1

1

บทที่ ๑

 

คริษฐ์ แพตเตอร์สัน สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด กวาดสายตามองจากซ้ายมาขวาช้าๆ เพื่อซึมซับความงามของธรรมชาติเบื้องหน้าไว้ในความทรงจำ เป็นสถานที่ที่เขาจะมาพักผ่อนในช่วงฤดูร้อนในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าหลังจากเก็บหอมรอมริบและสะสมวันหยุดต่อเนื่องจนได้พักยาวอย่างที่ต้องการ ถึงเวลาเขาก็แบกเป้ขึ้นรถไฟเพื่อมาลงที่มอนแทนา อันเป็นรัฐในเทือกเขารอกกีที่มีธรรมชาติที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา

เขารู้จักโรงแรมเกรทเกลเชียร์มาเนิ่นนานแล้ว และประทับใจตั้งแต่เห็นภาพบนปฏิทินตั้งโต๊ะที่ได้รับเป็นของขวัญเมื่อสองปีก่อน อีกทั้งมีแต่เสียงชื่นชมว่ามีสถานที่เดินป่าอันอุดมสมบูรณ์และสวยงามหลายเส้นทางในอุทยาน เขาก็ไม่รีรอที่จะเลือกเป็นสถานที่พักผ่อนในวันหยุดถัดไป 

คริษฐ์ชอบการเดินป่าเป็นชีวิตจิตใจ เขาตั้งใจและวางแผนที่จะพักที่โรงแรมแห่งนี้ในวันหยุดยาวเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง 

ในตอนแรกเขาคิดจะพักที่โรงแรมโบราณสุดหรูอันเป็นสถานที่ยอดนิยมของเศรษฐีอเมริกันในอดีตแห่งนี้เพียงแค่ไม่กี่วัน แล้วค่อยย้ายไปโรงแรมอื่นที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ทว่าหลังจากเขาโทร. ไปจองโรงแรม ผู้จัดการก็เสนอราคาห้องพักในระยะยาวให้แก่เขา เรียกว่าถูกกว่าหากเทียบราคากับโรงแรมอื่นที่มีดาวน้อยกว่าด้วยซ้ำ เพียงแต่มีข้อแม้เดียวคือไม่คืนเงินและห้ามยกเลิกไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น 

เขาคิดเพียงเสี้ยววินาที ไม่มีเหตุผลที่จะต้องคืนห้อง จึงตอบรับด้วยความลิงโลด จากนั้นก็เริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับเดินป่าและข้าวของสำหรับวันพักผ่อนยาวของเขาด้วยความสุขใจ

เกือบสามเดือนที่เขาเฝ้ารอคอยวันหยุดฤดูร้อนอย่างใจจดจ่อ  พอถึงวันเดินทาง เขาก็นั่งรถไฟแอมแทรกจากซีแอตเทิล สาย Empire Builder ระหว่างเมืองซีแอตเทิลกับชิคาโกมาลงที่สถานีอีสต์ เกลเชียร์ที่ใช้เวลาเดินทางสิบสี่ชั่วโมง ออกจากซีแอตเทิลตอนเย็นมาถึงปลายทางในเวลาเกือบสิบโมงเช้า จากนั้นก็ต่อรถบัสเข้าไปที่โรงแรม 

การเดินทางราบรื่นมาจนถึงโรงแรม เขายืนชื่นชมความงามของภูเขาที่แวดล้อมโรงแรมซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าทะเลสาบ น้ำสีฟ้า ใสราวกระจกสะท้อนยอดเขาทั้งสามบนแผ่นน้ำราบเรียบ และในทะเลสาบก็มีเรือพายนับสิบลำเคลื่อนตัวอย่างอ้อยอิ่ง

เขารีบเข้าไปเช็กอิน เพราะตื่นเต้นอยากออกสำรวจสถานที่ให้ทั่วโดยเร็ว แจ้งพนักงานต้อนรับว่าเขามาถึงก่อนเวลา แต่พอเธอเห็นชื่อของเขา ดวงตาคู่สวยดูจะขยายกว้างขึ้น แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเธอก็หลุบตามองหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มพร้อมกุญแจที่มีพวงเป็นไม้ทาสีน้ำตาลและเลขที่ห้องสีทอง 

“ห้องของคุณพร้อมแล้วค่ะ ขอไอดีและบัตรเครดิตด้วยค่ะ”

เขาหยิบบัตรเครดิตยื่นให้พร้อมใบขับขี่ยืนยันตัวตน ก่อนจะเซ็นเอกสารเข้าพักและรับกุญแจห้อง เขาก้มหยิบเป้ใบใหญ่เดินไปที่ลิฟต์ ตรงไปยังห้องพักหมายเลข ๔๐๔ อันเป็นห้องเกือบหัวมุมของตึก และใกล้บันไดหนีไฟ 

สุดทางเดินเป็นห้องพักหมายเลข ๔๐๑ เข้าใจว่าเป็นห้องสวีตขนาดใหญ่ เพราะถัดมาก็เป็นห้องของเขา ไม่มีห้องระหว่างนั้น

คริษฐ์ไม่เสียเวลาสนใจห้องอื่น เขาไขกุญแจเข้าห้องพัก พอก้าวเข้าไปเขาก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกที่เห็นเตียงขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าสีครีม ห้องที่ทาด้วยสีขาวกว้างขวางกว่าที่คิด ห้องใหญ่ขนาดนี้แต่เขาจ่ายค่าห้องแทบจะเท่ากับห้องมาตรฐานของโรงแรมสามดาวทั่วไป แถมยังได้ลดพิเศษสำหรับพักระยะยาว ถือว่าคุ้มแสนคุ้ม เงินที่เก็บมารู้สึกไม่เสียดายเลย 

เขาโยนเป้เข้าตู้ไม้แบบติดผนัง ภายในมีเสื้อคลุมอาบน้ำให้สองชุด และกว้างพอสำหรับวางกระเป๋าใบใหญ่ได้หลายใบ แต่สำหรับเขา ข้าวของส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าและอุปกรณ์สำหรับเดินป่า จึงกินเนื้อที่ในตู้เพียงครึ่งเดียว 

เขาสำรวจห้องน้ำที่ยังใช้อ่างน้ำและโถส้วมแบบโบราณแต่ยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี สีขาวของกระเบื้องกลายเป็นสีเหลืองจากกาลเวลา จากตรงอ่างอาบน้ำ พอรูดม่านเปิด มองผ่านกระจกหน้าต่างก็เห็นทะเลสาบและภูเขาบนยอดเขายังมีหิมะปกคลุมเป็นไฮไลต์ของโรงแรมแห่งนี้เลยก็ว่าได้ เรียกว่านอกจากจะได้ห้องหรูแล้ว ยังได้วิวดีสุดๆ ทั้งจากในห้องนอนและห้องน้ำ

เขาผิวปากอย่างอารมณ์ดี ถอดเสื้อและกางเกงโยนพาดขอบเก้าอี้ของชุดรับแขก แล้วกระโดดขึ้นเตียง ของีบสักแป๊บ ก่อนจะออกไปสำรวจรอบๆ หลังจากนอนไม่ค่อยเต็มอิ่มในรถไฟ 

พอหลับตา...ราวกับสมองก็พร้อมที่จะหยุดทำงาน ผ้าเย็นๆ ใต้ร่างช่างแสนสบายทำให้เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว 

แค่จมลงสู่นิทรารมณ์ คริษฐ์ก็ฝันว่าตนกำลังพายเรืออยู่กลางทะเลสาบ หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหัวเรือสวมหมวกใบใหญ่ เสื้อผ้าไม่เหมือนชุดในปัจจุบัน หันมายิ้มและหัวเราะให้แก่เขา ริมฝีปากเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสด ใบหน้าของเธอช่างสวยจนทำให้ลมหายใจของเขาสะดุด ผมสีน้ำตาลอมทองถูกม้วนเป็นลอนขนาดใหญ่คลอเคลียไหล่ เสียงหัวเราะดังสดใสราวกับระฆังแก้วดังก้องในหุบเขา หัวใจของเขาพองโตอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนที่เธอจะหมุนตัวกลับมาและโผเข้ากอด ตามด้วยจูบที่เขาไม่ทันตั้งตัว นอกจากดึงพายขึ้นมาบนเรือแล้วกอดเอวคอด จูบตอบเธอด้วยความรักใคร่

โครม!

คริษฐ์สะดุ้งเฮือก ผุดลุกนั่งบนเตียงและมองรอบตัว เห็นประตูตู้เสื้อผ้าเปิดอ้า และเป้ของเขากองอยู่บนพื้น เขาถอนใจยาว เสียดาย...กำลังจูบกับหญิงสาวในฝันอย่างถึงพริกถึงขิง ถ้าฝันต่อคงมีหมุนร่างบางนอนบนท้องเรือเพื่อซ่อนเธอจากสายตาของทุกคน

เขาหัวเราะความฝันบ้าบอ...ท่าทางเขาคงจะทำงานหนักและต้องการผู้หญิงสักคนมาปลดปล่อยความเครียดแน่ น่าขันที่มาถึงโรงแรมโบราณก็ฝันถึงผู้หญิงโบราณทันที ในความฝัน เหมือนกำลังดูหนังย้อนยุคไม่มีผิด ชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนขลิบด้วยลูกไม้ตรงแขนและหน้าอก ชุดเป็นแบบหลวมๆ และมีแถบริบบิ้นสีเดียวกันรอบสะโพก แต่จูบของเธอนี่สิ...ทำไมเขารู้สึกว่ามันเร่าร้อนรัญจวนใจเหมือนเป็นความจริง ไม่ใช่ในความฝัน ริมฝีปากของเขายังร้อนวูบวาบรวมไปถึงร่างกายที่ตื่นตัวอย่างห้ามไม่อยู่ 

เขาส่ายหน้า ขำตัวเอง และกระโดดผลุงเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ พอหายง่วงแล้วก็สวมกางเกงขาสั้น หยิบกระเป๋าสตางค์แบบคาดเอวเดินออกจากห้องไปสำรวจโรงแรม ซื้อแซนด์วิชกินเป็นอาหารเที่ยงง่ายๆ และคว้าน้ำแร่จากตู้เย็นเป็นเครื่องดื่มจากร้านค้าในโรงแรมซึ่งมีร้านอาหารให้แขกเลือกหลายแบบ ทั้งห้องอาหารสุดหรู ผับ รวมไปถึงร้านค้าบริการตัวเอง ยังมีร้านค้าเล็กๆ ขายของที่ระลึก ของใช้ส่วนตัว อาหารว่าง ร้านขายเสื้อผ้า สปา ทำเล็บและร้านเสริมสวย 

มื้อแรกยังไม่อยากจ่ายเงินแพงนัก จึงเลือกร้านอาหารแบบบริการตัวเอง หยิบอาหารใส่ถาดแล้วเดินมาจ่ายเงินที่แคชเชียร์ จากนั้นก็ไปเลือกหาที่นั่ง โชคดีที่มีโต๊ะว่าง เขาจึงนั่งกินอย่างสบายอารมณ์ มองนักท่องเที่ยวไปรอบๆ เห็นมีแต่มาเที่ยวเป็นกลุ่มหรือมาทั้งครอบครัว คงมีแต่เขากระมังที่มาเที่ยวตามลำพัง

ไม่ใช่เป็นเพราะเขาไม่มีเพื่อนร่วมเดินทาง มีหลายคนสนใจจะมาด้วย แต่พอรู้ว่าเขาตั้งใจจะพักยาวถึงหนึ่งเดือน เพื่อนๆ ก็โบกมือลา บอกว่าอาจจะแวะมาร่วมเดินป่าสักอาทิตย์แทน เขาก็ไม่สนใจและวางแผนเดินทางตามลำพัง ซึ่งบางครั้งก็อาจจะตั้งแคมป์กลางป่าในเส้นทางเดินเขาระยะทางไกลสักสองสามคืนโดยไม่ต้องกังวลความรู้สึกของใคร ที่สำคัญ...เขารู้สึกว่าตนรอคอยเวลานี้มานาน โดยไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจะต้องมาเที่ยวที่นี่ให้ได้ตั้งแต่เห็นภาพบนปฏิทินตั้งโต๊ะ 

เขากินข้าวเสร็จเรียบร้อยก็ไม่อ้อยอิ่ง ด้วยเห็นว่านักท่องเที่ยวเริ่มหนาตาและกำลังมองหาที่นั่ง จึงลุกให้คนอื่นนั่งบ้าง ส่วนตัวเองก็เดินออกไปที่ล็อบบีอีกครั้งเพื่อดูทัวร์ที่ทางโรงแรมจัดให้บริการ จะได้วางแผนการท่องเที่ยวให้ลงตัว 

เขาเลือกแผ่นพับโฆษณาที่น่าสนใจหลายอย่าง หลังจากสอบถามก็ทราบว่าโรงแรมมีบริการขี่ม้า พายเรือ ตกปลา ส่วนเส้นทางเดินป่าก็มีบริการแผนที่ให้นักท่องเที่ยวพร้อมสรรพ หรือถ้าต้องการซื้อทัวร์ที่มีไกด์นำทาง ส่วนทัวร์นอกสถานที่ก็มีบริการรถบัสแล่นข้ามเขาไปยังอุทยานทางฝั่งตะวันตกผ่านถนนเพียงสายเดียวในอุทยานก็คือถนนที่ชื่อว่า Going-to-the-Sun บนภูเขาที่มีชื่อเดียวกัน อันเป็นสันเขาทวีปอเมริกา 

โดยปกติสันเขาทวีปแบ่งทวีปออกเป็นสองฝั่ง ทางซ้ายและขวา ทว่ายอดเขาแห่งนี้กลับมีสามด้าน จึงทำให้แม่น้ำที่ไหลจากภูเขาลงไปทางฝั่งซ้ายไหลลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ทางด้านขวาไหลลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก ส่วนแม่น้ำที่ไหลลงทางด้านเหนือจะไหลลงสู่อ่าวฮัดสันและลงสู่มหาสมุทรอาร์กติกต่อไป 

ชื่อดั้งเดิมของภูเขามาจากชนพื้นเมืองเผ่าแบล็กฟุตที่ตั้งชื่อว่า ‘The-Face-of-Sour-Spirit-Who-Went-Back-to-the-Sun-After-His-Work-Was-Done’ แปลได้ว่า ‘ใบหน้าที่บูดบึ้งของจิตวิญญาณที่เดินทางกลับพระอาทิตย์หลังเสร็จสิ้นภารกิจ’ ทั้งนี้เนื่องจากลานหิมะที่ปกคลุมบนยอดเขาที่มองจากทางตะวันตกมองคล้ายรูปใบหน้าคนนั่นเอง ซึ่งชาวพื้นเมืองเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณที่มีภารกิจมาสอนพวกเขาให้รู้จักการล่าสัตว์และต่อสู้ พอเสร็จงานก็เดินทางกลับ และฝากภาพใบหน้าไว้บนยอดเขาระหว่างทางกลับเป็นที่ระลึก ชาวแบล็กฟุตจึงให้ชื่อยอดเขาเพื่อเป็นการขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของพวกเขา

ในอุทยานเกลเชียร์ประกอบด้วยเทือกเขาถึงสามเทือก กินเนื้อที่ทั้งในประเทศอเมริกาและแคนาดา มีภูเขามากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบลูก ซึ่งรถบัสนำเที่ยวจะรับนักท่องเที่ยวตามโรงแรมต่างๆ ที่อยู่ในเขตอุทยาน จากนั้นก็จะขับรถขึ้นเขาไปตามถนนที่ได้ชื่อว่าเป็นถนนสายที่สร้างด้วยความยากลำบากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เนื่องด้วยภูมิประเทศอันซับซ้อนทำให้ยากลำบากต่อการทำงานและมีระยะเวลาทำงานเพียงสั้นๆ ในแต่ละปีคือช่วงที่ไม่มีหิมะปกคลุม ถนนเริ่มต้นก่อสร้างตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๒๑ ซึ่งเริ่มสร้างพร้อมกันจากทั้งสองฝั่งของเทือกเขา จนกระทั่งมาถึงตรงจุดที่เป็นเขาสูงชัน ค.ศ. ๑๙๒๕ และเสร็จสิ้นลงในฤดูร้อน ค.ศ. ๑๙๓๓

บนเส้นทางนั้นมีนักถ่ายภาพที่มีชื่อเสียงถ่ายภาพสวยๆ ไปขาย และทำปฏิทินมานักต่อนัก ดังนั้นใครก็ตามที่ได้มาเที่ยวจะต้องไม่พลาดไฮไลต์ของอุทยาน ซึ่งเขาก็ตั้งใจจะไปเที่ยววันจันทร์ นักท่องเที่ยวมีจำนวนน้อย คนขับจะได้ให้เวลาแวะตามจุดชมวิวสวยๆ ได้นาน ส่วนกิจกรรมอื่นค่อยวางแผนกันต่อไป

ซื้อตั๋วรถบัสเรียบร้อย เขาก็คว้าแผ่นพับเพื่อกลับไปดูต่อที่ห้อง แต่ก่อนที่เขาจะเดินไปถึงลิฟต์ก็ผ่านเส้นทางห้องโถงไปยังห้องอาหารและผับ ผนังสีขาวครีม มีภาพมากมายแขวนเป็นระยะอย่างมีระเบียบ ใต้ภาพมีคำบรรยายน่าสนใจ เขาหยุดอ่านที่ภาพแรก เป็นภาพไฟไหม้ป่าในปี ๑๙๓๖ พนักงานโรงแรมต่างช่วยกันป้องกันตัวอาคารอย่างกล้าหาญไม่ให้ไฟลามเลียมาถึง และสามารถป้องกันโรงแรมจากไฟไหม้ป่าได้สำเร็จ  

ถัดมาเป็นภาพพนักงานโรงแรมในชุดยูนิฟอร์มต่างๆ นับตั้งแต่ชุดปัจจุบัน ย้อนไปจนถึงเริ่มก่อตั้ง และการแสดงที่พนักงานร่วมกันทั้งละครที่เขียนบทและนำแสดงเอง รวมทั้งร้องเพลงและเต้นรำ เพื่อให้ความบันเทิงแต่แขกที่มาพักเนื่องจากในอดีตแขกที่มาพักที่โรงแรมแห่งนี้เป็นเศรษฐีระดับประเทศที่พาครอบครัวมาพักผ่อนเป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ โรงแรมจึงมีการแสดงต่างๆ ให้แขกรับชมในแต่ละวัน ภายหลังผู้จัดการจ้างนักแสดงมืออาชีพแทน ธรรมเนียมปฏิบัติของโรงแรมก็เปลี่ยนแปลงไป

แต่ละภาพเล่าเรื่องราวน่าสนใจ นักแสดงมือสมัครเล่นรวมกลุ่มกันถ่ายภาพ แต่ละคนมีใบหน้าสดใส ยิ้มกว้างให้กล้อง ท่าทางมีความสุขที่ได้เป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโรงแรม 

คริษฐ์เดินอ่านไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ ด้วยไม่มีแผนการอะไรเป็นเรื่องเป็นราวในช่วงบ่าย เขาอาจจะออกไปพายเรือเล่นในช่วงแดดร่มลมตก จึงมีเวลาอีกนาน ภาพอีกกลุ่มบนผนังเป็นภาพที่โรงแรมเริ่มก่อสร้าง แรกเริ่มมีอาคารเพียงหลังเดียว และสองปีต่อมา อาคารหลังที่สองจึงแล้วเสร็จ ภาพแรกเห็นโรงเลื่อยไม้อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม โน้ตข้างใต้เขียนว่า ‘หลังจากอาคารหลังที่สองแล้วเสร็จ หัวหน้าอุทยานมีคำสั่งให้รื้อถอนโรงเลื่อย และเมื่อมาเยี่ยมโรงแรมด้วยตัวเองเห็นแล้วรู้สึกรำคาญตา ก็ออกคำสั่งใช้ไดนาไมต์ระเบิดจนราบคาบ’ ภาพถัดมาเป็นภาพโรงเลื่อยที่ถูกระเบิดราบเป็นหน้ากลอง เศษไม้กระจัดกระจายริมทะเลสาบและบนผิวน้ำ

ผ่านไปอีกกลุ่มก็เริ่มเป็นภาพของผู้ก่อตั้ง โรงแรมแห่งนี้สร้างขึ้นโดยบริษัทสร้างทางรถไฟ หลังจากมาสำรวจเส้นทางพบสถานที่แห่งนี้จึงตัดสินใจสร้างโรงแรมระดับห้าดาวขึ้น เพื่อดึงดูดเศรษฐีชาวอเมริกันให้ท่องเที่ยวภายในประเทศ ด้วยในสมัยนั้น เศรษฐีอเมริกันชอบเดินทางไปพักผ่อนที่ยุโรป เจ้าของบริษัทรถไฟจึงตัดสินใจสร้างอาคารให้เป็นสไตล์แอลไพน์แบบในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ให้เห็นว่าในสหรัฐอเมริกาก็มีสถานที่สวยงามไม่ต่างไปจากยุโรป 

ผู้ก่อตั้งที่ถือหุ้นในบริษัทรถไฟถ่ายรูปหมู่เป็นรูปใหญ่ ถัดมาเป็นภาพครอบครัว แต่พอเดินต่อไปก็เห็นภาพหญิงสาวสองภาพติดถัดจากภาพครอบครัว คิ้วของคริษฐ์ขมวดเข้าหากันทันที...หนึ่งในนั้นเขาเพิ่งเห็นเมื่อครู่ที่ผ่านมา หัวใจของเขาเต้นตึ้กตั้กรีบก้มมองชื่อข้างใต้ทันที 

อะมานดา โรส หลุยส์ 

และภาพข้างๆ แม้จะอยู่ในวัยเดียวกัน แต่ความสวยเทียบเท่าอีกคนไม่ได้ เธอมีชื่อว่า แอนนา มารี โจนส์

เขาหันมามองภาพอะมานดาอีกครั้ง และอ่านประวัติจึงทราบว่าภาพนี้ติดไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์สำหรับครอบครัวหลุยส์ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทรถไฟ เนื่องด้วยหญิงสาวทั้งสองเสียชีวิตที่โรงแรมแห่งนี้ในวันที่ ๖ เดือนกันยายน ค.ศ. ๑๙๒๕

“วันเดียวกัน...” เขาพึมพำ คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นเข้า มองหญิงสาวในภาพที่ยิ้มหวาน เธออายุเพียงยี่สิบเอ็ดปีเท่านั้น โลกทั้งใบกำลังอยู่ในมือของเธอ น่าเสียดายยิ่งนักที่ต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

เขายกมือขึ้นแตะริมฝีปาก มันยังคงอบอุ่นจากจูบเมื่อครู่ หัวใจของเขากระตุกแปลกๆ ทั้งสงสารและเห็นใจ

“ผมเสียใจด้วยนะอะมานดา แอนนา” คริษฐ์พึมพำบอก และถอนใจอีกครั้ง แล้วเขาก็รู้สึกถึงความเย็นแปลกๆ ตรงท้ายทอย เขาหันไปมองด้านหลังทันที เพราะสัญชาตญาณบอกว่ามีบางสิ่งอยู่ตรงนั้น 

แต่ก็เห็นแค่นักท่องเที่ยวที่ยืนดูภาพและเพิ่งเดินจากไป ไม่มีใครยืนอยู่ใกล้ๆ แม้แต่คนเดียว 

คริษฐ์ยกมือลูบท้ายทอย ขนลุกอย่างควบคุมไม่ได้ เพิ่มเติมมากกว่านั้นก็คือ...เสียงสะอื้นไห้แผ่วเบา ยิ่งทำให้เขาต้องเหลียวมองไปรอบตัว 

เสียงเด็กที่ไหนร้องไห้

เขาเห็นแต่รอยยิ้มและได้ยินแต่เสียงหัวเราะ ในล็อบบีมีผู้คนมากมาย แต่ไม่มีใครอยู่ในอาการโศกเศร้าแม้แต่คนเดียว แต่เสียงร้องไห้ดังมาจากไหนกัน

บ้าน่า...เขาเตือนตัวเอง จะมีใครมาร้องไห้ตรงนี้

คริษฐ์เลิกสนใจความรู้สึกไร้สาระนั่น หันกลับไปดูภาพของอะมานดาอีกครั้ง แล้วถอนใจออกมาอีกเฮือกใหญ่

ไม่อยากเชื่อเลยว่าหญิงสาวที่มีชีวิตอยู่เมื่อเกือบหนึ่งร้อยปีก่อนจะสวยถึงเพียงนี้ สวยจนทำให้เขาแทบลืมหายใจ ไม่ว่าจะเป็นคิ้วบางกันตามสมัยและเขียนด้วยดินสอสีเข้มกว่าสีผม ซึ่งภาพขาวดำทำให้เขาดูไม่ออกว่าผมที่แท้จริงเป็นน้ำตาลโทนไหน แต่ในความฝันทำให้เขาจำได้ว่ามันสีอ่อนคล้ายกับสีน้ำผึ้ง ริมฝีปากทาสีเข้มในภาพคงจะเป็นสีแดงสดอย่างที่จำได้

และเขาแอบเข้าข้างตัวเองว่าเธอกำลังยิ้มให้เขา เหมือนอย่างในความฝันที่เหมือนจริงจนน่าตกใจ...หากเธอมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เขาคงไม่รั้งรอที่จะขอเบอร์โทรศัพท์ของเธอ

คริษฐ์หัวเราะความคิดของตน เพราะรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ จึงยกมือขึ้นโบกน้อยๆ

“สวัสดีนะครับเจ้าหญิง คุณคงจะได้เจอผมอีกหลายครั้งเพราะผมพักอยู่ที่นี่ทั้งเดือน” เขาบอกกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนจะเดินจากไป แต่ยังเหลียวกลับมามองภาพนั้นอีกครั้งก่อนจะเดินผ่านลิฟต์ไปที่ระเบียง ก้มดูเวลาที่ข้อมือ เห็นว่าเขาใช้เวลาอ่านเรื่องราวของรูปภาพบนผนังนานกว่าที่คิด จึงเปลี่ยนใจลงไปเดินเล่นริมทะเลสาบแทน 

ฟ้าวันนี้สดใสสมกับเป็นฤดูร้อนกลางเทือกเขารอกกี หากหุบเขาแห่งนี้ยังขึ้นชื่อว่ามีลมพัดแรงเป็นปกติ แม้แดดจะร้อน แต่ลมที่พัดต้องกายก็ทำให้อุณหภูมิความร้อนจากแสงแดดลดลง คริษฐ์สูดอากาศสดชื่นเข้าไปเต็มปอด มองยอดเขาแหลมเป็นรูปทรงพีระมิดของยอดเขาทั้งห้าเรียงรายเป็นภาพวิวมุมกว้างรอบทะเลสาบ 

กลางน้ำสีฟ้าสดใส มีเรือพายหลายลำลอยละล่อง ชื่นชมทิวทัศน์สวยงามของโรงแรม ทะเลสาบ และภูเขารอบตัว คริษฐ์เดินเลียบชายหาดไปยังท่าเรือที่มีตู้บริการเช่าเรือ พนักงานชายหญิงช่วยรับนักท่องเที่ยวขึ้นจากเรือหลังจากครบเวลาและคอยช่วยนักท่องเที่ยวชุดใหม่ลงเรือ

คริษฐ์ยังไม่อยากพายเรือตอนนี้ แม้อากาศจะเย็นสบาย แต่หากนั่งกลางแดดนานๆ ก็ร้อนไม่น้อย จึงเดินเลยตู้บริการเช่าเรือไปยังชายป่าไม่ห่างจากลานจอดรถ เขาเห็นกระท่อมหลังหนึ่งปลูกอยู่ใกล้ต้นวิลโลว์ที่ใบกวัดแกว่งไปตามแรงลม ให้ความร่มรื่นไปทั่วบริเวณ ตรงหน้าบ้านจัดสวนสวยงาม ดอกไม้หลากหลายชนิดเรียงรายเป็นแนวมาตั้งแต่หน้าโรงแรม ผ่านหน้ากระท่อมไปจนถึงชายป่า และเลยไปจนถึงจุดที่ป้ายปักบอกเส้นทางเดินป่าและระยะทาง เขาตั้งใจจะเดินไปดูที่ป้าย แต่ระหว่างที่เดินผ่านหน้าบ้านหลังเล็กเขาก็เห็นชายชราคนหนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าแปลงดอกไม้ พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มและทักทายโดยไม่ทันเห็นตัวด้วยซ้ำ

“สวัสดีครับ วันนี้อากาศดีเหมาะสำหรับเดินป่ามากนะครับ”

“อ้อ...” คริษฐ์งงไปเสี้ยววินาที ก่อนจะตอบ “ครับ แต่ผมยังไม่คิดจะไปเดินป่าวันนี้ เพราะมันสายมากแล้ว”

ชายชราลุกขึ้นยืน ผมบนศีรษะขาวโพลน เขาเดินเข้ามาใกล้โดยมีแปลงดอกไม้เป็นแนวรั้วเตี้ยๆ คั่นระหว่างทั้งสอง 

“เส้นทางเดินป่ามีทั้งแบบระยะใกล้ไม่กี่ชั่วโมง ไปจนถึงหลายวัน เส้นทางเลียบทะเลสาบก็ใช้เวลาประมาณสี่ถึงห้าชั่วโมง” ชายชราแนะนำ “อ้อ ผมชื่อรอยครับ เคยเป็นคนสวนของโรงแรมตั้งแต่โรงแรมเปิดได้ยี่สิบปี ถึงตอนนี้ผมจะเกษียณแล้ว แต่ถ้ามีอะไรสงสัยก็ถามผมได้ เพราะผมเคยเดินป่าทุกเส้นทางในแถบนี้ เคยเป็นไกด์พาตกปลา ขี่ม้า และแคมปิงมาหลายสิบปี ผมยินดีให้บริการครับ” เขาบอกด้วยความภาคภูมิใจ

คริษฐ์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นไมตรีของอดีตพนักงานโรงแรมที่หยิบยื่นให้ และเขาก็ยินดีรับ

“ผมชื่อคริษฐ์ แต่เพื่อนๆ ชอบเรียกว่าคริส จะพักที่นี่หนึ่งเดือนครับ เพิ่งมาถึงวันนี้เองก็เลยออกมาสำรวจรอบๆ ก่อน คิดว่าพรุ่งนี้จะเริ่มเดินป่าเส้นทางใกล้ๆ แล้วค่อยไปไกลขึ้นครับ”

“ดีครับ นักท่องเที่ยวเพิ่งเดินทางมาถึงต้องค่อยๆ ปรับตัว อย่าเพิ่งรีบเลือกเส้นทางระยะไกล บางทีร่างกายปรับตัวไม่ทัน ผมเห็นมาหลายคนแล้วที่มั่นอกมั่นใจว่าตัวเองไหว แต่สุดท้ายต้องเรียกพาราเมดิกไปช่วย”

“ครับ ผมก็กลัวเหมือนกัน” คริษฐ์หัวเราะ “ถึงจะไปเดินป่าบ่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้เดินระยะไกลแบบข้ามวันข้ามคืน อีกอย่างผมก็ทำงานในออฟฟิศเป็นส่วนใหญ่ เกรงว่าร่างกายอาจจะไม่พร้อม”

“ครับ...” รอยตอบ ทว่าสายตาของเขาที่มองคริษฐ์ดูเปลี่ยนไป ตั้งแต่เห็นชายหนุ่มหัวเราะ คิ้วสีขาวขมวดเข้าหากัน “คริส...”

“ครับ คริษฐ์” เขาพยักหน้า คิดว่ารอยถามชื่อเขาอีกครั้ง

“คุณเคยมาพักที่นี่มาก่อนหรือเปล่า ทำไมผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณจัง”

“ผมเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกครับ ผมอยากมานานมากแล้วตั้งแต่เห็นรูป จึงรวบรวมวันหยุดสองปีเพื่อจะได้มาพักยาว”

“อืม...ผมอาจจะจำคนผิด เหมือนกับเคยเห็นคุณที่ไหนมาก่อน” รอยส่ายหน้าช้าๆ “แต่แก่แล้วยิ่งเลอะเลือน อีกอย่าง ผมก็เจอนักท่องเที่ยวเยอะเหลือเกิน”

“ครับ”

“ว่าแต่คุณมาจากประเทศอะไรนะ”

“อ๋อ ผมเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกันครับ แม่เป็นคนไทย ผมเกิดและโตที่อเมริกา แต่ผมจะดูคล้ายคนเอเชียมากกว่าตะวันตก”

“ขอโทษที่ถามนะครับ คือผมรู้สึกเหมือนเคยรู้จักคุณมาก่อน อาจจะเป็นพ่อ หรือปู่ของคุณ”

“อืม...ผมไม่แน่ใจ พ่อกับแม่ชอบพากันไปเที่ยวบ่อยๆ อาจจะเคยมาเที่ยวที่นี่ก็เป็นได้ครับ”

“ครับ” ชายชราพึมพำ คิดว่าตนคงจะเลอะเลือนมากกว่า จึงรีบบอก “ถ้างั้นเชิญคุณเดินเที่ยวตามสบายเถอะครับ ผู้จัดการโรงแรมคงไม่ชอบใจ ถ้ารู้ว่าผมไปรบกวนแขก”

“ไม่ได้รบกวนเลยครับ ผมยินดีที่ได้รู้จักคุณรอย และยังอดคิดไม่ได้ว่าโรงแรมมีสวัสดิการให้พนักงานดีมากนะครับ คุณลุงยังได้พักที่นี่ถึงจะเกษียณไปแล้วก็ตาม”

“ก็ส่วนหนึ่งครับ แต่จริงๆ แล้วเขตนี้เป็นส่วนของพนักงาน ตรงโน้นเขาสร้างหอพักขึ้นใหม่ให้แทนเมื่อก่อนที่เคยพักอยู่ที่ชั้นล่างของโรงแรม ตอนหลังก็ปรับปรุงเพื่อเป็นห้องพักแขก และพนักงานก็จะได้มีที่พักเป็นสัดส่วน แต่บ้านหลังนี้พ่อของผมที่เป็นคนสวนของโรงแรมเป็นเจ้าของและพักอยู่ที่นี่จนตาย ผมที่ทำงานต่อมาก็เลยได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อ ตอนนี้ลูกชายของผมที่ทำงานเป็นหัวหน้ารักษาความปลอดภัยก็มาพักด้วยเวลามาทำงาน ส่วนวันหยุดก็กลับไปหาครอบครัวในเมืองใกล้สถานีรถไฟอีสต์เกตนั่นแหละครับเพราะลูกต้องไปโรงเรียน และเป็นเพราะครอบครัวของเราทำงานที่นี่มาหลายรุ่น เจ้าของโรงแรมก็เลยอนุญาตให้อยู่บ้านหลังนี้จนกว่าผมจะตายแล้วก็คงจะรื้อ”

“เจ้าของโรงแรมยังเป็นของบริษัทรถไฟอยู่หรือเปล่าครับ” เขาสงสัย

“บริษัทเกรทนอร์ทยังถือหุ้นใหญ่อยู่ครับ” รอยตอบ

พอคริษฐ์ได้ยินชื่อบริษัท เขาก็นึกขึ้นได้ทันที

“คุณลุงทำงานที่นี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ”

“ผมทำงานตั้งแต่อายุสิบแปด ตอนนั้นก็ปี ๑๙๓๕ ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองสามสี่ปี ผมจำได้แม่นเพราะโรงแรมปิดไปสองปีระหว่างนั้น”

“ถ้างั้นตอนที่มิสหลุยส์กับมิสโจนส์เสียชีวิต คุณลุงยังไม่ได้ทำงานที่นี่สินะครับ” เขาพึมพำ รู้สึกผิดหวังที่คิดว่าจะได้ทราบเรื่องราวของหญิงสาวทั้งสองจากคนเก่าแก่ของโรงแรม

“อ้อ ตอนนั้นพ่อของผมทำงานอยู่ครับ ผมยังเด็ก แต่ก็พอจะรู้ว่าเกิดเหตุฆาตกรรม”

“ฆาตกรรมหรือครับ”

“ครับ ฆาตกรรม แต่ทางโรงแรมไม่อยากให้ใครพูดถึงเพราะจะทำให้โรงแรมเสียหาย แต่ตอนนั้นข่าวก็ลงกันโครมๆ ถ้าสนใจ คุณก็ค้นจากอินเทอร์เน็ตหรือห้องสมุดได้”

“เรื่องมันเป็นยังไงหรือครับ” เขาซักทันที

“คือมีคนบุกเข้าห้องของมิสหลุยส์และฆ่าเธอกับพี่สาว มิสโจนส์น่ะครับ พวกเขาตามล่าตัวฆาตกรทั้งคืน แทบจะพลิกป่าตามล่า แต่ก็ไม่เจอแม้แต่ศพ”

“แล้วพวกเขารู้ไหมครับว่าเป็นใคร”

รอยมองคนถามอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ

“เขาเป็นเพื่อนกับพ่อของผมเอง แต่พ่อของผมไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของเขา เขาเคยมาพักที่นี่กับเราบ่อยๆ ทุกครั้งที่ติดตามมิสเตอร์มัวร์มาที่นี่”

“เขาเป็นใครหรือครับ”

“ผมจำได้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยวิศวกรที่ทำงานให้บริษัทที่ทำถนน Going-to-The-Sun น่ะครับ พ่อของคุณอะมานดาพักอยู่ที่นี่เพราะว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทรถไฟและบริษัททำถนนเป็นแขกกิตติมศักดิ์พาครอบครัวมาพักผ่อนตลอดฤดูร้อนในปีนั้น พ่อเล่าว่าผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ช่วยของหัวหน้าวิศวกรมาทำงานกับเจ้านาย และเพราะชอบพอกับมิสหลุยส์ แต่มิสหลุยส์ก็มีคู่หมายอยู่แล้ว ใครๆ ก็พูดว่าหากเธอไม่เสียชีวิตไปเสียก่อน ทั้งสองอาจจะได้แต่งงานกัน”

“น่าเสียดายนะครับ ที่พวกเธอต้องมาเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย”

“ครับ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน ผมว่าถ้าคุณอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโรงแรม ผมมีเรื่องเล่าเยอะแยะ และถ้าคุณมีเวลาว่างก็เชิญมาดื่มน้ำชากับผมได้นะครับ ผมว่าง ช่วงบ่ายๆ นอกจากปลูกดอกไม้ ตัดดอกไม้ไปปักแจกันในห้องอาหารกับแต่งล็อบบีแล้ว ผมก็ไม่ได้ทำอะไร ได้คุยบ้าง อัลไซเมอร์จะได้ไม่ถามหาน่ะครับ” ชายชราบอกกลั้วเสียงหัวเราะ

“ได้ครับคุณลุง ถ้างั้นวันนี้ผมขอตัวไปเดินดูเส้นทางแถวนี้ก่อนนะครับ แล้วว่าจะไปพายเรือออกกำลังกายสักหน่อย”

“ได้ครับ แต่ถ้าจะตกปลาก็ไปกับผมได้ ผมชอบออกเรือไปตอนเช้าๆ เผื่อคุณสนใจ”

“จริงหรือครับ” คริษฐ์ตื่นเต้น

“ครับ ผมไปตกปลาบ่อยๆ ปกติก็ไปคนเดียว ลูกไม่ค่อยว่างหรอกครับ ถ้ามีเพื่อนไปด้วยก็เยี่ยมเลย”

“ดีครับ แล้วคุณลุงจะไปเมื่อไหร่หรือครับ”

“ผมดูท้องฟ้าแล้ว คิดว่าอากาศคงจะดีแบบนี้ไปอีกสองสามวัน ตกปลามันก็ต้องดูอากาศด้วย คิดว่าพรุ่งนี้คงจะเป็นวันที่ดี”

“ได้ครับ งั้นผมจะเปลี่ยนแพลนมาตกปลาก่อน ว่าแต่คุณลุงจะออกเรือกี่โมงครับ”

“สักแปดโมงเป็นไง เช้าเกินไปไหมคุณ”

“ไม่เช้าครับ ผมตื่นเช้าประจำ ไม่มีปัญหาเลยครับ ผมจะรีบกินข้าวแล้วมาเจอลุงที่นี่ตอนแปดโมงนะครับ”

“ได้ครับ ถ้างั้นพบกันพรุ่งนี้ พายเรือให้สนุกนะครับ”

รอยโบกมือ แล้วเดินกลับไปยังแปลงดอกไม้ที่ทำค้างไว้ คริษฐ์จึงออกเดินต่อไปจนถึงป้ายบอกเส้นทางเดินป่า แล้วจึงเดินย้อนกลับมาเช่าเรือ

อารมณ์ของเขาสดใสจากการได้พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามและแสนสงบสุข เขาเลือกกินอาหารเย็นที่ห้องอาหารของโรงแรม แม้จะแพงแต่อาหารก็อร่อยถูกใจ พร้อมอวดอ้างว่าใช้ผักที่ปลูกจากแปลงออร์แกนิกเพื่อสนับสนุนสินค้าจากชาวบ้านในย่านนี้ และนำมาเป็นส่วนประกอบปรุงอาหารได้อย่างยอดเยี่ยม

คริษฐ์กลับขึ้นห้องอีกครั้งในตอนหัวค่ำ หลังจากไปเดินย่อยอาหารที่ริมทะเลสาบ ฟ้ายังสว่างเพราะเป็นกลางฤดูร้อน จึงเดินออกไปนอกระเบียงที่ใช้ร่วมกับห้องพักที่อยู่ติดกัน แต่มีราวไม้ขวางไว้ ความสูงเพียงแค่ระดับเดียวกันกับราวระเบียงคือประมาณเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร  บนระเบียงมีเก้าอี้ชุดสำหรับนั่งพักผ่อน เขานอนอ่านหนังสือที่หยิบติดมือมาด้วย ชมวิวไปพร้อมกัน ระหว่างอ่านไปก็รู้สึกง่วงงุน...เสียงฮัมเพลงแผ่วเบาทำให้เขาปรือตาขึ้นแทบไม่ไหว...และหลับไปโดยไม่รู้ตัว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น