน้ากันเพียงลำพัง ก่อนมนภาสจะผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่เมื่อหันกลับมามองเพื่อนที่มีสีหน้ายุ่งยาก 

“จะทำอะไรก็รีบทำนะ ถ้าถึงเวลานั้นฉันว่าครีมใจแข็งกว่าที่คิดแน่”

แม้จะรู้ดีว่าไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของใคร แต่เขาก็อดห่วงไม่ได้จริงๆ เพราะจากที่ได้พูดคุยกับหญิงสาววันนี้ เขาคิดว่าตัวเองมองเห็นเค้าลางความยุ่งยากที่จะตามมาอย่างแน่นอน

“อืม ขอบใจที่เตือน”

“ไม่อยากเห็นเพื่อนต้องไปตามง้อเมียทีหลัง” 

“แกก็รู้ว่ามันจะไม่มีวันเกิดขึ้น”

“ครับบอสครับ ไว้กระผมจะคอยดู” คนจะคอยดูยกยิ้มมุมปากล้อเลียน บ่งบอกว่าไม่เชื่อคำพูดนั้นเลยสักนิด “อ้อ จริงสิ” 

คณิณเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเมื่อคนตรงหน้าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ยอมพูด แล้วประโยคที่หลุดออกมาก็ทำเอาคนฟังสบถคำหยาบหลายคำติด

“บอสเคยได้ยินคำว่า ‘ขึ้นอย่างหงส์ ลงอย่างหมา’ ไหมครับ” 

“ไอ้มาร์ค ไอ้เพื่อนเวร!”

“ฮ่าๆ ไปละเจ้านาย”

เมื่อได้ปั่นหัวเพื่อนสนิทสมใจแล้ว คนอกหักก็แทบจะลืมความเศร้าเสียใจของตัวเองไปเสียสนิท แต่ผู้ช่วยอย่างเขาฟันธงไว้เลยว่าผู้ชายที่ขึ้นอย่างหงส์แล้วลงอย่างหมาน่ะ อีกไม่นานต้องได้เจอแน่นอน!

 

ผู้กุมบังเหียนแห่งเคเอกรุ๊ปกลับขึ้นมาบนห้องทำงานของตัวเองด้วยความหัวเสียเล็กน้อย ขึ้นอย่างหงส์ ลงอย่างหมาน่ะเหรอ เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเขาแน่นอน

ปัง!

ท่านประธานหนุ่มปิดประตูแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ทำเป็นมองไม่เห็นคนตัวเล็กที่จดจ่อกับเอกสารตรงหน้า ความคุกรุ่นในอกทำให้คณิณเดินผ่านเข้าไปโดยไม่เหลียวมอง เขายังมีบางอย่างต้องจัดการ แต่จนแล้วจนรอดความโกรธที่พลุ่งพล่านก็ทำเอาสมาธิแตกกระเจิง

คณิณยอมรับว่าหงุดหงิดแทบพ่นไฟออกมาเมื่อเขามองผ่านกระจกใสออกมาแล้วเห็นอีกคนไม่มีท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อน เขาต่างหากที่ร้อนรนจนนั่งไม่ติด สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นนายถึงได้เดินลิ่วออกมายืนตระหง่านอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเลขา

“เธอเป็นอะไรครีม โกรธฉันเรื่องอะไร ทำไมถึงไม่พูด” เจ้าของน้ำเสียงห้วนจัดเอ่ยถาม ยิ่งคนตรงหน้าไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจที่สุมอยู่เต็มอก

“เปล่าค่ะ ครีมไม่ได้โกรธคุณสักหน่อย”

“ครีม!”

ความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดของคนยืนหน้าถมึงทึงก็แทบจะติดลบเมื่อได้ยินคำตอบ 

“กลับไปทำงานเถอะนะคะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้บอสไม่ต้องใส่ใจหรอก” 

ยิ่งได้ยินแบบนั้นอารมณ์ครุกรุ่นในหัวของเขายิ่งลุกโชนจนอยากจับคนตรงหน้ามาตีสักที คณิณรู้ดีว่าเขากำลังพาล แต่จะโทษว่าเป็นความผิดเขาฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะว่าเธอตั้งใจเมินเขาเห็นๆ 

“ต้องเป็นไอ้มาร์คใช่ไหมถึงจะใส่ใจเธอได้!” 

“คุณมาร์คเกี่ยวอะไรด้วยคะ?”

แต่คราวนี้เป็นคนนั่งเงียบอยู่นานที่เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น คริมาเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้านายหนุ่มด้วยความไม่พอใจ การที่เธอเงียบและไม่โวยวายออกมามันไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือไง เขาควรจะพอใจมากกว่าที่เธอเลือกอยู่ในที่ของตัวเองแทนที่จะไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขา

“มันเพิ่งเลิกกับแฟนด้วยสินะ”

“แล้วการที่คุณมาร์คเลิกกับแฟนมันเกี่ยวอะไรกับครีม คุณอย่ามาพาลนะ!”

“นั่นสิ ไหนๆ ฉันก็เป็นแค่คนพาลในสายตาเธออยู่แล้ว พาลลงโทษเธออีกสักเรื่องก็คงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหมครีม”

ว่าจบเจ้านายหนุ่มก็ไม่ปล่อยให้เธอมีโอกาสต่อปากต่อคำอะไรอีก เพราะทันทีที่เสียงล็อกประตูดังขึ้นร่างของเธอก็ถูกอุ้มพาดบ่าแล้วพาเข้าไปในห้องทันที

“นี่! ปล่อยครีมนะคะ”

คริมาดิ้นอยู่บนไหล่ ปัดป่ายแขนขาใส่คนตัวสูงที่อุ้มเธอเดินดุ่มๆ เข้าไปอย่างไม่สะทกสะท้าน เรี่ยวแรงของผู้ชายที่ออกกำลังกายเป็นประจำจนร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามช่างแตกต่างจากเธอที่มีแค่แขนขาเล็กๆ ไว้ต่อสู้ป้องกัน 

แม้จะรู้ว่าสู้ไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ คนตัวเล็กกระหน่ำทุบมือลงบนแผ่นหลังเขาแรงๆ แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งเธอก็ยังพบว่ามันสูญเปล่า เพราะท้ายที่สุดแล้วคณิณก็พาเธอเข้ามาในห้องได้สำเร็จ คนตัวสูงทรุดลงนั่งลงบนโซฟาโดยจับร่างกายของเธอให้นอนพาดบนตัก!

“นี่! ปล่อยครีมนะ ครีมบอกให้ไง!” คนถูกจับให้นอนคว่ำหน้าสะบัดตัวดิ้นหนี ไม่นานแขนที่ประทุษร้ายเขาก็ถูกคนใจร้ายจับไพล่หลัง 

“ถ้าไม่กลัวตกลงไปแล้วแข้งขาหักก็ดิ้นต่อ”

เสียงเข้มจัดดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือที่ตบลงบนสะโพก คณิณรวบมือเล็กไพล่หลังด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนหวดมืออีกข้างลงบนก้นกลมของเธอไปหนึ่งที 

“ครีมเจ็บนะ นี่! อย่าตี ฮื้อ...คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง”

และอีกหนึ่งทีเมื่อได้ยินคำด่าทอต่อว่า

“ฉันบ้าได้มากกว่านี้อีกครีม เธออยากเห็นไหม”

ถึงอย่างนั้นคนถูกจับให้นอนคว่ำบนตักก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ คริมาสะบัดทุกส่วนที่ไม่ถูกพันธนาการ ปากจิ้มลิ้มก็ต่อว่าต่อขานเขาไม่หยุด ซึ่งคนบ้าก็ตอบโต้ด้วยการหวดฝ่ามือใหญ่บนก้นกลมที่เด่นชัดตรงหน้า ยิ่งเธอดิ้น กระโปรงผ้าที่สวมยิ่งเลิกขึ้นจนเผยให้เห็นลูกพีชงอนเด้ง 

คณิณวางมือลงบนนั้นก่อนจะขยำลงน้ำหนัก ยิ่งเธอดิ้นเขาก็ยิ่งฟาดมือลงบนนั้นจนปรากฏรอยเป็นริ้ว 

เขาโกรธ...ยิ่งนึกถึงใบหน้าบึ้งตึงที่เธอใช้มองตัวเขาสลับกับใบหน้าเปื้อนยิ้มที่มองมนภาสก็ยิ่งไม่พอใจ และการถูกเมินหรือเงียบใส่ก็คือสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด 

“ปล่อยครีมเดี๋ยวนี้นะ ปล่อยสิ!” 

“เธอน่ะดื้อครีม ดื้อจนฉันไม่รู้จะทำยังไงกับเธอแล้ว”

ดื้อจนเขาจะรับมือไม่ไหว และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เขาปล่อยให้คนตัวเล็กเข้ามามีอิทธิพลกับหัวใจขนาดนี้

ฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มยังหวดลงบนนั้น เขาไม่ได้ตีแรงถึงขั้นให้เจ็บ แต่อาการดิ้นของเธออาจทำให้เจ็บ เขาจึงปล่อยข้อมือที่จับไพล่หลังออก นึกแปลกใจกับความดื้อดึงของคนบนตักที่สงบลง กระทั่งสัมผัสได้ถึงความเปียกชุ่มของน้ำตาและเสียงสะอึกสะอื้นที่เจ้าตัวพยายามกลั้นไว้ 

ชายหนุ่มหยุดการกระทำทั้งหมดลงทันที

“...ครีม”

คณิณเรียกชื่อพลางช้อนคนบนตักเข้ามากอดด้วยความรู้สึกที่เขาอธิบายไม่ถูก รู้แค่ว่าเหมือนหัวใจถูกบีบรัดจนเจ็บไม่ต่างกัน ปล่อยให้เสียงสะอื้นที่ปนไปกับเสียงต่อว่าต่อขานเขาดังต่อเนื่อง เจ้าของชื่อก็ไม่โต้ตอบแม้แต่น้อย เขาประคองใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตาให้ซบลงบนอก ลูบศีรษะเล็กไปมาราวกับกำลังปลอบโยนคนเสียขวัญ ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าสูทราคาแพงจะเลอะไปด้วยคราบน้ำตาหรือเปล่า 

“ครีมเจ็บนะ...คุณ...ฮึก”

ทว่าคนถูกปลอบกลับยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้น คริมาปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด เธอเจ็บ คล้ายว่าความรู้สึกทั้งหมดประเดประดังเข้าหาจนรับมือไม่ไหว ทั้งความเสียใจเรื่องตัวจริงของเขาที่โผล่มา ทั้งความน้อยที่ถูกเขาพูดจาร้ายๆ ใส่ 

เรื่องของมนภาสไม่ใช่ความผิดเธอเลยสักนิด แต่ทำไมถึงเป็นเธอที่ถูกลงโทษ 

ยิ่งคิดน้ำตาเจ้ากรรมก็ยิ่งไหล

มือเล็กของหญิงสาวกำเสื้อเขาแน่นราวกับเด็กน้อยกำลังเสียขวัญ ยิ่งถูกฝ่ามือใหญ่ลูบปลอบก็เหมือนความพยายามในการแบกรับอ่อนแอพังลงไม่เป็นท่า หรืออาจเป็นเพราะรู้ว่าเวลาของตัวเองใกล้จะหมดลงแล้ว น้ำตาของเธอถึงยังไหลไม่หยุด

“...ครีมเจ็บ” 

ไม่ใช่ความเจ็บที่ร่างกาย แต่เป็นหัวใจของเธอต่างหากที่กำลังแตกสลาย

“ชู่! ฉันรู้แล้ว อย่าร้อง...เด็กดี” 

‘ขอร้องละ’

หัวใจคณิณหล่นวูบ ปล่อยให้คนตัวเล็กร้องไห้อยู่กับอกของตัวเองอยู่อย่างนั้น มือหนึ่งเขาลูบศีรษะปลอบขวัญ อีกมือก็ลูบไปตามแผ่นหลังที่ยังสั่นเทา เขาไม่เคยเห็นเธอร้องไห้หนักขนาดนี้ ยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นหัวใจของเขาก็พลันวูบโหวงไปหมด 

ความกรุ่นโกรธเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง หลงเหลือเพียงความรู้สึกผิดที่จู่โจมจนใจเจ็บ แต่เพราะปากที่ยังหนักเกินทน คำขอโทษที่ดังก้องอยู่ในใจจึงไม่ถูกเอ่ยออกมาก 

หลังเสียงสะอื้นเบาลงเจ้านายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปเช็ดคราบน้ำตาออก ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนเปลือกตาที่ยังเปียกชุ่มด้วยความรู้สึกที่เต็มล้นอยู่ในใจ 

“เรามีบางอย่างต้องคุยกันแล้วครีม” 

ยอมรับว่าน้ำตาและเสียงสะอื้นของเธอในวันนี้มีอิทธิพลต่อหัวใจของเขาอย่างร้ายกาจทีเดียว...

 

เยาวราชในยามค่ำคืนยังเต็มไปด้วยสีสันและนักท่องเที่ยวเหมือนอย่างเคย แสงไฟตามมุมตึกและเสียงพูดคุยจากกลุ่มคนยิ่งทำให้บรรยากาศคึกคัก แต่สำหรับคนกำลังเศร้าอย่างคริมานั้นมองไปทางไหนก็คล้ายว่ามีแต่ความเงียบเหงา 

หญิงสาวเดินทอดท่องไปตามทางเดินพลางเหลือบมองข้าวของที่ตั้งเรียงรายตามข้างทางแล้วชักหิว ยอมรับว่านอกจากกาแฟกับเค้กมื้อบ่ายก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเธอเลย จะว่าไปนี่ก็นานแล้วเหมือนกันที่เธอไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ และเป็นครั้งแรกที่เธอขัดคำสั่งผู้เป็นเจ้านายอย่างร้ายแรง เพราะนอกจากจะไม่อยู่รอฟังแล้ว วันนี้เธอยังถือดีแหกกฎ ไม่ยอมกลับบ้านอีกด้วย…อย่างน้อยก็ในตอนนี้

เธอยังไม่อยากเจอเขา

เรื่องเดียวที่เธอรู้สึกผิดคือการโกหกป้าอุ่น เธอบอกท่านว่าจะซื้อของใช้ส่วนตัวตรงห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ บ้าน และไม่ต้องการให้คนขับรถมาส่ง แต่ความเสียใจที่กัดกินอยู่ตอนนี้ทำให้เธอไม่สามารถทำตัวเป็นปกติได้จริงๆ การออกมาข้างนอกจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว 

พอได้กลับมาอยู่คนเดียว คริมาถึงรู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองใช้ชีวิตไม่คุ้มเอาเสียเลย การอยู่ข้างกายคณิณทำให้เธอแทบไม่ได้เหยียบย่างไปไหนถ้าไม่มีเขาตามติด แต่เรื่องนั้นเธอก็พอเข้าใจได้ เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนที่เวลาทุกวินาทีเป็นเงินเป็นทองอย่างเขามาเดินทอดน่องด้วยกัน และเป็นเธอเองที่ยินยอมพร้อมใจอยู่ในกรงทองหลังใหญ่ของเขาตั้งแต่แรก

คริมาไม่โทษว่าเป็นความผิดของใคร ไม่ว่าจะคณิณหรือตัวเธอเอง แต่ถ้าให้เลือกใหม่ในตอนนี้ เธอยอมรับว่าตัวเองกำลังลังเล เธอเคยคิดว่าช่วงเวลาในตอนนั้นคือความสุข คิดแค่ว่าได้อยู่ใกล้เขาทุกวันก็คงทำให้เธอมีความสุขจนไม่ต้องการอะไรอีก หลงอยู่ในกรงทองจนลืมเรียกร้องความเป็นอิสระให้ตัวเอง พอมาถึงตอนนี้ทุกอย่างถึงดูผิดที่ผิดทางไปหมด

‘เพราะรัก...’

อาจเพราะความรู้สึกที่ติดตรึงอยู่ในใจมานานทำให้เธอยึดติดกับคณิณมากเกินไปจนไม่ได้มองอย่างอื่น แล้วพอทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป พอตัวเองกำลังจะไม่เป็นที่ต้องการ ถึงได้รู้ตัวว่าที่ผ่านมาช่างใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย 

จะว่าเสียดายก็คงไม่ผิดนัก แต่ลึกๆ แล้วเธอก็รู้ดีว่าต่อให้มีสิทธิ์เลือกในตอนนั้นเธอก็ยังเลือกจะอยู่ข้างเขาอยู่ดี

นี่แหละความโง่งม…ความรักทำให้คนเรามองข้ามหลายความจริงอย่างและทำเรื่องโง่งมได้ตลอดเวลาจริงๆ 

 

                แกร๊ก!

                คีย์การ์ดที่ไม่ได้ถูกใช้มานานเปิดเข้ามาในห้องหนึ่ง คริมาเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ที่อยู่ตรงผนังข้างๆ ก่อนดวงไฟในห้องส่องสว่างขึ้น 

ที่นี่เป็นคอนโดมิเนียมที่เธอซื้อไว้เมื่อหนึ่งปีก่อน 

ซึ่งถ้าเทียบกับทรัพย์สมบัติของอัศวสินธุ์ก็คงยังไม่ได้แม้เศษเสี้ยว ห้องนี้ไม่ได้หรูหราระดับราคาหลายสิบล้าน เป็นแค่คอนโดมิเนียมขนาดยี่สิบแปดตารางเมตรที่มีเพียงหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ มีครัวเล็กๆ และห้องรับแขกขนาดย่อม แต่สำหรับคนที่คิดจะอยู่คนเดียวอย่างเธอแล้วถือว่ากว้างขวางมากทีเดียว

คริมาระบายยิ้มจางเมื่อมองภาพตรงหน้า ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เธอเตรียมไว้จะได้ใช้งานรวดเร็วขนาดนี้ 

เจ้าของห้องวางกุญแจและโทรศัพท์มือถือลง แน่นอนว่าในโทรศัพท์มือถือไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ เพราะเธอปิดตั้งแต่ออกจากบ้าน โชคดีที่ห้องนี้เธอจ้างแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดไว้เป็นประจำ จึงไม่มีฝุ่นจับและมีสภาพดีมากพอสำหรับเป็นที่นอนในคืนนี้ 

เธอไม่ได้คิดหนีหรอก 

เพราะต่อให้คิดจริงๆ เธอก็เชื่อว่าอีกไม่นานคนอย่างคณิณคงตามสืบจนรู้ อีกอย่าง เธอตัดสินใจแล้วว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง นั่นเพราะเธอเองก็กำลังจะตัดใจจากเขาแล้วเช่นกัน

คริมายอมรับว่าตัวเองเคยโลภ เธอเคยนึกอยากครอบครองพื้นที่ข้างกายเขาไว้เพราะคิดว่าตัวเองมีโอกาส กระทั่งความจริงทั้งหมดตีแสกหน้าเมื่อตัวจริงของเขาโผล่เข้ามา ผู้หญิงที่แสนเพียบพร้อมอย่างศรัณญาทำให้เธอตาสว่างว่าที่ตรงนี้ไม่ใช่ของเธออีกต่อไปแล้ว ในเมื่อมีคนที่เหมาะสมและเพียบพร้อมสำหรับเขามากกว่าก็ได้เวลาที่เธอต้องถอยออกมาเสียที

คริมาปาดน้ำตาที่ไหลออกมาลวกๆ เธอไม่ได้อยากร้องไห้ ทว่าเสียงสะอื้นนั้นกลับดังราวกับกำลังจะขาดใจ และลึกๆ ในใจนั้นเธอก็ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งตัวเองจะไม่ต้องเจ็บปวดเพราะความรู้สึกนี้อีก

หญิงสาวไม่เลยรู้ว่าอีกฟากฝั่งของเมือง มีใครบางคนกำลังจะเป็นบ้าเพราะการหายตัวไปของเธอ

‘คุณครีมออกไปตั้งแต่หัวค่ำแล้วค่ะ เธอบอกว่าจะไปซื้อของใกล้ๆ เลยขับรถไปเอง ไม่ยอมให้คนขับรถไปส่ง’

‘บ้าฉิบ!’

คำบอกเล่าของคนเก่าคนแก่ของบ้านทำเอาฝ่ามือของคณิณกำแน่น ผู้เป็นประมุขของบ้านกัดฟันแน่นพลางสะกดความรู้สึกรุนแรงนี้ลง หัวใจของเขาบีบรัดจนเจ็บไปหมดเพียงเพราะคิดเรื่องที่อยู่ๆ ใครอีกคนก็หายออกไปจากบ้าน

“ไปตามหาให้เจอ!” ชายหนุ่มตวัดสายตามองไปยังคนของตัวเองที่ยืนเรียงรายอยู่ตรงหน้า ตวาดคำสั่งเกรี้ยวกราดจนคนที่ยืนอยู่เผลอสะดุ้ง 

“ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวทำไมพวกนายยังปล่อยให้คลาดสายตาได้!”

ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมาหลายปี นี่เรียกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเจ้านายหนุ่มควบคุมอามรมณ์ไม่อยู่ เขากำโทรศัพท์ไว้แน่นอย่างรอคอย และในจังหวะที่เสียงเรียกเข้าดังขึ้นเจ้าตัวก็รีบกดรับแล้วกรอกเสียงลงไปอย่างร้อนรน

“เจอไหม!”

“ยังไม่เจอ แกก็ใจเย็นๆ ก่อน”

“เมียหายทั้งคน ยังจะให้ใจเย็นได้อีกเหรอวะ!”

ใครมันจะให้เขาใจเย็นอยู่ได้อีก ในเมื่อเมียของเขาหายไปทั้งคน!

‘มึงต้องตั้งสติคณิณ! คิดว่าคนอื่นเขาอยากให้เป็นแบบนี้หรือไง!’

เสียงตวาดของปลายสายทำให้คนฟังหยุดชะงัก คล้ายสติที่แตกไปก่อนหน้าเริ่มกลับเข้าร่องเข้ารอยอีกครั้ง คณิณพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด 

“อย่างน้อยๆ ก็สงสารคนในบ้านบ้าง มึงก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของใคร”

เขารู้...เพราะถ้าจะมีคนผิดจริงก็คงเป็นเขาที่กำลังสติแตกอยู่ตอนนี้ 

ร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นนายทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง ยกฝ่ามือกุมขมับพลางบีบคลึงเพื่อคลายอาการปวดศีรษะที่รุมเร้า แล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองนับครั้งไม่ถ้วน รู้สึกคล้ายว่าเข็มบนหน้าปัดที่เลื่อนไปข้างหน้าเป็นราวกับระเบิดเวลาที่นับถอยหลัง

เพล้ง!

นาฬิกาข้อมือถูกขว้างทิ้งอย่างไร้ทิศทาง เศษซากของมันกระจัดกระจายคล้ายแสดงความรู้สึกของเจ้าของในเวลานี้ ความเป็นห่วงและความกลัวที่น่าอึดอัดทำให้ร่างสูงหลับตาลงช้าๆ ฝ่ามือทั้งสองกำแน่นจนเจ็บ ถึงอย่างนั้นกลับยังน้อยกว่าความเจ็บปวดในหัวใจ

‘ป่านนี้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้’

คริมาไม่เคยออกไปไหนโดยไม่บอก แต่แล้วตอนนี้ผู้หญิงที่ไม่เคยห่างกายกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน คณิณก็ไม่คิดว่าเขาจะหยุดความฟุ้งซ่านและเป็นห่วงของตัวเองลงได้ 

เขาทำไม่ได้จริงๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น