2

2

บทที่ ๒

 

“คุณ...” 

คริษฐ์มองเห็นวิวภูเขาติดทะเลสาบคุ้นตา เขากำลังเดินท่อมๆ ไประหว่างต้นสนห่างจากโรงแรมไปไกล ปากก็ร้องเรียก “คุณ...ผมมาแล้ว”

ร่างบางโผล่ออกมาจากเบื้องหลังต้นไม้ใหญ่ แล้วกระโดดเข้ากอดเอวเขาจนสองร่างล้มลงไปด้วยกัน

“คุณมาแล้ว”

“โธ่...” เขาครางอย่างไม่จริงจังนัก ออกจะขำท่าทางแก่นๆ ของหญิงสาวมากกว่า ก่อนจะพลิกตัวขึ้นแล้วดึงเธอลุก แลเห็นสายตาของหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างต้นไม้กำลังมองทั้งสองอยู่ เขาเกรงใจสายตาคู่นั้นจึงรีบก้าวถอยหลัง แต่หญิงสาวยังตามเข้ามากอด

“คิดถึงคุณจัง”

“ผมก็คิดถึงคุณเหลือเกิน” เขากอดเธอแนบอก “คิดถึงคุณทุกลมหายใจ”

“กลับมาคราวนี้แล้ว ไม่กลับไปไม่ได้หรือคะ”

“คุณฟิลลิปอยากให้ผมช่วยงานทางโน้น มีปัญหาหลายอย่างที่ต้องแก้ไขครับ”

“แล้วอาทิตย์หน้าคุณจะได้กลับมาอีกไหมคะ” เธอถาม ตาโตด้วยความคาดหวัง

“ถ้าคุณฟิลลิปเรียก ผมก็คงได้ตามมาครับ”

“ฉันอยากให้คุณมาทำงานที่นี่มากกว่า เราจะได้เจอกันทุกวัน แทนที่จะนับวันรอคอยแบบนี้ ฉันไม่มั่นใจเลย” เธอถอนใจเฮือกใหญ่ “ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณเยอะแยะเลย ถ้างั้นพรุ่งนี้เราไปเจอกันที่น้ำตกดีไหม ฉันจะขอพี่แอนนาช่วยหลอกโอเวนไปที่อื่น”

“ได้ครับ กินอาหารเช้าเสร็จผมจะรีบไปรอคุณที่นั่น”

“ค่ะ” เธอยิ้มรับก่อนจะหันไปด้านหลัง เห็นหญิงสาวอีกคนหยุดเดินนานแล้ว เพื่อปล่อยให้หนุ่มสาวพูดคุยกันตามลำพัง 

หญิงสาวข้างตัวจับมือของเขาแล้วพาเดินห่างออกไปอีก ก่อนจะดึงเขาหลบหลังต้นสนต้นใหญ่แล้วดึงเขาเข้าไปกอด

คริษฐ์ยิ้มก่อนจะก้มลงจูบเธอด้วยความคิดถึง วงแขนเล็กโอบรอบลำคอและจูบตอบเขาด้วยความคิดถึงทัดเทียมกัน พอเขาถอนจูบ เธอก็แตะนิ้วลงบนริมฝีปากของเขา ดวงตาสีฟ้ามองเขาด้วยความเสน่หา แล้วเสียงกระซิบก็ดังขึ้น

“อะมานดา...ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว เราต้องรีบกลับ อย่าลืมนะว่าคืนนี้พ่อมีแขกร่วมโต๊ะ”

ทั้งคู่หันไปตามเสียง หญิงในอ้อมกอดของเขาตาโต และหันมาบอก

“ฉันต้องรีบไปแล้ว พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะคะ”

“ครับ” เขายิ้ม มองใบหน้าสดใสด้วยสายตาเปี่ยมรักก่อนที่เธอจะเขย่งขึ้นหอมแก้มของเขา แล้วหมุนตัววิ่งไปตามเสียงเรียก โบกมือและส่งยิ้มให้เขาไปพร้อมกัน

เขามองตามร่างสองสาวที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับไปโรงแรม ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วออกเดินตามหลังทั้งสองไปห่างๆ เพื่อไม่ให้ใครผิดสังเกต แล้วแยกเดินไปยังกระท่อมของโรเบิร์ตหลังจากเห็นสองสาวเดินเข้าไปในเขตโรงแรมเรียบร้อย

 

คริษฐ์ถอนหายใจยาวเหยียด...เสียงฝีเท้าทำให้เขาตื่นจากความฝัน ลืมตาขึ้นก็เห็นประตูระเบียงห้องติดกันเปิดออก และเด็กสองคนวิ่งออกมา เขาลุกขึ้นนั่ง เห็นนิยายตกอยู่บนพื้นก็หยิบขึ้นมาอย่างเหม่อลอย 

เด็กน้อยโบกมือทักทาย เขายิ้มและส่งยิ้มเลยไปถึงมารดาของเด็กทั้งสองที่ตามออกมา ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องที่มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า 

ระหว่างอาบน้ำ สมองก็ทบทวนความฝันเมื่อครู่ ทำไมเขาถึงจูบผู้หญิงในภาพอย่างสนิทสนมราวกับเป็นคนรักกัน และผู้หญิงอีกคน...แอนนา...เขาจำไม่ผิดแน่ 

เขาเปิดน้ำเย็นล้างหน้า...ท่าทางจะดูภาพและอ่านประวัติความเป็นมาของโรงแรมมากเกินไปถึงเก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะ พอกลับมานอนบนเตียง เขาก็ตาสว่างเกินกว่าจะหลับลง จึงเปิดคอมพิวเตอร์เขียนอีเมลถึงบิดาและมารดา บอกเล่าว่าถึงที่พักเรียบร้อยดี และชอบบรรยากาศกับทิวทัศน์ของที่นี่มาก ก่อนจะส่งรูปที่ถ่ายตัวเองในตอนบ่ายแนบไปกับอีเมล จากนั้นก็อ่านนิยายต่ออีกพักใหญ่ พอเห็นเวลาก็ตกใจ รีบปิดไฟเข้านอน เพราะมีนัดกับรอยตอนเช้าตรู่ แถมเขาจะต้องเผื่อเวลาสำหรับซื้ออาหารเช้าและกลางวันอีกด้วย 

เขาหลับไปในเวลาไม่นาน แม้จะคิดถึงหญิงสาวคนสวยที่จูบเขาในความฝัน แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะเคลิ้มหลับไปขณะริมฝีปากยังคลี่ยิ้มบาง

 

คริส...คริส...

คริษฐ์หายใจเข้าลึก...ไม่ชอบใจที่การหลับลึกถูกรบกวน

ฮือๆๆ คริส...ช่วยฉันด้วย...

ใครเรียก...จะให้ช่วยอะไร 

คริษฐ์อยู่ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น เขารู้สึกคล้ายกับยืนอยู่กลางห้อง ตรงหน้าของเขามีเงาตะคุ่มที่นั่งหันหลังและกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น ไหล่บางสั่นสะท้าน

‘คุณเรียกผมใช่ไหม’ เขาถาม แต่เสียงนั้นสะท้อนราวกับอยู่ในหุบเขา

‘ช่วยฉันด้วย...ฮือๆๆ’

‘คุณจะให้ผมช่วยอะไร’ เขาถาม

‘ทรมานเหลือเกิน...ได้โปรด...ช่วยฉันด้วย’

‘คุณเป็นใคร’ เขาก้าวเข้าไปหา เงาดำบนเตียงหายวับ เขาหมุนไปรอบกาย ได้ยินเสียงจากมุมห้อง และเห็นเงาจากตรงนั้น ‘คุณเป็นใคร จะให้ผมช่วยได้ยังไง’

‘ช่วยด้วย...ฆาตกร...ฆาตกร...’

เสียงประโยคสุดท้ายโหยหวนและเล็กแหลมจนคริษฐ์สะดุ้งเฮือก เขาลุกขึ้นนั่งกลางเตียง รีบเปิดไฟตรงหัวเตียงและมองไปตรงมุมห้องที่มีเงาดำเคยอยู่ตรงนั้นแต่ก็ไม่เห็นใคร นอกจากเงาตะคุ่มจากโคมไฟที่ตั้งอยู่ติดกับเก้าอี้พักผ่อนและแสงไฟที่ส่องไม่ถึง 

เขายกมือลูบหน้าแล้วพบว่ามีเหงื่อผุดขึ้นเต็ม ไม่ใช่แค่บนหน้า แม้แต่เสื้อนอนก็ยังชื้นเหงื่อ เขาถอดเสื้อโยนทิ้งข้างเตียงและทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง 

เขาไม่ใช่คนกลัวผี และไม่เคยพบเหตุการณ์ประหลาดใดๆ มาก่อนในชีวิต แม้จะได้ฟังเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกมานักต่อนัก แต่ก็ไม่เคยเจอกับตัว คิดเสมอว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ วิญญาณก็เป็นเพียงพลังงานของคนตายที่ยังคงอยู่หลังร่างกายเน่าเปื่อย แค่พลังงานนั้นคงยังวนเวียนอยู่ที่นี่ 

เกือบสามนาฬิกา คริษฐ์เอื้อมมือไปปิดไฟหัวเตียงอีกครั้งแล้วเอนตัวลงนอน แต่ทันทีที่เขาเคลิ้มหลับ เสียงร้องไห้คร่ำครวญก็ดังขึ้นอีกครั้ง

‘ฆาตกร...ไอ้ฆาตกร...คนสารเลว...’

พอลืมตา เสียงก็เงียบไป คริษฐ์ถอนใจเฮือก ก่อนจะลุกเปิดไฟ และเดินไปเปิดประตูระเบียงให้อากาศเย็นจากด้านนอกเข้าไปในห้อง เขารูดม่านเปิดให้เห็นทิวทัศน์ภายนอก 

แสงจันทร์สว่างส่องสะท้อนผืนน้ำและภูเขา เขานั่งบนเตียงเหม่อมองเงาตะคุ่มของภูเขาด้านนอกอยู่หลายนาที...ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน สงสัยเหลือเกินว่าถ้าไม่หลับจะได้ยินเสียงร้องไห้อีกหรือไม่ 

เงียบ...ทุกอย่างเงียบสงบ ได้ยินแต่เสียงแมลงจากด้านนอก...นอนฟังเสียงของมันเพลินจนหลับไปอีกครั้ง คราวนี้เขานอนหลับลึกจนถึงเช้าและไม่ได้ยินเสียงร้องไห้อีกเลย 

 

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น คริษฐ์ลุกพรวดพราด จำได้ว่าต้องรีบไปพบชายชราตามนัดจึงวิ่งเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวและแต่งตัวในเวลาอันรวดเร็ว เขาวิ่งลงไปซื้อแซนด์วิช หลังจากเติมน้ำลงในขวดพลาสติกสำหรับเดินป่าเสียบติดช่องข้างเป้แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่บ้านของรอย ก็เห็นชายชรายืนรออยู่

“อรุณสวัสดิ์ครับ” รอยทัก 

“อรุณสวัสดิ์ครับ หวังว่าผมคงยังไม่สาย” เขากระหืดกระหอบพลางมองนาฬิกาข้อมือ เหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลานัด

“ไม่ต้องรีบหรอกครับ ไปกันเองสบายๆ” รอยบอกยิ้มๆ ก่อนจะหยิบข้าวของที่วางไว้ข้างตัว แล้วออกเดิน “เรือจอดด้านหลังครับ เราจะไม่ลงที่ท่าของโรงแรม แต่ไปลงที่ท่าเรือสาธารณะของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้พักที่โรงแรมครับ”

“อ้อ ครับๆ” เขารีบช่วยชายชราหิ้วถังและอุปกรณ์ตกปลา รอยพึมพำขอบคุณแล้วทั้งสองก็เดินไปตามเส้นทาง ผ่านแยกที่มีป้ายติดบอกเส้นทางเดินป่า เดินเลยไปอีกนิดก็มองเห็นป่าสนคุ้นตา “ท่าเรืออยู่อีกไกลไหมครับ”

“เลยป่าสนนี้ไปอีกนิด ก็จะเจอเส้นทางที่ขับรถเข้ามาได้ ให้นักท่องเที่ยวเอาเรือมาลงที่ท่าสาธารณะครับ”

“ครับ” เขาพึมพำและมองไปรอบตัว คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน...ต้นไม้ตรงโน้นที่เขาจูบกับหญิงสาวในฝัน ไม่คิดเลยว่ามันจะมีอยู่จริง

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ชายชราหันกลับมาถามเมื่อเห็นชายหนุ่มชะลอฝีเท้าลง และมองไปที่ต้นสนต้นใหญ่ 

“เปล่าครับ พอดีผมกำลังคิดว่าเหมือนเคยเห็นต้นสนต้นนั้นมาก่อน”

“อ้าว ผมนึกว่าคุณเพิ่งมาเที่ยวครั้งแรกเสียอีก ป่าสนซีดาร์ที่นี่เป็นป่าที่มีอายุเกือบแปดร้อยปีแล้วกระมัง อุทยานจึงไม่ยอมให้ตัดถนนผ่าน และต้นนั้นเป็นต้นที่ใหญ่ที่สุด”

“ผมเหมือนกับเคยเห็นมันในความฝันครับ”

“ขนาดนั้นเชียวหรือครับ” รอยหัวเราะชอบใจ ทำให้คริษฐ์ต้องหัวเราะตาม 

“ขนาดนั้นเชียวละครับ ไม่อยากบอกเลยว่าตั้งแต่มาถึงที่นี่ ผมฝันมากกว่าที่เคยฝันมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเสียอีก”

รอยส่ายหัวและยังหัวเราะชอบใจ 

คริษฐ์ลืมต้นไม้ใหญ่นั้นไปเมื่อเดินเกือบจะทะลุป่าไปถึงท่าเรือ จึงสนใจสิ่งอื่นแทน ชายชราผูกเรือไว้ที่ท่า เป็นเรือไม้ขนาดนั่งได้สามถึงสี่คน รอยบอกให้เขานั่งตรงหัวเรือ ขณะที่เจ้าตัวนั่งตรงท้ายเรือ แล้วพายออกไปจากท่า 

สักพักทั้งสองจึงลอยนิ่งอยู่กลางทะเลสาบ ช่วงเวลาเช้าหมอกบางยังอ้อยอิ่งเหนือผิวน้ำ พอมองไปที่โรงแรมก็เห็นหมอกบดบังอาคารไปเกือบครึ่ง ภาพนั้นคล้ายกับสะท้อนให้คริษฐ์สัมผัสได้ถึงปริศนาที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง 

“คุณลุงพอจะจำรายละเอียดคดีฆาตกรรมแอนนากับอะมานดาได้หรือเปล่าครับ” เขาตัดสินใจถามขึ้นหลังจากทั้งสองหย่อนเบ็ดลงในน้ำแล้ว รอเวลาปลากินเหยื่อ

“จำได้สิครับ เพราะผมต้องคอยเล่าให้นักท่องเที่ยวฟังมาหลายปี และผมก็เล่าให้คุณฟังเมื่อวาน”

“ครับ ผมอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมอีกหน่อย หวังว่าลุงคงจะไม่รังเกียจ”

“ไม่เลย คุณอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ ถ้าตอบได้ผมก็ยินดี”

“ก็เรื่องราวของทั้งคู่ที่คุณลุงทราบน่ะครับ อย่างเรื่องส่วนตัว ความเป็นมาของครอบครัวอะไรทำนองนั้น”

“ได้สิ...ผมมีเวลาทั้งวัน” รอยหัวเราะ ยินดีที่ได้คุย หลังเกษียณก็มีโอกาสได้โม้น้อยเต็มที “เรื่องครอบครัวหลุยส์ ผมจำได้ดี หัวหน้าครอบครัวคือมิสเตอร์อเล็กซ์ หลุยส์ เป็นเศรษฐีจากซีแอตเทิล เป็นพ่อของอะมานดาและแอนโทนี ขณะที่แอนนาเป็นลูกติดของจูเลียกับสามีเก่า แต่มิสเตอร์อเล็กซ์ก็รักเหมือนลูกในไส้ 

“ตอนนั้นแอนนาหมั้นหมายอยู่กับนายธนาคารอายุมากกว่าเธอหลายปี และตามมาเที่ยวพักผ่อนด้วย อเล็กซ์จองห้องพักให้แก่ครอบครัวและพนักงานตลอดฤดูร้อน จริงๆ พวกเขาก็มาหลายครั้งแล้ว แต่ปีนั้นบริษัทของอเล็กซ์เริ่มต้นก่อสร้างถนน จึงเช่าห้องตลอดฤดูร้อนเพื่อจะได้ทำงานไปด้วย ส่วนแอนนาและอะมานดาก็โตเป็นสาวเต็มตัว คนน้องเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย สวยและเก่ง ใครเห็นก็หลงรัก ขณะที่พี่สาวเป็นคนเงียบๆ นานๆ ถึงจะได้ยินเธอพูดเสียที ส่วนแอนโทนีตอนนั้นอายุใกล้เคียงกับผม เรามักจะออกไปเล่นด้วยกันบ่อยๆ”

“ครับ แล้วเมื่อวานคุณบอกคลับคล้ายคลับคลาว่าอะมานดาก็มีคู่หมั้นคู่หมายเหมือนกัน”

“ตอนนั้นการหมั้นยังไม่ประกาศออกมา แต่ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวว่าทั้งสองเหมาะสมกันมาก และวางแผนว่าจะแต่งงานกัน เพราะ โอเวน มัวร์ วิศวกรของบริษัทเป็นทายาทของตระกูลเก่าแก่จากอังกฤษ พ่อเป็นเชื้อพระวงศ์ หน้าที่การงานก็ดี เป็นมือขวาของฟิลลิปผู้ควบคุมการก่อสร้างถนน เขามาที่โรงแรมแทบทุกอาทิตย์เพื่อมาประชุมงานกับมิสเตอร์อเล็กซ์ แต่อะมานดากลับมาตายเสียก่อน”

“หลังจากนั้นล่ะครับ คุณลุงทราบข่าวพวกเขาอีกหรือเปล่า หมายถึงครอบครัวหลุยส์หรือแม้แต่คู่หมั้นของทั้งสอง”

“ครอบครัวหลุยส์ไม่กลับมาที่นี่อีกเลย ถึงครอบครัวจะถือหุ้นอยู่ก็ตาม ภายหลังแอนโทนีพาครอบครัวมาเที่ยวบ้าง แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เศรษฐีอเมริกันก็ไม่ได้ฟู่ฟ่าเหมือนก่อนหน้าแล้ว ไม่มีงานปาร์ตีทุกคืน ไม่จองโรงแรมทั้งชั้นสำหรับเพื่อนและญาติอีก ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามสภาพเศรษฐกิจ”

คริษฐ์ถอนใจ เสียงร้องไห้เมื่อคืนทำให้เขาลืมไม่ได้ง่ายๆ เพราะมันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขานอนหลับๆ ตื่นๆ เกือบตลอดทั้งคืน แล้วเขาก็พึมพำ

“ปกติผมไม่ใช่คนเชื่อเรื่องวิญญาณ...”

คำพูดนั้นทำให้รอยเงยหน้าขึ้นสบตาเขาทันที 

“คุณเจออะไรอย่างนั้นรึ”

“อ้อ...แค่รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงร้องไห้น่ะครับ พอตื่น ก็เงียบไป”

“คุณพักอยู่ที่ห้องหมายเลขอะไร”

“ห้อง ๔๐๔ ครับ”

รอยนิ่งงัน...หลายวินาทีกว่าเขาจะถามขึ้นอีกครั้ง

“แล้วเมื่อคืนคุณนอนได้หรือเปล่า”

“ก็มาหลับได้นานขึ้นตอนใกล้สว่างครับ ก่อนหน้าก็ฝันแปลกๆ แล้วก็ได้ยินเสียงร้องไห้”

“แล้วคุณไม่กลัวรึ”

“อืม...ก็ไม่ค่อยชอบครับ มันทำให้ผมพักผ่อนไม่เต็มที่ แต่ผมก็ไม่เห็นอะไรนอกจากได้ยินเสียง บางทีผมอาจจะหูฝาดก็ได้ครับ หรือว่าเป็นแค่เสียงในความฝัน พอตื่นก็หายไป แต่คุณลุงกำลังจะบอกผมว่ามีผีที่โรงแรมอย่างนั้นหรือครับ”

รอยหัวเราะ เสียงนั้นไม่ฟังขบขันเหมือนก่อนหน้า 

“ผมตอบไม่ได้หรอก เพราะไม่เคยเจอเหมือนกัน ได้ยินแต่แขกเล่าให้ฟัง ส่วนใหญ่ก็เป็นเสียงร้องไห้นี่แหละคุณ แต่หนักหน่อย บางคนก็เห็นวิญญาณ”

“ของใครหรือครับ”

“เขาบอกว่าเป็นวิญญาณของอะมานดา เพราะห้องนั้นเป็นห้องพักของเธอ”

“ห้อง ๔๐๔?”

“ครับ”

คริษฐ์สูดลมหายใจเข้าลึก รอยจึงบอก

“ผมไม่คิดว่าจะมีห้องว่างเหลือตลอดทั้งซัมเมอร์...คุณอาจจะขอย้ายไม่ได้”

“ผมเช่าห้องนี้ในราคาที่ถูกมาก เพราะมีเงื่อนไขห้ามย้ายและห้ามคืนเงิน ถ้าย้ายออก เงินที่ผมจ่ายไปก็ถูกยึด”

“คุณกลัวหรือเปล่าล่ะครับ”

“อืม...ผมเชื่อว่าวิญญาณเป็นเพียงพลังงาน” เขาส่ายหน้าช้าๆ “แต่ทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าบอกให้แม่ฟัง แม่จะต้องบอกว่าวิญญาณมาขอส่วนบุญตามความเชื่อของคนไทยในทางศาสนาพุทธ”

“บางทีสาเหตุที่เธอยังอยู่ตรงนั้นก็เพราะคนร้ายยังไม่ได้รับโทษ จิตที่อาฆาตแค้นก็ยังคงวนเวียนที่นั่น”

“ผมเคยได้ยินเรื่องเล่าแบบนี้มาเยอะครับ” เขาหัวเราะเบาๆ “แต่ก็ไม่เคยเจอกับตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นคนจิตแข็งมาตลอด”

“มีแขกหลายคนที่ทนไม่ได้ขอคืนห้อง ขอเงินคืนและโวยวายเยอะครับ ผู้จัดการถึงต้องใช้วิธีนี้”

“ก็มีเหตุผลครับ”

“แล้วคุณคิดว่าจะพักอยู่ที่ห้องนั้นต่อไหวไหม” รอยห่วง

“น่าจะไม่มีปัญหาครับ อาจจะบอกเธอดีๆ ว่าป่านนี้คนร้ายคงจะตายไปแล้ว เหตุการณ์มันผ่านไปตั้งเจ็ดสิบห้าปี เธอก็ควรจะไปเกิดได้แล้ว เพราะแม่ของผมเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด”

รอยหัวเราะเสียงดัง

“คุณเชื่อไหมว่ามีผู้จัดการโรงแรมคนหนึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อน พาบาทหลวงไปพักที่ห้องนั้นเพื่อจะได้ช่วยขับไล่วิญญาณ ยังไม่ถึงเช้า บาทหลวงก็วิ่งหนีออกมาจากห้องแล้วขับรถออกจากโรงแรมไปเลย แต่ไม่เคยเล่าว่าเจออะไร”

“ไม่น่าเชื่อเลย อะมานดาเป็นคนสวยน่ารักอารมณ์ดี ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะอาฆาตแค้นได้ขนาดนี้”

“สวยน่ารักน่ะพอเข้าใจ แต่คุณรู้ได้ไงว่าเธออารมณ์ดี”

“เออ นั่นสิครับ” เขาหัวเราะเก้อๆ “ผมเห็นรูปของเธอที่โรงแรมเมื่อวาน เธอสวยมากนะครับ”

“ครับ สวยมาก ผมจำได้ว่าหนุ่มๆ ติดกันเกรียว เดินไปทางไหน ผู้ชายก็มองจนเหลียวหลัง”

“คุณลุงเคยเจอเธอหรือเปล่าครับ”

“เจอสิ นอกจากจะสวยแล้ว เธอยังมีอัธยาศัยดี ใครๆ ก็รัก ตอนเด็กๆ ผมออกไปตกปลากับเธอหลายครั้ง เธอมักมีขนมอร่อยๆ จากในครัวมาฝากเสมอ เพราะถ้าไม่ใช่แขกไม่มีทางได้กิน และเธอกับเพื่อนของพ่อ...สนิทสนมกันมาก ผมเห็นเธอคุยกับเขาบ่อยๆ”

“คนที่ฆ่าเธอน่ะหรือครับ”

“ใช่ ซึ่งมันก็น่าแปลกนะ สองคนนั้นคุยกันถูกคอมาก ดูเธอมีความสุข แต่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถึงลงมือฆ่าเธอได้”

เป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้ คริษฐ์ได้แต่คิดถึงหญิงสาวในความฝัน และจูบของเธอก็ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวยิ่งกว่าจูบของหญิงสาวคนไหนๆ ในอดีตด้วยซ้ำ 

รอยมองชายหนุ่มที่นั่งเหม่อลอยมองแผ่นน้ำด้วยสายตาครุ่นคิด มีอะไรหลายอย่างในตัวชายหนุ่มที่เขารู้สึกคุ้นเคย ไม่อยากเชื่อเลยว่าเวลาผ่านไปนานถึงเจ็ดสิบห้าปีแล้ว...จะได้เห็นคนที่มีหน้าตาราวกับเป็นคนเดียวกันนั่งอยู่ตรงหน้า

ตอนนั้นเขาอายุแปดขวบ...เมื่อบิดาพาเพื่อนใหม่เข้ามาในบ้าน ภายหลังก็มาค้างกับพวกเขาบ่อยๆ เวลาที่เขาตามฟิลลิปมาที่โรงแรม แต่หลังจากคืนวิปโยคเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เจอแม้แต่ศพ 

และถึงบิดาจะไม่คิดว่าเพื่อนของท่านเป็นฆาตกร แต่หลักฐานทุกอย่างก็มัดตัวเขาแน่นหนา ตำรวจตามหาตัวเขาแทบจะพลิกทุกตารางนิ้วของอุทยาน มีเพียงรอยเท้าอยู่ใกล้เขื่อนของโรงงานปั่นไฟ แต่ไม่เจอตัว ทุกคนเชื่อว่าเขาหนีการตามล่าจนตกน้ำตาย ผ่านไปหลายสิบปีก็ไม่เคยพบศพของเขาจนกระทั่งเรื่องฆาตกรค่อยๆ ถูกลืมเลือนไป และวิญญาณของอะมานดาที่ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมก็กลายเป็นความโด่งดังของโรงแรมมาจนกระทั่งทุกวันนี้

 

ชายต่างวัยกลับบ้านพร้อมกับปลานับสิบตัว รอยตกปลาแต่พอกินและเก็บเข้าตู้แช่แข็งไว้สำหรับอีกหลายวันข้างหน้า บ่ายนั้นเขาชวนคริษฐ์ย่างปลาที่สวนหลังบ้าน หลังจากพูดคุยกันจนได้ข้อมูลท่องเที่ยวมากมาย คริษฐ์ก็ตัดสินใจว่าวันพรุ่งนี้จะไปทัวร์ถนน Going-to-The-Sun และวันต่อไปค่อยออกไปเดินป่าแบบไปเช้า-เย็นกลับเป็นการเริ่มต้น รอยจึงแนะนำเส้นทางเดินรอบทะเลสาบ และจะผ่านเขื่อนผลิตไฟฟ้าของโรงแรม ก่อนจะวนกลับมาถึงโรงแรมใกล้ค่ำสำหรับการออกเดินป่าวันแรก

หลังจากดูเส้นทางบนแผนที่ของรอยเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลากลับพร้อมความอิ่ม จนเขาคิดว่าไม่ต้องการอาหารเย็นอีกแล้วในคืนนี้ เขาย่อยอาหารด้วยการเดินย้อนกลับไปชมสวนสนโบราณ เส้นทางที่เป็นวงกลมให้วกกลับไปที่โรงแรมหลังเดินชมรอบบริเวณ ต้นสนที่มีขนาดเส้นรอบวงของลำต้นใหญ่ที่สุดกลางสวนยังให้ความรู้สึกคุ้นเคย...เขาเดินเข้าไปใกล้ เสียงหัวเราะสดใสราวกับจะดังสะท้อนอยู่ในป่า 

เรียวแขนที่โอบรอบคอ ดึงเขาเข้าไปจูบ...

ทำไม...แค่ความฝัน เขายังรู้สึกถึงความอบอุ่น ราวกับเธออยู่ในอ้อมกอดของเขาจริงไม่ใช่แค่ในจินตนาการ...

 

คริษฐ์กลับไปถึงห้องหลังพระอาทิตย์คล้อยต่ำจนเกือบแตะเหลี่ยมเขา และใช้เวลาอาบน้ำล้างคราบเหงื่อจากการนั่งตากแดดมาเกือบตลอดทั้งวัน ไม่ถึงสิบนาทีก็กลับมานั่งที่หน้าโต๊ะทำงาน 

เขาค้นอินเทอร์เน็ตที่แสนจะเชื่องช้าราวกับหอยทากและนั่งอ่านประวัติของโรงแรม ตามด้วยเรื่องราวของครอบครัวหลุยส์ที่ปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ในรัฐวอชิงตัน และยังถือหุ้นของบริษัทมากมายทั่วทั้งอเมริกา 

แอนโทนี หลุยส์ ลูกชายคนเดียวของอเล็กซ์เกษียณแล้ว ปัจจุบันลูกสองคนของแอนโทนีถือหุ้นใหญ่ในบริษัท โดยมีอลัน บุตรชายคนโตเป็นผู้กรรมการผู้จัดการ

เขาปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ลง ไม่มีข้อมูลใดที่ช่วยไขข้อข้องใจในค่ำคืนนั้นได้ ทุกอย่างยังคงเป็นปริศนา แม้แต่รอยก็อายุเพียงแปดขวบ ไม่รู้เรื่องราวของผู้ใหญ่ และคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในตอนนั้นป่านนี้ก็เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว คดีถูกเก็บลงในแฟ้มปริศนาที่ยังหาฆาตกรไม่พบ วิญญาณของอะมานดาจึงวนเวียนอยู่เพื่อตามทวงความยุติธรรม

คริษฐ์ขึ้นเตียง...หมดปัญญาไม่รู้จะช่วยอย่างไร จึงได้แต่เอ่ยขึ้น

“คุณอะมานดา...ถ้าคุณได้ยินก็ขอให้รู้ว่าผมได้พยายามแล้ว เวลาผ่านไปเจ็ดสิบห้าปี ป่านนี้ฆาตกรที่ฆ่าคุณก็คงจะตายไปแล้ว คุณอย่าจองเวร อาฆาตแค้นเขาอีกเลยนะ วิญญาณของคุณจะได้สงบสุข หรือถ้าอโหสิกรรมเขาได้ คุณก็จะได้ไปเกิดภพชาติใหม่เสียที”

พอบอกแล้วก็สบายใจ และปิดไฟเข้านอน

ทว่าใกล้สามนาฬิกาของวันใหม่ เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น