6

พันธนาการ

6

พันธนาการ

 

เสียงจอแจรวมถึงความเบียดเสียดในรถไฟฟ้ายามเช้าไม่ใช่ภาพที่แปลกตานักสำหรับหญิงสาว คริมายืนโงนเงน นาฬิกาข้อมือบอกว่าอีกห้านาทีจะแปดโมง ยังเหลืออีกเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเริ่มงาน หญิงสาวยิ้มบางกับการขึ้นรถไฟฟ้าในรอบหลายปีนี้ มั่นใจว่าตัวเองจะไม่เข้าทำงานสาย

จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เข้าทำงานที่เคเอกรุ๊ปมาเกือบสามปี นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่เธอเดินทางด้วยตัวเอง ไม่มีรถยนต์คันหรูคอยรับส่ง ไม่มีผู้ชายคนนั้นอยู่ข้างกาย แต่ในความวุ่นวายและเร่งรีบนี้ เธอกลับรู้สึกว่าจุดที่ตัวเองควรยืนเป็นตรงนี้มากกว่า 

เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ชีวิตยังต้องดำเนินต่อ

เสียงประกาศบอกสถานีที่ต้องลงดังขึ้น หญิงสาวแทรกตัวออกมายืนใกล้ประตูทางออก บอกตัวเองให้ฮึบไว้ เพราะลงจากรถไฟฟ้านี้แล้วเธอยังต้องนั่งมอเตอร์ไซค์วินต่อไปอีกนิดหน่อย แน่นอนว่าเธอกำลังพยายามทำตัวให้สดใส แม้จะขัดกับดวงตาที่บวมช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักก็เถอะ 

ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าพอคนเราผ่านความเจ็บปวดมามากๆ เข้า พอถึงจุดหนึ่งก็มักจะเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น แม้บางทีจะเป็นความเข้าใจที่ไม่อยากยอมรับก็ตาม 

“ขอบคุณค่ะ”

เธอเอ่ยขอบคุณพร้อมกับจ่ายค่าบริการให้มอเตอร์ไซค์วินเสร็จสรรพ จากนั้นหมุนตัวเข้าหาตึกสูง เงยหน้าขึ้นมาอาณาจักรของใครบางคนที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะไม่กลัว ทว่าพอมายืนอยู่ตรงนี้หัวใจกลับวูบโหวงอย่างห้ามไม่อยู่

แต่เธอรู้ดีว่าการวิ่งหนีในตอนนี้ไม่ใช่ทางออก สิ่งที่เธอควรทำคือการเผชิญหน้า แม้คนที่กำลังจะเผชิญด้วยนั้นจะไม่น่าต่อกรก็ตามที

เธอหนีคณิณไม่ได้ตลอด ทางเดียวที่จะจากกันด้วยดีก็คือต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง 

คริมาสูดลมหายใจลึกเมื่อเดินเข้ามาในอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ เธอยังทำตัวราวกับทุกอย่างเป็นปกติ แวะซื้อแซนด์วิชและกาแฟแก้วโปรด นอกจากนั้นก็ยังแวะทักทายตติยากับปุณยวีร์ที่มาทำงานตั้งแต่เช้าเช่นกัน 

พูดถึงตอนเช้า ความทรงจำของเธอก็ย้อนกลับไปก่อนหน้า ในตอนที่เปิดเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาก็พบว่ามีทั้งข้อความและสายที่ไม่ได้รับเต็มไปหมด ทั้งจากอุ่นใจ จากมนภาส ทว่าข้อความและสายที่ไม่ได้รับเกินกว่าครึ่งเป็นของผู้ชายคนนั้น 

ทว่าพอคิดว่าเขาคงทำไปเพราะความโกรธ คงหัวเสียที่เด็กในปกครองอย่างเธอไม่ว่าง่ายเหมือนก่อน พอเป็นแบบนั้นเธอก็ปัดความรู้สึกสับสนทิ้งได้อย่างรวดเร็ว

ในตอนนั้นเธอเลือกโทร. กลับหาอุ่นใจเพียงคนเดียวเพราะความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้น เธอขอโทษที่ต้องโกหกท่าน แต่ก็ไม่ได้บอกถึงเหตุผลที่ทำแบบนั้น บอกเพียงสั้นๆ ว่าวันนี้ยังจะกลับเข้ามาทำงานที่บริษัทตามเดิม และในตอนนี้เธอก็เดินอยู่บนทางเดินอันแสนคุ้นเคย 

คริมายังก้าวเดินไปอย่างมั่นคง ไม่รู้ว่าพาตัวเองมาหยุดยืนหน้าห้องตั้งแต่ตอนไหน หญิงสาวสูดลมหายใจลึก นี่เป็นครั้งแรกของการทำงานเลยมั้งที่เธอรู้สึกกดดันจะไม่อยากก้าวเข้าไป 

เธอคิดว่าตัวเองยังพอมีเวลาอยู่ คิดว่าคณิณคงจะยังมาไม่ถึงที่ทำงาน ทว่าพอเปิดประตูเข้าไปภาพแรกที่เห็นกลับเป็นร่างสูงของเจ้านายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานของเธอ

“หายไปไหนมา”

เสียงประตูปิดดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงทรงอำนาจของผู้เป็นใหญ่แห่งเคเอกรุ๊ปที่เอ่ยถามตรงประเด็นและชัดถ้อยชัดคำ ใบหน้าหล่อเหลาของเขายังคงราบเรียบเช่นเคย แต่หากสังเกตให้ดีคงมองเห็นแววบางอย่างอยู่ในนัยน์ตาคู่คมคู่นั้น

“บอสทานแซนด์วิชไหมคะ ครีมซื้อมาหลายชิ้นเลย”

คนรออยู่นานถอนหายใจหลังได้ยินคำตอบ ไม่รู้ว่าคริมาไม่ได้ยิน หรือจงใจที่จะเมินคำถามนั้น เจ้าของร่างสูงเป็นฝ่ายสาวเท้าเข้าไปหาเธอ ท่วงท่าทรงอำนาจนั้นทำเอาคนมาใหม่ถอยหลังไปหนึ่งก้าว 

แต่พอคริมานึกได้ว่าทำไมเธอต้องหนี เธอไม่ได้ทำอะไรผิด สองเท้าที่เคยก้าวถอยหลังจึงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าของใบหน้าเรียวสวยยังจับจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา 

เอาสิ มาเลย เธอพร้อมแล้ว

“เราคุยกันดีๆ สักครั้งได้ไหมครีม” 

ทว่าท่าทีและน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดนั้นทำเอาคนตั้งการ์ดไว้ชะงักค้าง ถ้อยคำตอบโต้ที่เตรียมไว้ในใจถูกกลืนหายเมื่อไม่มีคำต่อว่าแสนเกรี้ยวกราดอย่างที่คิดไว้ พอเป็นแบบนั้นเธอจึงยอมยืนนิ่งๆ ให้อีกคนที่อยากคุยดีๆ พูดในสิ่งที่อยากพูดออกมา

“...อย่าทำแบบนี้อีก” 

‘ฉันเป็นห่วง’ แน่นอนว่าประโยคหลังดังก้องอยู่เพียงในใจ 

คณิณพยายามแล้วที่จะปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง ทว่าพอนึกถึงเรื่องเมื่อเช้าที่อุ่นใจบอกว่าคริมาโทร. หาบอกว่าเธอนั้นสบายดีและไม่ต้องเป็นห่วง แถมยังได้พูดคุยกันอีกหลายเรื่อง แต่เธอกลับเลือกที่จะเมินเฉยต่อทั้งข้อความและเบอร์โทร. ของเขา ไม่เปิดอ่าน ไม่โทร. กลับ นั่นทำให้เขาทำตัวไม่ถูก

น้อยใจ? 

คณิณไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะมีความรู้สึกเช่นนี้ ทว่าคำตอบก็มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ดี 

“แต่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ชายหนุ่มมองสำรวจไปทั่วร่างเล็ก เห็นว่าเธอไม่ได้เจ็บป่วยตรงไหนก็เบาใจ ใจจริงเขาอยากจะทำมากกว่านี้ แต่ปากที่หนักและระยะห่างที่ราวกับกำแพงหนาคั่นกลางอยู่ก็ทำให้เลือกบอกเพียงสั้นๆ 

“เดี๋ยวค่ะ” 

คนที่กำลังจะหมุนตัวกลับชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียก คณิณค่อยๆ หันกลับมา ดวงตาคู่คมมองไปยังหญิงสาวตรงหน้า

“ครีมมีเรื่องอยากคุยกับบอส” 

“อืม ว่ามาสิ”

“ครีมจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก”

“ว่ายังไงนะ” 

คนได้ฟังถามย้ำราวกับไม่เชื่อหู คราวนี้ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาชิดคนตัวบางที่ยังยืนนิ่งไม่ขยับหนี ดวงตาคู่สวยฉายแววมาดมั่น ก่อนประโยคที่คิดมาแล้วทั้งคืนจะถูกเอ่ยออกไปด้วยความหนักแน่นอีกครั้ง

“ครีมจะย้ายออกจากอัศวสินธุ์ค่ะ”

พูดออกไปแล้ว ในที่สุดเธอก็พูดได้เต็มปากเสียที

คริมาสูดลมหายใจลึก หลังจากนั้นที่ความเงียบเกาะกินไปทั่วทั้งห้อง เธอไม่อาจหาญคิดว่าคำพูดของตัวเองจะสั่นคลอนความรู้สึกของใครได้ ไม่ได้คาดหวังว่าคนอย่างเขาจะเสียใจหรือเหนี่ยวรั้ง เธอรู้ตัว รู้ดีมาตลอด

“เธอมีสิทธิ์ตัดสินใจงั้นเหรอครีม”

ทว่าน้ำเสียงแข็งกร้าวนั้นกลับกระทบความรู้สึกของเธอจนเผลอเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าว รอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาของคนพูดสั่นคลอนใจของเธออย่างห้ามไม่ได้

“ฉันจำไม่ได้ว่าให้สิทธิ์นั้นกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่” ประโยคที่แสนใจร้ายนั้นทำให้ขอบตาของคนฟังร้อนผ่าว เธออยากร้องไห้ แต่สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือกดข่มความรู้สึกทุกอย่างลงให้ลึก 

“ครีมตัดสินใจแล้ว”

เธอตัดสินใจแล้ว ต่อให้จะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องอื่น แต่เรื่องหัวใจของตัวเองคริมาคิดว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะทำมันอย่างเต็มที่  คนที่ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจคือเขาต่างหาก! 

“งั้นเหรอ แล้วถ้าฉันไม่ยอมล่ะ เธอจะทำยังไง”

คริมาสูดลมหายใจลึก เงยหน้ามองคนตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจและสับสน ทำไมล่ะ การที่เธอเลือกปกป้องความรู้สึกของตัวเองเป็นเรื่องที่ผิดขนาดนั้นเลยหรือไง เขาจะใจร้ายเกินไปหรือเปล่า ถึงเลือกให้เธออยู่เพื่อมองเขารักกับผู้หญิงคนอื่น หรือต้องให้เธอเจ็บเจียนตายอยู่ตรงหน้า เขาถึงจะยอมปล่อยเธอไป

“ถึงวันนี้คุณจะไม่ยอม แต่สักวันครีมก็คงต้องย้ายออกไปอยู่ดี สู้ให้ครีมย้ายไปตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าเหรอคะ”

นั่นคือความจริงที่เธอต้องทำใจยอมรับ เพราะไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็คงเป็นเธอที่เป็นฝ่ายถอยจากความสัมพันธ์นี้อยู่ดี 

“ไม่ครีม เราจะคุยเรื่องนี้กันทีหลัง”

ทว่าคำตอบของคนตรงหน้าก็ทำเอาความหวังริบหรี่ของเธอมืดดับลง น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินลงมาเงียบๆ เมื่อคนใจร้ายตัดบท ไม่ยอมให้เธอได้พูดอะไรต่อ 

“อะไรก็ได้ยกเว้นเรื่องที่เธอต้องการไปจากฉัน...เพราะมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น

 

แต่คืนนั้นคณิณก็พบว่าความอดทนของเขาต้องสิ้นสุดลง เมื่อชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วเห็นว่าคริมากำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า จัดข้าวของหลายอย่างใส่กล่องอย่างเป็นระเบียบ คนที่ตั้งใจจะมาอธิบาย ‘ความจริง’ ทั้งหมดที่เธออยากรู้ปัดความตั้งใจนั้นทิ้ง คณิณยอมรับว่าความรู้สึกของเขานั้นใกล้จะเกินขีดจำกัด 

ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากรับรู้เขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก แต่จะมาโทษว่าเขาใจร้ายทีหลังไม่ได้ ในเมื่อเป็นเธอเองที่เลือกทางนี้ ชายหนุ่มย่างสามขุมไปหาเธอ

คริมาหวีดร้องเมื่อร่างทั้งร่างถูกโยนลงบนเตียงโดยมีเจ้าของร่างสูงตามลงคร่อมทับ คณิณอุ้มเธอมาจากห้องของตัวเอง ทั้งที่ยังจัดข้าวของไม่เสร็จ คนใจร้ายไม่ได้พูดอะไรกับเธอสักคำ ใบหน้าของเขาเกรี้ยวโกรธแสดงถึงความขุ่นเคืองที่ใกล้จะเกินขีดจำกัด และการกระทำต่อมาของเขาก็ทำเอาดวงตาคู่ของเธอเบิกกว้าง มองแพรผืนยาวที่ถูกหยิบออกมาจากหัวเตียงด้วยใจอันสั่นเทา

“นี่คุณ...!?”

คนมองสถานการณ์ออกถามเสียงสั่น ลำตัวที่ถูกกดทับด้วยร่างใหญ่หนาทำให้เธอไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ มีเพียงแค่ริมฝีปากที่ยังพอให้ตะโกนร้องบอก

“ปล่อยครีมนะ!”

“ดื้ออยากไปจากฉันนักนี่”

นอกจากจะไม่ปล่อยแล้ว ข้อมือทั้งสองข้างของเธอก็ยังถูกรวบขึ้นสูงแล้วผูกเข้ากับหัวเตียงด้วยแพรเนื้อบาง คริมาดิ้นรนอึกอัก เตะขาลงบนเตียงกว้าง หวังว่ามันอาจจะช่วยให้เธอหลุดจากพันธนาการ แต่เธอก็พบว่ามันเสียแรงเปล่า เพราะคนตัวสูงตรงหน้าแสดงให้เห็นแล้วว่าการทำของเธอไม่มีความหมาย ถ้าเขาไม่คิดจะปล่อย

“เก่งนักก็ดิ้นให้หลุดสิ” 

                แน่นอนว่าครั้งนี้เขาคงไม่ใจดีกับเธอเหมือนคราวก่อน

“แต่ถ้าไม่หลุดเธอคงรู้ว่าฉันจะไม่ทำแค่นี้ใช่ไหมครีม” 

ข้อมือที่ถูกพันธนาการเหนือศีรษะทำเอาคนบนเตียงตื่นตระหนก นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างในขณะที่กายบางของเธอแอ่นโค้ง ชุดที่สวมอยู่ก่อนหน้าถูกปลดเปลื้อง เหลือเพียงกางเกงชั้นในลูกไม้บางเบาที่แทบปิดอะไรไม่มิด

ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่กระทบลงบนผิวกายทำเอาคนตัวบางห่อตัวเพื่อหลบความหนาว แต่เพียงไม่นานเรียวขาเสลาก็ถูกเกี่ยวลงมาด้วยมือของคนตัวสูงตรงหน้า ดวงตาคมดุของคณิณจ้องมองนิ่ง ทั้งแข็งกร้าวและดุดัน ทว่าในเสี้ยวหนึ่งนั้นกลับมีอารมณ์บางอย่างที่เธออ่านไม่ออก 

“ปล่อยครีมนะ”

คนตัวเล็กบิดข้อมือ หวังเพียงปมผ้าที่มัดไว้จะคลายออกพลางพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่น แต่ก็รู้ดีว่ามันยากเกินไปในตอนนี้ และความพยายามของเธอดูจะไร้ความหมาย คณิณรู้วิธีพันธนาการ เขารู้ว่าต้องทำยังไงเพื่อไม่ให้เธอเจ็บ ถ้าเทียบกับความดุดันบนใบหน้าของเขาตอนนี้นั้น การถูกมัดของเธอไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด!

“ปล่อยเพื่อให้เธอหนีไปน่ะเหรอ”

เสียงของชายหนุ่มกดต่ำ มุมปากหยักโค้งเป็นรอยยิ้ม ทว่าแววตาของเขากลับไม่ได้เป็นเช่นกัน คณิณกำลังโกรธ และตอนนี้เธอก็รู้ว่าเขากำลังอดทนกับอะไรบางอย่าง แต่ถึงจะรู้ เธอกลับยังเถียงเขาอย่างไม่ยอมแพ้

“ครีมมีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องนี้ ครีมบอกคุณไปแล้ว”

คริมาดิ้นรน ขยับร่างกายให้พ้นจากการถูกรุกราน ทว่ายิ่งดิ้นพันธการทั้งด้านบนด้านล่างก็ยิ่งผูกมัด คณิณไม่ยอมปล่อย และนอกจากไม่ปล่อยแล้ว เขายังดึงดันอย่างเอาแต่ใจอีกด้วย

“...ไม่ครีม” 

เสียงนั้นยังคงกดต่ำจนเย็นเยียบ แต่นั่นไม่ทำให้เธอเจ็บหัวใจเท่าประโยคถัดมา

“สิทธิ์ขาดทั้งหมดของเธอเป็นของฉัน” 

ไม่ใช่หรอก...แค่ตัวของเธอต่างหากที่เขาต้องการ สิ่งที่เขาต้องการจากเธอก็มีเพียงเท่านี้ แค่ของเล่นชิ้นหนึ่งที่ขนาดจะปกป้องหัวใจตัวเองเธอยังไม่มีสิทธิ์ 

“เธอเป็นของฉันครีม”

หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงโอนอ่อนต่อถ้อยคำเหล่านี้ ถ้อยคำที่แสดงออกว่าเธอเป็นที่ต้องการ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่เขากำลังจะมีผู้หญิงคนอื่นข้างกาย

“ไม่ใช่ค่ะ ครีมไม่ใช่ของคุณ และตอนนี้ครีมก็มีสิทธิ์ในตัวครีมเองทุกอย่าง!”

“งั้นเหรอ” 

คริมาเกลียดรอยยิ้มของเขาในตอนนี้ เกลียดริมฝีปากที่แลบเลียออกมาด้วยความยั่วเย้า เขาทำราวกับว่าสิ่งที่เธอพูดมาเป็นเพียงเรื่องตลกร้าย ทำราวกับสิ่งที่ทำเป็นเรื่องน่าขำ เธอเกลียดตัวเองที่แม้แต่ตอนนี้ก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่เขา คริมาผินใบหน้าหนีเพราะไม่อยากมองคนร้ายกาจตรงหน้าอีก แต่เพียงไม่นานปลายคางของเธอก็ถูกฝ่ามือของเขาจับกลับมาให้เผชิญหน้า

ในตอนนั้นเองที่ริมฝีปากอวบอิ่มถูกประกบปิดด้วยความเอาแต่ใจ คณิณขยี้กลีบปากของเธอพลางดูดดึงและขบเม้มไปทั่ว ฟันขาวกัดเบาๆ ตรงริมฝีปากล่าง ทำให้เธอเจ็บจี๊ดจนต้องเปิดปาก เป็นผลให้ปลายลิ้นร้อนชื้นสอดแทรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดข้างใน ดูดกลืนและฉกชิมความหวานอย่างเอาแต่ใจ พร้อมกับที่ฝ่ามือลูบไปตามผิวกายที่ปราศจากอาภรณ์ห่อหุ้ม 

“มาดูกันครีม”

สิ้นคำนั้นร่างใหญ่หนาของคณิณก็เคลื่อนลงต่ำด้วยท่าทีเป็นต่อ มุมปากหยักของชายหนุ่มยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำเอาคนมองหนาวสะท้านไปทั้งร่าง คริมาอ้าปากหอบ ความร้อนลามเลียมายังผิวแก้มยามเมื่อถูกอีกคนซุกไซ้ เคลียจมูกโด่งตามแก้มเนียน ก่อนดวงตาคู่สวยจะเบิกกว้างเมื่อเรียวขาทั้งสองข้างถูกเขาจับแยกโดยที่มีคนตัวสูงแทรกกลางอยู่ตรงนั้น 

“คุณทำแบบนี้กับครีมไม่...อ๊ะ!”

“เดี๋ยวก็รู้ว่าฉันทำได้หรือไม่ได้”

คนตัวสูงกดเสียงต่ำ ดวงตาคมดุจับจ้องอยู่กับใบหน้าของคนบนเตียงที่ยังแดงซ่าน คณิณไม่แน่ใจว่าเพราะความโกรธหรือหวามไหว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจแม้แต่น้อย ชายหนุ่มลูบไปตามเรียวขา คริมาคงไม่รู้ว่าร่างกายเปลือยเปล่าที่บิดส่ายไปมาอยู่ตอนนี้ยั่วยวนและโคตรน่ามองแค่ไหน

ชายหนุ่มสบถคำหยาบคายเป็นภาษาอังกฤษหลายคำติดเพราะภาพตรงหน้า โดยเฉพาะยอดอกสีหวานที่ชูชันอวดสายตาที่ทำให้เขาแทบคลั่ง ไหนจะผิวกายนวลเนียนที่ค่อยๆ ขึ้นสีชมพูระเรื่อนี้อีก ทุกอย่างในตัวเธอปลุกเร้าอารมณ์ดิบของเขาให้ลุกโชนจนส่วนล่างเหยียดขยาย 

“มาดูกันครีม ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของเธอ”

“มะ…อื้อ!”

ไม่รอให้อีกฝ่ายคัดค้าน พูดจบคณิณก็ประกบปิดริมฝีปากจิ้มลิ้มของเธอด้วยปากของเขา บดจูบร้อนอย่างดุดัน สัมผัสที่เต็มไปด้วยความไม่ชอบใจจึงปะปนไปด้วยความหนักหน่วง เขาย้ำริมฝีปากพลางดูดดึงสลับกับใช้ฟันคมขบกัดจนเธอสะดุ้ง เปิดโอกาสให้ปลายลิ้นสอดแทรกเข้าไปควานหาความหวาน กวาดต้อน ดูดคลึง และหยอกเย้า เรียกร้องและกลืนกินทุกสัมผัสจากเธออย่างเอาแต่ใจ ร่างเล็กของหญิงสาวบิดส่ายและครวญครางอยู่ใต้ร่าง แต่ยิ่งดิ้นเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งเสียดสีเสียวซ่าน นั่นเป็นการเติมเชื้อไฟพิศวาสของเขาให้โหมคลั่งได้เป็นอย่างดี

คณิณลูบไล้ไปตามผิวกายร้อนจัด ก่อนจะหยุดลงตรงความอวบอิ่มที่เขาโปรดปรานแล้วเคล้นขย้ำลงน้ำหนัก ริมฝีปากที่ผละออกจากความอ่อนหวานของกลีบปากเคลื่อนลงมายังหน้าอกอีกข้าง ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวก็อ้างับยอดอกนั้นเข้าเต็มโพรงปาก

“อือ”

เสียงครางหวามหลุดลอดเมื่อยอดอกถูกรวบกินอย่างตะกละตะกลาม คริมาขยับตัวไปมาด้วยความอึดอัดเพราะข้อมือที่ถูกพันธนาการและร่างกายที่ร่างใหญ่หนาคร่อมทับ เธอพยายามแล้วที่จะฝืนห้าม ทว่าหัวใจดวงน้อยกลับสั่นไหวเพียงเพราะสัมผัสหนักเบาที่เขาปลุกปั่น เรี่ยวแรงเพียงน้อยไม่อาจต่อกรกับคนเอาแต่ใจอย่างเขาได้

ยิ่งยามที่ยอดทับทิมถูกปลายลิ้นสากหนาตวัดชิม ร่างกายของเธอก็ยิ่งแอ่นเข้าหาริมฝีปากนั้นอย่างหน้าไม่อาย เป็นกลไกของร่างกายที่เธอไม่อาจฝืน คณิณรู้จุดอ่อนเธอทุกอย่าง และเขาก็ร้ายกาจมากพอจะนำมาใช้ต้อนกันในครั้งนี้

“อื้อ”

เจ้าของร่างเล็กส่ายกระสับเมื่อเขาละริมฝีปากจากยอดอกแล้วเปลี่ยนมาขบเม้มไปทั่วผิวกาย ฐานอกทั้งสองข้างถูกปลายลิ้นร้อนตวัดชิมจนกายบอบบางบิดเร่า แนบชิดจนสัมผัสถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่รินรด ร่างกายเธอร้อนราวกับถูกถ่านสีแดงมาแนบนาบ 

คณิณลากริมฝีปากไปตามผิวเนื้ออ่อนก่อนจะหยุดลงบริเวณหน้าท้องแบนราบ ขบแรงๆ จนร่างเล็กสะดุ้งไหวและถอยหนีอัตโนมัติ จนเขาต้องกดฝ่ามือร้อนจัดบนเอวคอดแล้วตรึงไว้กับเตียง 

แน่นหนาจนไร้ทางต่อสู้

คณิณละสายตาจากความหอมหวานขึ้นมามองใบหน้าที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงจัด ริมฝีปากบางเม้มแน่น แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการทำให้เธอเปล่งเสียงร้องแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเปลี่ยนเป้าหมายจากหน้าท้องแบนราบมาเป็นท่อนขาขาว

“อ๊ะ!”

รอยยิ้มร้ายจุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ทันทีที่ริมฝีปากของเขาแตะลงตรงนั้น เจ้าของร่างเล็กก็ส่ายไหว คริมาหวีดร้องจนตัวลั่นเมื่อตระหนักได้ว่าคนตรงหน้าคิดจะทำอะไร

“นี่มันเพิ่งเริ่มต้นครีม อย่าเพิ่งขาดใจไปเสียก่อนล่ะ”

นี่มันแค่เริ่มต้น เพราะของจริงคือหลังจากนี้ต่างหาก!

สิ้นคำเตือน ริมฝีปากของเขาก็ประกบลงบนความอ่อนไหวที่มีผ้าชิ้นบางหุ้มอยู่ มันไม่เป็นอุปสรรคเลยสักนิดเพราะทันทีที่ปลายลิ้นเปียกชื้นแตะบนผ้า ส่วนอ่อนไหวด้านในก็ปรากฏให้เห็นรางๆ 

“เธอแฉะแล้วนี่” เขาพ่นวาจาร้ายกาจ ไม่สนใจการดิ้นรนของคนตัวเล็ก นอกจากจะไม่สนใจแล้วยังกระทำการอุกอาจโดยงับส่วนนั้นไว้เต็มโพรงปาก 

คริมาหวีดร้องไม่เป็นภาษา แอ่นลำตัวเพราะการกระทำร้ายกาจของคนตรงหน้า เสียงหวีดครางของเธอดังไม่ขาด เธอกัดปากตัวเองจนเจ็บเพื่อกลั้นเสียงน่าอายเมื่อไม่อาจหนีจากสัมผัสร้อนร้ายนี้ได้ มันแนบแน่นจนร่างกายของเธอดิ้นพราดเพราะทรมานปนเสียดเสียว น้ำตาของเธอไหลปริ่มเพราะความรู้สึกที่มากล้น ฝ่ามือทั้งสองข้างกำแน่นอย่างทำอะไรไม่ได้เพราะพันธนาการที่รัดตรึงอยู่ 

แค่เขาสัมผัสจากภายนอกร่างกายของเธอก็ร้อนรุ่มไปทั่วทุกส่วน 

มันน่าอาย...

น่าอายที่ร่างกายดันตอบรับกับทุกสัมผัสของเขาได้ดีไปหมด

“ยังคิดจะไปจากฉันอยู่อีกไหม”

“...”

คนถูกถามผิดหน้าหนี แต่ยิ่งเธอเงียบ ยิ่งเธอไม่ตอบโต้ ก็ราวกับยิ่งเต็มเชื้อไฟของความไม่พอใจให้ลุกโชนขึ้น เพราะทันทีที่เธอเลือกที่จะไม่พูด ชั้นในตัวบางก็ถูกกระชากออกจากเรียวขา ดวงตากลมโตเบิกค้างเมื่อเขาจับขาทั้งสองข้างพาดลงบนไหล่หนา

“ฮื้อ”

ทันทีที่ปลายลิ้นของเขาแตะลงบนส่วนอ่อนไหว คริมาก็รู้สึกเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ ริมฝีปากอ้าค้าง ทว่ากลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอด ยิ่งยามที่ปลายลิ้นของเขาตวัดเลียอยู่กับส่วนนั้น ร่างกายของเธอยิ่งบิดสะบัด เรียวขาทั้งสองข้างพยายามหนีบเข้าหากัน แต่กลับถูกขวางด้วยเจ้าของร่างใหญ่

คณิณกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่ได้ละใบหน้าออกไปจากส่วนนั้นแม้แต่น้อย เขายังใช้ทั้งปากทั้งลิ้นทรมานคนใต้ร่างด้วยสัมผัสหยาบโลน ท่อนขาขาวของเธอถูกล็อกไว้แน่น ก่อนคนตัวสูงจะกระดกปลายลิ้นเป็นจังหวะรัวเร็วจนกายบางแอ่นโค้ง หยัดส่วนอ่อนไหวเข้าหาพร้อมทั้งเรียกชื่อเขาเสียงกระเส่า 

“คุณคณิณ อื้อ”

ยิ่งได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองด้วยน้ำเสียงนั้น ปลายลิ้นร้อนยิ่งตวัดเลียถี่ รังแกคนตัวเล็กจนเธอจิกปลายเท้าที่เกร็งบนแผ่นหลังเขาเพราะความเสียดเสียว คณิณกวาดลิ้น ดูดดึงเกสรดอกไม้กลางกายสาวอย่างหนักหน่วงและแม่นยำ จูบจนเกิดเสียงน้ำเฉอะแฉะ ภาพแสนลามกที่เขาแทรกตัวอยู่หว่างขาเธอ ยิ่งทำเอาคนถูกกระทำหน้าเห่อร้อน 

คริมาหวีดลั่นเมื่อถูกทั้งปากและลิ้นของเขาเล่นงานแทบเสร็จสม ยิ่งเขาห่อลิ้นเป็นแท่งแทงเข้ามาตวัดชิมความหวานด้านในก็ยิ่งทำให้เธอดิ้นเร่าๆ ร่างทั้งร่างกระตุกเยือก เสียววูบไปทั่วช่องท้อง เพราะการกระทำแสนร้ายกาจของเขา

“อือ อย่า คุณคณิณ อ๊ะ!”

ปากร้องห้าม ทว่าสะโพกกลมกลึงของคนบนเตียงกลับส่ายร่อน ปลายขาก็ยิ่งจิกเกร็งบนแผ่นหลังแกร่งเมื่อรับรู้ได้ถึงโพรงกายที่ตอดรัด ก่อนจะหวีดร้องสุดเสียงเมื่อเขาขยับมือถี่กระชั้น พร้อมทั้งรัวลิ้นจนร่างเล็กเกร็งกระตุก ปลดปล่อยน้ำหวานหยาดเยิ้ม และคณิณก็กวาดปาดชิมทุกหยาดหยด เขาผละจากส่วนอ่อนไหวขึ้นมาป้อนจูบร้อนแรง ฉกชิมริมฝีปากอิ่มอย่างหิวกระหาย จากนั้นโถมกายลงทาบทับคนที่นอนอ่อนระทวยบนเตียงกว้าง ค่อยๆ ปลดเปลื้องพันธนาการทั้งหมดออกให้อย่างใจเย็น

คณิณกดจูบเบาๆ ตรงข้อมือที่ปรากฏรอยแดงจางๆ เขาจับมันโอบรอบคอของตัวเองแล้วก้มกระซิบชิดใบหูขาว ไม่ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น คณิณสาบานว่าจะพันธนาการร่างเล็กนี้ไว้กับตัวเขา 

ทุกอย่างที่เป็นเธอ ไม่ว่าจะเป็น ร่างกายหรือหัวใจ’

เขาต้องการครอบครองไว้ทั้งหมด

 

ความร้อนแรงของเมื่อคืนกลายเป็นความร้อนผ่าวของร่างใต้ผ้าห่มผืนหนา คริมาไม่รู้ว่าเพราะความอ่อนล้าของร่างกาย หรือความอ่อนแอของจิตใจที่ทำให้ตื่นมาแล้วสะบัดร้อนสะบัดหนาว ลำคอเจ็บร้าวและแห้งผาก อีกทั้งลมหายใจก็ร้อนระอุ พิษไข้เล่นงานเธอเข้าแล้ว 

หญิงสาวค่อยๆ ชันตัวลุกขึ้นนั่ง เตียงนอนคุ้นตา สถานที่ที่คุ้นเคยบ่งบอกว่าเธอยังอยู่ในห้องเดิม ห้องที่ไม่ใช่ของตัวเอง 

ดวงตากลมโตกวาดมองไปทั่วก่อนริมฝีปากบางจะยกยิ้มฝืนเฝื่อนเมื่อไร้เงาผู้เป็นเจ้าของ ศีรษะที่หนักอึ้งทำเอาคนป่วยต้องกุมมือลงบนนั้นชั่วคราว แต่เพียงไม่นานประตูห้องที่คงจะไม่ได้ล็อกก็ถูกเปิดเข้ามา

“คุณครีมเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ปวดหัวใช่ไหม แล้วเจ็บตรงไหนอีกบ้างหรือเปล่า” ยุวดีรีบวางถาดอาหารเช้าแล้วตรงดิ่งมาหาด้วยความเป็นห่วง 

“ครีมปวดหัวนิดหน่อยค่ะ”

“งั้นพี่ขอโทร. หาคุณคณิณก่อนนะคะ เจ้านายบอกว่าถ้าคุณครีมรู้สึกตัวเมื่อไหร่ให้รีบโทร. หาทันที”

“มะ...ไม่ต้องค่ะ ครีมไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว” เจ้าของชื่อรีบท้วงก่อนคนตรงหน้าจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร. หาเจ้านายอย่างที่พูดจริงๆ เธอไม่ได้เป็นอะไรมาก และถึงเป็นมากก็ยังไม่ต้องการให้เขารับรู้

“แต่ว่าจะไม่เป็นไรแน่เหรอคะ ตอนเจ้านายออกไปเขาดูเป็นห่วงคุณครีมมากเลยนะ”

ยุวดีดูลังเลเล็กน้อย เธอยังจำคำพูดที่ประมุขของบ้านย้ำอย่างหนักแน่นได้อยู่ว่า ถ้าคริมารู้สึกตัวแล้วให้รีบโทร. หาเขา นึกถึงท่าทางเกรี้ยวโกรธของเจ้านายในวันนั้นแล้ว เธอก็ได้แต่กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วเขา เอ่อ ไปไหนคะ”

“อ้อ เห็นว่ามีงานสำคัญต้องไปทำน่ะค่ะ พี่ยิ้มก็ไม่รู้ว่างานอะไร”

เพียงได้ยินคำนั้นหัวใจของคนฟังก็วูบไหวอีกครั้ง ‘งานสำคัญ’ ช่วงนี้เธอได้ยินคำนี้บ่อยเหลือเกิน 

“เมื่อกี้พี่ยิ้มเอาข้าวต้มเข้ามาใช่ไหมคะ”

คริมาแสร้งกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองด้วยการฝืนยิ้ม คณิณเป็นห่วงเธองั้นหรือ ถ้าเขาเป็นห่วงเธอจริงคงไม่ทิ้งให้นอนซมเพราะพิษไข้อยู่คนเดียวแบบนี้หรอก

“ใช่ค่ะๆ พี่เพิ่งทำมาร้อนๆ เลย คุณครีมจะทานเลยไหมคะ”

“ทานค่ะ แต่ครีมขอไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะ”

คริมาไม่คิดว่าอาการของตัวเองจะหนักหนากระทั่งก้าวขาลงจากเตียงแล้วทุกอย่างก็เอียงวูบ เธอเกือบจะเซล้ม ดีที่ยิ้มรีบเข้ามาพยุงไว้ก่อน

“ให้พี่ช่วยพยุงดีกว่านะคะ”

คนป่วยไม่ปฏิเสธ เธอให้ยิ้มช่วยประคองมาจนถึงห้องน้ำ ความจริงเธอตั้งใจจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง แต่ถูกยิ้มห้ามไว้เสียก่อน

ผ่านไปไม่นานคนป่วยก็กลับออกมาจากห้องน้ำโดยมีอีกฝ่ายคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ยุวดีจัดแจงให้เธอลงนั่งบนเตียง ก่อนจะหันกลับไปหยิบชามข้าวต้มมายื่นให้อย่างคล่องแคล่ว

“ทานบนนี้จะดีเหรอคะ ครีมว่าเราออกไปนั่งตรงโซฟาก็ได้นะ”

ความจริงเธอออกจะแปลกใจไม่น้อยที่คนหวงพื้นที่ส่วนตัวอย่างคณิณยอมให้คนอื่นเข้ามายุ่มย่าม เธอกลัวว่าอีกคนจะพลอยเดือดร้อน เพราะความเอาแต่ใจของเจ้าของห้อง 

“ไม่เป็นไรแน่นอนค่ะ เจ้านายสั่งไว้ว่าให้พี่ยิ้มดูแลคุณครีมดีๆ แล้วก็อนุญาตให้เข้าออกห้องนี้ได้จนกว่าคุณเขาจะกลับมาด้วย”

พอได้ฟังแบบนั้นเธอก็เบาใจ คริมารับชามข้าวแล้วรับประทานเงียบๆ แต่รับประทานไปได้ไม่กี่คำ แต่ลิ้นที่รับได้แค่รสเฝื่อนทำเอาเธอต้องวางช้อนเพราะฝืนต่อไปไม่ไหว

“ฝืนทานอีกสักคำนะคะ จะได้ทานยาแล้วพักผ่อน” ยุวดีเอ่ยเมื่อเห็นคนบนเตียงรับประทานไปได้ไม่กี่คำก็วางช้อน ขืนเจ้านายรู้ว่าคนป่วยรับประทานข้าวเท่าแมวดมแบบนี้ มีหวังได้เห็นแววตาดุๆ อีกแน่ 

“นะคะคุณครีม อีกสักสองสามคำก็ยังดี”

เมื่อทนฟังน้ำเสียงและแววตาแกมขอร้องไม่ไหว คริมาจึงฝืนรับประทานเข้าไปอีกหลายคำ แต่สุดท้ายเธอก็ต้องส่ายหน้าช้าๆ บอกคนตรงหน้าเมื่อฝืนต่อไม่ไหว

“งั้นทานยาเลยนะคะ”

ยิ้มไม่ได้คะยั้นคะยอหรือบังคับต่อ เธอทำเพียงเดินกลับไปหยิบยาที่เตรียมมาพร้อมกับเทน้ำดื่มใส่แก้ว แล้วยื่นให้คนป่วยที่ใบหน้ายังซีดเซียวอยู่เล็กน้อย 

“บ่ายๆ พี่ยิ้มเข้ามาปลุกครีมหน่อยได้ไหมคะ ตอนนั้นครีมน่าจะพอกลับห้องตัวเองได้แล้ว”

“แต่ว่า” ยิ้มอึกอัก นั่นเพราะคำสั่งของเจ้านายย้ำว่าให้หญิงสาวพักผ่อนในห้องนี้จนกว่าเขาจะกลับมา

“นะคะ ไม่งั้นครีมจะกลับตอนนี้นี่แหละ”

“ได้ค่ะได้ เดี๋ยวสักบ่ายแก่ๆ พี่ยิ้มจะมาปลุกนะคะ แต่ตอนนี้คุณครีมต้องนอนพักก่อน ตื่นมาอาการจะได้ดีขึ้น” พี่เลี้ยงสาวจนใจ สุดท้ายก็ต้องยอมรับปากไปก่อน 

“คุณครีมพักผ่อนนะคะ”

เมื่อได้ยินคำตอบที่ต้องการแล้วคนป่วยจึงค่อยๆ สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มแล้วหลับตาลงอีกครั้ง เพราะความอ่อนแอของร่างกาย บวกกับพิษไข้และฤทธิ์ยา สุดท้ายเธอก็ทำผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนพี่เลี้ยงสาวนั้นไม่มีโอกาสได้มาปลุก เพราะคนที่เธอเพิ่งโทร. รายงานอาการป่วยเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนมาหยุดยืนอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว

“เป็นยังไงบ้าง” 

“คุณครีมแค่ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ ยิ้มเลยให้ทานข้าวทานยาแล้วก็นอนพัก”

“อืม มีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง”

“ค่ะคุณคณิณ”

ประตูห้องปิดลงอย่างเงียบเชียบ พร้อมกันนั้นเจ้าของร่างสูงก็เดินมาหยุดยืนข้างเตียง คณิณถอดสูทตัวนอกออกแล้ววางบนโต๊ะ ปลดกระดุมเสื้อด้านในก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง พยายามทำอะไรอย่างเบามือที่สุด เพราะกลัวว่าคนป่วยที่หลับอยู่จะตื่นขึ้นมา

ดวงตานิ่งลึกของชายหนุ่มมองคนบนเตียงด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ลมหายใจที่เข้าออกสม่ำเสมอของเธอทำให้เจ้าของร่างสูงผ่อนลมหายใจ เอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกตามใบหน้าออกให้อย่างเบามือ ก่อนจะไล้ปลายนิ้วไปตามข้อมือขาวของหญิงสาวที่เจ้าตัวซบหน้าอยู่ เบาใจที่มันไม่ได้มีร่องรอยจากความแต่ใจของเขาเมื่อคืน

“ตอนนอนก็น่ารักดีนี่ แต่ทำไมตอนตื่นถึงดื้อนักนะ”

รอยยิ้มบางจุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อปลายนิ้วแตะลงบนปลายจมูกของคนบนเตียงเบาๆ เขาตัดสินใจขยับตัวขึ้นไปนอนเคียงข้าง ใช้ท่อนแขนค่อยๆ สอดตระกองคนตัวเล็กเข้ามาใกล้จนแผ่นหลังของเธอแตะชิดกับแผ่นอกของตนเอง ชายหนุ่มระบายลมหายใจโล่งอกเมื่อคนในอ้อมแขนไม่ได้ตื่นขึ้นมาโวยวายที่เขาฉวยโอกาส อาจเพราะฤทธิ์ของยาที่กินเข้าไปจึงทำให้เด็กดื้อหลับสนิท เมื่อได้ท่าทางที่ถูกใจแล้วคนสวมกอดก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า 

เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนเพราะตื่นมาดูแลคนป่วยตลอดทั้งคืน แต่ก็สาสมแล้ว เพราะถ้าเขาไม่เอาแต่ใจตัวเองตั้งแต่แรกเธอก็คงไม่ต้องมานอนป่วยแบบนี้

            ความแนบชิดที่บดเบียดอยู่ด้านหลังทำเอาคนป่วยเริ่มขยับตัวไปมาด้วยความอึดอัด ตอนแรกคริมาคิดว่าคงเพราะยาที่กำลังออกฤทธิ์จึงทำให้เหงื่อกาฬของเธอผุดซึม ทว่าพอก้มมองเต็มตาเธอก็พบว่านั่นไม่ใช่เพราะฤทธิ์ยา แต่เป็นคนตัวสูงที่กอดรัดเธอไว้แน่นต่างหาก

คริมาพยายามดึงท่อนแขนที่พาดทับบนช่วงเอวออก แต่ดันกลายเป็นปลุกคนด้านหลังให้ขยับตัวตื่นขึ้นมาตาม คนตัวสูงขยับร่างกายไปมาเล็กน้อย ก่อนจะถามเสียงทุ้มต่ำข้างๆ หู

“ตื่นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า”

“ปล่อยครีมก่อนค่ะ” คนป่วยไม่ตอบคำถาม แต่ย้ำบอกความต้องการของตัวเอง เมื่อไม่ค่อยได้รับความร่วมมือสักเท่าไร จึงเอ่ยต่อ “ครีมอึดอัดค่ะ หายใจไม่ออก”

พอได้ยินแบบนั้นเจ้าของอ้อมแขนที่รัดแน่นจึงยอมคลายออก แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเปลี่ยนมากอดไว้หลวมๆ แทน แถมยังเลื่อนใบหน้าหล่อเหลาขึ้นมาเกยไหล่ แนบชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนระอุของคนในอ้อมแขน 

“ตัวเธอยังร้อนอยู่” เขาว่า 

ร่างเล็กดิ้นรนและพยายามขยับออกห่าง “เพราะครีมป่วยอยู่ แล้วคุณไม่ควรมากอดครีมแบบนี้”

“กลัวฉันติดไข้หรือไง”

“เปล่าค่ะ ครีมแค่อึดอัด แล้วก็ไม่อยากให้คุณกอด”

คำตอบที่ได้ยินทำเอาคนด้านหลังยกยิ้มอย่างพอใจ คณิณหัวเราะในลำคอ ก่อนจะแอบกดปลายจมูกลงกับหัวไหล่คนป่วยเบาๆ ราวกับกำลังท้าทาย 

“เกลียดฉันขนาดนั้นเชียว” เขากระซิบถาม จงใจกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีกนิด

“คุณไม่อยากรู้หรอกค่ะว่ามันมากแค่ไหน”

“งั้นเหรอ แล้วฉันต้องทำยังไงมันถึงจะลดลงบ้าง”

คริมาพูดด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าเข้มจัด แต่พอได้ยินคำตอบพร้อมกับเสียงหัวเราะแผ่วจากคนด้านหลัง เธอก็ยิ่งอยากพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ 

“เมื่อคืนเจ็บมากไหม”

คำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยถูกเอ่ยดื้อๆ แถมตรงไปตรงมาเสียจนคนฟังหน้าเห่อร้อน บทรักเมื่อคืนพลันไหลย้อนเข้ามาในความทรงจำเป็นฉากๆ 

คริมาไม่ปฏิเสธว่าเธอขุ่นเคืองกับการกระทำแสนเอาแต่ใจของเขา แต่น่าอายที่ร่างกายเธอไม่ได้เจ็บปวดกับการกระทำเหล่านั้น คณิณรู้ดีว่าจุดอ่อนเธออยู่ตรงไหน และเขาช่างถนัดทำให้เธอตกหลุมพรางโดยไม่ต้องออกแรงทำให้เจ็บด้วยซ้ำ 

“ว่าไง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“...ไม่ค่ะ” เสียงตอบอ้อมแอ้มทำเอาคนด้านหลังแอบลอบยิ้ม

“ดีแล้ว ถ้าไม่เป็นอะไรมากก็ลุกขึ้นมาเช็ดตัว ใกล้จะได้เวลาทานข้าวทานยาของเธอแล้ว”

คณิณคลายอ้อมแขนออกแล้วลงจากเตียง เพราะตัวอุ่นๆ ทำให้เขาต้องยอมตัดใจจากร่างนุ่มนิ่มในอ้อมแขน ยอมให้เธอได้เช็ดตัว ระหว่างนั้นเขาจะได้ให้ยุวดีเตรียมอาหารและยาไว้ให้ เพราะขืนให้นอนกอดอยู่แบบนี้เขาเกรงว่าตัวเองนี่แหละที่จะเป็นสาเหตุให้เธอไข้กลับ

ส่วนคนป่วยนั้นก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังเจ้าของห้องไป คณิณหายเข้าไปในห้องแต่งตัว ไม่นานก็กลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กผืนหนึ่ง 

“ครีมจะกลับไปพักที่ห้องค่ะ” เธอเห็นเขาชะงักไปเล็กน้อย ไม่นานดวงตาของเธอก็พลันเบิกกว้างเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้แล้วค้อมตัวลงต่ำ “นี่คุณจะทำอะไรคะ”

“อุ้มเธอกลับห้องไง”

“ไม่ต้องค่ะ ครีมเดินเองได้ คุณจะบ้าหรือไง”

“ถ้าไม่ให้อุ้มไปก็นอนลงไปที่เดิม เธอจะดื้อแม้กระทั่งตอนป่วยไม่ได้นะครีม”

‘ก็เพราะใครล่ะที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้!’ คริมาอยากสวน ทว่าสิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้คือการเม้มปากแน่น ถอนหายใจฟึดฟัดด้วยความขัดเคืองใจ

“ครีมอยากอาบน้ำ”

เธอบอกความจำนงออกไปอีกรอบ รู้สึกได้ถึงความโล่งของศีรษะเนื่องจากยาที่กินเข้าไปตั้งแต่บ่าย เนื้อตัวที่เหนียวระคายไปด้วยเหงื่อนี้ทำให้เธออยากอาบน้ำมากกว่าเช็ดตัว

“เธอป่วยอยู่ เดี๋ยวไข้จะกลับเอา ขยับมาตรงนี้เถอะ ฉันจะเช็ดตัวให้”

“ไม่เอาค่ะ” 

“คริมา”

“ครีมเช็ดเองได้”

“ทำไม อายเหรอ มากกว่านี้ฉันก็เห็นมาหมดแล้วหรือเปล่า”

เจ้าของริมฝีปากหยักยกยิ้มกับเด็กดื้อช่างเถียง ยิ่งเห็นใบหน้าของเธอที่ขึ้นสีแดงเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้งต่อ ติดที่ว่าตอนนี้เธอป่วยอยู่ และคนที่ทำให้ป่วยก็ดันเป็นเขาเอง 

“ครีมจะเช็ดเอง”

“อย่าดื้อ!”

“...”

คนถูกดุเม้มริมฝีปากแน่น อารมณ์คนป่วยคงจะอ่อนไหวจริงๆ นั่นแหละ เพราะได้ยินเสียงดุๆ ของเขาแค่คำเดียวน้ำตาของเธอก็หยดแหมะลงบนแก้ม

“โอเคครีม ฉันขอโทษ...ฉันยอมแล้ว” สุดท้ายเจ้าของห้องก็ต้องยกมือขึ้นยอมแพ้ในที่สุด เธอป่วยอยู่…คณิณท่องคำนี้ไว้ในใจ และเขาจะให้สิทธิ์คนป่วยได้งอแงอย่างเต็มที่ 

“ฉันจะเข้าไปอาบน้ำ แต่ถ้าออกมาแล้วเห็นว่าทำทุกอย่างยังไม่เรียบร้อยฉันจะเป็นคนทำให้เอง เข้าใจใช่ไหม”

ชายหนุ่มยิ้มพอใจเมื่อเห็นว่าคนบนเตียงพยักหน้ารับเร็วๆ เพราะกลัวเขาจะเปลี่ยนใจ เพียงแต่ผิวแก้มแดงจัดนั้นเล่นเอาคนมองนึกอยากกดจมูกลงไปหนักๆ อีกสักครั้ง แต่ก็ต้องท่องกับตัวเองในใจอย่างหนักแน่นว่าเธอกำลังไม่สบายอยู่

‘ครีมไม่สบาย อย่าคิดรังแกคนป่วยคณิณ’

 

เย็นวันนั้นมื้ออาหารที่ได้รับคำสั่งจากประมุขของบ้านก็เสิร์ฟถึงบนห้องอีกครั้ง คริมามองชามข้าวต้มของตัวเองสลับกับของอีกฝ่ายที่ถูกวางอยู่คู่กันบนโต๊ะตัวเล็ก ซึ่งตอนนี้เนรมิตเป็นโต๊ะรับประทานอาหารเฉพาะกิจเรียบร้อยแล้ว

ความจริงคณิณไม่จำเป็นต้องมาทำอะไรแบบคนป่วยอย่างเธอก็ได้ ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้ป่วย แถมอาหารตรงหน้ายังเป็นข้าวต้มรสชาติจืดชืดที่แทบไม่ได้ปรุงอะไรเลยด้วยซ้ำ

“จะกินเองหรือให้ฉันป้อน”

“กินเองค่ะ”

พอได้ยินคำถามนั้นคนป่วยก็รีบละความสนใจจากเรื่องก่อนหน้าแล้วกลับมาจดจ่ออยู่กับชามข้าวต้มของตัวเองทันที อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่ายตักต้นหอมซอยที่ถูกโรยในชามของเธอออกให้ เขารู้ว่าเธอไม่ชอบ และหัวใจไม่รักดีก็ดันเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้งเพราะการกระทำเล็กน้อยนี้

คริมากลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองโดยตั้งหน้าตั้งตารับประทานข้าวต้มจนหมดแล้วรับเอายาที่อีกฝ่ายยื่นให้ เพราะรู้ว่าอย่างไรคืนนี้คณิณคงไม่ปล่อยเธอกลับไปนอนที่ห้อง เธอจึงไม่อิดออดเรื่องที่หลับที่นอนอีก คิดว่าเขาคงยอมให้ปล่อยคนป่วยอย่างเธอได้พักผ่อน เพราะหลังจัดการทุกอย่างเสร็จ เจ้าตัวก็ไม่ได้มีท่าทีรบกวนแต่อย่างใด 

กระทั่งดวงไฟในห้องถูกปิดลงนั่นแหละ คริมาถึงพบว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น ปัญหาที่ว่าก็คือท่อนแขนของชายหนุ่มที่โอบกอดเธอไว้จากด้านหลัง ความแนบชิดจนราวกับได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นของคนทั้งคู่ทำให้เธอทักท้วง

“ทำไมเราไม่ต่างคนต่างนอนคะ” 

“เพราะฉันอยากกอดเธอ”

“...”

“แค่เธอครีม”

เสียงกระซิบแผ่วเบายังดังอยู่ข้างหู อ้อมแขนของคนพูดกระชับแนบแน่น แต่คณิณคงไม่รู้ว่าสัมผัสอบอุ่นที่โอบล้อมกันอยู่นี้กำลังทำให้หัวใจคนถูกกอดหนาวเหน็บกับคำถามที่คงไม่ได้คำตอบ

คำถามที่ว่า...เรื่องของเราพอจะเป็นไปได้ไหม และเธอยังเป็นคนพิเศษสำหรับเขาอยู่หรือเปล่า 

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น