3

บทที่ 3


3

 

ท้องฟ้าข้างนอกสำนักงานเปลี่ยนเป็นสีส้มเข้มตอนกัณฑิมากำลังสรุปเอกสารของวันนี้ หลังจากที่ตามเพื่อนสาวผู้หิวโหยไปทานข้าวราดแกงข้างบริษัท พวกเธอก็กลับมานั่งคุยงานกันต่อ พอถึงเวลาเลิกงาน แม่อาร์ตไดฯ ที่ใจรักการถ่ายรูปยิ่งชีพก็รีบเผ่นไปซื้ออุปกรณ์กล้องอะไรสักอย่างทันที ทิ้งให้เธอนั่งจัดทำเอกสารอยู่คนเดียว กัณฑิมาก้มหน้าก้มตาดูเอกสารอย่างไม่มีท่าทีว่าจะกลับบ้าน จนแม่บ้านประจำบริษัทต้องเข้ามาบอก

“คุณลูกไก่ค่ะ ป้าจะปิดห้องแล้วนะคะ”

กัณฑิมาเงยหน้าขึ้นจากงาน ใช้มือดันแว่นให้เข้าที่แล้วถามอย่างตกใจเมื่อพบว่าท้องฟ้าข้างนอกมืดลงเสียแล้ว “โอ๊ะ! นี่กี่โมงแล้วคะ”

“ทุ่มหนึ่งแล้วค่ะ” แม่บ้านตอบขณะพาร่างอ้วนท้วนของเธอไปปิดไฟตามจุดต่างๆ

“ตายละ นั่งดูเอกสารจนลืมเวลาไปเลย...” สาวหมวยบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนละจากงานตรงหน้าแล้วลงมือเก็บของเข้ากระเป๋าด้วยความรวดเร็ว เมื่อเก็บเสร็จก็หันกลับมาเอาเอกสารที่ทำค้างไว้ ยัดใส่แฟ้มงานขนาด A2 และหนีบซองเอกสารสีน้ำตาลซองใหญ่สามซองไว้ใต้รักแร้

“ไก่ไปก่อนนะคะป้า สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ลาก่อนจะเร่งฝีเท้าไปลานจอดรถด้านหลังตัวตึก โยนของทุกอย่างที่ถือมาใส่รถมินิคูเปอร์คันเล็กของเธออย่างลวกๆ พอเรียบร้อยก็ขับออกจากบริษัท สาวหมวยก้มมองเวลาบนหน้าปัดรถขณะเดินทางไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางกรุง โชคดีที่รถไม่ติดจึงมาถึงภายในเวลาอันรวดเร็ว แต่มาเสียเวลาตอนวนหาที่จอดรถแทน เมื่อได้ที่จอดเรียบร้อยก็เหลือเวลาอีกราวๆ สองชั่วโมงก่อนที่ห้างจะปิด

 

กัณฑิมาเดินเข้าประตูห้างมาก็เจอลานกิจกรรมที่ตอนนี้มีงานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ลานกว้างนี้เปิดให้มองเห็นได้จากทุกชั้นของห้างสรรพสินค้า ทำให้ผู้คนที่เดินเล่นอยู่ชั้นด้านบนสามารถมองลงมาเห็นรถคันงามได้ทุกคัน

ภายในบริเวณงานมีคนที่ได้รับเชิญมาอยู่ไม่มากนัก แต่ที่น่าตกใจคือบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่มากันอย่างล้นหลาม ทว่าถูกกันให้อยู่บริเวณภายนอกงาน แต่ละคนนั้นส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดพร้อมยกป้ายไฟหลากสีที่เขียนเป็นชื่อของผู้ชายผู้ซึ่งกำลังเดินขึ้นเวทีมาหาพิธีกรสาวสวยที่ยืนอยู่ตรงกลาง

“ก็รู้กันอยู่นะคะ ไม่ว่าใครในเมืองไทยที่บอกว่ากำลังมาแรง แต่ก็ไม่มีทางแรงเท่าผู้ชายคนนี้ค่ะ...คุณตุลย์ ไตรรัตนพงษ์!” เมื่อพิธีกรพูดจบ เสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดจากบรรดาแฟนคลับก็ดังขึ้นลั่นฮอล์ ต้อนรับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา โครงหน้าเข้มรับกับผมสีน้ำตาลที่ถูกเซตเป็นทรงเซอร์ๆ ตามเทรนด์ ดวงตาสีดำสนิทเหมือนทะเลตอนกลางคืน จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางไม่มีรอยยิ้ม เขายกมือโบกให้แก่บรรดาแฟนคลับเล็กน้อยขณะเดินมานั่งบนเก้าอี้ทรงสูงที่ทีมงานยกมาไว้ให้ตรงกลางเวที กระชับเสื้อแจ็กเกตสีเข้มให้เข้าที่ จากนั้นก็รับไมค์ที่พิธีกรสาวส่งให้มาถือไว้

กัณฑิมาชะงักฝีเท้าไปตั้งแต่ที่ได้ยินชื่อคุ้นหูนั่นแล้ว เธอหันหน้าไปมองบริเวณเวทีอย่างช้าๆ

วันนี้ชื่อเขามาวนเวียนในสมองเธอตั้งแต่เที่ยง ตอนนี้มาให้เห็นเป็นตัวเป็นตนเลย ดูเหมือนว่าพอจะได้ร่วมงานกันในอนาคตอันใกล้นี้ โชคชะตาก็เลยให้เธอเจอเขาก่อนหน้าเพื่อลองใจดูสินะ...

เขาดูไม่เหมือนเดิมเล็กน้อย แต่ก็ยังมีเค้าหน้าสมัยก่อนอยู่ละนะ

“สวัสดีครับ สวัสดีทุกๆ คนที่มางานนี้ด้วยครับ” เพียงแค่ชายหนุ่มพูดจบประโยคก็มีเสียงกรี๊ดตามมาอีกระลอก

เสียงก็ไม่เหมือนเดิม มันทุ้มกว่าเก่ามาก

“แหม นี่ถ้าไม่บอกว่าเราอยู่ในงานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีคุณตุลย์เป็นนายแบบให้ละก็ เชอร์รี่จะคิดว่าตัวเองอยู่ในคอนเสิร์ตนะคะ” พิธีกรพูดติดตลก แต่ดูคนข้างตัวเธอจะไม่สนุกไปด้วย เพราะเขาตีหน้านิ่งจนพิธีกรไม่กล้าเล่นมุกต่อ

...แต่นิสัยบางอย่างก็น่าจะยังเหมือนเดิมมั้ง

มองเขาแล้วกัณฑิมาก็ส่ายหน้ากับตัวเอง เดินเลี่ยงคนหมู่มากเข้าร้านหนังสือใกล้ๆ ซึ่งจากในร้านก็ยังสามารถมองผ่านกระจกเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีได้อยู่ กัณฑิมามองการสัมภาษณ์ไปสลับกับดูหนังสือบนชั้นวางไปด้วย สักพักเสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น ก้มลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่ามาจากเพื่อนสนิทของเธอ เป็นรูปมือข้างซ้ายกับเลนส์กล้องขนาดพอดีมือ แต่ราคาออกจะเกินมือไปอยู่บ้าง กับข้อความของเจ้าหล่อน

Arisa : ลูกชายคนใหม่ หล่อไหมแก

กัณฑิมาเกือบหลุดขำ พยายามหาคำว่า ‘หล่อ’ ในรูปนั้นแล้วใช้มือข้างเดียวพิมพ์ตอบกลับไป เพราะอีกข้างกำลังถือนิตยสารท่องเที่ยวซึ่งหน้าปกเป็นภาพที่อริสาเป็นคนถ่าย ภาพนี้เป็นงานจากโพรเจกต์เมื่อสองเดือนก่อนที่อริสาไปเป็นช่างภาพนอกสถานที่ ไปทำงานถ่ายภาพให้คอลัมน์ส่งเสริมการท่องเที่ยวในนิตยสารเล่มนี้ ทว่ารูปภาพที่อริสาถ่ายมานั้นกลับถูกใจบรรณาธิการหนังสือมากจนเขาเลือกมาใช้เป็นภาพปก

หลังจากนั้นก็เป็นช่วง ‘งานเข้า’ อริสาเต็มๆ ด้วยนิตยสารอีกหลายเจ้าที่ต้องการให้เธอไปถ่ายภาพให้ และนั่นส่งผลให้เพื่อนที่แสนดีอย่างเธอ ‘งานเข้า’ เช่นกัน

ก็แม่คุณเล่นรับงานมันทุกอย่าง จนตัวเองทำงานไม่ทัน สุดท้ายก็ต้องโยนงานส่วนหนึ่งมาให้เธอช่วยทำ...ดีนะที่เธอใช้โฟโต้ช็อปได้เป็นอย่างดี ไม่งั้นก็ไม่รู้จะช่วยอะไรเพื่อนได้ เพราะงานมันมีแต่การปรับแต่งรูป

กัณฑิมาใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะพิมพ์ข้อความจบ การพิมพ์ด้วยมือข้างเดียวนี่มันยากสำหรับเธอจริงๆ

kkkookkaiii : ค่ะคุณแม่ หล่อมากกกเบยค่ะ

kkkookkaiii : อย่าลืมส่งรูปที่ทำเสร็จแล้วมาให้ด้วยนะ จะได้พรินต์ไปให้เจ้โมนาเลือก

Arisa : ส่งพรุ่งนี้ได้มะ

kkkookkaiii : ไม่ได้ย่ะ

Arisa : พลีสสส

kkkookkaiii : ม่ายยย

Arisa : ไก่ใจร้าย

Arisa : ใจร้ายๆๆ

kkkookkaii : เจ้โมนาใจร้ายกว่าฉันเยอะ รีบๆ ทำงานได้แล้ว อย่าทำตัวศิลปินให้มันมากนัก

Arisa : เชอะ ขอแค่นี้ก็ไม่ได้

Arisa : ไม่คุยด้วยแล้ว งอน!

หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็รัวสติกเกอร์หน้าบึ้งมาเป็นสิบตัว กัณฑิมาส่ายหน้าขำๆ เพื่อนเธอเป็นคนที่ถ้าไม่มีอารมณ์ก็จะไม่แตะต้องงานเลย เจ้าหล่อนจะไปเดินเล่นนั่งเล่น รอจนกว่าความติสต์เข้าสิงร่างนั่นละ ถึงจะกลับมานั่งทำงานด้วยความเร็วระดับจรวด เพราะเสียเวลาบิลด์อารมณ์ไปเยอะ

หญิงสาวเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าตามเดิม แล้วหยิบนิตยสารแต่งบ้านกับนิตยสารแฟชั่นอีกสองเล่มซึ่งมีผลงานของบริษัทเธออยู่ขึ้นมาด้วย ความจริงส่วนใหญ่บริษัทจะได้นิตยสารพวกนี้อยู่แล้ว แต่บางครั้งก็ชอบมาร้านหนังสือเพื่อตรวจความนิยมของคนซื้อเช่นกัน เช่นเมื่อครู่เธอเห็นคู่หนุ่มสาวหยิบนิตยสารนำเที่ยวเหมือนที่เธอหยิบมาไปหนึ่งเล่ม นั่นก็ทำให้เธอยิ้มแก้มปริแล้ว

กัณฑิมากำลังจะเดินไปจ่ายเงิน แต่สายตาดันหันไปเห็นหน้าปกนิตยสารรถเล่มหนึ่ง บนปกนั้นเป็นรถรุ่นใหม่ที่กำลังจัดงานเปิดตัวกันอยู่บนลานกว้างนั่น นายแบบคนเดียวกับที่กำลังถูกสัมภาษณ์อยู่ มีข่าวว่าเป็นเพราะเขาเป็นพรีเซนเตอร์ จึงทำให้รถรุ่นนี้ดังภายในชั่วข้ามคืนหลังจากที่มีการเปิดตัว

เหลือเล่มเดียวซะด้วย…

แต่...คิดเหรอว่าจะได้เงินจากกระเป๋ากัณฑิมา เฮอะ!...

สาวแว่นเงยหน้ามองไปที่นายแบบบนเวทีอีกครั้งอย่างหมั่นไส้ในความพอปพิวลาร์ของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินเบ้ปากไปจ่ายเงินค่าหนังสือที่เคาน์เตอร์ ในขณะที่พนักงานกำลังตรวจเช็กหนังสือ หญิงสาววัยรุ่นสองคนเดินผ่านข้างหลังเธอ บทสนทนาแม้ไม่ดังมาก แต่เธอกลับได้ยินชัดเจน

“ต้องไปตรงหนังสือเรียนใช่ไหม” คนตัวเล็กหน้าตาน่ารักเอ่ยถามเพื่อนตัวสูงข้างตัว

“ใช่ แล้วเธอจะไปโซนนิยายหรือเปล่า” เด็กสาวที่ตัวสูงกว่ามากก้มหน้าลงมาตอบ

“ไปสิ แต่ก่อนไป ขอซื้อนิตยสารรถที่พี่ตุลย์ถ่ายแบบลงหน่อยนะ ได้ข่าวจากเพื่อนอีกคนว่ามันเพิ่งหยิบเล่มก่อนสุดท้ายไปเมื่อกี้เอง”

“งั้นก็รีบเลยดีกว่า เดี๋ยวจะโดนคนอื่นชิงตัดหน้าไปก่อน”

“...เอ๋?”

“เอ๋อะไร”

“นิตยสารเล่มที่ฉันบอกน่ะ มันหมดแล้ว” บริเวณชั้นที่เป็นที่วางนิตยสารฉบับนั้น บัดนี้กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่ถูกล้อมด้วยนิตยสารเล่มอื่นๆ แทน

“โธ่เอ้ย... มีคนสอยเล่มสุดท้ายตัดหน้าไปแล้ว!”

 

ซื้อมาจนได้

หนังสือที่กำลังตกเป็นประเด็นของเด็กนักเรียนสองคนที่ร้านหนังสือนั้นตกอยู่ในกำมือของกัณฑิมาเป็นที่เรียบร้อย เธอออกมาจากร้านหนังสือเป็นช่วงเวลาพอดีกันกับที่การสัมภาษณ์บนเวทีจบลง และตรงกับเวลาถ่ายรูปกับแฟนคลับ หน้าตาของชายหนุ่มดูเหนื่อยเล็กน้อย เขามีความเป็นมืออาชีพมากพอที่จะปิดเรื่องนี้หน้ากล้องถ่ายรูปได้ แต่ไม่ใช่กับคนที่ทำงานมาทางด้านนี้อย่างเธอ

หรือจะบอกว่าคนที่ตามข่าวคราวของเขาเงียบๆ อยู่ตลอดอย่างเธอ รู้ตารางงานแต่ละวันของเขาก็ได้เหมือนกัน

หญิงสาวไม่อยากยอมรับกับตัวเองว่าที่มาห้างสรรพสินค้าวันนี้เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจะมาออกงาน เธอพร่ำบอกกับตัวเองว่าที่มาเพราะต้องการจะมาซื้อนิตยสารต่างหาก ไม่ใช่เพราะชายหนุ่มที่โดนสาวๆ ห้อมล้อมอยู่ตรงหน้านี้แม้แต่นิด!

กัณฑิมายืนพิงเสาขนาดใหญ่ในบริเวณนั้น สายตาก็มองไปยังกลุ่มแฟนคลับที่ผลัดกันถ่ายรูปกับ ‘พี่ตุลย์’ ไม่ขาดสาย และเพราะมองอีกฝ่ายอยู่ตลอดทำให้เธอสังเกตเห็นว่าสายตาของตุลย์นั้นเบนมาบริเวณที่เธอยืนอยู่บ่อยมาก แต่อาจจะเป็นเพราะจุดที่เธอยืนอยู่เป็นส่วนควบคุมเรื่องแสงสีเสียง ดังนั้นที่เขาหันมาบ่อยๆ คงเพราะแสงไฟหรือไม่ก็คอยมองคิวจากทีมงานแถวนี้ เธอจึงไม่ได้คิดอะไรมากกับสายตานั้น

โอ๊ะ เขามองมาทางนี้อีกแล้ว

กัณฑิมาหันซ้ายหันขวาดูว่าเขากำลังมองใครอยู่ ก็เห็นว่าคนควบคุมคิวงานกำลังหันไปคุยกับเจ้าหน้าที่อีกคน คนคุมเสียงก้มลงดูดน้ำจากแก้วในมือ ส่วนคนคุมไฟก็นั่งกดโทรศัพท์มือถือเล่นเกม สรุปคือไม่มีใครสนทนาทางสายตากับเขาเลยสักกะคน

ถ้าอย่างนั้นเขามองมาทำไม

หญิงสาวยืนงง พอหันหน้ากลับไปก็สบกับสายตาคมคู่นั้นอีกครั้งหนึ่ง

เขา...มองมาที่เธอเหรอ

อีกฝ่ายชักจะมองมาที่เธอนานจนเธอเริ่มทำตัวไม่ถูก แม้ในใจจะเริ่มลน แต่ยังคงประสานสายตากับชายหนุ่มอยู่

...หรือว่าเขาจะจำเธอได้

ไม่หรอกน่ะยายลูกไก่ เขาจะจำเธอได้ยังไงกัน

คิดอย่างมีความหวังแล้วจิตใต้สำนึกก็รีบแย้งขึ้นมาดับความหวังนั้นทันที ระหว่างที่กำลังเถียงกับตัวเองอยู่นั้น นายแบบหนุ่มก็เบนสายตาไปทางอื่น เธอจึงล้มเลิกความคิดที่ว่าอีกฝ่ายจำเธอได้ทิ้งไป ก่อนจะพาตัวเองออกมาจากตรงนั้น และเพราะกัณฑิมาเดินหันหลังออกไป ทำให้ไม่รู้ว่าชายหนุ่มนั้นหันกลับมามองหาเธอ...และมองตามเธอไปจนลับมุมทางเดิน

 

“ไอ้ขวัญ ตื่นๆๆๆ”

กัณฑิมาทั้งส่งเสียงทั้งเขย่าร่างเพื่อนที่นอนฟุบหลับคาโต๊ะทำงาน ใช้เวลาเป็นนาทีกว่าที่อริสาจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหน้า สางผมที่ยุ่งเหยิงของตน ก่อนจะหันไปหาคนเรียกด้วยเสียงยานคาง

“เรียกทามมายยย...”

“แกนี่หลับลึกมากจริงๆ ปลุกตั้งเป็นนาทีกว่าจะตื่น”

“ก็มันง่วง เมื่อคืนก็ไม่ได้นอน” ว่าแล้วเธอก็เปิดปากหาวจนน้ำตาซึมที่หางตา ก้มลงคุ้ยหากระป๋องสเปรย์น้ำแร่ในกระเป๋าเป้ตัวเองขึ้นมาฉีดพรมทั่วใบหน้าเพื่อให้สดชื่นขึ้นและหายง่วงเสียหน่อย ก่อนจะเผื่อแผ่ไปยังสาวหมวยที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงานด้วย

“นี่แกเขียนงานเสร็จแล้วเหรอ” กัณฑิมาก้มมองกระดาษปึกหนาที่คงจะเป็นเหตุผลที่เพื่อนสาวอดหลับอดนอน หยิบขึ้นมาเปิดดูอย่างสนใจ ในนั้นมีตั้งแต่ภาพวาดจากดินสอ ที่ดูจะออกไปทางละเลงอย่างยุ่งเหยิงมากกว่า ตามด้วยเรเฟอเรนซ์เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ภาพสถานที่ ปิดท้ายด้วยภาพนาฬิกาสิบเรือน

“ใช่ สงสัยจะตื่นเต้นที่ได้งานนี้มาก สมองแล่นไม่หยุด เมื่อคืนนั่งทำยาว รู้ตัวอีกทีก็พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว”

“ตลาดคนเดิน ป่าไผ่ ทะเลสาบ สวนญี่ปุ่น แล้วก็มีลานหิมะด้วย!” สาวหมวยตาโตเมื่อเห็นภาพสถานที่ที่เพื่อนสาวเลือกไว้ ดูๆ แล้วคงต้องย้ายเมืองสองสามรอบแน่ๆ ซึ่งก็แปลว่าเธอจะได้เที่ยวตั้งหลายเมืองน่ะสิ!

“ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้อย่างที่ต้องการไหม ไม่รู้ว่าแต่ละที่อยู่ตรงไหนของญี่ปุ่นบ้าง” อริสาเท้าคางอย่างครุ่นคิด “เดี๋ยวลองปรึกษากับบริษัททัวร์ดู ว่าจะจัดผังการเดินทางที่ผ่านสถานที่พวกนี้ได้ไหม”

“ฉันว่าแน่ๆ เลยก็ที่เกียวโต เพราะมีตลาดแน่ๆ มีป่าไผ่กับสวนญี่ปุ่นแน่ๆ”

“แกว่าแน่ๆ เพราะแกอยากไปเองน่ะสิ รู้ทันหรอก”

“อย่ามาทำเหมือนตัวเองไม่อยากไป” กัณฑิมาเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ

“แล้วที่แกมาปลุกฉันนี่มีธุระอะไร”

“อ๋อ ฉันเพิ่งโทร. หาไอ้ต้า บอกเรื่องโพรเจกต์นี้ มันก็เลยถามว่า...”

“ว่าจะนัดประชุมวันไหน”

“ว่าจะไปซื้อเสื้อหนาวกันวันไหนต่างหาก”

ได้ยินแล้วอริสาก็ทำหน้าเอือมระอาทันที “ในหัวพวกแกแต่ละคนนี่มีแต่เรื่องเที่ยวใช่ไหม แบ่งสมองมาคิดงานบ้างซิยะ”

“ก็ว่าจะแบ่ง แต่ตอนนี้เห็นแกทำเรียบร้อยหมดแล้ว ก็คงไม่จำเป็นต้องแบ่งสมองอีก” เป็นอย่างนั้นจริง เพราะอริสาไม่เพียงแต่จะทำงานในส่วนของตัวเองที่ต้องเตรียมรายละเอียดงานแล้ว ยังหาภาพเรเฟอเรนซ์ที่ปกติจะต้องช่วยกันทำเสียจนเสร็จสรรพด้วยตัวเอง แบบนี้ก็ทำให้เธอว่างงานไปโดยปริยาย

“แล้วสองคนนั้นอยู่ไหน”

“รออยู่ที่ห้าง”

“ถามจริง?”

“ใช่ คือพวกมันออกไปคุยงานพอดีตอนฉันโทร. ไป ก็เลยจะเดินดูเสื้อผ้าต่อเลย ยังไม่กลับเข้าออฟฟิศ” กัณฑิมาตอบ “ก็เลยมาปลุกแกนี่ไง ตอนนี้พักเที่ยงพอดี แวบออกไปชอปปิ้งเสื้อหนาวกันเถอะ”

อริสามองกองงานที่วางระเกะระกะบนโต๊ะทำงานตัวเองแวบหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าไปมองห้องเจ้านายบนชั้นลอยที่ไฟปิดอยู่ บ่งบอกได้ว่าเจ้านายสาวสุดโหดนั้นคงจะต้องออกไปดูงานข้างนอกแน่ เธอจึงตัดสินใจที่จะทำตัวตามสุภาษิต ‘แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง’

ว่าแล้วสองสาวก็พร้อมใจกันทิ้งงานตัวเอง มุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าทันที

 

อริสากับกัณฑิมาเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้าที่เป็นแบรนด์ของญี่ปุ่นอันเป็นที่นิยมในกลุ่มคนฐานะปานกลางอย่างพวกเธอ ด้วยเสื้อผ้านั้นดูดีในราคาย่อมเยา ทำให้ที่นี่ย่อมเป็นจุดหมายสำหรับพวกเธอในการเลือกซื้อเสื้อกันหนาว เข้าไปในร้านก็พบกับสองหนุ่มเจ้าของฉายา ‘แฝดนรก’ กำลังยืนเลือกกางเกงยีนกันอยู่

“ไหนว่าจะดูแค่เสื้อหนาวไง” อริสาเอ่ยทักก่อน ทั้งสองคนจึงหันมาหาพร้อมส่งยิ้มให้ทันที

“เคยตั้งใจมาซื้ออะไรแล้วได้แค่ของสิ่งนั้นกลับไปด้วยเหรอ” คนที่ตอบคือชยุตร์ ชายหนุ่มที่แต่งตัวราวกับหลุดออกมาจากนิตยสาร เสื้อเชิ้ตลายทางทับด้วยแจ็กเกตหนัง กางเกงขาลีบสีเทาที่มีรอยขาดเต็มขากางเกง รองเท้าบูตสีแดงเลือดหมู

อริสากวาดสายตามองการแต่งตัวของอีกฝ่าย “ต้านี่แต่งตัวได้สุดยอดทุกวันเลยนะ”

“ขอบคุณที่ชมข้า แม่นางชุดดำ” ชยุตร์โค้งตัวน้อยๆ ให้แก่อริสา

“ไปดูเสื้อกันก่อนสิ เดี๋ยวพี่เลือกกางเกงเสร็จแล้วเดินไปหา” อิทฤทธิ์เอ่ยขึ้นบ้าง ซึ่งสองสาวก็พยักหน้า ทว่าก่อนจะแยกออกมา กัณฑิมาก็ส่งสายตาปริบๆ ให้พร้อมเอ่ยด้วยเสียงหวานเจี๊ยบ

“ดูเสื้อแล้วถ้าถูกใจ เสี่ยบอลจะใจป้ำออกเงินให้ไหมคะ”

“ออกเงินน่ะไม่ได้ แต่ให้ออกมะเหงกอะได้” ไม่พูดเปล่า อิทฤทธิ์ยกมือขึ้นเคาะหน้าผากกว้างของสาวหมวยทันที

“โอ๊ย ทำร้ายร่างกายกันได้ยังไงพี่บอล!”

“เธออยากมาไถเงินพี่ก่อนทำไมล่ะ”

“ก็พี่มีเยอะ แบ่งให้น้องๆ ใช้บ้างก็ไม่เห็นเป็นอะไร” กัณฑิมายกมือขึ้นลูบบริเวณที่โดนมะเหงกจากรุ่นพี่ขณะทำปากเบ้ แน่นอนว่าเธอก็แค่หยอกอีกฝ่ายที่เป็นถึงคุณหนูจากตระกูลใหญ่ซึ่งชอบทำตัวติดดินตรงหน้านี้เล่นๆ ไม่เห็นจะต้องมาประทุษร้ายร่างกายเธอเลย

อริสาเองก็ผสมโรงไปด้วย “นั่นน่ะสิ บอลมีเงินเยอะแยะ ซื้อเสื้อหนาวให้น้องสาวสองคนนี้คนละตัวคงไม่ถึงกับขนหน้าแข้งร่วงหรอก”

“คิดผิดที่ชวนเธอสองคนมาซื้อเสื้อผ้าจริงๆ” อิทฤทธิ์ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะโบกมือไล่สองสาว เขาไม่ได้ถือสาเพราะรู้ว่าทั้งคู่ชอบล้อเล่นแบบนี้อยู่เรื่อย และเขาก็รู้ด้วยว่าภายใต้การล้อเล่นนั้นมีความจริงจังซ่อนอยู่ ถ้าเขาเผลอตกปากรับคำเมื่อไร พวกเธอคงลากเขาไปจ่ายเงินค่าเสื้อผ้าให้อย่างไร้ความเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้นทันที

“เราไปกันเถอะขวัญ ทิ้งคนขี้งกไว้ตรงนี้นี่ละ” ปากว่าคนอื่นขี้งกทั้งๆ ที่ถ้าพูดตามความจริงแล้ว ความงกของเธอน่าจะชนะอีกฝ่าย

กัณฑิมาจูงมือเพื่อนสาวเดินไปยังโซนเสื้อผ้าผู้หญิง ก่อนจะแยกกันเดินหาชุดที่ถูกใจ ซึ่งทางสาวหมวยนั้นก็เริ่มจากหนึ่งตัว สองตัว สามตัว...รู้ตัวอีกทีก็หอบหิ้วในอ้อมแขนเป็นกองพะเนิน

อริสาที่ในมือมีแค่เสื้อกันหนาวสีดำเลิกคิ้วอย่างทึ่งๆ เมื่อเดินวนมาเจอเพื่อน ทั้งๆ ที่เริ่มเดินดูเสื้อผ้าพร้อมกัน ทว่าเธอเพิ่งได้มาแค่ตัวเดียวเท่านั้น ผิดกับเพื่อนที่ไม่รู้ได้มากี่สิบตัว “นี่แกซื้อไปใส่หรือซื้อไปถมที่”

“ใส่ก่อนแล้วค่อยถมที่”

“ซื้อแบบนี้แปลว่าตั้งใจจะกินมาม่าไปจนกว่าเงินเดือนจะออกสินะ”

“ไม่กินมาม่าหรอก ก็เดี๋ยวให้แกเลี้ยงข้าว สลับกับต้าและพี่บอลไง”

“ฉันเลี้ยงตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า ไม่สนใจจะเลี้ยงแกหรอก”

“เชอะ เพื่อนใจร้าย”

หลังจากเดินดูอยู่อีกพักหนึ่ง สองหนุ่มก็มาร่วมแจม และทำเอากัณฑิมาคืนเสื้อผ้าไปแทบครึ่งหนึ่ง ด้วยสองหนุ่มเห็นแล้วบอกว่ารับไม่ได้กับสีสันที่สดใสแสบตาของชุดพวกนั้น รวมถึงบอกว่ามันจะทำให้สาวหมวยดูอ้วนตันด้วย ซึ่งแน่นอนว่าได้รับฝ่ามือหนักๆ ของกัณฑิมาไปคนละทีสองที ข้อหาพูดจาหยาบคายกับผู้หญิง

“แก แวะร้านหนังสือก่อนกลับได้มะ” กัณฑิมาเอ่ยเมื่อทุกคนจ่ายเงินซื้อเสื้อและเดินออกมาจากร้านเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าทุกคนต่างพยักหน้า เพราะอยากจะดูหนังสือเหมือนกันหมด

สี่สหายเดินไปยังร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ชั้นเดียวกันกับร้านเสื้อผ้า เมื่อเข้าร้านมาก็แยกย้ายกันไปคนละมุม ชยุตร์นั้นตรงไปยังหนังสือเกี่ยวกับดนตรี อิทฤทธิ์ตรงไปยังหนังสือเล่นหุ้น ส่วนกัณฑิมานั้นตรงไปยังนิตยสารทั่วไป โดยลากอริสาที่ทำท่าจะไปมุมนิยายวรรณกรรมไปด้วย

“แกจะดูนิตยสารก็ดูไปสิ ฉันจะไปดูหนังสือนิยาย” อริสาบ่นเพื่อนที่ไม่ยอมปล่อยให้เธอได้เดินไปยังชั้นวางนิยายที่อยู่ตรงกลางร้าน

“นิยายที่ห้องแกมันเยอะจนแทบจะล้มทับแกตายได้แล้ว จะซื้ออะไรนักหนา” สาวหมวยลากเพื่อนมาจนถึงชั้นวางนิตยสาร เธอยัดถุงเสื้อผ้าใส่มืออริสา ก่อนที่ตัวเองจะหันไปหยิบนิตยสารที่อยากได้

คนที่กลายเป็นลูกมือถือถุงชอปปิงบ่นอุบ “รีบๆ เลือก รีบๆ ไปจ่ายตังค์ หนัก!”

“ทีให้แบกไฟสตูดิโอวิ่งรอบสนามยังแบกได้ กะอีแค่ถือถุงเสื้อผ้าไม่กี่ถุงทำเป็นบ่น” กัณฑิมาไม่คิดจะเร่งตัวเองตามที่เพื่อนสั่ง เธอยังคงค่อยๆ พิจารณาดูว่าจะซื้อนิตยสารอะไรบ้าง ก่อนจะสะดุดตากับนายแบบบนหน้าปกนิตยสารแวดวงธุรกิจที่วางอยู่ติดกับนิตยสารท่องเที่ยว “แก นั่นไง เจ้าของแบรนด์ไลล์รา นายจ้างสุดหล่อของงานนี้ที่ฉันเล่าให้แกฟังอะ”

อริสามองตามสายตาเพื่อนไปยังชั้นวางนิตยสารติดกัน ก่อนจะนิ่งค้าง...

“คนอะไร หน้าตาโคตรดี อาชีพการงานก็โคตรดี ชาติก่อนทำบุญมาด้วยอะไรกัน อยากจะรู้นัก”

“…”

“ฉันเคยอ่านประวัติเขา เขาเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ฮู้ย ออกมาเป็นส่วนผสมที่ลงตัวจริงๆ”

“…”

“เอ้า ไอ้ขวัญ ทำไมเงียบ...เขาหล่อจนแกค้างไปเลยเรอะ...”

“ใช่ หล่อ หล่อมาก...”

เมื่อเห็นเพื่อนพึมพำตอบอย่างเหม่อลอยก็ทำเอากัณฑิมางง ด้วยทุกครั้งเวลาที่เธอชี้ให้ดูหนุ่มๆ ก็ไม่เห็นจะเคยมีอาการแบบนี้ “เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าสเปกแกเป็นแบบนี้ ชอบฝรั่งก็ไม่เคยบอกเพื่อน มิน่า ทุกครั้งที่ชี้ให้ดูหนุ่มเกาหลีหนุ่มญี่ปุ่นถึงไม่เคยสนใจ งั้นจะซื้อนิตยสารไป...” กัณฑิมาเอื้อมมือไปหยิบนิตยสารที่นายจ้างเธอถ่ายแบบปกขึ้นมาจะยื่นให้อริสา ทว่าเพื่อนสาวของเธอที่ยืนค้างอยู่กลับทิ้งถุงเสื้อแล้วยื่นมือเลยผ่านไป...ไปยังนิตยสารกล้องที่วางอยู่ติดกันขึ้นมาแทน

“กล้องคอมแพ็กรุ่นล่าสุดพร้อมเลนส์ฟิกซ์ ขนาดเล็กพอดีมือ มีให้เลือกสามสีด้วยกัน ความละเอียดภาพ...”

กัณฑิมาอ้าปากค้าง ร้องลั่น “โอ๊ย ไอ้ขวัญ!”

“เฮ้ย ตะโกนทำไม ตกใจหมด” อริสาสะดุ้งเสียจนนิตยสารกล้องในมือแทบหล่น

“รูปผู้ชายหล่อๆ ไม่มอง แต่กลับมองเลยไปดูกล้องเนี่ยนะ!”

“เอ๊า ก็ฉันสนใจกล้องมากกว่าผู้ชายหล่อๆ นี่หว่า ฉันไม่ใช่แกนะ” อริสาก้มหน้าดูนิตยสารกล้องในมือต่ออย่างสนอกสนใจ กัณฑิมากลอกตาอย่างสุดจะทนในนิสัยแปลกประหลาด ไม่สนใจหนุ่มหล่อของเพื่อน

“กล้องมันกินไม่ได้ แต่ผู้ชายกินได้นะโว้ย!”

พูดออกมาแล้วเพิ่งนึกได้ว่าพวกเธออยู่ในร้านหนังสือ และระดับเสียงที่ใช้นั้นก็ไม่ใช่เบาๆ ส่งผลให้ลูกค้าแถวนั้นรวมถึงพนักงานพากันมอง และนั่นทำให้สาวหมวยเหลอไปทันที ผิดกับอริสาที่หัวเราะก๊าก

กัณฑิมารีบคว้าแขนเพื่อนก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกจากร้านหนังสือนั้นไปอย่างอายๆ ทิ้งสองหนุ่มที่ยังคงยืนดูหนังสือไม่รู้เรื่องรู้ราวโดยไม่สนใจจะกลับเข้ามาเรียกเพื่อนสักนิด


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น