0

บทนำ

บทนำ

 

คริสต์ศักราช ๒๐๐๐

ภายในล็อบบีของโรงแรมเกรทเกลเชียร์ในเวลาเกือบสามนาฬิกาของวันใหม่เงียบสงบ เป็นสิ่งที่พนักงานสาวแผนกรับรองแขกต้องการและภาวนาขอให้เงียบเช่นนี้ไปจนถึงเช้า...

โรงแรมห้าดาวขนาดสองร้อยสิบสี่ห้องติดทะเลสาบสวอน ในอุทยานแห่งชาติเกลเชียร์ รัฐมอนแทนา ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งบนเทือกเขารอกกีของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นโรงแรมที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. ๑๙๑๔ และเปิดประตูต้อนรับแขกวันชาติอเมริกัน ค.ศ. ๑๙๑๕ 

อาคารสี่ชั้นสถาปัตยกรรมแบบผสม โครงสร้างขนาดใหญ่ของอาคารเป็นแบบสวิสแอลไพน์ทาด้วยสีน้ำตาลเข้มสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง จึงต้องตัดต้นไม้จำนวนมหาศาล และสร้างโรงเลื่อยเองในช่วงเวลาที่ก่อสร้าง ส่วนล็อบบีสูงสี่ชั้น ล้อมรอบไปด้วยระเบียงสามด้าน และราวระเบียงเป็นไม้ที่ออกแบบตามสถาปัตยกรรมแบบสวิสชาเลต์ในเทือกเขาแอลไพน์ ด้านในตกแต่งแบบคาวบอย มีหนังหมีและกะโหลกควายไบซัน ผสมผสานความอ่อนช้อยแบบตะวันออกด้วยการประดับโคมไฟหลายสิบดวง

อาคารหลังใหญ่แบ่งเป็นสองปีก คือฝั่งเมนและแอนเน็กซ์ ขนานไปกับริมทะเลสาบ ที่มองจากล็อบบีออกไปก็เห็นแต่เพียงเงาตะคุ่มของภูเขาที่มีหิมะปกคลุม และพื้นน้ำที่ราบเรียบสะท้อนแสงจันทร์วิบวับ

เวลานี้ควรจะเป็นเวลาที่ทุกคนพักผ่อนเพื่อตื่นขึ้นมารับเช้าวันใหม่ที่แสนสดชื่น ทว่า...วันนี้เป็นวันหยุดยาวกลางฤดูใบไม้ผลิ ห้องพักถูกจองเต็มไปจนถึงเช้าวันจันทร์ 

และคืนวันศุกร์...รีเซปชันสาวก็จำต้องมอบห้องสุดท้ายให้แก่แขกสามีภรรยาที่เข้ามาเช็กอินในตอนดึก และภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่องขึ้นเลยจนกว่าแขกจะคืนห้องในเช้าวันจันทร์ 

 

ห้อง ๔๐๔ เป็นห้องสวีตสุดหรู มีระเบียงร่วมกับห้อง ๔๐๕ ที่อยู่ติดกัน ในอดีตทั้งสองห้องมีประตูเชื่อมระหว่างกัน แต่เวลาผ่านไป ประตูถูกถอดออกและปิดเป็นผนัง ตัดขาดจากกันอย่างถาวร ยกเว้นระเบียงที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยจะกระทบต่อการออกแบบของอาคาร จึงทำได้แค่กั้นราวเตี้ยๆ ตรงกลางแบ่งขอบเขต และถ้าไม่จำเป็น ห้อง ๔๐๔ จะเป็นห้องสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่ต้อนรับมอบให้แขก

สองสามีภรรยาในวัยห้าสิบเดินทางมาถึงโรงแรมเกือบสี่ทุ่มเป็นแขกคู่สุดท้าย และเจ้าหน้าที่แจ้งว่าทางโรงแรมได้อัปเกรดห้องพักให้เป็นห้องสวีต ทั้งสองก็ตอบรับด้วยความยินดี ได้ห้องดีขึ้นในราคาเดิม ใครจะไม่เอา 

ลับหลังสองสามีภรรยา รีเซปชันสาวสบตาผู้จัดการหนุ่มใหญ่ สายตาที่ถ่ายทอดระหว่างกันมีอะไรซุกซ่อนอยู่มากมาย ก่อนที่ผู้จัดการจะตบไหล่เธอเบาๆ

“อย่าคิดมากน่า ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย มันก็ไม่ได้มีปัญหาทุกครั้งหรอก ใช่ไหม”

เขาบอกแล้วเดินกลับเข้าห้องพักพนักงานด้านหลังเคาน์เตอร์  คืนนี้เธอจะต้องดูแลความเรียบร้อยตามลำพัง ขณะที่ผู้จัดการเก็บข้าวของกลับที่พักสบายใจเฉิบ

ทว่าความหวังของเธอดับลงเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังสามนาฬิกาเล็กน้อย พนักงานต้อนรับสาวงัวเงียยกหูโทรศัพท์ และตาสว่างทันทีที่เห็นหมายเลขห้องบนแผงหน้าจอขนาดใหญ่บนเครื่องรับโทรศัพท์ของโรงแรม

“คะ?” เธอกระซิบ

“นี่คุณ ช่วยบอกห้องข้างๆ ให้เงียบหน่อยได้ไหม พวกเราจะนอน นี่เล่นร้องไห้มานานเป็นชั่วโมงแล้วยังไม่หยุด ใครจะไปนอนหลับได้”

คนรับโทรศัพท์ขนลุกซู่ไปทั้งตัว และตอบ “ได้ค่ะ”

“ขอบคุณ” แขกกระแทกเสียงบอก พร้อมกระแทกกระบอกหูโทรศัพท์ลงกับแป้น 

พนักงานต้อนรับสาวค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นมองเพดาน ใจเต้นตึ้กตั้ก...แล้วเธอจะไปบอกใครล่ะ!

 

“บ้าเอ๊ย จะร้องไห้อะไรนักหนาวะ” 

สามีบ่นอุบ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน ภรรยาขยับเข้ามาชิดและกระซิบหวาดๆ

“คุณคิดว่าเป็นเสียงของข้างห้องเหรอคะ”

“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าไม่ใช่ข้างห้องจะมีใครมานั่งร้องไห้ในนี้ ดูเอาเองสิ เปิดไฟดูแล้วก็ไม่เห็น ที่ระเบียงก็ไม่มี ในห้องน้ำก็ไม่มี”

“ฉะ...ฉันคะ...คิดว่า...เสียงมันใกล้มาก มะ...เหมือนอยู่ใกล้ๆ พวกเราเลย”

“อย่าบ้าน่า ใครจะมานั่งร้องไห้ในห้องนี้” เขาตอบ หลังจากเปิดไฟดูหลายรอบ เสียงร้องไห้ก็เงียบไป แต่ก็ไม่เห็นใครในสายตา

“ฉะ...ฉันเคยได้ยิน...เขาว่าโรงแรมนี้...”

“ไร้สาระ นอนๆ”

เขาดึงภรรยาลงนอนและดับไฟหัวเตียงอีกครั้ง ฝ่ายหญิงขยับเข้าไปจนชิดสามี และพลิกตัวนอนหันหลังชนสามี เพราะแผ่นหลังเย็นวาบๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว หล่อนกังวลอยู่พักใหญ่ พอไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกก็ผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า แต่หล่อนก็เริ่มฝัน และเป็นความฝันที่ไม่เป็นสุขเลย ภาพในความฝันไม่ปะติดปะต่อราวกับดูภาพยนตร์ขาดช่วง ทว่าเหงื่อกาฬใต้ผ้าห่มแตกพลั่ก...

ภายในห้องมืดมิด มีเพียงแสงไฟจากด้านนอกอาคารผ่านกระจกตรงประตูออกไปสู่ระเบียง เสียงฝีเท้าเดินไปมาไม่เป็นสุข หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวคอยชะเง้อผ่านขอบระเบียงไปด้านล่างราวกับรอคอยการมาถึงของใครสักคน 

เมื่อเห็นเงาดำโผล่จากสวนด้านหลัง หญิงสาวโบกมือร้อนรน พอร่างใหญ่ก้าวข้ามราวระเบียง เธอก็โผเข้าไปกอด ร่ำไห้น้ำตาไหลพราก

แล้วภาพต่อมาในความฝัน...ภายในห้องนอน ร่างหนึ่งกำลังทุรนทุรายใต้ร่างของชายที่กำลังบีบคอเล็กๆ ด้วยความเคียดแค้น ร่างบางดิ้นพราด พยายามหนีจากเงื้อมมือของมัจจุราช ดวงตาเหลือกลาน มองชายที่กำลังจะปลิดชีวิตตนด้วยความหวาดกลัว คราบน้ำตาเกรอะกรังบนแก้ม ลิ้นปลิ้นออกมาจุกที่ริมฝีปากเมื่อลมหายใจสุดท้ายถูกบีบคั้นออกไปจากปอดและไม่มีอากาศเข้าไปอีก เท้าทั้งสองที่พยายามดิ้นสะบัดค่อยๆ หมดแรง...ดวงตาที่มองชายผู้นั้นเต็มไปด้วยแรงอาฆาต พร้อมกับวิญญาณที่หลุดลอยไปจากร่าง

เสียงร้องไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงตะเบ็ง เกรี้ยวกราด เสียงนั้นแหลมปรี๊ดเสียดแทงในโสตประสาท สองสามีภรรยาสะดุ้งตื่นพร้อมกัน โผเข้ากอดกันโดยไม่รู้ตัวและหันไปมองที่มาของเสียง

ที่ปลายเตียง...เงาร่างหนึ่งยืนอยู่ ชี้หน้าทั้งสองที่ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก

สารเลว...คนสารเลว...กรี๊ด!

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องในห้อง พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดลอยเข้ามาใกล้ ใบหน้าส่วนหนึ่งโผล่เข้ามาในแสงไฟจากระเบียง ใบหน้านั้นบูดเบี้ยว น่าเกลียดน่ากลัว เน่าเฟะน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ริมฝีปากแสยะกว้าง ฟันทั้งปากแหลมราวกับผีดิบและเต็มไปด้วยน้ำเหลืองและเลือด มือทั้งสองยื่นออกมาหมายจะขย้ำคอของฝ่ายชาย 

ตอนนั้นเองที่ภรรยารู้สึกตัว หันมาเปิดไฟสว่างจ้าทั้งห้อง เงาดำหายวับไปพร้อมกับแสงสว่าง สองสามีภรรยาหันไปสบตากัน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวสุดขีดเมื่อรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นพร้อมกันเมื่อครู่ไม่ใช่คน!

 

พนักงานต้อนรับจำต้องจองโรงแรมอีกแห่งที่อยู่ในเขตอุทยานให้ทั้งสองแทน หลังจากทั้งสองยืนยันจะออกจากโรงแรมในตอนเช้ามืดนั้นเอง ฝ่ายสามีลงมาโวยวายลั่นล็อบบีจนทำให้แขกเหรื่ออื่นตกใจ เธอขอโทษขอโพยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และยืนมองแขกทั้งสองรีบออกไปจากโรงแรมราวกับถูกผีไล่ตามหลัง

เธอถอนใจเฮือก เงยหน้ามองไปทางห้องเจ้าปัญหา...อีกครั้งที่อะมานดาออกมาทวงความยุติธรรม แม้ตายไปนานแล้วแต่วิญญาณก็ยังวนเวียนตามหาฆาตกร...ไม่รู้จักจบสิ้น

พรุ่งนี้เธอจะขอร้องผู้จัดการ หากยังต้องการความสงบสุขในโรงแรม ห้อง ๔๐๔ ควรจะต้องปิดตายตลอดไป!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น