6

6

บทที่ ๖

 

คริษฐ์ถูกส่งขึ้นไปทำงานที่แคมป์แห่งหนึ่ง เริ่มต้นด้วยการก่อสร้างกระท่อมบนเขาให้แก่พนักงานหลายสิบชีวิตในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ บนเขามีเพียงเส้นทางเดินเท้าของนายพรานเผ่าแบล็กฟุต ซึ่งคนงานจะต้องใช้ม้าต่างข้าวของเครื่องใช้ขึ้นเขา สำหรับการขนส่ง

หลังจากประชุมก่อนเริ่มงานก็ทราบว่าการก่อสร้างจะดำเนินไปพร้อมกันตลอดสายโดยแบ่งออกเป็นสิบห้าแคมป์ แต่ละแคมป์รับผิดชอบระยะทางที่กำหนด คริษฐ์ไม่เห็นด้วยกับการทำงานเช่นนี้เลย เพราะการขนส่งเสบียงขึ้นไปบนเขายิ่งสูงยิ่งไกลก็จะยิ่งยากลำบาก แทนที่จะค่อยๆ สร้างขึ้นไปเพื่อประหยัดการขนส่งอาหารและเครื่องมือเครื่องใช้ เพราะเขาทราบมาว่าระหว่างแคมป์ต้องใช้ม้าในการขนส่งตามเส้นทางเดินป่าซึ่งไม่ใช่งานที่ง่ายเลย และหลังจากสร้างกระท่อมบ้านพักคนงานและโกดังสำหรับเก็บเครื่องมือแล้วจึงค่อยๆ สร้างถนนชั่วคราวลงมา

โชคดีที่เขาทำงานอยู่ที่แคมป์หนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากฐานอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานและจุดสิ้นสุดของถนนทางราบ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ โอเวน มัวร์ วิศวกรเชื้อสายอังกฤษที่เป็นผู้ดูแล คนงานกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย บางคนมีเชื้อสายจีนด้วยมีพรมแดนประเทศติดกัน และมีชาวจีนสามคน ทำให้เขาไม่รู้สึกแตกต่างไปจากกลุ่มสักเท่าไหร่ แต่พอถูกถามถึงที่มาที่ไปและเหตุผลว่าทำไมถึงมารับงาน เขาจำต้องโกหกว่าพ่อแม่เสียชีวิตและเติบโตในโบสถ์ที่ดูแลเด็กกำพร้า จึงทำให้เขาได้ร่ำเรียนจนจบมัธยมปลาย

คริษฐ์เข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดี หลังจากแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความรู้และความสามารถในการทำงานของตนตั้งแต่แรก ทั้งยังทำงานทุกอย่างเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานทุกคนแม้จะเป็นหัวหน้างานก็ตาม จึงได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานตั้งแต่เริ่มต้น

งานหลักของพวกเขาทันทีที่ขึ้นไปถึงแคมป์ก็คือเริ่มตัดต้นไม้ตามเส้นทาง เพื่อนำไม้มาสร้างบ้านพัก ฟิลลิปมีตารางต้องขึ้นมาตรวจงานทุกแคมป์เวียนกันไป วิศวกรที่ดูแลงานจะต้องรายงานการทำงานประจำสัปดาห์ว่าได้ดำเนินไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งก็ต้องขอบคุณที่หิมะละลายไปอย่างรวดเร็วหลังตกมาหลงฤดูตอนต้นเดือนเมษายน จากนั้นอากาศก็อุ่นขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้การทำงานของพวกเขาง่ายขึ้น

หลังจากสร้างบ้านพักคนงานเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็เริ่มต้นทำงานอย่างจริงจังด้วยการขุดรากไม้ที่ตัดไปสร้างบ้าน คริษฐ์ต้องเรียนรู้การใช้รถตักที่ใช้พลังงานไอน้ำซึ่งค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควร และยังต้องคอยเติมฟืนอยู่เป็นระยะ แต่ผ่านไปสักพักเขาก็เริ่มคล่อง รากไม้ที่ถูกขุดขึ้นจะต้องถูกรถม้าลากไปทิ้งที่เหวเพื่อไม่ให้กีดขวางทางการทำงาน จึงมีกระบะไม้ที่ผูกติดอยู่กับม้าสองตัวทำหน้าที่ลากเศษไม้และรากไม้ไปทิ้งวันละหลายรอบ

คริษฐ์พอใจที่งานของพวกเขาดำเนินไปอย่างราบรื่น มีที่น่ารำคาญใจอย่างเดียวก็คือหัวหน้าของพวกเขาที่วันๆ ชอบยืนชี้นิ้วสั่งงานและคอยนั่งหลบอยู่ใต้ต้นไม้ ขณะที่คนงานทุกคนต้องกรำแดดและบางครั้งก็ทำงานอยู่กลางสายฝน โดยมีจอร์จ คนงานสัญชาติอังกฤษคอยพัดวี รองมือรองเท้า เลียแข้งเลียขาจนน่าหมั่นไส้ 

และโอเวนผู้นี้คือว่าที่คู่หมั้นของอะมานดา เขารู้เพราะจอร์จเที่ยวป่าวประกาศความสนิทสนมของเจ้านายกับผู้บริหารโครงการอยู่เป็นนิตย์ จะเป็นเพราะอยากให้ทุกคนกลัวหรืออยากอวดก็สุดแท้แต่ เหล่าคนงานไม่มีใครอยากสุงสิงด้วย และทุกคนก็ไม่เคยปริปากบ่นเพราะยังไม่อยากตกงาน แต่พออยู่ในบ้านพักลับหลังทั้งสอง คนงานก็จะนินทาพวกนั้นอย่างออกรส เช่นวันนี้ที่วาสิลีเก็บความอึดอัดมาระบายกับกลุ่มเพื่อนสนิทก่อนเข้านอน

“ถ้างานที่แคมป์นี้เสร็จลงตามกำหนด นั่นก็เป็นเพราะนาย คริส”

“เป็นเพราะพวกเราทุกคนนั่นแหละ” เขาเงยหน้าจากกระดาษที่กำลังเขียนรายงานและบอกให้กำลังใจเพื่อนทุกคน

“ฉันไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าไอ้หมอนั่นมันจะจบวิศวะอย่างที่มันบอก ถามอะไรมันก็อึกๆ อักๆ แกยังรู้เรื่องมากกว่ามันอีกนะคริส” ยูริ เพื่อนร่วมงานอีกคนที่นอนเตียงข้างๆ เสริม

“ใช่ แล้วดูสิ รายงานนี่มันจะต้องเป็นคนทำ ไม่ใช่แก ถ้าแกทำงานมากขนาดนี้ ทำไมไม่ขอเลื่อนขั้นเป็นวิศวกรคุมแคมป์นี้เสียเลยวะ” บอริส เพื่อนที่นอนอยู่ชั้นบนเหนือเตียงของคริษฐ์ชะโงกหน้าลงมาคุย ชายทั้งสี่สนิทสนมกันเพราะเตียงสองชั้นตั้งติดกัน คริษฐ์เลือกเตียงที่ติดผนัง เพราะกลางคืนเขาต้องนั่งเขียนรายงาน เวลาจุดตะเกียงจะได้ไม่รบกวนเพื่อนร่วมงานมากนัก และเตียงถัดไปก็เป็นเพื่อนชาวรัสเซียที่มีเชื้อสายจีน ด้วยความที่มีเลือดผสมคล้ายกัน ทำให้กลุ่มพวกเขาสนิทสนมกันมากกว่ากลุ่มอื่น 

“ก็แค่ขาดใบปริญญาเท่านั้น” บอริสที่สนิทสนมกับคริษฐ์มากกว่าคนอื่นเยาะ และเดือดแทนเพื่อน “แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ถ้ามีใบปริญญาแต่ไม่ยอมทำงาน พอเห็นว่าแกอ่านออกเขียนได้ ก็โยนให้แกทำงานเพิ่มอีก”

“ไม่เอาน่า อย่าคิดมากสิ ฉันจะได้ฝึกฝีมือไปด้วยยังไงล่ะ วันหน้าเผื่อไปเรียนเพิ่มเติมจะได้เป็นวิศวะกับเขาบ้าง” คริษฐ์พูดติดตลก 

“อย่างแกไม่ต้องไปเรียนเพิ่มอะไรแล้ว ฉันว่าแกเก่งกว่าไอ้โอเวนขี้โอ่นั่นเสียอีก ลูกน้องของมันอีกคน” ยูริทำเสียงเดือดดาล ก่อนจะลดเสียงลงพลางเข่นเขี้ยว “สักวันจะจับมันมัดติดกับระเบิดไปพร้อมกับหิน”

ไม่ต้องมีใครพูดก็รู้จักนิสัยขี้ฟ้องและขี้ประจบของจอร์จดี ทั้งยังชอบเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานไม่ต่างจากเจ้านาย ทำให้ทุกคนรู้สึกเอือมระอาทั้งสองคน 

“แกน่าจะบอกเรื่องนี้ให้คุณฟิลลิปทราบ” วาสิลีเอ่ยขึ้น หลังทั้งกลุ่มเงียบไปหลายอึดใจ

“เรื่องอะไร” คริษฐ์ชะงักมือที่กำลังเขียนรายงานประจำสัปดาห์เพื่อจะได้นำส่งฟิลลิปในวันรุ่งขึ้นเมื่อฝ่ายนั้นขึ้นมาตรวจงาน

“ก็เรื่องที่แกเป็นคนเขียนรายงาน เป็นคนคอยดูแลงาน งานทั้งหมดที่ก้าวหน้าไปได้ขนาดนี้ก็เพราะแก ไม่ใช่โอเวน”

“อย่าเลย ฉันไม่อยากรับผิดชอบมากไปกว่านี้แล้ว”

“แกรับผิดชอบไปเรียบร้อยแล้วว่ะ” บอริสหัวเราะชอบใจ “ที่จริงแกควรจะขอแบ่งเงินเดือนจากโอเวนด้วยถึงจะถูก เล่นโยนงานมาให้แกทำทั้งหมดแบบนี้”

คริสไม่ตอบ แต่สูดลมหายใจเข้าลึก...ที่เขาทุ่มเททำงานเกินหน้าที่ก็เป็นเพราะเขาอยากทำให้โอเวนกับฟิลลิปเห็นผลงาน เขามีจุดมุ่งหมายที่บอกใครไม่ได้ นอกจากทุ่มเททำงานจนเจ้านายมองเห็นฝีมือเท่านั้น แต่เวลาผ่านไป แทนที่เขาจะได้รับการสนับสนุนจากโอเวน กลับถูกเอาเปรียบอย่างน่ารังเกียจ และเขาก็ได้แต่อดทน ปลอบใจว่าอีกไม่นานก็จะถึงฤดูร้อน...เขาจะได้ไปจากที่นี่เสียที

เสียงประตูไม้เปิดออกกระแทกฝาผนังอย่างไม่เกรงใจใคร ทำให้ทุกคนในกระท่อมหันมองไปที่ประตูพร้อมเพรียงกัน  

“รายงานเขียนเสร็จหรือยัง”

จอร์จกระชากเสียงถามอย่างไม่เกรงใจใครในบ้านพัก คนที่ไม่เกี่ยวก็ทิ้งตัวลงนอนหรือหันกลับไปทำสิ่งที่ค้างก่อนหน้า ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวกับคนสนิทของหัวหน้า เพราะเขาขึ้นชื่อในเรื่องความขี้ฟ้อง จึงอยู่ห่างๆ สบายใจกว่า

“เกือบเสร็จแล้ว” คริสตอบ 

“ทำไมถึงได้ช้าแบบนี้ คุณโอเวนต้องตรวจสอบอีกครั้ง ป่านนี้นายยังทำไม่เสร็จแล้วเขาจะได้นอนกี่โมง” จอร์จโวยวาย 

“ที่จริงถ้าอยากให้เร็ว คุณโอเวนควรจะเป็นคนเขียนเองจะได้นอนไวๆ ไม่ต้องเสียเวลาตรวจ” บอริสเอ่ยลอยๆ “ไม่ใช่ใช้ให้หัวหน้างานทำแล้วมารอเซ็น คนทำงานมาทั้งวัน กว่าจะได้กลับมาเขียนก็ดึก จะให้เสร็จเร็วได้ยังไง”

จอร์จมองหน้าคนพูดทันที สีหน้าเอาเรื่อง แต่บอริสไม่เกรงกลัว เขากระโดดลงจากเตียงชั้นสอง ยืดตัวเต็มความสูง ร่างที่หนาจากการทำงานหนักดูน่าเกรงขามกว่าคนร่างผอมแห้งอย่างจอร์จที่หันมองรอบตัวแล้วคิดว่าไม่น่าจะมีทางสู้ชายเหล่านี้ได้ ยิ่งรู้ว่าพวกนั้นไม่ชอบเขา ขืนต่อปากต่อคำ คนเจ็บคงไม่วายเป็นตัวเอง จอร์จแสร้งเมิน และมองไปทางคริษฐ์ที่ลุกจากเตียงและขยับโต๊ะเล็กที่ใช้ไม้ที่เหลือจากการสร้างกระท่อมมาตอกเป็นโต๊ะทำงานตามมีตามเกิด

“ว่าไงล่ะ” จอร์จอวดเบ่งอีก ยังข่มได้เมื่อเห็นคริษฐ์ไม่มีท่าทีก้าวร้าวเหมือนเพื่อนร่วมงาน 

“ผมบอกว่าเกือบเสร็จแล้ว คุณกลับไปก่อนเถิด อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงผมจะเอาไปส่งที่บ้านของคุณโอเวนเอง”

“ทำไมถึงได้นานขนาดนั้น”

“อยากได้เร็วก็เอากลับไปเขียนเอง งานของใคร คนนั้นก็รับผิดชอบไป” ยูริช่วยเพื่อน และก้าวมายืนเคียงข้างบอริสท่าทางเอาเรื่องเต็มที่ ด้วยไม่ชอบขี้หน้าจอร์จมานานแล้ว ทำเอาชายร่างผอมต้องก้าวถอยหลัง แต่ยังไม่สิ้นฤทธิ์

“เออ อีกหนึ่งชั่วโมง ถ้าแกไม่เอาไปส่ง ฉันจะบอกให้คุณโอเวนลงโทษพวกของแกทุกคน”

บอริสและยูริกอดอก หาได้หวาดหวั่นต่อคำขู่นั้นไม่ จอร์จมองชายทั้งสองสลับไปมา คล้ายขู่อาฆาต แต่ไม่มีใครหวาดกลัว ทำให้คนขู่ต้องถอยไปเอง และกระแทกประตูปิดตามหลังเป็นการส่งท้าย

“หากอยู่รัสเซีย ไอ้หมอนี่ถูกปาดคอและจับโยนลงเหวไปแล้ว” บอริสกระซิบลอดไรฟัน 

“จะลงมือเมื่อไหร่บอกด้วย” ยูริร่วมวง 

“อย่าลืมเจ้านายมันด้วยล่ะ” วาสิลีที่ยังนอนบนเตียงตะโกนช่วยเตือน แล้วทั้งสามก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน 

คริษฐ์ส่ายหัว รู้ว่าทั้งสามแค่พูดจาหยอกเย้า ไม่ได้หมายความตามนั้นจริง ในฐานะผู้อพยพไม่มีใครกล้าทำ ไม่มีใครอยากติดคุกบนแผ่นดินใหม่ที่มีอนาคตสดใสรอคอยเบื้องหน้า 

หมดเรื่องน่าสนใจทุกคนก็กลับไปนอนที่เตียงของตัวเอง ไม่มีใครเอ่ยถึงบุคคลที่น่ารำคาญที่เพิ่งจากไปและเจ้านายอีก อีกทั้งก็พร้อมใจกันเงียบเพื่อให้คริษฐ์มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็ปิดแฟ้มลง แล้วดับตะเกียงหัวเตียง ให้เพื่อนๆ ได้นอน ก่อนจะหยิบไฟฉายเดินไปที่บ้านพักของโอเวน ที่ตะเกียงด้านในยังคงสว่าง ท่าทางจะรอรายงานจากเขานั่นเอง

คริษฐ์เคาะประตูกระท่อมเบาๆ พอได้ยินเสียงอนุญาตเขาก็เปิดประตูเข้าไป 

ภายในกระท่อมส่วนตัว มีเตียงไม้ขนาดเท่ากับเตียงของคนงานแต่เป็นชั้นเดียววางอยู่ด้านใน และมีโต๊ะทำงานตั้งอยู่ใกล้ประตู ห้องไม่ได้เลิศหรู แต่ก็มีความเป็นส่วนตัวที่ไม่ต้องแบ่งห้องกับใคร

“เสร็จแล้วใช่ไหม”

“ครับ” เขาวางแฟ้มลงบนโต๊ะตรงหน้าโอเวน

“ขอบใจนะ” เขาดึงแฟ้มมาและเปิดออกดู “ฉันต้องตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง มันช่างเป็นงานที่น่าเบื่อ ไม่รู้จะต้องเขียนส่งทำไมทุกอาทิตย์ เสียเวลา”

คริษฐ์ไม่ตอบ เพราะในอนาคต การทำงานของเขาก็ต้องเขียนรายงานอย่างละเอียด เพียงแต่มีคอมพิวเตอร์ช่วยให้งานสะดวกขึ้น ช่วยทั้งการออกแบบและส่งรายงาน

“นายรู้ใช่ไหมว่าพรุ่งนี้ฟิลลิปจะมาตรวจงาน” โอเวนเงยหน้าจากแฟ้ม มองคนที่ยืนตรงข้ามโต๊ะทำงาน

“ครับ คราวนี้มาเร็วกว่าปกตินะครับ”

“ใช่ เพราะว่าคุณหลุยส์จะพาครอบครัวมาเที่ยวและตรวจงานไปพร้อมกันในอาทิตย์หน้า ฟิลลิปกับฉันเลยต้องรีบกลับลงไปเตรียมการต้อนรับให้พร้อม”

คริษฐ์ใจเต้นตึ้กตั้ก...ความฝันในคืนสุดท้ายอาจจะเป็นความจริงแล้ว 

“ผะ...ผมขอลงไปด้วยได้ไหมครับ” เขาถามด้วยความคาดหวังรีบบอก “ถ้าคุณหลุยส์ต้องการรายละเอียดของแคมป์นี้ ผมก็สามารถอธิบายได้”

คนฟังตาวาววับทันที และปิดแฟ้มลงเสียงดัง

“นายทำงานอยู่ที่นี่แหละดีแล้ว ที่นั่นไม่ต้องการนาย”

รอยยิ้มเลือนไปจากใบหน้าของคริษฐ์ทันที ใจหายวาบ หากไม่ได้พบอะมานดาที่นั่น แล้วเขาจะเจอเธอได้อย่างไร

“ที่ฉันให้นายช่วยทำงาน ก็ถือว่ามอบโอกาสให้นายมากแค่ไหนแล้ว ให้รู้จักที่ทางของตัวเองบ้าง”

คนถูกตำหนิหน้าชา จำต้องเงียบแล้วถอยกลับไปยังบ้านพักของตน 

เขาก้าวขึ้นเตียง แต่สีหน้ายังเต็มไปด้วยความกังวล

“มีอะไรหรือเปล่า” ยูริเห็นหน้าของเพื่อนข้างเตียงใต้แสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดกว้าง แม้ปกติคริษฐ์จะไม่ใช่คนที่มีอารมณ์ขันมากมายอย่างบอริส แต่ก็ไม่ค่อยเห็นเขาหน้าตาเคร่งเครียดเช่นกัน “ไอ้หมอนั่นว่านายรึเปล่า”

คนถามลุกขึ้นนั่งกลางเตียง พลอยทำให้เพื่อนที่นอนเตียงชั้นบนทั้งสองต้องห้อยหัวลงมาดู

“เปล่าหรอก เขาไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่าครอบครัวหลุยส์จะมาตรวจงานอาทิตย์หน้า คุณฟิลลิปเลยมาเร็วกว่าปกติ”

“แล้วทำไมล่ะ พวกเขาเกี่ยวอะไรกับแกด้วย” บอริสสงสัย 

คริษฐ์รีบสั่นหัวแล้วงึมงำ “ไม่เกี่ยวหรอก เพียงแต่คิดว่าบางทีฉันอาจจะช่วยตอบคำถามได้ดีกว่าเขา...”

“แน่นอน แกต้องตอบได้ดีกว่าไอ้โอเวนอยู่แล้ว” เพื่อนสนิทสนับสนุน

“มันไม่ให้แกไปใช่ไหม” ยูริถาม “คงจะกลัวว่าแกจะได้หน้ามากกว่าแน่เลยว่ะ”

“ไม่น่าแปลกใจหรอกคนแบบนั้น ก็รู้กันอยู่แล้ว อย่าคิดมากเลยนะ รีบนอนเถอะ” วาสิลีบอก 

คริษฐ์ทิ้งตัวลงนอน ตัดการสนทนาเพียงเท่านั้น แต่แขนยังยกก่ายหน้าผาก กังวลใจว่าถ้าไม่ได้พบอะมานดาแล้วเขาจะหาทางแก้ไขปัญหาของเธอได้อย่างไร เขานอนกลุ้มอยู่นาน...จนสุดท้ายตัดสินใจว่าหากไม่ได้ลงเขาไปพบเธอในวันที่ครอบครัวหลุยส์มาตรวจงาน เขาอาจจะลองหาโอกาสไปเยี่ยมโรเบิร์ตอีกครั้งในวันหยุดครั้งหน้าแทนถ้าจำเป็น 

คริษฐ์ได้ยินเสียงกรนดังประสานกันในความมืด...ทุกคนกำลังหลับสนิท ยกเว้นเขาที่นอนยกแขนก่ายหน้าผาก มองผ่านกรอบหน้าต่างที่เปิดออก เห็นดวงดาววิบวับอยู่บนฟากฟ้า

ตลอดเกือบสองเดือนที่ผ่านมา ชีวิตของเขามีแต่งานและงาน เพื่อสมองจะได้ไม่ต้องคิดถึงปัญหาของตนมากนัก ในวันหยุดหลังได้รับเงินเดือนครั้งแรก เขาก็นำเงินยี่สิบเหรียญพร้อมกับของฝากกลับไปให้เบธที่โรงแรม ไม่ลืมซื้อไวน์และอาหารที่โรเบิร์ตชอบไปฝากผู้มีพระคุณเช่นกัน เขาพักกับครอบครัวของโรเบิร์ตสองคืนก่อนจะกลับมาที่แคมป์อีกครั้ง และโรเบิร์ตยังบอกว่ายินดีต้อนรับเขาตลอดเวลา 

คริษฐ์เริ่มสับสน...หากเขาไม่ได้อยู่ที่สำนักงานในวันที่ครอบครัวหลุยส์เดินทางมาเที่ยว แล้วเขาจะฝันเห็นตนอยู่ที่นั่นได้อย่างไร และหากเขาไม่รู้จักอะมานดา เธอยังจะถูกเขาฆ่าตายอีกหรือไม่ หากเธอไม่ตาย...แล้วเขาจะได้กลับบ้านหรือเปล่า  คำถามมากมายที่ไม่มีใครให้คำตอบเขาได้วนเวียนอยู่ในหัว ความกลัดกลุ้มใจไม่สามารถสลัดออกไปจากหัวได้ง่ายๆ เขาไม่อยากติดอยู่ที่นี่ตลอดไป เขาจะต้องหาวิธีพบอะมานดาให้ได้ เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น...เพราะมันเป็นทางเดียวที่เขาคิดออกว่ามันอาจจะช่วยพาเขากลับอนาคตได้หากแก้ไขปัญหาของเธอจบสิ้น

กว่าจะนอนหลับได้ พระอาทิตย์ก็เกือบจะโผล่พ้นขอบฟ้า คนงานที่มีหน้าที่ทำครัวก็ลุกไปก่อไฟเตรียมทำอาหารตั้งแต่เช้ามืด พอใกล้เวลาเข้างาน อาหารก็พร้อมสำหรับทุกคน ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน รถตักไอน้ำเดือดพล่าน ทำหน้าที่ขุดรากไม้บนเส้นทางที่จะตัดถนน อีกกลุ่มก็ทำหน้าที่ปรับพื้นผิวถนนให้ราบหลังรากไม้ถูกขุด อีกกลุ่มก็สำรวจ ศึกษาแนวระเบิดหินเพื่อเปิดเส้นทาง คริษฐ์ทำงานอย่างไม่มีสมาธินัก สายตาคอยจะมองไปยังเส้นทางที่ฟิลลิปกับผู้ช่วยของเขาลงมาจากแคมป์ที่สอง ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเท้าของนายพราน แต่ฟิลลิปและไมเคิลผู้ช่วยก็เดินทางด้วยม้า เพราะเป็นการขนส่งหลักระหว่างค่าย รวมไปถึงอาหารและอุปกรณ์ในการทำงาน 

โอเวนดูกระตือรือร้นออกมาควบคุมการทำงานอย่างขันแข็ง ชายหลายคนเอาข้อศอกถองที่เอวของเพื่อนร่วมงาน บุ้ยปากให้กัน แอบขำท่าทางของวิศวกรคุมงานที่ตะโกนส่งเสียงโหวกเหวกเอาการเอางาน ทั้งที่ทุกวันจะต้องนั่งหลบแดดและให้คริษฐ์เป็นคนคอยควบคุมคนงานเสียส่วนใหญ่ 

คริษฐ์ไม่ได้ใส่ใจโอเวนนัก เพราะมัวแต่คอยมองว่าฟิลลิปจะมาถึงเมื่อไหร่ จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาและเลี้ยวมาตามเส้นทางริมหน้าผา 

“เฮ้ย มัวแต่มองอะไร รีบทำงานเข้าสิ” โอเวนตะโกนเสียงดัง คริษฐ์รีบส่งสัญญาณให้คนขับรถตักลากเศษไม้และรากไม้ตรงหน้าอย่างไม่ให้ขาดช่วง สายตาก็คอยหันไปทางม้าสี่ตัวที่เดินเหยาะๆ ใกล้เข้ามา

“สวัสดีครับ” โอเวนตรงเข้าไปทักทายเจ้านาย จอร์จช่วยรับม้าของหัวหน้าใหญ่ที่เหวี่ยงตัวลงไปยืนข้างคนทัก 

ฟิลลิปพยักหน้ารับ และมองไปรอบๆ

“งานเรียบร้อยดีนี่” ฟิลลิปพยักหน้าด้วยความพอใจ “คุณอเล็กซ์จะขึ้นมาดูที่แคมป์หนึ่ง คงจะพอใจที่เห็นความก้าวหน้า”

“เขาจะขึ้นมาที่นี่หรือครับ” โอเวนทำหน้าตื่นเต้น

“ใช่ เขาจะพาครอบครัวขึ้นมาเที่ยวด้วย ว่าแต่คุณทำรายงานเสร็จหรือยัง ผมจะต้องรายงานความคืบหน้าของการทำงานให้เขาฟังด้วย”

“เสร็จแล้วครับ ผมเร่งทำให้ทั้งคืน ช่วงนี้ผมเร่งงานให้เร็วที่สุด เลยเพิ่งมีเวลาเขียนรายงานเสร็จเมื่อคืนนี่เอง”

“ขอบคุณที่ทุ่มเท คุณอเล็กซ์คงจะพอใจ” ฟิลลิปตอบ แล้วเดินไปตรวจงานรอบๆ โอเวนรีบเดินตาม ไม่ปล่อยฟิลลิปได้คุยกับคนงานอื่น จนกระทั่ง...

“เป็นไงบ้างคริส” ฟิลลิปทักทาย จำหัวหน้างานได้ทันที 

“สบายดีครับ” คริสตอบ ปรายตามองโอเวนด้วยความไม่สบายใจ อยากคุยกับฟิลลิปตามลำพัง แต่ดูท่าทางแล้วโอเวนคงไม่ยอม และเขาก็ยังไม่อยากมีปัญหากับหัวหน้างาน

“เราไปดูทางโน้นหน่อยดีไหมครับ ผมอยากจะปรึกษาอะไรบางอย่าง” โอเวนบอก 

ฟิลลิปนิ่วหน้าทันที “มีปัญหาอะไรอย่างนั้นรึ”

“ไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอกครับ แค่อยากปรึกษาว่าผมตัดสินใจถูกต้องหรือไม่”

ฟิลลิปลืมคริษฐ์ไปทันทีและเดินตามโอเวนไปอีกทาง คริษฐ์หน้าจ๋อย ถอนใจเฮือก 

“มีอะไรหรือเปล่าวะ” บอริสเดินมาถามเพื่อน 

คริษฐ์สั่นหัวและหันกลับไปทำงานตามเดิม หมดหวังที่จะได้ขอฟิลลิปลงไปต้อนรับครอบครัวหลุยส์ เพราะโอเวนพาฟิลลิปไปไกลลับสายตา และคิดว่าคงจะหมดโอกาสแล้ว เขาทำงานต่ออีกพักใหญ่ จนกระทั่งฟิลลิปเดินย้อนกลับมา เดินตรงมาหาเขาและบอก

“พรุ่งนี้คุณลงเขาไปพร้อมกับผมและโอเวน เราต้องการทีมงานคอยต้อนรับครอบครัวหลุยส์ และคุณที่เป็นคนช่วยโอเวนเขียนรายงานก็รู้เกี่ยวกับการทำงานของแคมป์นี้ดี จึงควรจะเข้าร่วมประชุมด้วย”

คริษฐ์ฉีกยิ้มด้วยความยินดีสุดขีด สายตายังเห็นใบหน้าโกรธขึ้งของโอเวน เขาไม่สนใจ...เพราะมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องจัดการ และมันหมายถึงอนาคตของเขาตลอดชีวิต!

 

คืนนั้น คริษฐ์ยังยิ้มไม่หุบขณะเข้านอน เพื่อนข้างเตียงสะกิดกันมอง แล้ววาสิลีก็กระเซ้า

“เฮ้ย คริส ได้เลื่อนตำแหน่งเมื่อไหร่อย่าลืมยูริเสียล่ะ”

คิ้วของคนถูกทักเลิกขึ้นทันที แล้ววาสิลีก็ตอบข้อสงสัย

“ก็เพราะหมอนั่นบอกคุณฟิลลิปน่ะสิว่าแกเป็นคนเขียนรายงานให้โอเวนตอนเขาไปที่หน้าผา ที่เราเพิ่งสำรวจเส้นทางเสร็จ ยูริมีโอกาสได้คุยกับเขาที่ถามเรื่องความคืบหน้าของงาน เขาเลยบอกว่าแกเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ที่ทำให้งานเป็นไปตามแผน และยังบอกด้วยว่า เสร็จงาน แกยังต้องมานั่งเขียนรายงานจนดึกดื่นทุกคืน”

“แล้วโอเวนว่ายังไง” บอริสลุกขึ้นนั่งบนเตียง อยากรู้ขึ้นมาทันที

“เขาไม่อยู่ที่นั่น” ยูริบอก “คุณฟิลลิปปีนลงไปสำรวจหน้าผาที่กำลังจะระเบิดหินกับฉันสองคน ฉันเลยตัดสินใจเล่าให้เขาฟัง เพราะคิดว่าแกควรจะได้รับผลตอบแทนจากการทำงานหนักของแก”

“จริงรึ” คริษฐ์อุทาน ดีใจจนพูดไม่ออก

“ก็จริงน่ะสิ ไม่อย่างนั้นเขาจะเรียกแกลงไปด้วยทำไม” วาสิลียืนยัน

“เยี่ยมเลย คราวนี้ถ้าแกได้ดีแล้วก็อย่าลืมยูริล่ะ” บอริสช่วยเตือน

คริสหัวเราะ และจับมือเพื่อนร่วมงานทั้งสามด้วยความตื้นตัน

“ไม่ลืม ฉันไม่มีวันลืมพวกแกแน่ๆ ขอบคุณมากยูริที่ช่วยฉัน”

“ฉันเห็นแกทำงานดึกๆ ดื่นๆ ทุกคืน และถูกไอ้หมอนั่นเอาเปรียบแล้วทนไม่ได้ว่ะ” ยูริตอบ “แกทำงาน แกก็ควรจะได้รับความดีความชอบ”

ปกติยูริไม่ใช่คนพูดมาก หรือจะเรียกได้ว่าพูดกับไดนาไมต์มากกว่าคนเสียอีก เพราะมีหน้าที่รับผิดชอบระเบิดหิน และต้องทำงานร่วมกับเขาบ่อยครั้งก่อนลงมือวางระเบิดเพื่อรักษาธรรมชาติไว้ให้มากที่สุดตามนโยบายของการก่อสร้าง และเขาไม่คิดเลยว่ายูริจะกล้าหาญ ยื่นมือออกมาช่วยในเวลาที่เขากำลังต้องการสุดขีด 

“แกว่าไอ้โอเวนจะรู้ไหมว่ายูริเป็นคนบอก” บอริสห่วงเพื่อน

“รู้ก็ช่างปะไร” ยูริยักไหล่ “ความจริงก็คือความจริง”

“ฉันว่าไอ้หมอนั่นต้องใช้เส้นสาย ไอ้จอร์จมันถึงไล่ประกาศว่าเจ้านายของมันเป็นคู่หมั้น และกำลังจะได้แต่งงานกับลูกสาวเจ้าของบริษัท ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เป็นวิศวกรคุมงานแน่” วาสิลีวิจารณ์

“คงจริงมั้ง ไม่งั้นทำงานห่วยแบบนี้ น่าจะเจอไล่ออกไปนานแล้ว” บอริสคล้อยตาม “แล้วมีคนบอกว่าไอ้จอร์จมันเคยอวด ว่าทุกวันหยุด โอเวนจะไปพักที่โรงแรมเกรทเกลเชียร์ เขาว่าคุณอเล็กซ์จองห้องพักให้เขาตลอดทั้งฤดูร้อน เพราะถ้าไม่สนิทกัน คงไม่ดูแลกันเป็นพิเศษแบบนี้หรอก จริงไหม”

คริษฐ์รู้มานานแล้วว่าโอเวนคือคู่หมั้นของอะมานดาอย่างที่รอยเคยเล่าให้ฟัง มิเช่นนั้นฝีมือและความรู้อย่างโอเวน หากเป็นที่บริษัทของเขาในอนาคต รับรองไม่มีทางให้ผ่านพ้นช่วงทดลองงานได้แน่

“เขายังลือกันอีกว่าลูกสาวของคุณอเล็กซ์สวยมาก” วาสิลีบอก “นายช่วยไปดูเธอแทนพวกเราด้วย แล้วอย่าลืมกลับมาเล่าให้พวกเราฟังด้วยล่ะ”

คริษฐ์ยิ้ม แล้วพยักหน้ารับ “แน่นอน ฉันจะกลับมาพร้อมกับวอดคาทั้งลัง เป็นการขอบคุณพวกแก”

สามหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง พอใจกับของกำนัล

“ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะรักกันจริง” ยูริตบไหล่คริษฐ์ “ฉันหวังว่าพวกเขาจะเห็นความสามารถของนาย ไม่ใช่ดูที่ใบปริญญา”

“เหมือนกันว่ะ ฉันจะรอฟังข่าวดี และวอดคา” บอริสตบไหล่เพื่อน ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน 

คริษฐ์ดับตะเกียง ทิ้งตัวนอนบนหมอนนุ่มด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่งกว่าคืนวาน แต่ปัญหามิได้มีเพียงเท่านั้น ยังมีอุปสรรคอีกมากมายที่เขาจะต้องฝ่าฟัน แต่ถือว่าเขาเริ่มต้นได้ถูกทางแล้ว ส่วนปัญหาในภายภาคหน้า...ค่อยหาทางแก้ไขกันต่อไป

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น