4
เวลาสองสัปดาห์ผ่านไปไวเหมือนโกหก หลังจากอดหลับอดนอนวางแผนการทำงาน หาทีมเสื้อผ้าหน้าผมที่จะจ้างไปทำงานด้วยในครั้งนี้ ให้คอสตูมหาชุด ร่างธีมงานนำเสนอ จากนั้นก็ดราฟต์งาน หาโลเกชัน จองโรงแรม หาไกด์ทัวร์ ติดต่อเช่าสถานที่ จัดตารางการทำงานในแต่ละวัน และอีกล้านแปดอย่าง ในที่สุดทุกอย่างก็เรียบร้อยทันเดินทาง และวันนี้เวลาสามทุ่มกว่าก็เป็นเวลานัดหมายที่จะออกเดินทางไปทำงานโพรเจกต์นี้ที่ประเทศญี่ปุ่น
อริสาลากกระเป๋าเดินทางใบย่อมมาคู่กับกัณฑิมา ใบหน้าของทั้งคู่นั้นสะโหลสะเหล แม้จะใช้เครื่องสำอางช่วยแล้วก็ยังไม่สามารถปกปิดรอยคล้ำใต้ตาที่เรียกได้ว่าเป็นฝาแฝดกับเหล่าแพนดาได้เลย
บรรยากาศภายในสนามบินยังคงคึกคักจอแจแม้จะเป็นช่วงกลางคืน และดูจะคึกคักกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ อริสาเดาว่าคงเป็นเพราะมีกลุ่มสาวๆ กลุ่มใหญ่ที่มารอส่งนายแบบสุดหล่อเสียมากกว่า ถึงทำให้บริเวณเช็กอินดูมีคนเยอะแยะเต็มไปหมด
“พี่ตุลย์ของแกนี่เสน่ห์แรงจริงๆ ว่ะ...ดูดิ แฟนคลับมารอส่งขึ้นเครื่องบินเพียบเลย”
“...ก็เรื่องของเขา”
“อ้อ เหรอจ๊ะ” หญิงสาวอดทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่เพื่อนที่ตีหน้านิ่งไม่ได้ รู้หรอกน่ะว่าอีกฝ่ายพยายามเก็บอาการทำเป็นไม่ปลื้มไม่สนใจ คิดหรือว่าเพื่อนซี้อย่างเธอจะดูไม่ออก ก็เมื่อสองสัปดาห์ก่อนเธอยังแอบเห็นสาวหมวยตัดรูปนายแบบหนุ่มจากนิตยสารรถเก็บใส่ลิ้นชักอยู่เลย
สองสาวก้าวเท้ายาวๆ ไปยังจุดนัดพบที่ตกลงกับทีมงานและไกด์ทัวร์เอาไว้ ซึ่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์เช็กอินแถวที่หก กัณฑิมามองเห็นป้ายเลขหกอยู่ไกลๆ ก็ทำหน้าเบ้ “โถ่ เคาน์เตอร์อยู่ตั้งนู่น คุณลุงขับแท็กซี่จะพาพวกเราไปส่งประตูสุดท้ายทำไมเนี่ยยย... ต้องเดินย้อนกลับไปจนสุดเลย กระเป๋ายิ่งหนักๆ อยู่”
อริสาไม่ได้สงสารอะไรเพื่อน “ก็อยากขนของมาเยอะเองนี่หว่า ทั้งคอมฯ ทั้งกล้องฟิล์ม”
“กล้องฟิล์มต้องเอามาอยู่แล้ว ขาดไม่ได้ แต่ที่หนักน่ะเพราะต้องเตรียมของมาเพื่อคนบางคนที่ไม่ชอบพกอุปกรณ์ในห้องน้ำมาเองย่ะ” กัณฑิมาส่งค้อนให้อริสา ผู้ที่เวลาเดินทางไปไหนก็คอยแต่จะมาขอยืมแชมพู สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน และอีกสารพัดอย่างจากเธอตลอด ซึ่งอีกฝ่ายก็เพียงหัวเราะอย่างไม่รู้สึกผิด
ระหว่างเดินสาวหมวยมองเห็นเคาน์เตอร์แลกเงินอยู่ใกล้ๆ ก็เอ่ยกับเพื่อน “เดี๋ยวแกไปที่จุดนัดพบก่อนเลย จะมีพี่ไกด์มารออยู่แล้ว แกก็เอากระเป๋ากับพาสปอร์ตให้เขาไปเช็กอินให้นะ ฉันขอไปแลกเงินก่อน เดี๋ยวจะตามไป ฝากกระเป๋าเดินทางด้วย โอเค้?”
ไม่รอคำตอบ กัณฑิมาทิ้งกระเป๋าเดินทางให้เป็นภาระของเพื่อนก่อนจะเดินสะบัดผ้าพันคอสีแดงแปร๊ดไปยังเคาน์เตอร์แลกเงินทันที ลำบากอริสาที่นอกจากจะมีกระเป๋าของตัวเองที่หนักพอควรเพราะภายในเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำงานแล้ว ยังต้องพ่วงกระเป๋าเดินทางของเพื่อนสาวอีกสองใบโตๆ เลยทำให้ทุลักทุเลพอดู
สายตาหลายคู่จับจ้องมายังร่างบางที่เดินอย่างทุลักทุเล อริสากัดฟันกรอด เอ่ยคาดโทษเพื่อนตัวดีในใจขณะที่พยายามลากทั้งตัวเองและกระเป๋าเดินทางให้ไปถึงเคาน์เตอร์นัดหมายให้ได้ จะหวังพึ่งรถเข็น แต่ก็ไม่ได้เอามาตั้งแต่แรก คิดจะเอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว มีทางเดียวก็คือ ดึงความถึกทนที่มีในตัวออกมาใช้นี่ละ
เมื่อถึงเคาน์เตอร์แถวที่หกก็มองเห็นป้ายโลโก้บริษัทอันเป็นจุดบ่งบอกว่านั่นคือจุดนัดพบทีมงานของพวกเธอแน่นอน หน้าป้ายนั้นมีร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังยกกระเป๋าลงจากรถเข็นที่จอดข้างๆ อริสาถอนหายใจพรืดอย่างโล่งอกเมื่อเจอหนึ่งในทีมงาน เขาคงเป็นไกด์ที่จะดูแลพวกเธอตลอดการทำงานทริปนี้
ทันทีที่เดินถึงจุดนัดพบ สาวเจ้าก็ทิ้งกระเป๋าทั้งสามใบลงอย่างหมดแรง เสียงกระเป๋าล้มลงพื้นนั่นทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามอง ซึ่งอริสาก็ยกมือไหว้อีกฝ่ายทันที
‘ไกด์’ ที่เธอเพิ่งจะสวัสดีนั้นเป็นชายหนุ่มในชุดกางเกงยีนสีซีดกับเสื้อเชิ้ตสีเทา มีเสื้อกันหนาวผ้ายืดสีดำสวมทับอีกชั้น หญิงสาวแอบชมอีกฝ่ายเงียบๆ ในใจว่าไกด์ทัวร์สมัยนี้หน้าตาดีเสียจริง แถมเป็นลูกครึ่งอีกต่างหาก โดยหารู้ไม่ว่านั่นไม่ใช่ ‘ไกด์’ อย่างที่เธอคิด แต่เป็นเจ้าของบริษัทที่เธอมาทำงานให้ต่างหาก
เทวินทร์ชะงักน้อยๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอกับหญิงสาวร่างบาง ดวงตาสีเทาจับจ้องอีกฝ่ายนิ่ง รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากทันที เขารับไหว้อีกฝ่ายโดยที่สายตายังคงไม่ละออกจากใบหน้าเรียวที่ในวันนี้มีเครื่องสำอางแต่งแต้มอยู่บางๆ
“หนูชื่ออริสาค่ะ พี่เรียกหนูว่าขวัญก็ได้ เป็นทีมงานของฟีลลิ่ง อิท นี่เป็นพาสปอร์ตของขวัญกับเพื่อนอีกคน ส่วนนี่ก็กระเป๋าเดินทาง มีสามใบค่ะ” หญิงสาวก้มลงหยิบพาสปอร์ตออกจากกระเป๋าสะพายแล้วส่งให้ชายหนุ่มที่ตอนนี้ดูจะยืนอึ้งไป
“เอ่อ...”
“ว่าแต่พี่ไกด์ชื่ออะไรคะ” อริสาถามต่อเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมารับพาสปอร์ตเธอไปแล้ว
ได้ยินประโยคล่าสุดแล้วเทวินทร์ก็หายงง เขารึตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะได้เจอหญิงสาวอีกครั้ง แต่สาวเจ้าดันไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แถมคิดว่าเขาเป็นไกด์ทัวร์ไปเสียได้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดของเธอแต่อย่างใด “เทวินทร์ครับ... ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณขวัญ”
“นี่เช็กอินได้เลย หรือว่ารอเช็กอินรวมคะ เพราะว่าคนอื่นยังมาไม่ถึงกันเลย เหลือทีมงานอีกห้าคนค่ะ” เธอไม่ได้เอ่ยถึงทีมงานอีกส่วนหนึ่ง เพราะเธอรู้ว่าเหล่านางแบบนายแบบและคนจากทางบริษัทไลล์รานั้นนั่งชั้นธุรกิจ พวกเขาไม่ต้องมาเจอกับพวกเธอที่จุดนัดพบ
“เดี๋ยวเช็กอินพร้อมผมเลยก็ได้ครับ” เทวินทร์บอกพร้อมรอยยิ้ม สายตายังคงไม่ละจากใบหน้านวล
อริสาที่เห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองเธอไม่เลิกก็ชักจะวางตัวไม่ถูก เพราะแววตาของชายหนุ่มนั้นแวววาวเป็นประกายแปลกๆ
ทำไมถึงมองเธอด้วยสายตาอย่างนั้นหว่าตานี่...พิลึกคน
ว่าแต่...ตาหวานจังเลยผู้ชายคนนี้ ขนตายาวกว่าเธออีกมั้งเนี่ย...
อริสาผู้ซึ่งยังคงทึกทักเอาเองว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่ทัวร์อมยิ้มกับตัวเองเพราะคิดไปไกลแล้วว่าน่าจับคนตรงหน้ามาเป็นนายแบบเฉพาะบริเวณดวงตาให้เธอเสียจริง เพราะดวงตาของเขาสวยมาก นี่ถ้าเล่นแสงเงาเพื่อเพิ่มมิติและมนตร์ขลังอีกนิด รับรองว่าใครเห็นรูปจะต้องเหลียวหลังมองเลยละ
“เที่ยวบินที่ TG...”
เสียงประกาศของสนามบินดึงให้หนุ่มสาวที่ยืนจ้องตากันอยู่ได้สติ เทวินทร์จึงรีบทำหน้าที่ 'ไกด์' ที่ดีต่อ เขายกกระเป๋าสามใบนั้นขึ้นไปบนรถเข็น ตามด้วยกระเป๋าของเขา “เดี๋ยวผมไปเช็กอินให้นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” อริสาตอบ และเมื่อชายหนุ่มเดินไปทางเคาน์เตอร์เช็กอินแล้วก็ยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความอาย...เมื่อครู่เธอจ้องตาเขาไม่เลิกจนลืมทุกสิ่งรอบตัวไปเสียสนิทเลย หวังว่าเขาจะไม่คิดว่าเธอเป็นพวกโรคจิตนะ
“เฮ้ย ไอ้ขวัญ พาสปอร์ตฉันอยู่กะแกปะวะ” เสียงของกัณฑิมาดังมาให้ได้ยินก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึง สาวหมวยเดินคุ้ยกระเป๋าเพื่อหาพาสปอร์ตของตนแต่หาไม่เจอ
อริสาที่ยังคงนึกถึงชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสวยรีบสลัดความคิดแล้วหันไปหาเพื่อน “แกเป็นคนให้ฉันมาเอง ลืมแล้วเหรอ ความจำปลาทองจริงๆ”
“เออใช่... งั้นขอหน่อยดิ”
“เดี๋ยวรอแป๊บ ตอนนี้ให้พี่ไกด์ไปเช็กอินให้อยู่”
กัณฑิมาเงยหน้าขึ้นมอง 'พี่ไกด์' ตรงเคาน์เตอร์เช็กอินตามที่เพื่อนพยักพเยิดบอกทิศทางให้ ก่อนจะอ้าปากค้าง มือเรียวยกขึ้นฟาดแขนเพื่อนดังเผียะ พร้อมกับเอ่ยอย่างตกใจ “ไอ้ขวัญ! นั่นมันคุณวิน!!!”
“วิน…ไหน” อริสาเลิกคิ้วขณะลูบแขนตัวเองที่โดนประทุษร้าย “วินมอ’ไซต์แถวบ้านเหรอ”
“ยายบ้า” อดไม่ได้กับความซื่อบื้อของเพื่อน จนต้องส่งฝ่ามือไปฟาดเข้าที่แขนอีกฝ่ายอีกรอบ “เทวินทร์ ภากรฤกษ์ เจ้าของไลล์รา นายจ้างของเรายังไงล่ะยะ!”
ได้ยินแล้วก็ถึงกับหน้าซีดขึ้นมากะทันหัน รอยยิ้มบนใบหน้าตอนแรกหายวับ “ฮะ...!”
“ไม่รู้จักเขาได้ยังไงกันฮะ!”
อริสาอ้าปากค้าง “ก็...ก็ฉัน...ไม่ได้เข้าประชุมกับเขา...จะไปรู้จักเขาได้ยังไงล่ะ...”
ได้ฟังคำอธิบายของเพื่อนสาวเสร็จ สาวหมวยก็แทบเอาฝ่ามือฟาดหน้าผากตัวเองดังป้าบ มันคือความจริงที่อริสานั้นยังไม่เคยเจอชายหนุ่ม ทั้งๆ ที่มีประชุมกันอีกหลายครั้งก่อนสรุปงาน แต่เจ้าหล่อนก็มักจะติดงานอื่นอยู่ตลอด ยิ่งต้องรีบเคลียร์งานทั้งในและนอกสถานที่ให้หมดก่อนออกเดินทาง ทำให้เวลาว่างของอริสานั้นแทบไม่มีเลย แล้วตอนที่เธอชี้ให้เพื่อนดูรูปชายหนุ่มบนหน้าปกนิตยสาร อีกฝ่ายก็ดันเพิกเฉยไม่สนใจจะดู
แต่ถึงจะไม่เคยเห็นหน้าไม่เคยรู้จัก อย่างน้อยยายเพื่อนคนนี้ก็น่าจะมีไหวพริบเสียบ้าง เขาทั้งแต่งตัวดูดี หน้าตาก็อยู่ในพวก ‘ฝรั่งหล่อ’ เสียขนาดนั้น ยังจะตาถั่วคิดว่าเขาเป็นไกด์ทัวร์ไปได้อย่างไร “โอ๊ยตายๆๆ นี่นอกจากจะไม่รู้จักนายจ้างตัวเองแล้ว แกยังใช้เขาเช็กอินให้อีกเหรอวะ”
“เอ่อ...แก...ไม่ใช่แค่เช็กอินว่ะ เขายกกระเป๋าเดินทางให้เราด้วย” อริสาหัวเราะแห้งๆ เมื่อเห็นสายตาตื่นตระหนกของเพื่อน...จะให้ทำไง ก็คนมันไม่รู้จริงๆ นี่... “แล้วนี่เขาตามไปดูโพรเจกต์นี้ด้วยเหรอแก”
กัณฑิมากลอกตา “ฉันว่าฉันบอกแกไปแล้วนะว่าจะมีเจ้าของกับคนดูแลสินค้าไปด้วย นาฬิกาที่พวกเราจะถ่ายแบบ ราคาไม่ใช่น้อยๆ นะยะ ราคารวมๆ กันแล้วนี่มากกว่าชีวิตแกกับชีวิตฉันรวมกันอีก ถ้าของหายไป แกกับฉันก็ต้องไปขายตับขายไตขายตัวหาเงินชดใช้กันแล้ว ของมีค่าขนาดนี้ เขาก็ต้องตามไปคุมและดูแลงานอยู่แล้วสิ”
“ก็ฉันเข้าใจว่ามีแต่เจ้าหน้าที่ดูแลนาฬิกานี่หว่า ใครจะไปคิดว่าตัวเจ้าของจะลงมาดูงานพวกนี้เองล่ะ แล้วอย่างงี้เขาจะไปบ่นกับเจ้โมนาไหมแก ฉันเสียมารยาทกับเขาไปซะขนาดนั้น” อริสาทำหน้าเศร้า ถ้าเรื่องถึงหูเจ้โมนา เธอคงจะโดนตัดเงินเดือน ได้อดซื้อเลนส์กล้องที่เพิ่งออกใหม่ล่าสุดแน่เลยทีนี้
“อืม ไม่หรอกมั้ง เวลาเจอคุณวินในห้องประชุม เขาดูเป็นคนน่ารักมาก คงไม่ถือสาเรื่องนี้หรอก อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ดูอารมณ์เสียอะไรเลยนี่” กัณฑิมาปลอบใจเพื่อนขณะมองชายหนุ่มที่ในตอนนี้ยืนอยู่กับ ‘ไกด์ตัวจริง’ ตรงเคาน์เตอร์เช็กอิน
“ฮือ น่าอายจริงๆ เลยฉัน” อริสายกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองแล้วครางฮือใส่ฝ่ามือ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างปลงๆ ในความผิดพลาดของตัวเอง สายตาเหลือบเห็นเพื่อนหนุ่มร่วมทีมอีกสองคนที่กำลังเดินมาหา “สองคนนั้นมาละ...เรื่องคุณเทวินทร์ไว้เดี๋ยวค่อยหาโอกาสขอโทษละกัน เฮ้อ”
“ยายลูกไก่! ผ้าพันคอสีสดไปไหมเนี่ย กลัวนั่งเครื่องบินแล้วคนบนพื้นโลกมองไม่เห็นเธอหรือยังไง”
ชยุตร์เอ่ยทักกัณฑิมาเป็นคนแรก เขากับคู่หูอยู่ในชุดเสื้อยืดสกรีนลายกับกางเกงยีน สวมทับด้วยแจ็กเกตหนัง หิ้วเป้คนละใบ ส่วนในมือก็ถือกระเป๋าอุปกรณ์ทำงาน หน้าตาดูอดนอนเช่นเดียวกันกับพวกเธอ
กัณฑิมาเชิดหน้าใส่คนถาม “ทำไมยะไอ้คุณต้า ผ้าพันคอของฉันมันไปแยงลูกตานายหรือยังไง”
“ไม่ใช่แค่ลูกตาของต้านะลูกไก่ ลูกตาของพี่ด้วยอีกคน” อิทฤทธิ์ทำตาหยีราวกับว่าสีแดงสดนั้นมันทำให้เขาแสบตาจริงๆ ก่อนจะหน้าหงายเมื่อโดนกัณฑิมาผลัก
“น้อยๆ หน่อยนะพี่บอล ว่ากันแบบนี้ ระวังเหอะ คราวหน้าจะไม่ขอเบอร์นางแบบให้แล้ว”
“โอ๋ๆๆ ลูกไก่คนสวย อย่างอนพี่เลยน้า” เจอคำขู่นี้เข้าไปสองหนุ่มก็เข่าอ่อนยวบ ทำตาละห้อยอ้อนวอน จนสาวหมวยมองอย่างหมั่นไส้ รู้สึกอยากยกอวัยวะเบื้องล่างขึ้นถีบสองหนุ่มนี่ตงิดๆ
“มากันครบหรือยังครับ ขอโทษทีนะครับ พอดีเมื่อกี้ผมเช็กอินให้ชั้นธุรกิจอยู่ แนะนำตัวก่อนเลย ผมชื่อคีย์นะครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ” หนุ่มร่างท้วมเดินมาจากอีกทางเอ่ยกับทั้งกลุ่ม แนะนำตัวเองว่าเป็นไกด์สำหรับทริปครั้งนี้ โดยจะเป็นคนดูแลพวกเธอทั้งหมดตลอดทริป ทั้งเรื่องที่พัก ร้านอาหาร และสถานที่ถ่ายแบบ พร้อมกับเป็นล่ามให้ด้วย “เอ้อ พอดีเมื่อกี้คุณเทวินทร์ฝากพาสปอร์ตคุณอริสากับคุณกัณฑิมามาให้ครับ”
อริสายื่นมือไปรับพาสปอร์ตทั้งสองเล่มมาอย่างเงียบๆ ชยุตร์หันไปกระซิบหาสาวแว่น “ทำไมพาสปอร์ตเธอกับขวัญถึงไปอยู่กับลูกค้าเจ้าของงานล่ะ”
กัณฑิมากระซิบตอบ “ยายขวัญมันนึกว่าคุณวินเป็นไกด์น่ะ”
“หุบปากน่า...” อริสาถลึงตาใส่เพื่อน
“นี่มากันครบหรือยังครับ” ไกด์คีย์เอ่ย ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่ายังขาดทีมงานที่ดูแลเสื้อผ้าหน้าผมอีกสามคน
ไม่นานนักช่างหน้าช่างผมและคอสตูมก็มาถึง อริสาเอ่ยทักอย่างเป็นกันเอง เพราะเคยมีโอกาสร่วมงานกันมาบ้างหลายครั้งแล้ว เมื่อครบคน ไกด์คีย์ก็รวบรวมพาสปอร์ตไปทำเรื่องเช็กอิน และพากันเดินเข้าด้านในกัน หลังจากตรวจคนขาออกเสร็จเรียบร้อย ทีมงานทั้งหมดก็พากันไปนั่งที่ร้านอาหาร เพราะมีหลายคนที่ยังไม่ได้รับประทานข้าวเย็น
“ขวัญไม่ค่อยหิวอะ ขอไปเดินซื้อของแทนละกัน แล้วค่อยไปเจอกันที่เกตนะ” อริสาตัดสินใจแยกออกจากกลุ่ม เธออยากไปเดินดูหนังสือไว้อ่านระหว่างรอ เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่นั่งหลับก่อนขึ้นเครื่อง
กัณฑิมาหันไปถามเพื่อน “ให้ฉันไปด้วยไหมแก”
“ไม่เป็นไรๆ ฉันไม่หลงหรอก ไม่ใช่แกนะที่หลงได้แม้กระทั่งในหมู่บ้านตัวเอง” อริสาเอ่ยจบก็ได้รับค้อนวงใหญ่จากกัณฑิมาทันที เธอหัวเราะก่อนจะเดินออกจากร้านอาหารมา แล้วเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ มองซ้ายมองขวาดูร้านขายของในสนามบินอย่างผ่อนคลาย แวะร้านหนังสือดูนิตยสารสองสามเล่มอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ไม่ได้ตัดสินใจซื้อ ใช้วิธีอ่านฟรีแทน จนเริ่มเมื่อยขา ก็เปลี่ยนเป็นนั่งยองๆ จนพอใจนั่นละถึงได้ออกจากร้านหนังสือมาเดินต่อ
อริสาก้มมองนาฬิกาข้อมือขณะที่ขาทั้งสองข้างก้าวยาวๆ มุ่งตรงไปยังร้านกาแฟที่อยู่สุดทางเดิน...
เหลือเวลาอีกตั้งนาน หาช็อกโกแลตเย็นดื่มสักแก้วดีกว่า
พอได้เครื่องดื่ม หญิงสาวก็มองหาเก้าอี้นั่ง โชคร้ายที่ทุกตัวมีคนจับจองหมดแล้ว ยกเว้นก็แต่โซฟาชุดเล็กตรงมุมกระจกที่มีแก้วเปล่าวางอยู่ แต่ปราศจากเจ้าของแก้ว อริสาจึงตัดสินใจยึดที่นั่งเสียเลย
ทว่ายังไม่ทันจะทรุดตัวลงนั่ง ก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลัง
“สวัสดีครับ”
“คะ!” อริสาสะดุ้งแทบทำแก้วตกลงพื้น ก่อนจะหันไปตามเสียงเรียก ตามด้วยเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าคนที่เอ่ยทักชัดๆ “อะ เอ่อ...คุณ...คุณเทวินทร์”
เทวินทร์ส่งยิ้มให้หญิงสาวที่ทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะ “โต๊ะอื่นเต็มหมดแล้ว นั่งด้วยกันสิครับ พอดีเมื่อกี้ผมลุกไปสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม”
“เอ่อ...ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ยอดเยี่ยมยายขวัญ นอกจากจำลูกค้าไม่ได้ ปล่อยให้ลูกค้ายกกระเป๋าเดินทางให้ แล้วยังจะแย่งที่นั่งเขาอีก
สุดยอด!
อริสาค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งอีกฝั่ง กระแอมกระไอในคอเล็กน้อย อดรู้สึกแปลกๆ อีกรอบไม่ได้กับสายตาของชายหนุ่มเวลาจ้องมองเธอ “คือ... เรื่องก่อนหน้านี้ ขวัญขอโทษด้วยนะคะ ที่เข้าใจผิดคิดว่าคุณเป็น...ไกด์...”
“ไม่เป็นอะไรครับ คุณอริสาไม่เคยเจอผมมาก่อน จะไม่รู้จักก็ไม่ผิด” เทวินทร์ยิ้มบาง “ยังไงตอนนี้ก็รู้จักกันแล้ว...ต่อจากนี้ไปอย่าลืมกันอีกก็พอครับ”
“ค่ะ ไม่ลืมอีกแน่นอนค่ะ” อริสายิ้มแหย ไม่ทันสังเกตน้ำเสียงในตอนท้ายประโยคของอีกฝ่ายที่ดูทุ้มลึกกว่าปกติ เธอเผลอสบตากับอีกฝ่ายเข้า และนั่นทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ ดวงตาหวานๆ ของเขานั้นเหมือนหลุมดำที่พอเผลอมองเข้าไป เธอก็ละสายตาไม่ได้เลย
รู้สึกตัวอีกทีว่ามองหน้าอีกฝ่ายนานเกินไปแล้วก็รีบก้มหน้าหลบ เฉไฉจิบเครื่องดื่มในมือ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าเครื่องดื่มของชายหนุ่มตรงหน้านั้นสีดำสนิท ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นกาแฟดำเพียว ไม่มีอย่างอื่นผสมเลยแม้แต่นิด “...คุณเทวินทร์ทานกาแฟดำตอนนี้จะดีเหรอคะ ไม่กลัวนอนบนเครื่องไม่หลับเหรอคะ”
“ผมติดกาแฟน่ะครับ แล้วผมก็ไม่ค่อยจะชอบนอนบนเครื่องอยู่แล้ว ไว้ไปนอนบนรถบัสตอนถึงที่นั่นแทน” เทวินทร์ยิ้มบาง “แล้วก็ เรียกผมแค่วินเฉยๆ ก็พอนะครับ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็มหรอก”
“เอ่อ...”
“อ้าว วิน มาอยู่นี่เอง ซาร่าก็นั่งรออยู่ในเลานจ์ตั้งนาน” เสียงเรียกดังขึ้นขัดบทสนทนา ตามด้วยเสียงส้นสูงที่กระทบพื้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดลงตรงหน้าโต๊ะนั่ง หญิงสาวผู้มาใหม่เป็นสาวสวยสูงเพรียวพร้อมกับสัดส่วนในฝันของผู้หญิงหลายคนในชุดเดรสสั้นสีครีมเข้ารูป เธอหันมามองอริสา ก่อนจะเอ่ยถามชายหนุ่มออกมาเป็นภาษาอังกฤษตามความเคยชิน “Who’s this?”
“ซาร่า นี่คุณอริสา เป็นช่างภาพของเราครับ” เทวินทร์แนะนำตัวอริสาที่ยกมือไหว้
ทว่าซาร่าเพียงแค่มองนิ่งๆ ไม่เอ่ยทักอะไร รวมถึงไม่ได้รับไหว้อีกฝ่ายด้วย นางแบบสาวหันกลับไปหาชายหนุ่มอีกครั้ง
“ซาร่าไปรอที่ร้านผ้าพันคอใกล้ๆ นี้นะคะ คุยเสร็จแล้ววินก็ตามมานะ แล้วเราจะได้ไปเดินดูของกัน”
อริสามองสาวสวยที่พูดจบก็เดินออกจากร้าน แน่นอนว่าแม้ชายหนุ่มจะไม่ได้แนะนำอีกฝ่าย แต่เธอก็รู้จักดีว่านี่คือ ซาร่า ไนเจล นางแบบในโพรเจกต์นี้ หญิงสาวเพิกเฉยต่ออากัปกิริยาเชิดใส่ของอีกฝ่าย เธอไม่ถือสา ด้วยรู้ว่านางแบบส่วนมากที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ก็มักจะดูหยิ่งกันแบบนี้ไปหมด เธอที่ดูดช็อกโกแลตเย็นในแก้วจนหมดไปเกินครึ่งเอ่ยกับชายหนุ่ม “คุณเทวินทร์ตามสบายนะคะ เดี๋ยวขวัญไปรวมกลุ่มกับทีมงานก่อน สวัสดีค่ะ”
เทวินทร์มองคนที่พอพูดจบก็ยกมือไหว้แล้วลุกขึ้นเดินออกจากร้านไปทันที ทำให้เขารั้งตัวอีกฝ่ายให้นั่งอยู่ต่อไม่ทัน เขามองตามหลังร่างบางไปจนลับสายตา ถอนหายใจแล้วยิ้มบางๆ
ไม่เป็นไรน่ะ เขายังมีเวลาได้เห็นหน้าเธออีกหลายวัน
คิดได้ดังนั้นเขาจึงจิบกาแฟร้อนในมือจนหมดแก้ว แล้วถึงได้เดินไปหาซาร่าที่ยืนเลือกผ้าพันคอผ้าไหมอยู่ที่ร้านขายของแบบไทยๆ ฝั่งตรงข้าม ซึ่งนางแบบสาวเพียงแค่เหลือบตามามองเขาที่เดินเข้ามาหา ก่อนจะเลือกสีผ้าพันคอต่อไปขณะที่ปากก็เอ่ย
“ซาร่าสงสัย ว่าอะไรทำให้ผู้บริหารอย่างวินมาทำงานนี้ด้วยตัวเองได้กัน” เธอเพิ่งรู้ว่าเขาจะไปทำงานครั้งนี้ด้วยเมื่อไม่กี่วันก่อนเดินทางนี้เอง ทว่าตอนนั้นไม่มีโอกาสได้ถามถึงเหตุผล
“ถามเหมือนนายวิทย์เลย” เทวินทร์หัวเราะ “มันดูแปลกมากเลยหรือไง”
“ก็ปกติวินดูแลแต่บริษัทเอดิสนี่ ไม่เห็นจะเคยข้ามมายุ่งกับงานของไลล์รา”
“ก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง” เขาตอบอย่างไม่จริงจังนัก “แล้วก็จะได้ไปทำงานเป็นเพื่อนซาร่าด้วยไง ไม่ดีเหรอ”
นางแบบสาวเพียงแค่ไหวไหล่เล็กน้อย “ก็ดี จะได้ไม่เบื่อ ไม่งั้นซาร่าก็คงไม่มีคนคุยด้วย”
“คนคุยน่ะมีเยอะแยะ ซาร่าไม่คุยกับเขาเองมากกว่า” เขาเอ่ยอย่างรู้นิสัยอีกฝ่ายดี ซาร่าเป็นคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นที่ไม่รู้จัก และไม่คิดจะทำความรู้จักด้วย กับตัวเขาเอง ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ชมรมเดียวกันในมหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ และเจอกันตามงานสังสรรค์ของสถานทูตไทยที่นั่น หญิงสาวก็คงไม่คิดจะมาทำความรู้จักกับเขาเช่นกัน
“ทำไมต้องคุย” เธอเบ้ปาก “ใครจะเป็นเหมือนวิน คุยกับเขาไปทั่ว”
“เขาเรียกอัธยาศัยดีกับเพื่อนร่วมงานต่างหาก”
“Whatever.” นางแบบสาววางผ้าพันคอที่เลือกอยู่นานลง ก่อนจะเอ่ยชวนชายหนุ่มไปเดินดูของอย่างอื่นต่อแทน
อริสาที่แม้จะออกจากร้านกาแฟมาได้พักหนึ่งแล้ว แต่ในหัวก็ยังคงเต็มไปด้วยภาพดวงตาคู่สวยของชายหนุ่มอยู่ ไม่ว่าจะพยายามสะบัดหัวไล่ภาพนั้นออกไปอย่างไรก็ไม่เป็นผล เธอขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจตัวเองขณะเดินหาถังขยะเพื่อทิ้งแก้วเครื่องดื่มในมือ ก่อนที่จะเจอเข้ากับเพื่อนสาวหน้าบูดบึ้ง ก้าวเท้าเร็วๆ สวนทางไป จึงรีบเดินย้อนแล้วไปดักหน้าอีกฝ่ายไว้ ถามอย่างงุนงง “ทำไมหน้าบูดเป็นตูดลิงแบบนี้ เกิดอะไรขึ้น”
“ก็โมโหน่ะสิ!” กัณฑิมากัดฟันกรอด เพราะความหงุดหงิดต้องการที่ระบายจึงพาลใส่เพื่อนสาวตัวดีที่ทิ้งเธอไว้ที่ร้านอาหาร “แกนะแก ทิ้งฉันไว้ที่ร้านได้ยังไง แย่ที่สุด”
“นี่ เป็นอะไร ฉันทิ้งแกตรงไหน ต้ากับบอลก็อยู่กับแกนี่” อริสาไม่ถือสากับการเหวี่ยงใส่ของเพื่อน แต่ก็ยกมือขึ้นตบหน้าอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการเตือนให้ใจเย็นลง
กัณฑิมาที่พอสงบสติได้ก็พูดต่อ “แกจำไว้เลยนะ ว่าสักวันฉันจะต้องแก้แค้นเขาให้ได้”
“เขาไหน”
“ก็นายแบบของงานนี้ไงเล่า!”
“คุณตุลย์น่ะเหรอ” อริสาทำตาปริบๆ “จะไปแก้แค้นอะไรเขาล่ะ เขาเป็นหนุ่มในฝันแกไม่ใช่เหรอ”
“อดีตหนุ่มในฝันแล้วย่ะ!” กัณฑิมากระแทกเสียง “เมื่อกี้ฉันนั่งอยู่ในร้านอาหาร ก็เห็นเขาเดินผ่าน พวกต้ากับบอลก็เลยชวนมานั่งที่โต๊ะด้วย ฉันก็ทักทายเขาอย่างดีเลยนะแก แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไร ฉันก็...ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ เพราะสำหรับเขา ฉันคงเป็นคนแปลกหน้า”
“โอ๋ๆ อย่าเสียใจไปเลยนะที่เขาจำแกไม่ได้”
“ไม่เสียใจย่ะ” กัณฑิมาค้อนเพื่อนที่เอ่ยแทรก
ไม่ได้เสียใจจริงๆ ผิดหวังเล็กน้อยแค่นั้น...แค่นั้นเอง...
กัณฑิมาไล่ความคิดในหัวแล้วเล่าเรื่องต่อ “ทีนี้ ฉันก็คุยกับไอ้ต้ากับพี่บอลอยู่ตามปกติ จนสองคนนั้นไปเข้าห้องน้ำ เหลือฉันกับเขาสองคน ฉันก็กำลังคิดจะหาเรื่องคุยนะ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็...ก็พูดขึ้นมาว่าฉันไม่ใช่กุลสตรี หน็อยยย”
“อ้าว ทำไมจู่ๆ เขาพูดแบบนั้นกับแกล่ะ” อริสาพอจะได้ยินกิตติศัพท์ของนายแบบคนนี้มาว่าเป็นพวกหน้านิ่งพูดน้อย และพูดแต่ละทีก็ทำเอาคนฟังหน้าหงายได้อยู่เหมือนกัน เพราะนิสัยที่ไม่ค่อยสนใจอะไรใครของเขานั่นละ ทำให้ไม่รู้จักถนอมความรู้สึกของคู่สนทนาเท่าไร
“ฉันจะไปรู้เหรอ รู้แค่อยู่ดีๆ ก็พูดใส่หน้าฉันว่า ‘เป็นผู้หญิงซะเปล่า จะแตะเนื้อต้องตัวผู้ชายมากไปหน่อยไหม’ ...ฉันก็งงไปเลยสิแก แล้วก็โมโหด้วย จำกันไม่ได้ไม่พอ ยังมาว่ากันตั้งแต่ประโยคแรกที่พูดอีก บ้าที่สุด!”
หลังจากคอยเฝ้ามองห่างๆ มานาน ในที่สุดก็มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับเขาคนนี้สักที เธอรึก็ดีใจเงียบๆ เพราะในที่สุดก็จะมีโอกาสได้เจออีกฝ่ายหลังจากที่ห่างหายไปเป็นสิบปี เธอหวังว่าจะได้คุยกับอีกฝ่ายบ้าง และไม่แน่...เขาอาจจะจำเธอได้
ทว่าประโยคแรกที่อีกฝ่ายพูดกับเธอทำเอาความหวังที่วาดฝันไว้กระเด็นหายไปสุดขอบโลก
อริสาฟังแล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะเพื่อนสาวเล่าพร้อมเลียนเสียงชายหนุ่มไปด้วย เธอถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ไม่ได้รู้สึกอะไรที่เพื่อนโดนว่าเลยแม้แต่นิด “โมโหมากเลยเหรอ”
“มาก! โมโหมาก! พอที ไม่ตงไม่ตามผลงานแล้ว ฉันจะกลับไปเผารูปเขากับนิตยสารทั้งหมดทิ้ง!”
อริสายังคงหัวเราะกับอาการฮึดฮัดของเพื่อนสาวที่ดูจะโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงเสียเหลือเกิน “เออน่า...เดี๋ยวได้ทำงานร่วมกันอีกตั้งหลายวัน มีโอกาสคุยอีกตั้งเยอะ เขาอาจจะเปลี่ยนเป็นพูดจาดีๆ กับแกก็ได้ แล้วที่บอกจะเผารูปทิ้งเนี่ย เดี๋ยวได้เห็นเขาถ่ายแบบระยะประชิด แกก็อาจจะน้ำลายไหลแล้วกลับไปคลั่งเขาเหมือนเดิมก็ได้”
“ไม่มีวัน ...ไอ้ขวัญ แกเป็นเพื่อนรักฉัน เพราะฉะนั้นตลอดทริปนี้ แกช่วยใช้อำนาจในทางมิชอบ ให้ฉันไม่ต้องไปข้องแวะอะไรใดๆ กับเขาทีนะ เพราะฉันไม่อยากจะอยู่ใกล้เลย ฮึ...”
อริสาไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มเจ้าเล่ห์...ไม่เชื่อหรอกว่าจะถอดใจได้จริง เดี๋ยวจะคอยดู หึๆ
ความคิดเห็น |
---|