1

บทที่ 1


1

 

บรรยากาศตอนเช้าของวันทำงานเป็นปกติเหมือนทุกวัน ชั่วโมงเร่งด่วนเนื่องจากใกล้เวลาเข้างานของหลายๆ บริษัทส่งผลให้ถนนสายหลักมีรถติดยาวเหยียดจนมองไม่เห็นปลายแถว ผิดกับจำนวนคนที่เดินสัญจรบนทางเท้าซึ่งมีอยู่เพียงน้อยนิด ก็คงเพราะความร้อนอบอ้าวและแสงแดดแผดเผาที่แม้จะเป็นเวลาเช้า แต่ก็ทำให้ผิวไหม้ได้เหมือนกัน จึงไม่มีใครอยากออกมาเดินเสียเท่าไร จะมีก็แต่รถเข็นมาขายของเล็กๆ น้อยๆ ตามหน้าอาคารทำงานให้พนักงานบริษัทได้เดินเลือกซื้อกันก่อนทยอยเข้าบริษัทของตน

อริสาก้มหน้าก้มตาเดินด้วยความเร็วชนิดที่เรียกได้ว่าจ้ำอ้าวอย่างไม่มองทาง เธอสะพายกระเป๋าสองใบและกล้องสีดำตัวใหญ่อีกหนึ่งตัว ยังมีแฟ้มเอกสารอีกเกือบสิบอันที่หอบหิ้วไว้ในอ้อมแขน เหงื่อบนหน้าผากแข่งกันผุดขึ้นมาเต็มไปหมดจากอากาศที่ร้อนราวกับพระอาทิตย์มาจ่ออยู่เหนือหัว แต่เจ้าตัวไม่มีมือว่างไปปาดออก ต้องปล่อยให้มันไหลลงมาตามใบหน้าอย่างช่วยไม่ได้

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวต้องย้ายของที่ถือพะรุงพะรังอยู่ไปรวมไว้ที่มือข้างเดียว เพื่อให้มีมือว่างหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง นิ้วเรียวกดรับสายโดยไม่มองชื่อคนโทร. เข้า เพราะเสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นนั้นเป็นเพลงเฉพาะที่ตั้งไว้สำหรับเพื่อนสนิทของเธอ จากนั้นก็เอาหูแนบโทรศัพท์ไว้กับไหล่ เพื่อที่จะได้ใช้มือสองข้างถือของได้ตามเดิม

“ใกล้จะถึงออฟฟิศแล้ว” อริสากรอกเสียงลงไปก่อนที่ปลายสายจะพูดอะไรเสียอีก เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นโทร. มาเรื่องอะไร

“ดีมาก เจ้โมนาถามหาแกเมื่อห้านาทีที่แล้ว เร่งฝีเท้าหน่อยก็ดีนะ ก่อนที่เจ้แกจะกลายร่าง”

“นี่ก็เดินจนขาจะขวิดกันอยู่แล้ว...แค่นี้นะแก เดี๋ยวจะรีบไป ไม่น่าเกินห้านาทีก็ถึงแล้ว” นึกภาพเจ้านายสาวอาละวาดแล้วก็ทำให้อดเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกนิดไม่ได้ จนเกือบกลายเป็นวิ่งเหยาะๆ

วันนี้เธอมองจากระเบียงคอนโดลงมาเห็นว่ารถบนทางด่วนดูติดมากกว่าทุกวัน ประจวบกับตัวเองนั้นตื่นสาย ทำให้ตัดสินใจเดินจากคอนโดไปหน้าปากซอยเพื่อพึ่งบริการรถไฟฟ้าบีทีเอส นั่งมาลงสถานีที่อยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานแทน ถึงจะต้องเดินแบกของพะรุงพะรังเดินฝ่าอากาศร้อน แต่ก็ดีกว่าขับรถมาเจอรถติดแหงกอยู่บนทางด่วนจนมาทำงานสายมากไปกว่านี้

“เดี๋ยวๆๆ แวะซื้อกาแฟให้หน่อย”

อริสาสะดุ้งจนแทบทำโทรศัพท์หลุดร่วงออกจากไหล่ ด้วยเสียงปลายสายนั้นแหลมปรี๊ดขึ้นมาราวกับกลัวเธอวางสายก่อนได้พูด “ไหนว่าเจ้โมนารอฉันอยู่ ให้รีบไปไงล่ะ”

“ไหนๆ แกก็มาสายแล้ว ไหนๆ ก็ต้องโดนด่าอยู่แล้ว แวะซื้อกาแฟให้เพื่อนคนนี้หน่อย คงไม่เสียหายไปมากกว่านี้หรอก”

“ก็ได้ จะเอาอะไรล่ะ” หญิงสาวยอมตามใจเพื่อน ด้วยเธอเองก็อยากจะได้เครื่องดื่มเย็นๆ อยู่เหมือนกัน แล้วมันก็จริงอย่างที่เพื่อนว่านั่นละ ยังไงวันนี้เธอก็เข้างานสายแน่ๆ อยู่แล้ว สายเพิ่มอีกสิบนาทีก็คงโดนด่าไม่ต่างกันมากหรอก

หญิงสาวเปลี่ยนทิศทางเดิน เธอเดินผ่านร้านกาแฟเจ้าประจำมาแล้ว ดังนั้นจึงต้องเดินย้อนกลับไปอย่างช่วยไม่ได้

“แป๊บนะ...เฮ้ย ไอ้ขวัญอยู่ร้านกาแฟ จะมีใครฝากซื้ออะไรไหม”

“นี่หล่อน ฉันไม่มีมือว่างพอที่จะหิ้วกาแฟให้คนทั้งออฟฟิศนะยะ” อริสารีบดักคอเมื่อได้ยินคนปลายสายตะโกนเสียงดังโหวกเหวกถามเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ อย่างคนมีน้ำใจ แต่ก่อนจะมีน้ำใจ ทำไมไม่ปรึกษาคนที่ต้องลำบากอย่างเธอก่อนบ้าง...

“มือไม่ว่างก็เอาปากคาบมาสิแก ไม่เห็นจะยาก”

“พูดแบบนี้เดี๋ยวปั๊ดไม่ซื้อให้เลย”

“โอ๋ๆ ขวัญคนดี ขวัญคนสวย...ลาเต้เย็นสองแก้ว มอคค่าหนึ่งแก้ว แล้วก็อเมริกาโน่ใส่ไซรัป 5 อีกหนึ่งแก้ว”

ตัดสายทิ้งตอนนี้ทันไหมนะ...นี่นอกจากข้าวของเต็มสองมือแล้ว เธอจะยังต้องหิ้วเครื่องดื่มสี่แก้วอีกเหรอเนี่ย

แน่นอนว่าอริสาก็เพียงแค่คิด เพราะยังไงเธอก็เดินย้อนกลับมาจนถึงร้านกาแฟแล้ว ร้านทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่ใหญ่มากตกแต่งด้วยโทนไม้ ผนังเป็นกระจกใสเพื่อให้ตัวร้านดูโปร่ง ไม่อึดอัด โต๊ะข้างในมีลูกค้านั่งจับจองอยู่ไม่กี่ที่เท่านั้น ที่นี่เป็นร้านกาแฟร้านโปรดของเธอ นอกจากรสชาติเครื่องดื่มที่กลมกล่อมถูกใจแล้ว ก็เพราะบรรยากาศสบายๆ ในร้านนี่ละ เวลาที่คิดงานไม่ออก เธอกับเพื่อนก็จะมานั่งสิงสถิตกันอยู่ที่นี่แทน

อริสารวบของทั้งหมดไปถือไว้ที่ในมือข้างเดียว หยิบโทรศัพท์ที่หนีบอยู่กับคอยัดใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม พร้อมกับเอ่ยสั่งกาแฟไปด้วย และสั่งช็อกโกแลตเย็นให้ตัวเองอีกแก้ว ยังไม่พอ...เธอสั่งขนมอีกสองอย่างเพื่อจะรับประทานแทนอาหารเช้าด้วย

เอาน่ะ แบกกล้องแบกไฟสปอตไลต์หนักๆ มาแล้ว ข้าวของแค่นี้ ไม่คณนามือไอ้ขวัญหรอก!

เมื่อได้ของครบตามที่สั่งโดยน้องพนักงานใส่รวมในถุงให้เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็จัดระเบียบข้าวของที่ถืออยู่ บาลานซ์ของที่ถือให้หนักเท่ากันทั้งสองมือ แขนก็ใช้หนีบแฟ้มส่วนหนึ่งเอาไว้ด้วย ส่วนแก้วกาแฟที่ใส่ถุงมาก็ใช้นิ้วเกี่ยวไว้ แล้วก็เดินออกจากร้าน

และเพราะข้าวของที่เต็มไม้เต็มมือไปหมด ทำให้เธอไม่ทันสังเกตว่า ตอนที่เธอหยิบเงินออกจากซอกกระเป๋าสะพายนั้น มีรูปถ่ายใบหนึ่งหล่นลงไปบนพื้น และเพราะมันเป็นรูปเล็กๆ ขนาดสามนิ้ว ทำให้เธอไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย

ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนต่อคิวรอสั่งกาแฟอยู่ก้มมองที่พื้น เขาก้มเก็บรูปถ่ายใบนั้นขึ้นมา ดวงตาสีเทาจางเหมือนกับสายหมอกมองรูปใบเล็กในมือ มันเป็นรูปทะเลสาบที่ใสเหมือนกระจกจนสะท้อนทิวทัศน์โดยรอบและท้องฟ้า ตรงมุมรูปนั้นมีลายมือขยุกขยิกเขียนเอาไว้พอให้อ่านออกว่า ‘เหนื่อยเมื่อไหร่ก็จ้องภาพนี้ไว้ซะ ท่องไว้ว่าสักวันจะต้องไปถึงให้ได้!’

เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินใจผละออกจากเคาน์เตอร์สั่งเครื่องดื่ม เดินออกจากร้านตามหญิงสาวไปเพื่อคืนภาพถ่ายที่เขาเก็บได้ ร่างสูงเดินออกจากร้านมาทันเห็นหลังร่างบางที่เดินห่างออกไปไม่มากนัก เธอเดินเลี้ยวเข้าซอย เขาจึงเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะได้ตามเธอทัน แต่แล้วจู่ๆ อีกฝ่ายก็หยุดเดิน แล้วก็ลงไปนั่งยองๆ วางของทุกอย่างลงบนพื้น

เขาชะลอฝีเท้าอย่างงุนงง นึกไปว่าเธอถือของไม่ไหวหรือเปล่าถึงได้ลงไปนั่งแบบนั้น ในใจก็คิดว่านอกจากคืนรูปแล้ว เขาจะช่วยเธอถือของด้วยเลยละกัน

แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงของเธอ

“สวัสดีค่ะ หนูชื่ออะไรเหรอ”

ประโยคนั้นทำให้เขามองหาคนที่หญิงสาวกำลังถาม และพบกับเด็กตัวผอมแห้ง เนื้อตัวมอมแมมที่นั่งฟุบอยู่หลังแก้วพลาสติก เด็กน้อยคนนั้นเพียงแค่เงยหน้ามอง ไม่ได้เอ่ยตอบอะไร หยิบแก้วพลาสติกตรงหน้าขึ้นมา ราวกับจะส่งข้อความว่า ‘ช่วยหยอดเศษเงินใส่ในนั้นหน่อย’

“เงินพวกนี้ ให้ไปก็ไม่รู้จะไปอยู่ในมือใคร” เธอถอนหายใจ ก่อนจะก้มหยิบแก้วเครื่องดื่มออกมาแก้วหนึ่งกับกล่องขนม “ให้อันนี้ดีกว่า อย่างน้อยก็รู้ว่าได้ลงท้องของหนูแน่”

เด็กน้อยคนนั้นมองเครื่องดื่มและขนมตรงหน้าด้วยแววตาแปลกประหลาดใจ ไม่กล้ายื่นมือออกมารับ

“นี่เป็นช็อกโกแลตเย็น อร่อยนะ ลองดื่มดูสิ”

หญิงสาวเอ่ยคะยั้นคะยออีกสองสามรอบ เด็กคนนั้นจึงยื่นมือมารับอย่างกล้าๆ กลัวๆ และพอลองดูดน้ำเข้าไปอึกหนึ่งแล้ว เด็กน้อยก็ตาโต ก่อนจะดูดเพิ่มอีกสามสี่อึกใหญ่

“หนูอย่ารีบๆ เดี๋ยวก็ brain freeze หรอก” เธอส่ายหัวพลางหัวเราะน้อยๆ “แล้วดูสิ นอนฟุบกับพื้นจนหน้าตามอมแมมไปหมดแล้ว เดี๋ยวพี่เอาผ้าเปียกเช็ดให้ดีกว่า”

ว่าแล้วเขาก็เห็นเธอก้มลงคุ้ยกระเป๋าเป้ หยิบกระดาษทิชชูเปียกออกมาจากซองสีน้ำเงิน จากนั้นก็ค่อยๆ เช็ดคราบเปื้อนบนหน้าเด็กน้อยคนนั้นช้าๆ

“แล้วพี่มีกระป๋องวิเศษ ที่ช่วยให้สดชื่น คลายร้อนด้วย”

ดูเหมือนพอหญิงสาวเห็นว่าเด็กน้อยให้ความสนใจกับเธอมากขึ้น ก็เลยชวนอีกฝ่ายคุยต่อ แม้จะยังไม่ได้ยินเสียงน้อยๆ นั้นตอบอะไรกลับมาก็ตาม เธอหยิบขวดกระป๋องขนาดเล็กทรงกระบอกสีขาวออกมาจากกระเป๋าเป้ใบเดิมของเธอ เขามองออกว่ามันคือกระป๋องสเปรย์น้ำแร่

“เดี๋ยวพี่ทำให้ดูก่อน หนูจะได้ไม่ตกใจ”

หญิงสาวเปิดฝาขวดกระป๋องออก จากนั้นก็ฉีดพรมละอองน้ำไปทั่วใบหน้าของเธอ พอเสร็จก็ยิ้มกว้าง มองเด็กน้อยพร้อมส่งสายตาประมาณว่า ‘พร้อมนะ’ จากนั้นเธอก็ฉีดสเปรย์น้ำแร่ไปทั่วหน้าเล็กๆ นั่น

ผลของมันก็คือ เด็กน้อยคนนั้นส่งเสียงหัวเราะออกมาทันทีราวกับได้เล่นสนุก หญิงสาวเองก็หัวเราะเช่นกัน รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าหญิงสาว เธอยื่นมือไปขยี้หัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดูโดยไม่มีสีหน้ารังเกียจกับความมอมแมมของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

เขามองภาพตรงหน้า...มองรอยยิ้มของสาวร่างบาง...มันทำให้หัวใจของเขาไหววูบด้วยความรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง...

ความรู้สึกที่...ดี...

“อ๊ะ เดี๋ยวพี่ต้องไปทำงานแล้วละ สายมาจะชั่วโมงแล้ว ขนมสองกล่องนี่เอาไว้กินนะ เอาไว้โอกาสหน้าถ้าได้เจอกันอีก พี่จะซื้อของอร่อยๆ มาให้เพิ่มนะคะ หรือถ้าหนูต้องการอะไร ไปหาพี่ที่บริษัทก็ได้ ตึกสีขาวตรงนู้น ไปถึงแล้วถามหาพี่ได้เลย พี่ชื่ออริสานะคะ”

เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับโดนสะกดด้วยรอยยิ้มหวานบนใบหน้าหญิงสาว เหม่อมองเธอหยิบข้าวของมาถือไว้เหมือนเดิม โบกมือลาเด็กน้อยคนนั้นแล้วออกเดินต่อ

ร่างสูงหยุดเดินแล้ว เขาไม่ได้ตามเธอไปอีก เพียงแค่ยืนมองหญิงสาวที่หายเข้าอาคารสามชั้นในซอยไป เขาอ่านชื่อบริษัทจากป้ายที่ติดยื่นออกมาหน้าตึก จากนั้นก็เก็บรูปถ่ายในมือที่เดิมตั้งใจจะคืนให้หญิงสาวลงกางเกงสแล็กสีดำของเขา พร้อมๆ กับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้า

 

“กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก”

อริสาเดินมายังโต๊ะทำงานตัวยาวสีดำซึ่งมีสาวหน้าหมวยสวมแว่นทรงสี่เหลี่ยมนั่งอยู่ จากนั้นก็วางถุงแก้วกาแฟ ตามด้วยทิ้งแฟ้มเกือบสิบเล่มที่เธอหอบหิ้วมาลงบนโต๊ะ ปลดกระเป๋าทั้งสองใบและกล้องตัวใหญ่วางตาม แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ทำงานใกล้ๆ อย่างหมดแรง

หญิงสาวเจ้าของโต๊ะทำงานที่ตอนนี้เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารเงยหน้ามอง ยกมือดันแว่นที่ร่วงลงมาอยู่ปลายจมูกให้เข้าที่พลางเอ่ยตอบ “เรียกฉันเป็นไก่ไปได้ จะส่งเสียงขันด้วยเลยไหมล่ะฮะ ยายขวัญ!”

“เอก อี เอ้ก เอ้กกก…” ไม่รอช้า อริสาขันให้เพื่อนสาวดูเลยในทันที ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบก้อนยางลบที่อีกฝ่ายเขวี้ยงใส่ “ยายลูกไก่ อย่าทำร้ายเพื่อนสิ อุตส่าห์ซื้อกาแฟมาให้นะยะ”

ลูกไก่ หรือกัณฑิมา เขี่ยเอกสารเป็นตั้งบนโต๊ะให้ไปกองไว้ข้างๆ จากนั้นก็หยิบแก้วกาแฟออกจากถุง เอาของตัวเองวางไว้บนโต๊ะ ส่วนแก้วอื่นๆ ก็ส่งต่อให้เพื่อนร่วมงานโต๊ะข้างหลัง “ขอบคุณสำหรับอเมริกาโน่นะ ยายขวัญ...แต่ถ้ามาถึงก่อนที่น้ำแข็งละลายจะดีมากกว่านี้”

“ยายนี่ ซื้อมาให้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว ขี้บ่นจริงๆ” อริสาเบ้ปาก อากาศข้างนอกร้อนจะตาย แถมเธอยังแวะคุยกับหนูน้อยข้างถนนอีก น้ำแข็งมันจะคงทนสภาพเป็นก้อนอยู่ได้ยังไง “กินหวานจังเธอเนี่ย ไซรัปตั้งห้าปื้ด เบาหวานคงจะอยู่ไม่ไกลแล้ว”

“ใส่ไซรัปห้า เรียกว่าระดับชิลล์ๆ สบายๆ ย่ะ ถ้ามีงานเร่งงานด่วนก็อเมริกาโน่เพียวไปสิ”

พอดื่มกาแฟหมดไปครึ่งแก้ว กัณฑิมาก็ยกมือขึ้นดันแว่นตาที่เลื่อนลงมาอยู่ปลายจมูกให้กลับเข้าที่อีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปรัวนิ้วบนแป้นคีย์บอร์ดต่อ ใบหน้าของเธอนั้นค่อนไปทางน่ารักแบบหมวยๆ ตามแบบฉบับลูกคนจีนเป๊ะ ดวงตาเรียวรี ริมฝีปากอิ่มสีแดงอมชมพู เรือนผมสวยสีดำสนิทยาวตรงจนถึงกลางหลัง

อริสานั่งหมุนเก้าอี้ไปมาเพื่อพักให้หายเหนื่อย แม้ว่าบริษัทที่เธอทำงานอยู่จะไม่ได้ไกลจากสถานีรถไฟฟ้ามากนัก แต่การที่ต้องเดินหิ้วของเต็มสองมือมันก็ทำเอาหอบได้เหมือนกัน

ตัวอาคารของบริษัทนั้นเป็นตึกสี่เหลี่ยมแนวนอนขนาดกลาง มีพื้นที่ทำเป็นลานจอดรถเล็กๆ ด้านหลัง ภายในมีทั้งหมดสามชั้นครึ่ง โดยชั้นล่างเป็นห้องรับรองและสตูดิโอขนาดใหญ่ ชั้นสองเป็นสตูดิโอขนาดเล็กสองห้อง และชั้นสามเป็นห้องทำงาน แหล่งสิงสถิตของพวกเธอและเพื่อนร่วมงาน ถัดไปเป็นชั้นลอยซึ่งเป็นห้องทำงานของเจ้านายสาวจอมโหดกับห้องประชุมใหญ่ บนดาดฟ้าเป็นสวนหินที่มีชิงช้าและเก้าอี้นั่งเล่น ที่เหล่าพนักงานช่วยกันดูแลไว้เป็นมุมสงบสำหรับนั่งพักยามคิดงานไม่ออก

นี่คือ บริษัท ฟีลลิ่ง อิท เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับงานโฆษณาที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยงานส่วนใหญ่ที่เป็นจุดเด่นของบริษัทจะเป็นพวกโฆษณาที่เป็นภาพนิ่ง ออกแบบโปสเตอร์ ป้ายบิลบอร์ด จัดเลย์เอาต์งานกระดาษต่างๆ และที่ตัวบริษัทเองนอกจากจะมีสตูดิโอให้เช่าแล้ว ก็ยังมีบริการรับงานถ่ายภาพโฆษณาหรือถ่ายแฟชั่นให้แก่บริษัทลูกค้าที่ไม่อยากไปหาทีมงานที่อื่น ด้วยฝีมือของคนในบริษัทที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี แม้หลายคนจะอายุน้อย แต่กลับทำงานได้มีเอกลักษณ์ จึงเป็นจุดเด่นที่คอยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาว่าจ้างอยู่ตลอด ตั้งแต่เจ้าของแบรนด์เล็กๆ ไปจนถึงแบรนด์เนมชื่อดังของเมืองไทย

เธอกับกัณฑิมานั้นเป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่หัดเดิน เรียนที่เดียวกันตลอดตั้งแต่ประถมยันมหาวิทยาลัย เป็นคู่ซี้ปาท่องโก๋ให้คนอื่นล้อเลียนอยู่บ่อยๆ พอหลังเรียนจบ ก็พากันไปเรียนต่อโทกันที่ต่างประเทศ แม้จะเรียนคนละสาขา แต่ก็ยังคงตัวติดหนึบกัน เวลามีงานประกวดผลงานอะไรก็จะช่วยกันทำจนได้รับรางวัลมามากพอดู

เมื่อเรียนจบกลับเมืองไทยมาตระเวนสมัครงาน ประวัติและผลงานก็เข้าตาหัวหน้าของบริษัทนี้ โดยเธอนั้นสมัครเข้ามาในตำแหน่งอาร์ตไดเรกเตอร์ และเพราะหลงรักการถ่ายรูปทำให้เธอพ่วงตำแหน่งช่างภาพไปด้วยในตัว ส่วนกัณฑิมานั้นอยู่ตำแหน่งก๊อบปี้ไรเตอร์ ทั้งๆ ที่ตัวเองจบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มาแท้ๆ กลับมาทำอาชีพเกี่ยวกับงานเขียนไปเสียได้

อริสานั่งลอยหน้าลอยตามองเพื่อนพิมพ์งานพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้ไม่ถึงสองนาทีก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นมาจากชั้นลอย และเมื่อเงยหน้ามองก็เห็นเจ้านายสาวยืนเท้าสะเอวอยู่พร้อมกับชี้นิ้วมาที่เธอ

“มาสายเป็นชั่วโมงแล้วยังจะนั่งเอ้อระเหยอยู่อีกนะแม่ตัวดี เอางานขึ้นมาที่ห้องฉันเดี๋ยวนี้!”

เสียงเฉียบดังราวกับฟ้าผ่านั่นทำเอาอริสารีบคว้าเอกสารปึกใหญ่ที่วางทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะเพื่อน มุ่งหน้าไปยังบันไดแล้ววิ่งขึ้นชั้นลอยไปห้องเจ้านายอย่างรวดเร็ว หญิงสาวยืนสูดหายใจลึกๆ สองสามทีเป็นการรวบรวมกำลังใจก่อนไปเผชิญหน้ากับเจ้านายที่คงเตรียมเทศนาเธอเป็นชุด มือเรียวเคาะประตูห้องสองสามทีเป็นมารยาทก่อนจะเปิดเข้าไป พร้อมกับส่งเสียงหวาน “เจ้จ๋า...ขวัญเอางานมาส่งแล้ว”

โมนานั่งหน้าเรียบอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มองร่างบางที่ส่งยิ้มแบบใจดีสู้เสือให้แล้วก็ถอนหายใจ ส่งสัญญาณให้ลูกน้องสาวเอาแฟ้มทั้งหมดมาวางบนโต๊ะ “อาทิตย์นี้เธอมาทำงานสายกี่วันแล้ว”

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะเจ้ ขวัญก็ไม่ได้นับ”

คำตอบของลูกน้องสาวทำเอาโมนาอยากจะหาอะไรเขวี้ยงใส่หัวเสียจริงๆ เธอเอ่ยขู่เสียงเข้ม “ถ้าเธอยังมาทำงานสายอีก ฉันจะหักเงินเดือนเธอแล้วนะ ยายขวัญ”

อริสาตีหน้าละห้อย “โธ่ ก็กว่าขวัญจะแต่งรูปเสร็จก็ข้ามเข้าวันใหม่ไปหลายชั่วโมงแล้ว ถ้าจะต้องแหกขี้ตาตื่นมาทำงานแต่เช้าอีก ก็คงกลายร่างเป็นซอมบี้แล้วเจ้”

“ก็ใครใช้ให้เธอดองงานจนมันพอกพูนขนาดนี้ล่ะยะ!”

“ไม่ได้ดองสักหน่อย ก็แค่รอจนมันถึงเดตไลน์เฉยๆ ถ้าไฟไม่ลนก้น ความคิดมันชอบไม่แล่น”

“งั้นคราวหน้าไปซื้อไฟแช็กมานะ ฉันจะจุดเผาก้นเธอแทนเลย ไม่เอาแค่ลนแล้ว” โมนาส่งสายตาค้อนให้แก่สาวติสต์แตกตรงหน้า ยังดีที่แม้จะชอบทำงานแบบเหมือนจะไม่ทันกำหนดเพราะมัวแต่บิลด์อารมณ์ศิลปิน แต่ก็ยังส่งงานตรงเวลาทุกครั้ง “แล้วแฟ้มไหนงานของใครบ้าง”

“อันนี้งานของมิสเตอร์เฉิน อันนี้งานของคุณยุวดี อันนี้ของ…” อริสาแจงไปทีละอย่าง ซึ่งโมนาก็เปิดดูรูปถ่ายในแต่ละแฟ้มอย่างพิจารณา

นี่เป็นภาพที่อริสารับงานเป็นตากล้องถ่ายแบบสินค้า ซึ่งเธอเพิ่งจะรีทัชและเก็บรายละเอียดภาพจนเสร็จเรียบร้อยเมื่อคืนนี้ จากนั้นก็พรินต์ภาพออกมาเตรียมให้เจ้านายดู โมนานั่งเลือกภาพสองภาพที่ดีที่สุดจากแต่ละแฟ้มแยกออกมาไว้ข้างนอก

“เป็นไงคะ มีอะไรต้องแก้อีกหรือเปล่า”

“ดูดีแล้ว เก็บรายละเอียดได้ครบ” โมนากวาดสายตาตรวจงานซ้ำอีกครั้ง ว่ามีตรงไหนที่รีทัชจนดูมากไป หรือมีรายละเอียดตรงไหนที่ยังไม่เรียบร้อยหรือเปล่า “งานเรียบร้อยใช้ได้ ไม่น่ามีปัญหาอะไร ช่วยส่งไฟล์รูปที่ฉันเลือกมาให้ด้วยนะ ฉันจะได้ส่งต่อให้ลูกค้าปรู๊ฟดูก่อนที่จะส่งไปให้แฝดยมของเธอใส่ข้อความ”

แฝดยมของเธอก็คือกัณฑิมานั่นละ สมัยเรียนได้ฉายาว่าคู่ซี้ปาท่องโก๋ แต่พอมาทำงานก็ได้ฉายาว่าเป็นฝาแฝดรักยม เพราะนอกจากเป็นเพื่อนซี้ตัวติดกันแล้ว งานแต่ละงานก็ต้องทำควบคู่กันด้วยถึงจะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งคนตั้งฉายาให้ก็เจ้านายสาวตรงหน้านี่ละ เธอบอกว่าให้เป็นแฝดรักยมเพื่อที่จะได้เป็นตัวเรียกโชคลาภให้บริษัทด้วย ประหนึ่งว่าให้พวกเธอเป็นตัวแทนกุมารทองอย่างไรอย่างนั้น

“โอเคค่ะ เดี๋ยวขวัญส่งเข้าเมลให้เลย แล้วมีงานอะไรที่เจ้จะสั่งขวัญอีกไหมคะ”

“ตอนนี้ยังไม่มี แต่อาทิตย์หน้าอาจจะมี”

“หมายความว่าไงคะเจ้”

“ยังไม่บอก เดี๋ยวเจ้คุยงานเรียบร้อยแล้วจะบอก”

“แปลว่ามีบริษัทใหญ่ติดต่อมาอะดิ งั้นเจ้เชียร์งานของลูกน้องคนนี้เยอะๆ นะ ขวัญจะได้ได้งาน ได้งานแล้วก็ได้เงิน แฮปปีที่สุด”

“ก่อนจะแฮปปี ตอนนี้เธอไปทำงานของเธอต่อได้ละ อย่าลืมว่ายังมีดราฟต์งานโฆษณาของคุณแดนที่ต้องส่งพรุ่งนี้ อย่าเลตนะยะ ไม่งั้นฉันจะหักเงินเดือนเธอแน่”

“คำก็หักเงิน สองคำก็หักเงิน เฮ้อ...มีเจ้านายที่ทั้งโหดทั้งดุทั้งงกนี่มันลำบากจริงจริ๊ง” อริสาทำเป็นบ่น ก่อนจะเผ่นพลิ้วออกจากห้องเมื่อเห็นว่าเจ้านายสาวเริ่มหยิบที่เจาะกระดาษบนโต๊ะมาถือไว้เพื่อเตรียมเขวี้ยงใส่เธอข้อหาว่าเจ้านาย

กัณฑิมาที่เห็นเพื่อนเดินลงจากชั้นลอยกลับมานั่งประจำที่โต๊ะทำงานก็ชะโงกหน้าไปถาม “เป็นไง โดนด่าเละไหม”

“ไม่โดนเลยวันนี้ มาแปลก...สงสัยเมื่อวานได้สวีตกับแฟนเต็มที่ วันนี้เลยอารมณ์ดี” อริสานินทาเจ้านายของตัวเองที่เมื่อวานแต่งตัวเสียสวยเช้ง เพราะว่าแฟนหนุ่มชาวต่างประเทศบินมาหาหลังจากไม่ได้เจอกันเป็นเดือน

“หรือไม่เขาก็สะสมเมฆเตรียมก่อตัวเป็นพายุในรอบหน้า”

“โอ้ ถ้าอย่างนั้นฉันกลับขึ้นไปให้เขาด่าเพื่อลดปริมาณเมฆดีกว่า จะได้ไม่โดนรวบยอด ไม่งั้นคงตายแน่”

 

บนชั้นที่สามสิบของตึกหรูกลางใจเมือง หญิงสาวในชุดสูทสีน้ำเงินหยิบกระดาษที่เพิ่งพิมพ์ออกจากพรินเตอร์มาดู หลังจากเช็กว่าจำนวนหน้าครบถ้วนตามที่สั่งพิมพ์แล้ว ก็ใช้คลิปหนีบสีดำหนีบมันรวมเอาไว้ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปยังโทรศัพท์สีดำบนโต๊ะทำงาน กดปุ่มสีแดงบนนั้นแล้วกรอกเสียงลงไป

“เอกสารที่บอสขอได้แล้วค่ะ”

ไม่นานก็มีเสียงตอบกลับมา “เอาเข้ามาให้ผมได้เลยครับ”

ได้ยินคำอนุญาต เธอจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังห้องทำงานใหญ่ของประธานบริษัท เคาะประตูเล็กน้อยตามมารยาท ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหันมามองเลขานุการสาวที่ถือเอกสารเอาไว้ในมือ ตรงหน้าเขาเป็นบอร์ดขนาดใหญ่ที่บริเวณตรงกลางมีรูปนาฬิกาข้อมือขนาดเอสี่ติดอยู่บนนั้น พร้อมกับกระดาษโพสต์-อิตและรอยปากกาแดงขีดๆ เขียนๆ ราวกับว่ากำลังหาจุดบกพร่องของแต่ละรูปอยู่ ด้านขวามีรูปชิ้นส่วนที่ดูออกได้ว่าเป็นชิ้นส่วนที่ถูกแกะออกมาจากตัวนาฬิกาข้อมือแน่ ส่วนด้านซ้ายของบอร์ดมีภาพเหมือนเหล็กถูกแกะสลักเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า ‘LYRA’ อยู่สามสี่ภาพ โดยแต่ละภาพใช้ลักษณะตัวอักษรไม่เหมือนกัน

เขาอยู่ในชุดสูทสีดำ ผูกเนกไทสีฟ้าอ่อน ใบหน้าดูคมเข้มแบบฉบับฝรั่ง ผมสีดำถูกหวีเสยจัดเป็นทรงอย่างง่ายๆ คิ้วเข้มพาดอยู่เหนือดวงตาสีเทาคู่สวยที่ล้อมไปด้วยขนตายาวหนาเป็นแพชนิดที่ว่าผู้หญิงยังอาย จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากมีรอยยิ้มบางให้เห็นอยู่ตลอด บ่งบอกได้ว่าตัวชายหนุ่มคงเป็นคนที่อารมณ์ดีอยู่เป็นนิตย์

“ขอบคุณครับ คุณเจน” เขายื่นมือไปรับเอกสารจากเลขานุการ กวาดสายตามองรายละเอียดที่พิมพ์อยู่บนหน้าแรกอย่างคร่าวๆ “คุณเจนนัดประชุมให้ผมเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ”

“ค่ะ คุณวิทย์รับทราบแล้วค่ะ” เจนจิราเอ่ย เธอเพิ่งวางสายจาก วิทย์ หรือวิทยา ประธานบริษัทนาฬิกาไลล์ราเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา อีกฝ่ายดูแปลกใจเล็กน้อยที่โดนเรียกประชุม เพราะเขาเพิ่งจะส่งแบบนาฬิกาคอลเล็กชันใหม่มาให้เมื่อเช้า ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงก็โดนนัดประชุมเสียแล้ว

“นายวิทย์คงไม่ว่าอะไรใช่ไหมที่ผมนัดประชุมกะทันหัน”

เลขานุการสาวอยากจะตอบนักว่าใครจะกล้าว่าเจ้าของบริษัทตัวจริงกัน จริงอยู่ที่วิทยา ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทของไลล์รา แต่พนักงานทุกคนย่อมรู้กันดีว่าไลล์รานั้น เป็นบริษัทลูกของบริษัทเอดิส บริษัทผลิตเลนส์หน้าปัดนาฬิการายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก และผู้ถือหุ้นเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์รวมถึงดำรงตำแหน่งประธานบริหารนั้นก็คือ เทวินทร์ ภากรฤกษ์ คนนี้

“อีกสิบนาทีบอกให้นายจันเอารถมารอหน้าบริษัทเลย”

 

“ถามจริงๆ เถอะ วันๆ นายไม่คิดจะพักงานบ้างเลยใช่ไหม ฉันส่งแบบนาฬิกาไปให้ไม่ถึงสี่ชั่วโมงดี นายก็ตรวจแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ฉันอุตส่าห์บอกว่าไม่ต้องรีบแท้ๆ”

วิทยาเอ่ยเมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าคมเดินเข้ามาในห้องทำงาน แม้ว่าเขากับอีกฝ่ายจะเป็นญาติกัน แต่หน้าตากลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตัวเขานั้นหน้าตาไทยแท้แถมดูออกไปทางจีนตามเชื้อสายของบิดา ส่วนชายหนุ่มอีกคนในห้องนั้นรับเชื้อฝรั่งมาจากมารดาหรือป้าสะใภ้ของเขา ทำให้มีหน้าตาหล่อคมเข้มตามแบบฉบับฝรั่งเมืองผู้ดี

บิดาของพวกเขาทั้งคู่นั้นเป็นพี่น้องกัน ช่วยกันดูแลบริษัทเอดิสจนกระทั่งวางมือไปเมื่อสองปีก่อน ทั้งคู่ยกตำแหน่งสูงสุดให้แก่เทวินทร์ที่เป็นลูกของพี่ชาย ส่วนเขานั้นก็ทำงานในตำแหน่งที่รองลงมา และเพราะพวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ทำให้ไม่มีความอิจฉาริษยาที่เห็นอีกฝ่ายได้ดีกว่าเลยแม้แต่นิด ในทางกลับกัน ต่างก็ช่วยกันดูแลบริษัทเหมือนกับรุ่นพ่อ

จนกระทั่งเมื่อปีก่อนที่เทวินทร์มีความคิดอยากจะเปิดบริษัทนาฬิกาของตนเองบ้าง หลังจากเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนมาตลอด จึงเปิดบริษัทไลล์ราขึ้นมา และส่งเขาไปเป็นประธานบริหาร ยกหน้าที่ให้ดูแลกิจการทั้งหมด เพราะนอกจากความสามารถด้านการบริหารแล้ว เขาก็พอจะมีความสามารถด้านการออกแบบอยู่บ้างจากความชอบสมัยเด็กที่มักจะวาดรูป ออกแบบของเล่นมาเล่นกับญาติผู้พี่อยู่เป็นประจำ

ถึงแม้เขาจะดำรงตำแหน่งที่ใหญ่ที่สุดในบริษัทไลล์รา แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจอะไรก็มักจะขอความเห็นจากเทวินทร์เสมอ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายบ่นแล้วบ่นอีกว่าให้เลิกมาถามว่าเขาคิดอย่างไรเสียที

“ก็วันนี้ว่าง นอกจากไปประชุมกับตัวแทนบริษัทขนส่งตอนเช้าก็ไม่มีงานอย่างอื่น พอกลับมาบริษัทก็เห็นเอกสารจากนาย ก็เลยนั่งดู พอดูเสร็จก็ไม่อยากรอ” เทวินทร์ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องทำงานของอีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งบนโซฟารับแขก เอ่ยขอบคุณเลขานุการหน้าห้องที่นำกาแฟและของว่างมาให้

วิทยารอจนเลขานุการออกจากห้องไปแล้วค่อยเอ่ย “แล้วเป็นยังไงบ้าง มีอะไรอยากแก้ไขไหม”

“ก็บอกนายตั้งหลายรอบแล้ว ว่านายน่ะมีศักยภาพเรื่องพวกนี้มากกว่าฉัน ถ้านายคิดว่าผ่านก็คือผ่าน” เทวินทร์เอ่ยจากใจจริง เพราะตัวเขาไม่ได้เก่งเรื่องออกแบบเลย ก็บอกได้แค่ว่าอันไหนดูดีไม่ดี แต่จะให้เขาบอกรายละเอียดว่าควรเพิ่มหรือลดอะไรละก็ เขาทำให้ไม่ได้หรอก

“อันนั้นฉันรู้ แต่ก็ยังอยากส่งให้นายดูอยู่ดี ก่อนจะสั่งผลิต”

“ดูดีอยู่ ตัวเรือนดีไซน์เรียบหรูดี ฉันว่าพวกผู้ใหญ่คงชอบ แล้วจะผลิตออกมาเยอะไหม”

“น่าจะประมาณสิบเรือนต่อแบบ”

“เป็นลิมิเต็ดคอลเล็กชันสินะ”

“นายก็รู้ว่าอะไรที่มีคำว่าลิมิเต็ดประดับ จะกลายเป็นสิ่งมีค่าทันที” วิทยายิ้มเสียจนดวงตาชั้นเดียวของเขาหรี่เล็ก “ว่าแต่นายเถอะ ที่ขอนัดประชุมฉัน คงไม่ใช่มีเรื่องจะคุยแค่นี้หรอกมั้ง เพราะเรื่องแค่นี้โทรศัพท์มาก็ได้ ไม่ต้องลำบากฝ่ารถติดมาหา”

“มีแค่นี้แหละ”

“อ้าว”

“จริงๆ ก็ฉันคิดถึงนายไง ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน ว่าจะชวนไปทานข้าวเย็นเสียหน่อย” เนื่องจากเขาเพิ่งจะบินไปดูงานที่ออสเตรียเป็นเวลาอาทิตย์กว่า เพิ่งจะกลับมาเมืองไทยได้สองวัน “นายว่างหรือเปล่าล่ะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเองมื้อนี้”

“อู้ย ลาภปาก” วิทยาหันกลับไปหาคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของตนเพื่อกดดูตารางงานที่เหลือของวันนี้ “จริงๆ ก็ว่างแล้วแหละ เหลือแค่ตรวจเอกสารอีกนิดหน่อย เรื่องโฆษณาเปิดตัวนาฬิกาชุด Douce Romance น่ะ”

“นาฬิกาคู่รักที่ผลิตเตรียมไว้สำหรับวาเลนไทน์ปีหน้าสินะ”

“ใช่แล้ว ตั้งใจจะลงโฆษณาภาพนิ่งในนิตยสารตั้งแต่เดือนธันวานี้”

“แล้วจ้างบริษัทไหนให้มาทำแคมเปญให้ล่ะ บริษัทเดิมหรือเปล่า”

“เปล่า รอบนี้ฉันเปลี่ยนเจ้า เพราะช่างภาพของบริษัทเดิมถ่ายภาพให้ออกมาดูสวยหวานไม่ค่อยเก่ง” วิทยาหาเอกสารที่เขาเพิ่งจะเห็นผ่านตาไปไม่นานมานี้บนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยกระดาษแบบร่างของเขา ก่อนจะหยิบพอร์ตงานของบริษัทที่จะจ้างขึ้นมาอ่านชื่อบริษัทที่พิมพ์อยู่หน้าแรก “บริษัทที่ติดต่อดูอยู่ตอนนี้ชื่อบริษัท ฟีลลิ่ง อิท นายเคยได้ยินชื่อไหม มีคนบอกว่าช่างภาพที่ชื่ออริสา ถ่ายภาพได้เป็นธรรมชาติมาก ดูนุ่มนวลอ่อนหวาน น่าหลงใหล ฉันเลยคิดว่าน่าจะเหมาะกับแคมเปญนี้น่ะ”

เทวินทร์ชะงักไปเล็กน้อย ชื่อนั้นคุ้นหู ก่อนที่จะสว่างวาบในความคิด ก็นั่นมันชื่อบนป้ายที่เขาเห็นเมื่อตอนสายของวันนี้...บริษัทที่หญิงสาวคนนั้นเดินเข้าไป...และชื่อ อริสา ที่อีกฝ่ายเอ่ยนั้น ก็คือชื่อของเธอ...

น่าแปลกที่ตั้งแต่ที่เขาเจอเธอเมื่อเช้า จนกระทั่งตอนนี้ ภาพของหญิงสาวยังคงอยู่ในหัวเขาไม่หายไปไหน เขาจำได้ว่าเธอมัดผมสีน้ำตาลเข้มของเธอไว้ที่ท้ายทอยอย่างลวกๆ มีปอยผมปรกลงมาเต็มหน้า เธอมีใบหน้ารูปไข่ ปราศจากเครื่องสำอางใดๆ ผิวของเธอขาวอมชมพู ยิ่งเวลาเธอเดินผ่านช่วงที่แดดส่องโดน ยิ่งดูขาวผ่อง ดวงตากลมโต จมูกโด่งที่ตรงปลายรั้นนิดๆ ริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับ

นึกแล้วก็ขำตัวเอง เขาได้เจอเธอไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ ทำไมถึงจำรายละเอียดของอีกฝ่ายได้มากขนาดนี้ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่ดึงดูดความสนใจจากเขาได้แบบนี้มาก่อน และนั่นทำให้เขารู้ว่าไม่ควรที่จะปล่อยเธอผ่านไปง่ายๆ

บางทีนี่อาจเป็นความบังเอิญ ที่ลูกพี่ลูกน้องเขาคิดจะจ้างเธอมาทำงานให้

หรือบางทีมันก็อาจจะเป็นโชคชะตา ให้เขามีโอกาสได้เจอและได้ทำความรู้จักกับเธอก็ได้...

“นายไปประชุมเรื่องธีมงานมาหรือยัง” เทวินทร์ถามขึ้นหลังจากดึงตัวเองออกจากภวังค์ที่ลอยไปหาหญิงสาวคนนั้น

“ยัง นัดไว้วันศุกร์น่ะ”

“เดี๋ยวฉันไปประชุมเอง”

“หือ?” คำพูดนั้นของญาติผู้พี่ทำเอาเขาเลิกคิ้วอย่างงุนงง และงงหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“แล้วก็โอนแคมเปญนี้มาให้ฉันดูแลด้วย”

วิทยานิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะร้อง ‘อ๋อ’ ออกมาดังลั่น

“เป็นอะไรของนาย ทำหน้าอย่างกับตรัสรู้”

“ฉันรู้ละ ที่นายอยากมาทำโพรเจกต์นี้ก็เพราะนางแบบที่ฉันจ้างใช่ไหมล่า...”

“ใครเหรอ”

“ก็แฟนนายไง ซาร่าน่ะ! งานนี้ทางแผนกการตลาดเลือกซาร่ามาเป็นนางแบบ”

“ซาร่าเป็นนางแบบเหรอ” เทวินทร์เพิ่งทราบ เขากับซาร่านั้นเรียนปริญญาตรีคณะบริหารมาด้วยกันที่อังกฤษ พออีกฝ่ายเรียนจบก็กลับมาเมืองไทยก่อน ส่วนเขานั้นอยู่ต่อปริญญาโทจึงกลับมาทีหลัง ซึ่งตอนที่กลับมาไทยนั้น ซาร่าก็ผันตัวเองจากนักศึกษาคณะบริหารไปเป็นนางแบบเบอร์หนึ่งของเอเชียแล้ว ส่วนเขาก็เข้ามาบริหารบริษัทต่อจากบิดาที่เกษียณตัวเองไปเที่ยวรอบโลกกับภรรยา ทิ้งภาระงานทั้งหมดให้แก่ลูกชายคนเดียวอย่างเขาโดยไม่เหลียวหลังมามอง

“ซาร่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ไม่ใช่แฟน บอกนายตั้งไม่รู้กี่รอบ ไม่จำบ้างเลยหรือไง”

“เอ๊า เพื่อนอะไรจะไปไหนมาไหนสองต่อสองด้วยกันบ่อยๆ”

ประธานบริหารคนปัจจุบันของเอดิสหัวเราะเบาๆ กับอาการจับผิดไม่เลิกของลูกพี่ลูกน้อง “ฉันกับซาร่าน่ะเพื่อนกันจริงๆ ไม่ใช่เพื่อนจอมปลอมแบบแกกับน้องเมย์หรอก”

ชื่อนั้นทำเอาวิทยาชะงักน้อยๆ แน่นอนว่าคนที่เอ่ยไม่พลาดที่จะจับสังเกตปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปนั่น หญิงสาวที่เขาเพิ่งเอ่ยถึงนั้น เป็นเพื่อนของวิทยาที่เรียนมาด้วยกันตอนเรียนปริญญาตรี เรื่องก็คล้ายๆ เขากับซาร่าที่เรียนด้วยกันจนสนิทกัน จะต่างกันก็ตรงที่วิทยาเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ

“ชอบเขาก็บอกไปสิว่าชอบ มัวแต่อึกๆ อักๆ อยู่นั่น”

“เฮ้ย จะบ้าเหรอ” หนุ่มหน้าตี๋ร้องลั่นออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะถลึงตาใส่คนที่มีศักดิ์เป็นพี่ “ฉันกับเมย์ก็เป็นแค่เพื่อนกัน จะมาชอบเชิบอะไรล่ะ...”

“อยากปากแข็งต่อก็ตามใจ ถ้าโดนหนุ่มอิตาลีตัดหน้าไปก็อย่ามาร้องไห้ทีหลังล่ะ”

“หนุ่มอิตาลีไหน”

“ก็ลูกค้าวีไอพีคนล่าสุดของบริษัทคุณพ่อน้องเมย์ ที่เจาะจงให้น้องเมย์รับหน้าเป็นคนดูแล ‘พิเศษ’ ของเขาน่ะสิ”

“ไอ้บ้านั่นมันเป็นใคร!”

“หึงออกนอกหน้าขนาดนี้ ยังจะปากแข็งอยู่อีก”

วิทยาเลี่ยงที่จะไม่ตอบโต้อะไร เรื่องที่เขาเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อนั้นก็มีเทวินทร์คนเดียวที่รู้ แล้วก็คอยแต่จะยุให้เขาสารภาพความในใจอยู่เรื่อย แน่นอนว่าเขาอยากจะทำแบบนั้นแทบแย่ แต่เขาแค่ไม่กล้า เพราะกลัวว่าความเป็นเพื่อนที่มีมาตลอดห้าปีจะหายวับไปกับอากาศ...

“ช่างเถอะ ไม่สนใจเรื่องนายกับน้องเมย์แล้ว” เทวินทร์เลิกล้อเลียนญาติหนุ่มเสียดื้อๆ “สรุปแคมเปญโฆษณานี้ฉันรับผิดชอบเองนะ นายช่วยให้เลขาฯ นายแจ้งคุณเจนถึงสถานที่และวันเวลาที่นัดประชุมกับ ฟีลลิ่ง อิท ด้วย”

“ทำไมจู่ๆ จะมาทำล่ะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยจะสนใจ”

ดวงตาคู่สวยของชายหนุ่มเป็นประกายแวววาว “ฉันไม่เหมือนนายหรอกนะที่เก็บความรู้สึกในใจรอให้แห้วรับประทานน่ะ ถ้าฉันสนใจใครละก็ ฉันไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่าๆ หรอก”

“บอกทีว่าถ้าไม่ได้พูดถึงซาร่าที่เป็นนางแบบของแคมเปญนี้ แล้วหมายถึงใคร”

“เอาไว้เดี๋ยวนายก็รู้เอง”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น