10

10

บทที่ ๑๐

 

ใบหน้าและท่าทางของอะมานดาไม่ได้รอดพ้นจากสายตาช่างสังเกตของโอเวนที่นั่งเคียงข้าง เขาพยายามเอาใจหญิงสาวด้วยการเรียกบริกรรินไวน์เติมให้เธอและชวนคุยเพื่ออารมณ์สดใสขึ้น แต่คนเราลองได้พื้นเสียแล้ว ก็ยากจะทำให้กลับมาดีขึ้นง่ายๆ 

คริษฐ์ที่นั่งอีกโต๊ะเห็นใบหน้าสวยง้ำงอก็พอจะเข้าใจว่าเธอคงจะถูกตำหนิที่วางตัวไม่เหมาะสมกับเขา และต่อไปเขาจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี ไม่ให้เธอถูกมารดาว่าได้อีก 

หลังรับประทานอาหารเสร็จ บรรดาผู้หญิงก็ย้ายไปนั่งที่ห้องสังสรรค์เพื่อจิบเครื่องดื่มและคุยสัพเพเหระ ส่วนผู้ชายก็ย้ายไปที่ห้องนันทนาการขนาดเล็ก เพราะคริษฐ์เห็นเวทีและฟลอร์เต้นรำ ค่ำคืนนี้ถูกใช้เป็นห้องประชุม แต่เป็นการทำงานอย่างไม่เป็นทางการนักเพราะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แจกจ่ายให้แก่ทุกคน คริษฐ์นึกถึงการทำงานในอนาคตที่ผู้บริหารมักพากันไปตีกอล์ฟระหว่างการเจรจา งานในคืนนี้ก็คล้ายคลึงกันเพราะเริ่มต้นด้วยเสียงหัวเราะครื้นเครง ก่อนจะเข้าสู่เรื่องงาน 

ฟิลลิปเล่าถึงปัญหาที่งานของแต่ละค่าย รวมไปถึงความคืบหน้า ซึ่งเป็นการสรุปรายงานประจำสัปดาห์ที่อเล็กซ์ต้องการ ด้วยเป็นโครงการใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบ จึงต้องการทราบรายละเอียดของการทำงานมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่สำคัญ โครงการนี้ทางอุทยานให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ผู้รับเหมาจะต้องรักษาสภาพธรรมชาติคงไว้ให้เหมือนเดิมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นการระเบิดภูเขาเพื่อตัดถนนในแต่ละครั้งจะใช้ไดนาไมต์ขนาดเล็ก ค่อยๆ เปิดทาง ทำให้การทำงานล่าช้า ซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็จะหมดสิ้นฤดูร้อน คริษฐ์คาดเดาว่าปีนี้การทำงานคงจะดำเนินไปไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เพราะเป็นช่วงแรกที่ต้องตัดต้นไม้ ระเบิดภูเขาเพื่อปรับหน้าดิน เป็นช่วงที่ยากและใช้เวลานานที่สุด หากทำไม่เสร็จกว่าจะกลับมาทำงานอีกครั้งได้ก็ต้องรอหลังหิมะละลายในปีหน้า 

  อเล็กซ์มีสีหน้าราบเรียบ แต่คริษฐ์มองเห็นแววตาหนักใจ ในฐานะผู้ลงทุน ดอกเบี้ยไม่คอยท่า วันเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ก็ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งเขาเข้าใจดี

“พวกคุณต้องการอุปกรณ์อีกเท่าไหร่ก็บอกมาได้เลย ผมจะหามาให้พวกคุณได้เร็วที่สุด ถ้ามันจะช่วยร่นระยะเวลาทำงานไปได้อย่างน้อยสักหนึ่งปีก็ยังดี”

“พวกเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะพบเจออุปสรรคอะไรบ้างในแต่ละวัน แต่ละแคมป์ก็ทำงานอย่างเต็มที่ และมีความคืบหน้าเป็นไปตามที่วางไว้นะครับ” ฟิลลิปตอบ 

“แต่ผมอยากให้มันเร็วกว่านี้ถ้าเป็นไปได้”

“ถ้าเช่นนั้น ปีหน้าเราจะต้องจ้างแรงงานเพิ่ม และเครื่องมือจะต้องเตรียมให้พร้อมตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิ”

“ถ้าโครงการนี้ต้องการกู้เงินเพิ่ม ผมก็ยินดีสนับสนุน”

ชายคนหนึ่งแทรกขึ้น คริษฐ์หันไปตามเสียง เห็นชายร่างท้วมในวัยประมาณกลางสี่สิบ สวมแว่นตากรอบดำหนาขยับตัวนั่งตรงและชะโงกตัวเข้าใกล้อเล็กซ์ มือถือแก้ววิสกี้ แก้มแดงจัด แสดงว่าดื่มเข้าไปไม่น้อย และคำพูดนั้นก็ทำให้อเล็กซ์ยิ้มออก

“ต้องแบบนี้สิ ถึงเรียกว่าสนับสนุนกันจริง”

“ก็ผมกำลังจะเป็นลูกเขยของคุณแล้วนี่นา ถ้าไม่ช่วยพ่อตา แล้วผมจะไปช่วยใครที่ไหนล่ะครับ”

สิ้นคำภายในห้องก็หัวเราะครืนใหญ่ คริษฐ์จึงรู้ว่าชายผู้นั้นคือ โทมัส เทเลอร์ นายธนาคารใหญ่ คู่หมั้นของแอนนา เขาเพิ่งนึกขึ้นได้เพราะโทมัสนั่งอยู่ข้างหญิงสาวที่โต๊ะใหญ่ในห้องอาหาร และโอเวนก็นั่งข้างอะมานดา 

“ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ ถ้าอย่างนั้นปีหน้าคุณจัดหาแรงงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อนายธนาคารอนุมัติแล้ว จะรออะไรอีกล่ะ จริงไหม”

“จริงครับ” ฟิลลิปยิ้มกว้าง ก่อนที่ทั้งห้องจะชูแก้วขึ้นสูง และดื่มเพื่อความสำเร็จของงานที่วาดฝันไว้ 

คริษฐ์นั่งฟังเงียบๆ หากตลอดเวลา สายตาก็คอยมองทุกคนอย่างพินิจพิเคราะห์ สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันก็คือ อยากสร้างถนนให้เสร็จเร็วที่สุด แต่ไม่มีใครในห้องนี้จะรู้ถึงปัญหาที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า ซึ่งต่างก็รู้อยู่แก่ใจดี และหวังว่าจะไม่มีความประหลาดใจใดๆ ที่จะทำให้การทำงานล่าช้าเกิดขึ้น

“อย่างไรก็ตาม” อเล็กซ์หันมาทางคริษฐ์ ทำให้เขาต้องขยับตัวนั่งตัวตรงแหน็ว “ผมต้องขอขอบคุณผู้ช่วยของฟิลลิป ที่ทำรายงานของทุกแคมป์ให้ผมได้อย่างเป็นระเบียบ หากไม่ได้คุณ ผมคงจะไม่ทราบรายละเอียดความคืบหน้าของแต่ละแคมป์ได้มากขนาดนี้”

“ขอบคุณครับ” เขายิ้มและก้มศีรษะรับ คำชมแค่ไม่กี่ประโยค ทำให้คนตั้งใจทำงานอย่างเขาถึงกับยิ้มไม่หุบ 

“และผมหวังว่าจะได้เห็นรายงานแบบนี้อีกจนกว่าจะจบโครงการ”

คราวนี้คริษฐ์ได้แต่ตอบรับเสียงอ่อย แล้วทุกคนก็หลงลืมเขาไปในพริบตา หลังหัวข้อสนทนาเปลี่ยนไป คริษฐ์ลอบถอนใจ เข้าใจดีว่าอเล็กซ์พยายามที่จะให้ความสำคัญแก่พนักงานและเพื่อนที่อยู่ภายในห้องทุกคนตามแบบผู้บริหารที่ดี หากเขาก็ได้รับสายตาไม่พอใจของโอเวนเป็นของแถม ที่คงคิดว่าเขากับคนขับรถของฟิลลิปไม่ควรจะมาอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยผู้ลากมากดีทางสังคมนี้ด้วยซ้ำ

การสนทนาในช่วงหลังผ่านพ้นเรื่องงานก็เป็นการพูดคุยสัพเพเหระ คริษฐ์จิบวิสกี้อย่างช้าๆ เพราะไม่ชินกับวิธีการดื่มของสุภาพบุรุษในยุคนี้ อีกทั้งเขาไม่ใช่คนชอบดื่มจัด จึงนั่งฟังและคอยสังเกต วิเคราะห์ลักษณะนิสัยของผู้ชายในห้องเสียมากกว่า ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง แขกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทร่วมลงทุนในโครงการก็ขอตัวขึ้นไปพักผ่อน คริษฐ์เห็นว่าเป็นโอกาสดีจึงขออนุญาตกลับที่พักเช่นกัน เขาเห็นว่าเพิ่งจะสามทุ่มกว่า ยังมีเวลานั่งคุยกับโรเบิร์ตสักพัก จึงเดินย้อนกลับไปที่บ้านของเพื่อน 

ก่อนที่จะออกจากประตูโรงแรม เขาก็เห็นชุดสีแดงแวบๆ ตรงหัวมุมตึกวิ่งลับตาไป ด้วยความอยากรู้เขาจึงเดินตาม ก็เห็นหญิงสาวในชุดแดงกำลังชะเง้อชะแง้อยู่หลังพุ่มไม้ เขายืดคอมองตามถึงได้เห็นโอเวนเดินผ่านบันไดตรงระเบียงของโรงแรมไปที่ริมทะเลสาบ และเหลียวมองไปรอบๆ ราวกับกำลังมองหาใครบางคน พอโอเวนหันกลับมา ร่างในชุดแดงก็ผลุบหัวลงอย่างรวดเร็ว พลอยทำให้เขาต้องทำตาม หญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าได้ยินเสียงก็หันขวับมาทันที พอเห็นเขา ดวงตาโตก็เบิกกว้าง ก่อนริมฝีปากจะฉีกออกพร้อมกับยกนิ้วแตะที่ริมฝีปาก

คริษฐ์ยิ้มตอบ เข้าใจเป็นอย่างดี และค่อยๆ ก้าวถอยหลัง พร้อมกับหมุนตัว ปล่อยหญิงสาวอยู่ตามลำพัง แต่แขนของเขากลับถูกคว้าจากด้านหลัง 

“รีบไปจากที่นี่กันเถอะ” เธอกระซิบแล้วลากแขนเขาออกวิ่ง คริษฐ์จึงต้องวิ่งตาม ไกลจากโรงแรมออกไปเรื่อยๆ 

“คุณจะไปไหนหรือครับ” เขาถามเมื่อไม่เห็นท่าทีว่าเธอจะหยุดวิ่ง

“ไปพายเรือเล่นดีไหม” เธอยิ้ม ใบหน้าที่แต่งไว้สวย งดงามในความกระจ่างของแสงจันทร์ 

“ตอนนี้นะหรือครับ”

“ใช่สิ ฉันเคยทำอยู่หลายครั้ง ตอนนอนไม่หลับ” เธอปล่อยมือจากแขนของเขา หลังจากเห็นว่าวิ่งมาไกลจากโรงแรมแล้ว ทั้งสองผ่อนฝีเท้าและเดินเคียงข้างกันไปยังท่าเรือของโรงแรมที่มีเรือผูกติดกับเสาอย่างเป็นระเบียบ

“แล้วทุกทีใครนั่งเป็นเพื่อนคุณล่ะครับ”

“ฉันไปคนเดียวค่ะ ว่าแต่ถ้าคุณไม่อยากไปกับฉันก็ไม่เป็นไรหรอกนะคะ ฉันไปคนเดียวบ่อยๆ”

เขาคิดเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะสั่นหน้า “ผมไปด้วยดีกว่าครับ”

เธอยิ้มด้วยความพอใจ จนกระทั่งถึงท่าเรือ คริษฐ์ก็หยิบพายที่เก็บไว้ตรงชั้นใกล้ศาลาบริการลูกค้า และเลือกเรือที่ผูกอยู่ด้านนอกสุด ช่วยจับมือหญิงสาวพยุงลงเรือก่อนจะก้าวตาม แล้วใช้พายดันเรือออกจากท่า 

“เราไปทางโน้นดีกว่า” หญิงสาวชี้ไปทางตรงข้ามกับโรงแรม “ฉันไม่อยากให้โอเวนเห็น”

เขาก็เหมือนกัน หากโอเวนมาพบเข้า เขาต้องมีปัญหาแน่ และไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเจ้านายเก่าของเขาจะเห็นทั้งสองเอาเรือออกจากฝั่งหรือไม่ จึงรีบพายจ้ำไปให้ไกลจากท่าโดยเร็วที่สุด

“ตรงโน้นมีเวิ้งท่าเรือของชาวบ้าน มันมีสวนสนบังไว้ ถ้าอยู่ที่โรงแรมก็จะมองไม่เห็นพวกเราค่ะ” เธอบอกอย่างเชี่ยวชาญสถานที่ ซึ่งเขาก็เห็นด้วย พอเลี้ยวเข้าในเวิ้งอ่าวผ่านป่าสนไปแล้ว ภาพโรงแรมก็ถูกป่าบดบังไป อะมานดาดึงพายขึ้นมาพาดบนตัก มองหน้าชายหนุ่มที่นั่งเผชิญหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“ทำไมฉันต้องทำแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ ทั้งที่ฉันไม่จำเป็นจะต้องหนีเขาเลย” อะมานดาถอนใจเฮือกใหญ่ หลังเสียงหัวเราะคลายลง “แต่ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็ไม่อยากออกมาพายเรือกับเขาตามลำพังเหมือนกัน”

“เพราะอะไรหรือครับ”

หญิงสาวถอนใจอีกครั้งก่อนเล่า

“ฉันเบื่อที่ต้องฟังว่าครอบครัวของเขาที่อังกฤษยิ่งใหญ่และร่ำรวยแค่ไหน ญาติของเขาเป็นถึงท่านลอร์ด เป็นรัฐมนตรีของอังกฤษ และเขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของที่นั่น เรียกว่าเขามีคุณสมบัติครบถ้วนที่หญิงสาวทุกคนอยากจะได้เป็นสามี” อะมานดาทำหน้าเบื่อหน่าย “ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าที่อังกฤษมันดีขนาดนั้น จะมาอยู่อเมริกาทำไม”

เขาได้แต่เงียบ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับโอเวน ถึงอย่างไรอะมานดาก็เป็นว่าที่คู่หมั้น วันหลังดีกันขึ้นมา คำพูดของเขาก็จะกลายเป็นหอกแหลมหันกลับมาทิ่มตัวเอง จึงเฉไฉออกนอกเรื่อง

“บางทีคุณอาจจะลองชวนคุยหัวข้ออื่นดูบ้าง”

“ทำไมฉันจะไม่ลองคะ แต่เขามีวิธีวกกลับมาคุยเรื่องของตัวเองจนได้ และฉันรู้ว่าเขาไม่ชอบที่ฉันเป็นผู้นำชมรมเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพของสตรีที่มหาวิทยาลัย เขาบอกว่าผู้หญิงเป็นเพศอ่อนแอ ต้องการคนปกป้อง และถึงอย่างไรก็ไม่มีทางทัดเทียมผู้ชายได้”

เขาได้แต่ถอนใจ ตอนนี้อาจจะใช่ แต่ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า ผู้หญิงมากมายเก่งกว่าผู้ชายด้วยซ้ำ แม้จะมีพละกำลังด้อยกว่าแต่ก็มีสมองที่ชาญฉลาด ในอนาคตทำงานแทบทัดเทียมผู้ชายได้ทุกอาชีพ

“คุณต้องทำให้เขาเห็นสิครับว่าคุณคือความเปลี่ยนแปลง คุณจะได้แสดงให้เขาเห็นว่าผู้หญิงก็เก่งไม่แพ้ชาย”

“ฉันพูดจนปากแทบจะฉีกถึงใบหูแล้วค่ะ ฉันไม่มีทางเปลี่ยนความคิดใครได้หรอก ขนาดแม่กับพี่สาวของฉันยังไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเธอได้เลย คิดอยู่แต่ว่าผู้หญิงต้องการผู้ชายคอยปกป้องเลี้ยงดู ผู้หญิงมีหน้าที่อุ้มท้องและเลี้ยงลูกเท่านั้น”

“อีกหน่อยความคิดนี้จะเปลี่ยนแปลงไป” เขาพึมพำ “ถ้าผู้หญิงทำงานทัดเทียมชายแล้ว พวกเธอจะอยู่เป็นโสดกันมากขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องพึ่งผู้ชายอีก”

“แหม ฉันอยากให้ถึงวันนั้นจริงๆ ค่ะ และถ้าฉันทำได้ ฉันอาจจะไม่แต่งงานด้วยซ้ำ”

เขายิ้มกว้างกับความคิดนั้น และคิดว่าหนุ่มๆ คงจะเสียใจแย่หากเธอตั้งใจอยู่เป็นโสดจริง

“แล้วคุณจะบอกคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณอย่างไรล่ะครับเรื่องของโอเวน”

“พ่อไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แต่แม่สิคะคงไม่พอใจ จริงๆ ตอนนี้ฉันก็แค่เบื่อเขา ไม่อยากฟังเรื่องที่เล่าแล้วเล่าอีกจนอยากอ้วก วันหน้ายังไม่รู้ค่ะ”

“นี่คือเหตุผลที่คุณหลบหน้าเขาหรือครับ”

“ค่ะ ก็เพราะว่าเขาบอกว่าขอคุยกับฉันหลังประชุมเสร็จ แต่ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยกับเขาคืนนี้ เลยหลบออกจากห้องของพวกผู้หญิงได้ก่อน ป่านนี้คงจะขึ้นไปตามหาฉันบนห้องแล้ว”

“ถ้าแม่ของคุณรู้ อาจจะไม่พอใจ”

“แม่ก็ไม่เคยพอใจอะไรฉันสักอย่างแหละค่ะ ท่านอยากให้ฉันได้แต่งงานกับพวกผู้ดีอังกฤษ ที่เคยดูถูกและทำให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจในอดีต อ้อ เมื่อตอนเย็น คุณอย่าถือโทษโกรธท่านเลยนะคะ ท่านก็แค่เจ้าระเบียบ เคร่งครัดไปหน่อย แต่จริงๆ แล้วท่านเป็นคนที่มีน้ำใจและน่ารักมากๆ เลย”

“ครับ” เขาตอบยิ้มๆ แต่พอคิดถึงดวงตากระด้างที่เห็นเขายืนคุยกับอะมานดาตอนเย็น ก็ทำให้คิดว่าจูเลียเป็นคนน่ารักได้ยากจริงๆ หรืออาจจะเป็นไปได้ถ้าเขามีฐานะทัดเทียมกับหล่อนก็คงจะเห็นสายตาที่แตกต่างไปจากเดิม แต่คิดไปก็ไร้ประโยชน์เพราะเงินในธนาคารที่มีอยู่ในอนาคตก็นำมาอวดให้หล่อนเห็นไม่ได้ “ผมดีใจนะครับที่คุณชวนผมมาเป็นเพื่อน เพราะถึงอย่างไรคุณก็เป็นผู้หญิง ออกมาข้างนอกกลางดึกกลางดื่นอาจจะไม่ปลอดภัย”

“วันนี้คุณพูดแบบนี้สองครั้งแล้วนะคะ” เธอติง “ฉันคิดว่าที่นี่มีแต่แขกและพนักงานของโรงแรม ไม่เห็นจะมีอะไรน่าห่วง”

“ผมอาจจะเติบโตขึ้นจากเมืองที่มีอันตรายรอบด้าน และอันตรายอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง ผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้”

“โอ้...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพาดพิงคุณหรอกนะคะ ฉันหมายถึงที่นี่ปลอดภัย ไม่เหมือนในเมืองในเขตที่แออัด”

เธอเลือกคำพูดที่ไม่เป็นการดูถูกเขาเกินไป อะมานดาคงคิดว่าเขาเติบโตขึ้นมาจากสลัมหรือในเขตห้องเช่าราคาถูกสำหรับผู้อพยพจึงรีบแก้ตัว 

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ เอาเป็นว่าผมดีใจที่ได้ออกมาพายเรือเป็นเพื่อนคุณดีกว่า”

“ค่ะ” เธอยิ้มกว้างที่เห็นเขาไม่โกรธ

“แล้วตอนกลับไป คุณเตรียมตัวหรือยังครับว่าจะบอกคุณโอเวนยังไง”

หญิงสาวย่นจมูก ก่อนจะสั่นศีรษะ และตอบง่ายๆ “ยังไม่คิดค่ะ แต่เดี๋ยวก็คงจะหาทางแก้ตัวไปได้เองแหละ”

“คุณทำแบบนี้บ่อยๆ หรือครับ”

“บางครั้งค่ะ ปกติฉันจะรักษาคำพูดมากนะคะ จนมาเจอโอเวนนี่แหละ ที่ทำให้ฉันต้องเสียคำพูดหลายครั้ง”

พูดจบก็หัวเราะเสียงกังวาน ทำให้เขาอดหัวเราะตามไม่ได้ 

“หวังว่าเขาคงจะไม่รออยู่หน้าโรงแรมตอนฉันกลับไปนะคะ” เธอประสานมือตรงหน้าอก “เพราะเขาจะทำให้ฉันเจอแม่ตำหนิจนหูชาแน่ๆ”

“งั้นคุณต้องหลบขึ้นจากทางระเบียงแทนแล้วละครับ อาจจะหลบเขาได้”

“บางทีฉันก็อดคิดไม่ได้นะคะว่าฉันอาจจะปีนระเบียงขึ้นไปบนห้องได้ สักวันฉันจะลองดูค่ะ”

คนฟังตาโต ก่อนจะรีบห้าม “อันตรายนะครับ ตกลงมาไม่ตายก็อาจจะเป็นอัมพาตตลอดชีวิต”

“แหม ฉันว่าตรงระเบียงน่าจะปีนง่ายนะคะ อีกอย่างฉันก็เป็นนักกีฬา น่าจะแข็งแรงพอ”

“อย่าเสี่ยงเลยครับ มันไม่คุ้มหรอก อย่าถึงกับต้องลงทุนขนาดนั้นเพื่อหนีคุณโอเวนเลย”

หญิงสาวหัวเราะเสียงใสที่ได้ยินคำอ้อนวอน

“ก็ได้ค่ะ งั้นคุณช่วยฉันดูต้นทางหน่อยก็แล้วกันนะคะตอนขากลับ ถ้าเห็นเขาที่หน้าโรงแรม ฉันก็จะอ้อมไปด้านหลัง”

“ได้เลยครับ”

อะมานดาพอใจที่ได้ยินคำตอบ จึงหยิบไม้พายแล้วออกแรงจ้วงอีกครั้ง คริษฐ์ทำตามก่อนจะมาหยุดตรงกลางทะเลสาบ ดวงจันทร์ครึ่งดวงส่องแสงสว่างเหนือฟากฟ้าที่มีดวงดาวไม่กี่ดวงที่อาจหาญเปล่งรัศมีแข่งขัน ภูเขาด้านหลังเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่ม สีขาวของหิมะที่ปกคลุมตรงยอดสะท้อนแสงจันทร์เป็นสีขาวโพลน วินาทีนั้นคริษฐ์รู้สึกถึงความสงบสุขของจิตใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ราวกับทุกสรรพสิ่งรอบกายหยุดเคลื่อนไหว ทุกอย่างหยุดนิ่ง...และเขาก็อยู่ตรงนี้...กับผู้หญิงที่แสนจะน่ารัก

ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มบาง...ดวงตาหนุ่มสาวประสานกันเงียบๆ หลายวินาทีก่อนที่หญิงสาวจะเป็นฝ่ายหลบสายตา และเฉไฉออกแรงพายเรืออีกครั้ง

คริษฐ์ฉีกยิ้ม ไม่เอ่ยคำพูดใด เพราะเพียงแค่สายตา...เธอก็รับรู้แล้วว่าเขาชื่นชมเธอมากเพียงใด...

 

ชายหนุ่มช่วยจับมือน้อยดึงขึ้นมายืนบนสะพานหลังพายเรือกลับเข้าฝั่ง เขาจัดการผูกเชือกกับเสา ก่อนจะนำพายไปเก็บและช่วยดูต้นทางที่หน้าโรงแรม พอไม่เห็นโอเวนอยู่ตรงนั้นก็ส่งสัญญาณให้หญิงสาวรีบกลับขึ้นห้อง เขายังเตร่อยู่แถวล็อบบี มองอะมานดาจากระเบียงภายในห้องโถงของโรงแรม ก่อนเธอจะเข้าห้องก็ชะโงกหน้าลงมองโบกมือพร้อมส่งยิ้มอีกครั้ง  แล้วผลุบหายไป 

หัวใจของชายหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ มันรู้สึกวูบวาบแปลกๆ จนเขาอดที่จะยกมือขึ้นทาบบนทรวงอกไม่ได้ นานเหลือเกินแล้วที่ไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนไหนเช่นนี้ ครั้งสุดท้ายอาจจะอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ หลังจากนั้นความรักก็จะเป็นเหมือนหนุ่มสาวที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีเหตุผลมากกว่าความรู้สึก จนเขาไม่คิดเลยว่าจะกลับมารู้สึกเหมือนเด็กหนุ่มได้อีกครั้ง 

ริมฝีปากของคริษฐ์ยังมีรอยยิ้มเมื่อหมุนตัวเดินกลับห้องพักที่อยู่ชั้นหนึ่ง ด้วยเป็นห้องพักในราคาถูกสำหรับผู้ติดตามบรรดาเศรษฐีทั้งหลาย แต่ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในโถงทางเดิน หางตาก็เห็นร่างในชุดเสื้อคลุมสีดำเดินผ่านประตูโรงแรมเข้ามา เขาหันไปมองโดยอัตโนมัติ ก็เห็นแอนนาก้าวฉับๆ ไปที่ลิฟต์ท่าทางร้อนรน ทั้งที่ก่อนหน้าที่เคยเห็น พี่สาวของอะมานดาดูเรียบร้อยเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว 

สายตาของเธอกวาดไปรอบกาย คริษฐ์รีบหลบแล้วออกเดินต่อ ไม่อยากให้เธอเห็นเขาเป็นที่ระคายสายตา เพราะเท่าที่ฟังจากน้องสาว แอนนาก็เรียกว่าแทบจะถอดแบบมาจากมารดาไม่ผิดเพี้ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตัวมีสายเลือดสีน้ำเงินอยู่ด้วย คงยิ่งไม่อยากข้องแวะกับคนชั้นแรงงานอย่างเขา

คริษฐ์ไม่เก็บเรื่องของแอนนากลับมาคิดให้เสียอารมณ์ เขาเข้านอนด้วยหัวใจที่เป็นสุขที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อนร่วมห้องของเขานอนหลับไปนานแล้ว และคงไม่สนใจด้วยว่าเขาจะไปที่ไหนมา เขาจึงรีบอาบน้ำแล้วเข้านอน พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปช่วยโรเบิร์ตเตรียมม้าสำหรับนักท่องเที่ยวกิตติมศักดิ์ชุดใหญ่ 

แม้ในยามหลับ เขายังฝันถึงรอยยิ้มหวานของอะมานดา รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจหกคะเมนตีลังกาในอกครั้งแล้วครั้งเล่า แขนของเขายังอุ่นจากมือน้อยที่ลากเขาไปที่ทะเลสาบ...เธอยังไร้เดียงสาเหลือเกิน จนไม่รู้ตัวว่าทำให้หัวใจของชายใดสั่นไหวบ้าง 

เพราะความคิดถึงที่คริษฐ์ไม่ค่อยอยากยอมรับนัก ทำให้เขาตื่นก่อนเพื่อนร่วมห้อง และรีบแต่งตัวไปกินอาหารเช้ากับโรเบิร์ตเพราะตั้งใจจะไปช่วยเตรียมม้าสำหรับแขกชุดใหญ่ ทั้งสองไม่โอ้เอ้และไปถึงคอกม้าก่อนเวลา แต่ก็เห็นอัลเฟรด หัวหน้าขบวนหน้าตาบอกบุญไม่รับ คุยหน้าตาเคร่งเครียดกับพนักงานหนุ่ม

“เกิดอะไรขึ้นรึครับ” โรเบิร์ตถามทันทีที่เห็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ

“บิลลี่ไข้ขึ้นสูง เบธไม่ยอมให้เดินทางไปกับขบวน จะบ้าตาย ป่วยวันไหนไม่ป่วย มาป่วยวันนี้ ผมต้องรีบรายงานทิม ว่าเราหาคนไปกับขบวนของคุณอเล็กซ์ไม่ทัน เผื่อเขาจะหาคนมาแทนบิลลี่ได้”

“เดี๋ยวก่อนครับ ให้คริสไปแทนก็น่าจะได้” โรเบิร์ตบอก ก่อนจะหันมาทางเพื่อนหนุ่ม “คุณมีแผนการอื่นไหมวันนี้”

คนถูกถามสั่นหัวทันที หัวหน้าทัวร์มองชายหนุ่มอย่างไม่มั่นใจ

“คุณขี่ม้าขึ้นเขาได้รึ ชำนาญหรือเปล่า ถ้าไม่ จะช่วยดูแลพวกผู้หญิงไม่ได้”

“ได้ครับ” คริษฐ์รีบบอก “ผมทำงานบนเขา ต้องขี่ม้าขึ้นไปบนแคมป์ทุกอาทิตย์ เส้นทางบนโน้นอันตรายกว่าแถบนี้ด้วยซ้ำ”

ใบหน้าของหัวหน้าทัวร์ค่อยดีขึ้นนิด

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปเก็บข้าวของ เพราะพวกเขาจะตั้งค่ายพักแรมบนเขาคืนนี้”

“ได้ครับ” คริษฐ์รับคำด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น โรเบิร์ตตบไหล่เขาเบาๆ ปล่อยให้คริษฐ์วิ่งกลับไปเก็บสัมภาระที่ห้อง และกลับมาทันก่อนที่ขบวนใหญ่จะเดินทางมาถึง แล้วคริษฐ์ก็ได้รับมอบหมายให้ขี่ม้ารั้งท้ายขบวนกับโรเบิร์ตเพื่อช่วยดูแลกลุ่มผู้หญิง เขารู้ว่าที่รับผิดชอบงานนี้เพราะอัลเฟรดต้องการให้โรเบิร์ตคอยกำกับดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ซึ่งเขาก็ยิ่งกว่ายินดีที่ได้ทำงานกับเพื่อนที่รู้ใจ ช่วงเวลาที่เหลือก็เริ่มใส่อานม้าและจูงพวกมันไปผูกที่เสารอเวลาแขกมาถึง ไม่นานหลังจากนั้น ชายและหญิงกลุ่มใหญ่ก็ทยอยเดินมาตามเวลานัด 

อะมานดาตาโตที่เห็นคริษฐ์ยืนอยู่ในกลุ่มพนักงานดูแลแขก เธอส่งยิ้มให้แก่เขา คริษฐ์ยิ้มตอบแล้วรีบก้มหน้าเพราะไม่อยากให้ใครเห็นและรู้สึกผิดสังเกต โดยเฉพาะโอเวนที่ยืนอยู่เคียงข้างว่าที่คู่หมั้น

อัลเฟรดรอจนทุกคนมาถึง จึงอธิบายเกี่ยวกับการเดินทางให้ทุกคนทราบอย่างย่นย่อ จากนั้นพนักงานก็ช่วยบริการจับม้า ให้แขกเหวี่ยงตัวขึ้นนั่งคร่อมบนอาน โดยเฉพาะสุภาพสตรี ขณะที่ฝ่ายชายก็ขี่ม้ากันอย่างคล่องแคล่วเกือบทุกคน ยกเว้นโทมัสที่ดูงุ่มง่ามกว่าคนอื่น แอนนาปรายตามองคู่หมั้นจากบนหลังม้า และคริษฐ์ไม่ชอบสายตาคู่นั้นเลย เหมือนดูแคลนและรังเกียจคนที่กำลังจะเป็นสามีของตนในอนาคตอย่างไรอย่างนั้น แต่โทมัสกลับหัวเราะขบขันความเงอะงะของตัวเองและกล่าวขอโทษขอโพยทุกคน แต่สุดท้ายก็ขึ้นม้าสำเร็จแม้จะใช้เวลามากไปสักนิดก็ตาม

ปิดท้ายด้วยพนักงานโรงแรมรวมทั้งคริษฐ์ก็เหวี่ยงตัวขึ้นม้า พร้อมที่จะออกเดินทางไปกับขบวนที่มีลูกทัวร์ร่วมยี่สิบคน แล้วอัลเฟรดก็ชักม้าออกนำขบวน


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น