2
กัณฑิมานั่งจดรายละเอียดงานใส่สมุดด้วยลายมือที่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้จะอ่านออกไหม เพราะบทสนทนาในห้องประชุมนั้นไปเร็วเสียมือเธอเป็นระวิง ตามจริงแล้วคนที่จะมานั่งตำแหน่งนี้ควรจะเป็นเพื่อนสาวของเธอต่างหาก ปกติเวลาประชุมงานกับลูกค้านั้น จะต้องมีทั้งฝ่ายครีเอทีฟหรืออาร์ตไดเรกเตอร์อยู่ในที่ประชุมด้วย เพื่อรับรู้ถึงเป้าหมายของงานที่ลูกค้าต้องการ และเสนอไอเดียคร่าวๆ ให้ลูกค้าพิจารณา แต่วันนี้เจ้าตัวดันติดงานถ่ายภาพให้ลูกค้าที่มาเช่าสตูดิโอ กัณฑิมาจึงต้องเข้าประชุมแทน
ขณะที่มือเขียน หูก็ตั้งใจฟังสิ่งที่เจ้านายพูดไปด้วยอย่างไม่ตกหล่น ส่วนตานั้นก็เหลือบมองใบหน้าเจ้านายตัวเองสลับกับลูกค้าหนุ่มเป็นระยะๆ ซึ่งมักจะมองอย่างหลังนานกว่าเป็นพิเศษ ผู้ชายใส่สูทที่เธอชมในใจว่า...ตัวจริงหล่อลากไส้
เธอเองเคยได้เห็นเขาในนิตยสารแวดวงธุรกิจที่บังเอิญเปิดผ่านอยู่บ้างครั้งสองครั้ง เทวินทร์เป็นผู้ชายร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมตามแบบฉบับฝรั่ง แต่ก็มีกลิ่นอายหนุ่มเอเชียแซมอยู่เล็กน้อยตามประสาหนุ่มลูกครึ่ง ดวงตาของเขาหวานมากเสียจนเธอยังอิจฉา นี่เป็นชายหนุ่มที่มีดวงตาน่าหลงใหลที่สุดคนหนึ่งที่เธอเคยเจอมา ทำเอาเธอมองอย่างเคลิบเคลิ้มไปเลยทีเดียว
เห็นอย่างนี้อย่าคิดว่าเธอบ้าผู้ชายนะ เธอก็แค่ชอบมองของสวยงาม แล้วตอนนี้มีชายหนุ่มรูปงามมานั่งให้มองตรงหน้า เธอจะไม่มองได้อย่างไร
“ตอนแรกโมนาก็คิดว่าจะเป็นคุณวิทย์ที่มาประชุมเสียอีก ไม่คิดว่าจะเป็นคุณวินมาด้วยตัวเอง” โมนาเอ่ยกับชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้าม ในมือเป็นแฟ้มแบบนาฬิกาสิบเรือนซึ่งเป็นสินค้าหลักในการถ่ายแบบครั้งนี้ อีกแฟ้มบนโต๊ะใกล้ๆ เป็นภาพเครื่องประดับที่จะใช้เป็นสินค้ารอง
“อ๋อ พอดีนายวิทย์เขาติดงานเรื่องนาฬิกาคอลเล็กชันใหม่น่ะครับ แคมเปญโฆษณานี้ผมก็เลยมาช่วยเขาทำ”
“แล้วไม่ทราบว่า คุณวินพอจะถูกใจบริษัทของเราไหมคะ ถ้ามีอะไรไม่ชอบใจก็บอกได้เลยนะคะ ทางเรายินดีปรับให้เสมอ เรื่องเงินน่ะไม่ใช่ปัญหา แต่มันคงเป็นเกียรติมากถ้าทางเราได้ทำงานให้แก่ไลล์รา” เพราะนี่เป็นการคุยงานครั้งแรก ยังไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะตัดสินใจจ้างบริษัทเธอหรือไม่ โมนาจึงจำเป็นต้องพูดหว่านล้อมอีกฝ่ายไว้ก่อน
“อืม... ที่บริษัทนี้มีคนชื่อ อริสา ไหมครับ เธอเป็นช่างภาพของที่นี่ใช่ไหมครับ”
ชื่อนั้นทำเอากัณฑิมาหูผึ่ง ...เขารู้จักเพื่อนเธอเหรอ
“อ๋อ ใช่แล้วค่ะ” โมนาพยักหน้า “อริสาเป็นอาร์ตไดฯ และช่างภาพของเราค่ะ คุณวินถามถึงเธอแบบนี้ แปลว่าอยากให้เธอเป็นคนทำโพรเจกต์นี้ใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ ผมสนใจ...” เขาเว้นระยะไปเล็กน้อย ด้วยใบหน้าของหญิงสาวโผล่แวบขึ้นมาในความคิด “...สนใจสไตล์งานถ่ายภาพของเธอมากน่ะครับ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ โมนาจะให้อริสามาทำงานนี้ตามที่คุณวินต้องการเลย โมนาเชื่อว่าเธอคงดีใจมากที่ได้ทำงานนี้” โมนายิ้มกว้าง “ขอบคุณมากเลยนะคะที่ไว้ใจบริษัทเรา เป็นเกียรติมากค่ะที่ได้ทำงานกับไลล์รา”
“ขอบคุณคุณโมนาเช่นกันครับ หลังจากนี้คงจะต้องรบกวนด้วย”
“โอ๊ย ไม่รบกวนเลยค่ะ ยินดีๆ” โมนายิ้มกว้าง “แล้วไม่ทราบว่าทางไลล์รามีนางแบบนายแบบที่อยากได้ไว้ในใจอยู่แล้วไหมคะ หรือต้องการให้ทางเราแคสต์คนให้เลือก”
“รู้สึกว่าวิทย์จะเลือกไว้แล้ว...” เขาก้มมองเอกสารตรงหน้าตัวเองเพื่อหารายละเอียดที่ว่า เขารู้แค่นางแบบเป็นใคร แต่ตัวนายแบบนั้นเขายังไม่เคยถาม และเขาก็ไม่รู้จักด้วย ดังนั้นจึงเพียงหยิบหน้ากระดาษประวัติของนายแบบคู่ไปกับประวัติของซาร่า แล้วส่งให้แก่โมนา “นางแบบคือคุณ ซาร่า ไนล์เจล ส่วนนายแบบ...เป็นคนนี้ครับ”
โมนารับกระดาษสองแผ่นมา ก้มลงมองเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับรู้ช้าๆ แล้วส่งต่อให้แก่กัณฑิมาเก็บใส่แฟ้มงาน ซึ่งพอสาวหมวยเห็นรูปนายแบบบนกระดาษก็ชะงักน้อยๆ เปลี่ยนจากใบหน้ายิ้มแย้มอย่างร่าเริงเมื่อได้ยินว่าเพื่อนสาวจะได้ทำโพรเจกต์นี้ไปเป็นตกตะลึง
นี่มัน...
“ความจริงคุณวินก็หล่ออยู่นะคะ ไม่สนใจเป็นนายแบบเองบ้างเหรอ” โมนาเอ่ยแซว มองดูหน้าตาของลูกค้าหนุ่มคนนี้แล้วก็อดนึกไม่ได้ว่าถ้าถ่ายรูปออกมาคงจะน่าหลงใหลไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งมองก็ยิ่งอยากจับไปเป็นนายแบบเสียจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายมีธุรกิจร้อยล้านอยู่แล้วน่ะนะ
“อย่าดีกว่าครับ เอาผมไปเป็นนายแบบ เดี๋ยวสินค้าจะขายไม่ออกซะก่อน” เทวินทร์หัวเราะกับคำชวนนั้น “ส่วนเรื่องวันที่ผมกำหนดไว้ รู้ว่ามันออกจะกะทันหันไปเสียหน่อย แต่ทางคุณจะเตรียมงานทันใช่ไหมครับ”
“ไม่เร็วไปค่ะ ทางเราเตรียมงานทันแน่นอน” โมนาเอ่ยอย่างไม่เดือดร้อน “ทีมงานของอริสาทำงานเร็วอยู่ค่ะ สักวันอังคาร โมนาจะส่งรายละเอียดการทำงานให้คุณเทวินทร์ดูนะคะ ว่าถูกใจและตรงตามคอนเซปต์ไหม”
“แล้ววันนี้เขาไม่อยู่เหรอครับ ผมหมายถึงคุณอริสา” เทวินทร์ถามในสิ่งที่สงสัย เพราะเขาแอบหวังไว้ลึกๆ ว่าจะได้เจอหญิงสาวร่างบอบบางคนนั้น ทว่าตั้งแต่เดินเข้ามาในบริษัทจนกระทั่งตอนนี้ เขามองหาเท่าไรก็ยังไม่เห็นเธอเลยแม้แต่น้อย
“อ๋อ เธอติดงานในสตูดิโอน่ะค่ะ แต่ตอนนี้น่าจะเสร็จแล้วละ” โมนาหันไปหาลูกน้องสาวที่ดูจะนั่งนิ่งไม่จดงานอะไรไปตั้งแต่ได้รับรูปนางแบบนายแบบ “ลูกไก่ โทร. หายายขวัญซิ ถ้าเสร็จงานแล้วให้ขึ้นมาหาลูกค้าหน่อย”
กัณฑิมารีบดึงสติ ถอนสายตาออกจากรูปนายแบบขึ้นมามองเจ้านาย แล้วพยักหน้ารับ “อะ...อ๋อ ได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ กำลังทำงานอยู่ ผมไม่อยากกวน” เทวินทร์ส่ายหน้าปฏิเสธ “ยังไงเดี๋ยวก็ได้เจอกันอยู่แล้ว รออีกหน่อย ไม่เป็นอะไรหรอกครับ...” เขาเอ่ยพึมพำราวกับจะบอกกับตัวเองไม่ใช่คนอื่นในห้องประชุม
ใช่ เดี๋ยวก็ได้เจออยู่แล้ว อย่าทำตัวใจร้อนราวกับเป็นเด็กหนุ่มอยากเห็นหน้าสาวไปหน่อยเลย
“วันนี้ผมกลับก่อนดีกว่า ถ้าแผนงานเสร็จแล้ว ฝากโทร. แจ้งเลขาฯ ผมด้วยละกันนะครับ”
“แน่นอนค่ะ ขอบคุณคุณวินอีกครั้งนะคะที่เลือกเราไปร่วมงานด้วย” โมนาลุกขึ้นยืนตามชายหนุ่ม ก่อนจะพาเดินออกจากห้องประชุมไปยังบันไดเพื่อลงชั้นล่าง
“ผมขอตัวเข้าห้องน้ำครู่หนึ่งนะครับ” เทวินทร์เอ่ยก่อนจะเดินแยกไปยังทางที่มีป้ายห้องน้ำแปะอยู่ เป็นทางเดินเข้าไปในซอกแคบๆ ระหว่างห้องทำงานสองห้อง ซึ่งก่อนที่เขาจะเดินถึงประตูห้องน้ำ ก็มีร่างบางร่างหนึ่งเดินสวนเขาไป
ใบหน้าของร่างนั้นทำเอาเขาชะงัก
เป็นเธอ...
แต่หญิงสาวไม่ได้หยุดมองเขาสักนิด เรียกได้ว่าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเดินสวนคนอื่นอยู่ เพราะเธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งพร้อมกับจ้องเหยือกน้ำในมือที่มีน้ำใส่อยู่จนเต็มปริ่ม หญิงสาวเดินผ่านเขาไปด้วยความเร็ว จากนั้นก็เลี้ยวหายไปกับมุมผนัง
ชายหนุ่มที่เดิมจะเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ หันหลังแล้วเดินตามร่างบางไปทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดซ้ำ เมื่อออกมาก็เห็นว่าหญิงสาวหยุดยืนคุยกับเจ้านายตัวเองอยู่ ทว่าพอเขาเดินไปถึงตรงนั้น เธอก็ผละจากเจ้านายแล้วเดินหายเข้าห้องทำงานใกล้ๆ ไปแล้ว ทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะได้แนะนำตัวกับเธอไปอย่างน่าเสียดาย
“นั่นคืออริสาค่ะ” โมนาหันกลับมาเห็นลูกค้าหนุ่มที่มองตามหลังหญิงสาวก็เอ่ยอธิบาย เธอเดินพาเทวินทร์ไปยังสตูดิโอที่สาวเจ้าเพิ่งเข้าไป แง้มประตูห้องน้อยๆ ให้ชายหนุ่มมองลอดเข้าไปเห็นบรรยากาศภายในห้อง
แล้วเขาก็ได้เห็นเธออีกครั้ง หญิงสาวกำลังสั่งนางแบบที่ถือเหยือกน้ำที่เธอวิ่งถือมันออกมาจากห้องน้ำเมื่อครู่ ให้หมุนตัวพร้อมกับเทน้ำลงบนพื้นที่ปูผ้าใบกันน้ำหกเลอะห้องไว้ หญิงสาวยืนอยู่หลังกล้องพร้อมกับกดชัตเตอร์รัวๆ แสงไฟสตูดิโอกะพริบพึ่บพั่บตามการทำงานของกล้อง
เขามองใบหน้าที่เอาจริงเอาจังกับการทำงานนั่นเงียบๆ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า
“อริสาเป็นช่างภาพที่เก่งมาก แม้จะเป็นผู้หญิง แต่ก็ทำงานได้เก่งไม่แพ้ผู้ชายเลยละค่ะ” โมนาอดขายลูกน้องไม่ได้ อย่างว่า...มีของดีในบริษัทก็ต้องอวดเป็นธรรมดา “รับรองว่าคุณวินจะต้องชอบงานที่ออกมาแน่นอน”
เทวินทร์ถอนสายตากลับมาในที่สุด เอ่ยตอบโมนาเบาๆ “ผมก็มั่นใจอย่างนั้นครับ เพราะผม...ชอบเธอมาก…”
รถหรูสีขาวขับออกจากลานจอดรถของบริษัท ฟีลลิ่ง อิท พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เทวินทร์ที่นั่งดูแฟ้มเอกสารในมืออยู่ที่เบาะหลังของรถก้มมองชื่อที่แสดงบนจอ ก่อนจะกดรับสาย “ว่ายังไง นายวิทย์”
“ฉันเห็นไอ้หนุ่มอิตาลีบ้านั่นแล้ว น่าโมโหชะมัด!”
น้ำเสียงปลายสายนั้นดูเกรี้ยวกราดไม่น้อย ทว่าเขากลับอมยิ้มที่รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเดือดดาล “โมโหทำไมกัน ก็ไหนบอกไม่ได้ชอบน้องเมย์ไง”
“ก็…ก็หมอนั่นมันดูเจ้าชู้จะตาย มาเกาะแกะเพื่อนฉันแบบนี้ ฉันก็ต้องโมโหน่ะสิ”
“เบื่อพวกปากไม่ตรงกับใจจริงๆ ฉันว่าฉันไปยุให้น้องเมย์ยอมไปเดตกับหนุ่มอิตาลีนั่นดีกว่า”
“ไอ้วิน!”
“โห มีขึ้นไอ้กันเลยเหรอ” เทวินทร์หัวเราะน้อยๆ พอจะนึกภาพญาติหนุ่มในตอนนี้ออกว่าจะโมโหควันออกหูขนาดไหน “แล้วที่โทร. มาคือจะมาบ่นเรื่องนี้อย่างเดียวใช่ไหม ฉันจะได้วางสาย”
“ไม่ใช่ จะโทร. มาถามเรื่องที่ไปคุยงานกับฟีลลิ่ง อิท ว่าสรุปเป็นไง ตกลงจ้างไหม หรือจะให้หาบริษัทอื่น”
“บริษัทนี้ละ คุยรายละเอียดงานไปหมดแล้ว”
“นายไม่คิดจะลองดูผลงานที่อื่นก่อนเลยเหรอ”
“ไม่หรอก ที่นี่ดีที่สุดแล้ว” เขายิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงใบหน้าที่จริงจังกับการทำงานของใครบางคน “นายเองก็บอกไม่ใช่เหรอ ว่าช่างภาพของที่นี่เหมาะกับธีมของแคมเปญครั้งนี้”
“ก็ได้ยินมา แต่ก็ไม่เคยร่วมงานด้วยนี่หว่า ก็กลัวว่าที่คนพูดๆ กันจะเป็นแค่เรื่องโม้”
“ไม่โม้หรอก ฉันเห็นผลงานเก่าๆ ของที่นี่แล้ว สวยเลยละ สไตล์เข้ากับนาฬิกาคอลเล็กชัน Douce Romance ของนายมากๆ แน่ ฉันรับรอง”
“แล้วนี่นายจะตามไปดูงานที่ญี่ปุ่นกับพสุด้วยหรือเปล่า”
วิทยาหมายถึงตอนที่ยกกองไปต่างประเทศนั้น ปกติแล้วเขามักจะบินไปดูงานที่กองถ่ายด้วยเสมอเพื่อที่จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด เพราะมันไม่เหมือนกับทำงานในประเทศ ที่หากมีปัญหายังพอกลับไปถ่ายซ่อมได้ นอกจากตัวเขาที่ตอนแรกวางแผนว่าจะไปแล้วก็มีพสุ คนที่รับหน้าที่ดูแลนาฬิกาในคอลเล็กชันนี้ไปด้วยอีกคน
“แน่นอน ต้องไปอยู่แล้ว ฉันก็ทำตามแผนเดิมของนายทุกอย่างนั่นละ”
“แล้วตารางงานของนายว่างเหรอ จำได้ว่านายต้องไปงาน Watch Expo ตอนช่วงนั้นนี่”
“เป็นอาทิตย์ถัดไปน่ะ ก็กลับจากญี่ปุ่นมาแล้วก็บินไปสวิสต่อเลย”
“ไม่เหนื่อยแย่เหรอ นายให้ฉันดูแลแคมเปญนี้ตามเดิมก็ได้นะ”
“ฉันจัดการได้น่ะ” เทวินทร์ตัดบท
“เฮ้อ อยากรู้จริงๆ ว่าทำไมผู้บริหารสุดหล่อของเอดิสถึงอยากจะทำงานนี้นัก ไม่ใช่เพราะอยากตามซาร่าไปทำงานด้วยจริงๆ น่ะเหรอ”
“บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ” ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมถึงไม่มีใครเชื่อว่าชายหญิงจะคบกันเป็นเพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจได้ คอยแต่จะจ้องจับผิดว่าเขากับนางแบบชื่อดังจะเป็นอะไรกันเกินเพื่อนอยู่เรื่อย “เอาไว้งานเสร็จแล้วจะบอกเหตุผล ว่าเพราะอะไร”
“เออๆ งั้นแค่นี้ก่อนนะ ต้องไปเข้าประชุมละ”
อริสาเดินออกจากสตูดิโอในตอนบ่ายแก่ๆ ราวกับร่างไร้วิญญาณ เนื่องจากเมื่อคืนเธอมัวแต่เตรียมงานจนดึก ได้กลับบ้านไปตอนตีสามกว่า เช้านี้ก็รีบมาเตรียมฉากในสตูดิโอแต่เช้าตรู่ หน้าตาผมเผ้าไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น นอกจากล้างหน้าอย่างลวกๆ และมัดผมยาวประบ่าของเธอเป็นจุกไว้ที่ท้ายทอยโดยไม่พึ่งหวี ส่วนเรื่องข้าวปลาอาหารนั้นไม่มีตกถึงท้อง
เลยสักนิด แต่ตอนทำงานน่ะไม่รู้สึกเหนื่อยไม่รู้สึกหิวหรอก ความรู้สึกทุกอย่างมันเพิ่งจะปะทุขึ้นมาตอนที่เอ่ยคำว่า ‘เสร็จงานแล้ว’ นั่นละ
“ช็อกโกแลตเย็นอยู่บนโต๊ะ”
ราวกับสวรรค์โปรดเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนสนิทเอ่ยบอก อริสารีบพุ่งไปยังโต๊ะทำงานของตนทันที หยิบเครื่องดื่มที่เปรียบเสมือนยาชูกำลังของเธอมาดูดปื้ดใหญ่ๆ ช็อกโกแลตเย็นแก้วนั้นหมดภายในเวลาไม่ถึงนาที
กัณฑิมาเดินตามเพื่อนมาพลางทำจมูกฟุดฟิด มองเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนสีเข้มของอีกฝ่าย มันช่างเหมือนชุดที่หญิงสาวสวมเมื่อวาน และก็เมื่อวันก่อนชะมัด... “นี่แกซักแห้งมากี่วันแล้ว”
“อืม...ตั้งแต่เมื่อวานซืน”
“อี๊ ซกมกที่สุด” สาวแว่นกระเถิบออกห่างสามสี่ก้าวทันที ก็คำว่า ‘ซักแห้ง’ ที่ถามน่ะ คือการไม่อาบน้ำอาบท่าใดๆ กลับบ้านก็นอน ตื่นมาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ออกจากบ้านเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่เพื่อนของเธอทำบ่อยมาก ยังโชคดีหน่อยที่อีกฝ่ายยังล้างหน้าแปรงฟัน ไม่งั้นเธอคงจะไม่เข้าใกล้เพื่อนแน่นอน
“จะให้เอาเวลาไหนไปอาบล่ะยะ แม่คนรักสะอาด” อริสาเบ้ปาก เวลานอนเธอยังจะไม่มี จะให้เจียดเวลาพักผ่อนไปอาบน้ำน่ะเหรอ ไม่มีทางซะหรอก ก็สำหรับเธอ การนอนน่ะสำคัญกว่าความสะอาดของร่างกายน่ะสิ “ขอบคุณนะที่เตรียมช็อกโกแลตเย็นไว้ให้ แล้วมีข้าวกล่องด้วยปะ? หิวมากกก...”
“ไม่มีอะ เดี๋ยวออกไปร้านเฮียโจกัน เพราะฉันก็ทำงานเพลิน ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน” กัณฑิมาเอ่ยชื่อร้านอาหารข้างทางที่ตั้งอยู่ถัดจากบริษัทไปเพียงสิบกว่าเมตร เป็นร้านอาหารตามสั่งกับข้าวราดแกง พวกเธอนั้นเป็นลูกค้าประจำ สนิทสนมกับลุงเจ้าของร้านเป็นอย่างดี
“รัก-ยม!”
ยังไม่ทันที่สองสาวจะได้ขยับตัว เสียงเรียกจากเหนือหัวก็ดังขึ้น เจ้านายสาวโผล่หน้าออกมาจากห้องทำงานพลางกวักมือเรียกทั้งคู่ให้ขึ้นไปหา อริสาและกัณฑิมาหันกลับมามองหน้ากัน แล้วก็ถอนหายใจ
ข้าวเที่ยงคงต้องรอรวบยอดตอนมื้อเย็นทีเดียวแล้วละ
“ญี่ปุ่น! ไปถ่ายแฟชั่นถึงญี่ปุ่นเลยเหรอคะ!” อริสาที่เคี้ยวขนมที่แวะหยิบออกมาจากห้องครัวหลังออฟฟิศตาวาวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าจะได้ไปทำงานต่างประเทศ หลังจากนั้นก็กรีดร้องลั่นอย่างดีใจ สมทบอาการตื่นเต้นด้วยเพื่อนสนิทเธออีกคนที่นั่งเก้าอี้ติดกัน จนโมนาถึงกับต้องปรายสายตาดุๆ มอง ให้พวกเธอสองคนสงบลง “สรุปขวัญได้ทำโพรเจกต์นี้จริงๆ ใช่ไหมคะ”
ก็นาฬิกายี่ห้อไลล์ราน่ะ มันดังจะตาย ดังทั่วโลกเลยด้วย งานสินค้าแบรนด์ดังแบบนี้ไม่ได้มีมาถึงมือง่ายๆ นะ จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไงล่ะ! ได้มีโอกาสแสดงฝีมือในโพรเจกต์ของแบรนด์นาฬิกาชื่อดังไม่พอ ยังได้ไปญี่ปุ่นแบบฟรีๆ อีกนี่สิ
โอ๊ย จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีก!
โมนาพยักหน้า “ทางลูกค้าเขาเจาะจงมาเลยละ ว่าจะต้องเป็นเธอ”
ได้ยินเจ้านายบอกแบบนี้แล้ว อริสาก็รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาทันที เจาะจงว่าต้องเป็นเธอแบบนี้ แปลว่าลูกค้าต้องชอบสไตล์งานของเธอมากสินะ มันน่าปลื้มใจจริงๆ
“แล้วจะเอาใครในทีมไปเป็นผู้ช่วยบ้าง ให้แค่อีกสองคนเท่านั้นนะยะ ไม่ใช่ขนโขยงกันไปหมดกลุ่ม” โมนาถามลูกน้องสาวที่นั่งยิ้มหน้าแป้น...เจ้าพวกนี้ แค่ได้ยินว่าจะได้ไปทำงานต่างประเทศก็ดีใจจนหน้าบาน ลืมถามรายละเอียดงานอื่นๆ ไปเสียอย่างนั้น
“ถ้าแค่สองคน...งั้นก็คงเป็นต้ากับบอลค่ะ” อริสาพูดถึงเพื่อนร่วมงานอีกสองคนที่ถือเป็นเพื่อนสนิทของพวกเธอทั้งคู่ คือกีตาร์ หรือชยุตร์ และบอล หรืออิทฤทธิ์ ซึ่งสองคนนี้ก็ตัวติดกันหนึบพอๆ กับเธอและกัณฑิมา ด้วยนิสัยใจคอคล้ายกันทำให้สี่คนนี้เป็นแก๊งที่จะให้ไปขึ้นเขาลงเหวด้วยกันก็ได้หมด
ชยุตร์นั้น นอกจากจะเป็นเพื่อนร่วมงานแล้ว ยังรู้จักกันกับเธอและกัณฑิมามาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เพราะเป็นเพื่อนบ้านกัน อีกทั้งเขายังเป็นเพื่อนสนิทของอิทธิพัฒน์ หรือพี่ชายของกัณฑิมา สมัยเรียนชั้นประถม จึงสนิทสนมกับสาวหมวยมากกว่าเธออยู่สักหน่อย พอโตขึ้นก็แยกย้ายกันไปเรียนคนละที่ แล้วไม่ได้ติดต่อกันอีกจนกระทั่งมาเจอกันที่บริษัทนี้โดยบังเอิญ
ส่วนอิทฤทธิ์ก็เป็นเด็กหนุ่มบ้านรวยที่จบปริญญาตรีจากเมืองนอกมา เข้ามาทำงานในตำแหน่งธรรมดาๆ เพราะใจรัก เนื่องจากไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทอง จึงไม่เคยสนใจว่าตัวเองจะทำงานตำแหน่งเล็กหรือใหญ่
สองหนุ่มทำงานด้านศิลป์ ตั้งแต่ทำพร็อป ทำฉาก วิ่งหาของ จัดไฟสตูดิโอ และอีกหลากหลายอย่างแล้วแต่จะโดนใช้งาน
“แฝดรักยมกับแฝดนรกออกผจญภัยสินะงานนี้” โมนายิ้มอย่างคาดเดาได้ตั้งแต่แรกว่าอริสาคงจะเลือกสองหนุ่มที่เธอตั้งฉายาว่า ‘แฝดนรก’ เพราะทั้งคู่นั้นมีความสามารถในการกวนอวัยวะเบื้องล่างของทุกคนรอบตัวได้อย่างน่าทึ่ง ไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้านายอย่างเธอ
“แล้วนางแบบนายแบบเป็นใครเหรอคะ”
ได้ยินคำถามเพื่อน กัณฑิมาส่งกระดาษรายละเอียดที่เธอเก็บไว้ในสมุดจดให้แก่เพื่อนสาว ซึ่งทันทีที่อริสาเห็นรูปนายแบบก็อมยิ้ม หันขวับไปมองสาวหมวยที่ถลึงตาบอกเป็นนัยว่าให้เงียบซะ
“ฉันมีงานต้องทำ รายละเอียดอย่างอื่นให้ลูกไก่อธิบายให้ฟังละกันนะ เพราะเมื่อเช้าก็อยู่ในห้องประชุม พวกเธอวางแผนการทำงานเสร็จแล้วส่งมาให้ฉันดูด้วย ให้เวลา 36 ชั่วโมง” แล้วเจ้านายสาวก็โบกมือเป็นเชิงไล่ให้พวกเธอเดินออกจากห้องไป ซึ่งพอก้าวขาพ้นขอบประตูห้องทำงานเจ้านายแล้ว อริสาก็หัวเราะเสียงต่ำพลางส่งสายตาล้อเลียน
“แหมๆ ดูสิว่าใครถูกหวยสองเด้ง นอกจากจะได้ไปประเทศในฝันแล้ว ยังได้ไปกับหนุ่มในฝันอีกต่างหาก”
“หุบปากนะ ไอ้ขวัญ” กัณฑิมาเอ่ยเสียงดุ เธอคิดไว้แล้วว่าทันทีที่เพื่อนซี้เห็นรูปนายแบบ จะต้องล้อเธอแน่ๆ
เสียงเข้มๆ ของสาวหมวยไม่ได้ทำให้อริสาสะทกสะท้านหรือกลัวแต่อย่างใด เธอยังคงลอยหน้าลอยตาพูดต่อด้วยน้ำเสียงล้อเลียน “ตอนทำงานอย่าตื่นเต้นจนเป็นลมละ เพราะมันคงต้องมีเซตภาพที่ถอดเสื้อโชว์หุ่นแน่นอน เอ...เดี๋ยวฉันให้เขาถอดทั้งบนทั้งล่างเลยดีไหมแก แกจะได้เห็นเต็มๆ ตาไงล่ะ”
“ไอ้ขวัญ!”
อริสาหัวเราะลั่น...ก็นายแบบในครั้งนี้น่ะ คือ คุณตุลย์ ไตรรัตนพงศ์ นายแบบชื่อดังที่คว้ารางวัลหนุ่มโสดชวนฝันของนิตยสารชื่อดังในเมืองไทยมาสี่ปีซ้อน เป็นหนุ่มหล่อที่เพื่อนสาวหน้าหมวยชื่นชอบขนาดหนัก ถึงขั้นซื้อนิตยสารทุกเล่มที่เขาถ่ายแบบลง ตัดรูปเขาเก็บไว้อีก แล้วนอกจากนี้ยังเป็น ‘หนุ่มในอดีต’ ของเพื่อนเธออีกด้วย
สิ่งหนึ่งที่คนอื่นๆ ไม่รู้นั่นคือ นายแบบคนนี้...ตุลย์...เคยเป็นเด็กหนุ่มที่แวะเวียนมาหาพี่ชายของกัณฑิมาบ่อยๆ สมัยที่กัณฑิมาอยู่ชั้นมัธยม และทุกครั้งหลังจากที่เพื่อนพี่ชายคนนี้มาบ้าน วันรุ่งขึ้นเธอก็จะได้ยินเพื่อนเธอเล่าถึงคนคนนี้ให้ฟังไม่หยุดด้วยรอยยิ้ม ตัวเธอมีโอกาสได้เห็นหน้าตาเพื่อนพี่ชายที่สาวหมวยปลื้มนักหนาอยู่บ้าง เวลาที่มาทำรายงานที่บ้านของกัณฑิมา
ความปลื้มสมัยเด็กนั้นไม่ได้หดหายลงไปเลยเมื่อเธอโตขึ้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะไปเรียนต่อต่างประเทศ หายไปเป็นสิบปี อริสาก็ยังเห็นสาวหมวยตามข่าวคราวเพื่อนเก่าของพี่ชายคนนี้อยู่เสมอผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือจะเรียกว่าแอบส่องความเป็นไปเงียบๆ ก็ไม่ผิดนัก แม้กระทั่งตอนที่เธอเสียพี่ชายไปเพราะอุบัติเหตุ เธอก็พยายามหาทางส่งข่าวให้เขารับรู้ แต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับ
จนอีกฝ่ายเรียนจบปริญญาโท กลับมาเมืองไทยแล้วย้ายสาขาอาชีพจากวิศวกรไปเป็นนายแบบชื่อดัง กัณฑิมาก็ผันตัวเองเป็นแฟนคลับคอยตามผลงานเขาตลอด ในตอนแรกตัวอริสาเองนั้นจำชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้หรอก นึกว่าเพื่อนเธอแค่กรี๊ดกร๊าดหนุ่มหล่อตามปกติ ถ้าไม่ใช่เพราะสาวหมวยหลุดปากเล่าให้ฟังว่านี่คือเพื่อนพี่ชายคนนั้นในอดีต
“เออ จำไว้นะ ถึงทีแกมีเรื่องให้เขินบ้าง ฉันจะล้อให้แกมุดแผ่นดินหนีเลย” กัณฑิมาเบ้ปาก ยื่นมือไปผลักหัวเพื่อนกลบเกลื่อนความเขินไร้ที่มาของตัวเอง
“นี่อะไร แค่ได้ยินชื่อก็หน้าแดงแล้วเหรอ ตายแล้วยายลูกไก่เอ๊ย...” อริสามองเพื่อนสาวที่หน้าแดงระเรื่อขณะเดินลงมานั่งที่โต๊ะทำงานของตนเอง กัณฑิมานั้นทำเป็นจัดของนู่นนี่เพื่อกลบอาการใจเต้นของตัวเอง แต่พอจะสงบ เพื่อนก็ยิงคำถามแทงใจมาอีก “แกว่าเขาจะ...จำแกได้ปะ”
ได้ยินแล้วสาวหมวยก็ชะงัก หันไปมองเพื่อนที่นั่งเอาแขนเท้าโต๊ะอยู่ สมองนึกไปถึงอดีตเมื่อนานมาแล้ว อดีตที่เธอยังคงจำได้ชัดเจน...ดวงตาเบื้องหลังกรอบแว่นดูจะหม่นแสงลงเล็กน้อย “...จำไม่ได้หรอกมั้ง ผ่านมานานขนาดนี้ ใครจะไปจำได้กัน”
“แต่แกก็ยังจำได้นี่ เขาอาจจะจำแกได้เหมือนกันก็ได้”
“คนอย่างฉันมีอะไรน่าจำกัน”
“โอ๋ อย่าดรามานะ” อริสาทำหน้าสงสารเพื่อนทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงอ่อนๆ นั่นราวกับกำลังน้อยใจ “แกน่ะมีอะไรน่าจำตั้งเยอะนะ ตั้งแต่ความพูดมาก ความเพ้อเจ้อ ความซุ่มซ่าม แล้วก็...”
“ไอ้บ้า!” กัณฑิมาคว้าปึกโพสต์-อิตบนโต๊ะเขวี้ยงใส่เพื่อน “ช่างมันเถอะ กลับมาเรื่องงานดีกว่า”
อริสายกมือห้ามคนที่เตรียมจะหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมากางบนโต๊ะ “ยังกลับไปเรื่องงานไม่ได้ เพราะว่า...”
“ยายขวัญ ฉันบอกว่าช่างมันเถอะไง แกจะพูดถึงเรื่องนี้อีกนานแค่ไหน”
“ฉันจะบอกว่า...”
“จะบอกอะไรฉันก็ไม่อยากฟัง ถึงเวลาทำงานฉันก็จะทำงาน เขาจะเคยเป็นใครยังไง มันก็ไม่มีผลอะไรหรอก”
“ไม่ ที่ฉันจะพูดคือ...”
“ฉันไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะจำฉันได้อยู่แล้ว เพราะงั้นแกอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก...”
“โว้ย! ไอ้ลูกไก่!” อริสาโวยขึ้นมาอย่างเหลืออด เมื่อเห็นว่าเพื่อนขัดคำพูดเธอไม่เลิกเสียที “ฉันไม่ได้จะพูดเรื่องแก ฉันไม่สนใจจะพูดแล้วด้วย แต่ฉันจะบอกว่า ฉันหิว! หิวมาก! ดังนั้นฉันจะยังไม่คุยงานกับแกตอนนี้ เพราะฉันจะไปกินข้าว ถ้าแกหิวก็ไปด้วยกัน แต่ถ้าแกยังอยากจะพร่ำเพ้ออะไรต่อก็ตามสบาย เข้าใจนะ”
สาวหมวยอาจจะมัวแต่คิดถึงหนุ่มจนลืมหิว แต่เธอไม่ลืม มีแต่จะหิวหนักขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ และกระเพาะของเธอก็ประท้วงอย่างหนักด้วยการปล่อยน้ำย่อยออกมาเสียจนแสบท้องไปหมด อริสาคว้าโทรศัพท์มือถือกับธนบัตรสามสี่ใบจากเป้เน่าๆ ของเธอมายัดใส่กระเป๋ากางเกง จากนั้นก็เดินฉับๆ ตรงไปยังประตูออฟฟิศ
กัณฑิมาที่โดนโวยใส่ทำตาปริบๆ ก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับ สรุปแล้วก็มีแต่เธอนั่นละที่วนเวียนพูดถึงเรื่องนั้น คิดถึงมันแล้วก็หนักใจเสียจนต้องถอนหายใจยาวๆ
เอาน่ะ ใช่ว่าจะเจอเขาในวันสองวันนี้เสียหน่อย กว่าจะถึงวันทำงานก็อีกตั้งสองสัปดาห์
ก่อนจะถึงตอนนั้น เธอคงจะต้องรีบสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองไม่ให้ใจเต้นแรงตอนเจอหน้าอีกฝ่ายให้ได้
ความคิดเห็น |
---|