9

9

บทที่ ๙

 

โอเวนมองตามสายตาของอะมานดา พอเห็นร่างสูงที่เดินผ่านไปรอยยิ้มก็หุบลงทันที แต่พอหญิงสาวหันกลับมา เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะคลี่ยิ้ม ทว่าดวงตากลับกระด้างกว่าที่ควรจะเป็น

“คุณรู้จักผู้ชายคนนั้นด้วยรึ”

“คนไหนคะ”

“คนที่เพิ่งเดินผ่านไป” เขาพยักพเยิดไปทางคริษฐ์

“อ๋อ คนนั้นที่อาฟิลลิปเรียกให้มาช่วยสอนโทนีขับรถตักดินตอนที่พวกเราไปที่ไซต์งานไงคะ คุณก็รู้จักเขาไม่ใช่หรือคะ”

“ผมรู้จักน่ะไม่แปลกหรอก เพราะผมเป็นหัวหน้าของเขา”

“อ้าว แล้วคุณถามทำไมล่ะคะ”

“ก็เพราะคุณไม่ควรจะให้ความสนใจเขาที่เป็นแค่คนงานก่อสร้างคนหนึ่ง มันไม่เหมาะสม”

รอยยิ้มเลือนไปจากใบหน้าของอะมานดาทันที ลำคอระหงของเธอตรงแหน็ว โหนกแก้มร้อนผ่าว แต่ไม่ยอมตอบอะไร นอกจากจับหูถ้วยชาแล้วยกขึ้นจิบอย่างช้าๆ

“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ” แอนนาชะโงกผ่านตัวอะมานดาถามโอเวน หลังจากเห็นหน้าตึงของน้องสาว

“อ้อ ไม่มีอะไรครับ ผมแค่ห่วงอะมานดา และเตือนให้อยู่ห่างๆ พวกคนงานไว้น่ะครับ เพราะฟิลลิปพาพวกเขามาด้วยสองคน ไม่อยากให้เธอเข้าไปข้องแวะ จะทำให้ชื่อเสียงของเธอมัวหมองได้”

“มัวหมองยังไงคะ” อะมานดาถาม เสียงเย็นเฉียบเลยทีเดียว

“อะมานดา” แอนนาแตะมือน้องสาว “ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ โอเวนเตือนเพราะความหวังดีนะ”

“แค่ยิ้ม...ถึงกับทำให้ชื่อเสียงมัวหมองได้เลยหรือคะ” อะมานดาปรายตาไปทางชายหนุ่มที่ยังยิ้มอ่อนโยน

“คุณอาจคิดว่าไม่เป็นไร แต่เขาอาจจะเก็บเอาไปพูดได้ว่าคุณหว่านเสน่ห์เขา คนชั้นกรรมกรพวกนั้น คำพูดคำจาหยาบคาย เวลาอยู่ในกลุ่มก็มักพูดถึงผู้หญิงในทางเสียหาย คุณเป็นถึงลูกสาวผู้บริหาร เขาไม่สมควรที่จะเอ่ยชื่อของคุณให้มัวหมองด้วยซ้ำ”

“นั่นสิ โอเวนพูดถูกนะ ลดตัวลงไปสุงสิงมีแต่จะทำให้น้องเสื่อมเสีย”

อะมานดาวางถ้วยน้ำชา คอยังแข็งแต่ก็ขยับใบหน้าเล็กน้อย

“เอาเถอะค่ะ พี่กับโอเวนเห็นเช่นนั้นก็สุดแท้ แต่สำหรับน้อง น้องก็มีความคิดที่ต่างออกไป” แล้วเธอก็หันไปยิ้มให้โอเวน แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นยะเยือก “ฉันมีความคิดที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น คุณควรจะเริ่มเรียนรู้และชั่งใจให้ดี ก่อนที่จะสายเกินไป”

รอยยิ้มเลือนไปจากใบหน้าของโอเวนทันทีเช่นเดียวกับแอนนา จนผู้ใหญ่ในโต๊ะสังเกต จึงยื่นมือเข้ามาช่วย

“คุยอะไรกันหรือหนุ่มสาว ท่าทางสนุกกันเชียว”

“คุยเรื่องไร้สาระค่ะแม่” อะมานดาหันไปตอบมารดา ก่อนแสร้งทำหน้าเหนื่อยล้า “หนูรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ยังไงก็ไม่รู้ค่ะ อาจเป็นเพราะเล่นน้ำตกนานและเดินตากแดดร้อนกลับมาอีก หนูขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวตอนเย็นจะได้ลงมาร่วมโต๊ะอาหารกับพ่อได้”

“งั้นรึ ไหนดูซิ มีไข้หรือเปล่า” จูเลียยื่นมือออกมา อะมานดาจึงลุกจากเก้าอี้ไปหามารดาให้หล่อนแตะมือกับหน้าผาก “จริงด้วย ตัวอุ่นๆ งั้นรีบขึ้นไปอาบน้ำไป แล้วนอนพักสักหน่อย จะได้ลงมาทานอาหารเย็นด้วยกัน”

“ค่ะแม่” อะมานดาโล่งใจ ก้มลงหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ และกล่าวร่ำลาเพื่อนร่วมโต๊ะของมารดา ไม่ลืมโอเวนและแอนนาด้วย ก่อนจะเดินกลับขึ้นห้อง ลำคอยังตรงแหน็วไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองด้านหลังที่มีสายตาแข็งกร้าวของโอเวนมองตามจนลับสายตา

 

อะมานดาถอนใจเฮือกหลังเดินเข้าประตูโรงแรม เธอรู้สึกถึงสายตาที่มองตาม และคิดว่าคำพูดของเธอจะทำให้โอเวนไม่พอใจมาก แต่เธอก็ไม่ชอบที่ต้องถูกครอบงำด้วยความคิดเรื่องต่างศักดิ์ต่างชนชั้น ที่มหาวิทยาลัย เธอเป็นผู้นำกลุ่มเรียกร้องสิทธิสตรีให้ทัดเทียมกับผู้ชาย ในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ แม้จะเป็นพลังเล็กๆ แต่นักศึกษาหญิงก็รวมตัวกันเรียกร้องสิทธิของพวกตน และเธอตั้งใจจะเคลื่อนไหวต่อไปแม้จะเรียนจบแล้วก็ตาม ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดที่แบ่งแยกทางชนชั้นของโอเวนก็ทำให้เธอรู้สึกรังเกียจยิ่งนัก มันทำให้เธออดเปรียบเทียบกับความทัดเทียมทางสังคมระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายไม่ได้ ถ้าโอเวนมองพนักงานต้อยต่ำเป็นเพียงชนชั้นแรงงาน สำหรับเธอ เขาก็คงจะมองว่าเป็นเพียงเพศหญิงที่ไม่รู้เรื่องราว เป็นผู้ตามและต้องถูกครอบงำโดยสามี...ฮึ หากเขาคิดเช่นนั้นก็แสดงว่ารู้จักเธอน้อยเกินไปแล้ว 

แค่ระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ชายสองคนที่ได้คุยด้วยทำให้เธอมองเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน คนแรกแม้จะฐานะทางสังคมต่ำชั้น การศึกษาน้อย แต่กลับมีความคิดที่ทันสมัยและให้เกียรติผู้อื่นทั้งหญิงและชาย ไม่แม้จะกล่าวร้ายโอเวนทั้งที่มีโอกาส ขณะที่อีกคนเรียนมาสูงเสียเปล่า แต่กลับมีความคิดคับแคบและดูถูกคนอื่น เป็นสิ่งที่เธอรับไม่ได้อย่างยิ่ง ยังไม่พอ ยังพยายามยัดเยียดความคิดนั้นใส่เข้ามาในหัวของเธออีก

เสียงเคาะประตูระหว่างห้องดังขึ้น เธอยังไม่ทันจะได้เอ่ยอนุญาต ลูกบิดก็ถูกหมุนแล้วประตูก็เปิดออก อะมานดาอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำและเช็ดผมที่กำลังเปียกชื้น แต่ยังส่งยิ้มให้พี่สาวและทัก

“ปาร์ตีเลิกแล้วเหรอคะ ทำไมเร็วจังเลย”

“เปล่า แม่กับเพื่อนๆ ยังนั่งดื่มชากันอยู่ แต่โอเวนอยากให้พี่ขึ้นมาดูน้อง”

“มาดูทำไม น้องไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“ก็เห็นบอกแม่ว่าตัวรุมๆ โอเวนก็เป็นห่วง เขารู้ว่าน้องโกรธ เลยอยากให้พี่ขึ้นมาช่วยง้อ” แอนนาบอกยิ้มๆ พูดจาเนิบนาบดุจผู้ดีอังกฤษที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีสมกับที่มารดาต้องจ่ายเงินแพงๆ จ้างครูมาสอนตั้งแต่เด็ก ผิดกับเธอที่กระโดกกระเดกจนถูกแม่และครูทำโทษบ่อย กระนั้นก็ถูกฝึกการเข้าสังคมมาอย่างดีเช่นกัน แต่เธอเบื่อชีวิตที่ต้องอยู่แต่ในขนบ เต็มไปด้วยระเบียบสารพัด พออยู่ที่มหาวิทยาลัยชีวิตก็เริงร่าได้อย่างเต็มที่ และทำให้แนวคิดของเธอเปลี่ยนไปจากเดิม

“จริงๆ เขาน่าจะแต่งงานกับพี่มากกว่าน้องนะ” อะมานดากระแทกตัวนั่งบนเตียง มือยังจับผ้าขนหนูเช็ดผมที่เริ่มหมาด “เวลาเขาพูดอะไร พี่ก็คล้อยตามเขาหมดทุกอย่าง พี่น่าจะเป็นภรรยาที่ดีของเขา”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ พี่หมั้นแล้ว และกำลังจะแต่งงานเร็วๆ นี้ ใครมาได้ยินเข้าจะว่าเอาได้”

“ก็จริงนี่คะ ทำไมพี่ไม่ลุกขึ้นมาบอกแม่ บอกพ่อว่าไม่ได้รักโทมัส แต่งงานไปก็ทำให้ชีวิตของพี่ไม่มีความสุข”

“พี่ทำไม่ได้หรอก อย่าลืมว่าเขาช่วยสนับสนุนเงินให้โครงการของพ่อ ถ้าพี่ยกเลิกการหมั้น เขาอาจจะถอนเงินจากโครงการ แล้วคนที่จะเดือดร้อนที่สุดก็คือบริษัทของพ่อนะ”

“แหม เขาให้เงินกู้ ไม่ใช่ฟรีเสียหน่อย พ่อก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยตั้งเยอะ”

“แต่เขาก็คิดดอกเบี้ยแสนถูก ถ้าพ่อไม่มีเขาก็ลำบากนะ”

อะมานดามองพี่สาวแล้วก็ถอนใจเฮือก “พี่เป็นลูกสาวที่น่ารักและแสนดีจริงๆ น้องยังไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างพี่ได้หรือเปล่า”

“เรื่องแต่งงานกับโอเวนน่ะหรือ”

“ค่ะ น้องกับเขามีความคิดเห็นหลายอย่างที่ไม่ตรงกัน แต่งงานกันไปครอบครัวคงจะไม่สงบสุข เพราะน้องคงจะนิ่งเงียบและปล่อยให้เขาเป็นผู้นำและครอบงำความคิดของน้องหมดทุกอย่างไม่ได้แน่”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ เราเป็นผู้หญิง ถึงยังไงก็เป็นเพศที่อ่อนแอกว่า เราต้องการผู้นำครอบครัวที่แข็งแกร่ง ปกป้องพวกเราได้”

“ผู้นำครอบครัวที่แข็งแกร่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องครอบงำความคิดของเมียนี่คะ มีหลายครอบครัวที่เคารพการตัดสินใจของผู้หญิง แต่ท่าทางโอเวนจะไม่ใช่”

“บางทีถ้าน้องคุยกับเขา เขาอาจจะปรับปรุงตัวและเปลี่ยนความคิดได้นะ อย่าเพิ่งมองเขาในแง่ร้ายอย่างนั้น”

“ค่ะ น้องก็ไม่รีบด่วนตัดสินใจหรอก เมื่อตั้งใจจะให้โอกาสเขาอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นน้องจะให้คำตอบเขาค่ะ”

“หมายความว่าน้องอาจจะไม่แต่งงานกับเขาอย่างนั้นรึ”

“ก็ถ้ามองเห็นแล้วว่าเราอาจจะเข้ากันไม่ได้ น้องก็ไม่อยากฝืนใจทนอยู่ไปตลอดชีวิตหรอกค่ะ มันจะทำให้มีแต่ความทุกข์ทั้งสองฝ่าย”

“แล้วน้องจะบอกพ่อกับแม่ยังไง”

“เอาไว้ให้ถึงเวลานั้นก่อนนะคะ ตอนนี้น้องยังไม่ตัดสินใจอะไรทั้งนั้น เรามาเที่ยวก็อยากพักผ่อนจริงๆ” หญิงสาวโยนผ้าขนหนูพาดขอบเก้าอี้ แล้วทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียง 

แอนนาส่ายหน้าน้อยๆ เดินเข้าไปตีขาน้องสาวเบาๆ “โตเป็นสาวแล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ”

“ไว้อยู่นอกห้องค่อยเป็นสุภาพสตรีนะคะ ในห้องส่วนตัว น้องก็อยากทำอย่างที่น้องเป็น” เธอดึงหมอนเข้ามาหนุน แล้วทำท่าจะหลับไปท่านั้นเอง แอนนาจึงจำต้องลุกเมื่อน้องสาวตัดบทสนทนาดื้อๆ 

“จะให้พี่ปลุกก่อนเวลาอาหารเย็นไหม”

“ดีค่ะพี่ ขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวงึมงำ พลิกตัวหันหลัง 

แอนนาดึงผ้าห่มปลายเตียงขึ้นคลุมร่างบอบบาง แล้วเดินผ่านประตูห้องที่เชื่อมตรงกลางปิดประตูลงตามหลัง ใบหน้านวลนิ่งเฉย มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ไม่ได้สงบนิ่งเหมือนใบหน้า

แต่แทนที่แอนนาจะนอนพักผ่อนเหมือนน้องสาว เธอกลับเดินออกจากห้อง แล้วลงไปที่ล็อบบีของโรงแรมที่โอเวนนั่งจิบสกอตอยู่ตามลำพัง 

เธอนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ใบหน้าเคร่งเครียดเมื่อบอก

“เธอตัวร้อนจริงๆ ค่ะ บอกว่าเพลีย ขอพักผ่อน”

“เธอบอกไหมว่าไปเที่ยวกับใครตอนบ่าย” โอเวนคาดคั้น

“ฉันไม่ได้ถามค่ะ ปกติเธอก็ไปโน่นมานี่ตามลำพัง ฉันคิดว่าเธอคงจะไปคนเดียว”

“แต่เธอยิ้มให้ไอ้หมอนั่นเหมือนคนคุ้นเคยกัน”

“คุณก็คิดมากเกินไป เธอก็คุ้นเคยกับคนไปทั่วนั่นแหละค่ะ พนักงานที่โรงแรมนี้ไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ฉันไม่เห็นว่ามันจะแปลกอะไร”

ริมฝีปากบางของโอเวนเม้มเข้าหากัน เขาไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นผิด โดยเฉพาะผู้หญิง แต่เมื่อเธอเป็นพี่ของหญิงสาวที่เขาหมายปอง...โอเวนจึงจำต้องอดทน

“เราควรจะช่วยกันแนะนำเธอว่าสิ่งไหนเหมาะหรือไม่เหมาะ เพราะเธอยังเด็ก ต้องเรียนรู้อีกมาก”

“ฉันไม่คิดว่าเราจะเปลี่ยนความคิดของเธอได้ง่ายนัก เธอจะไม่ใช่ภรรยาในแบบที่คุณต้องการ” แอนนามองชายที่นั่งตรงข้าม ดวงตาที่วาววับขึ้นขณะมองตอบมาทำให้เธอต้องถอนใจ “ฉันรู้ว่าคุณพยายามอย่างยิ่งที่จะพิสูจน์ตัวเอง บางทีถ้าคุณทำให้เธอรักคุณได้ ความรักอาจจะเปลี่ยนแปลงเธอภายหลัง แต่อะมานดาไม่ใช่คนที่จะควบคุมความคิดได้ง่ายๆ หากคุณยังอยากให้การแต่งงานครั้งนี้ราบรื่น ก็ต้องพยายามมากขึ้น”

“ที่ผมต้องมาลำบากทำงานในป่าในเขายังไม่เรียกว่าพยายามอีกหรือ” เขากระซิบเสียงต่ำ “พวกคุณไม่เจออย่างผม ไม่มีทางรู้หรอกว่าผมจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง”

“คุณจะโทษใครไม่ได้ เพราะมันคือทางเลือกของคุณ” เธอตอบ เสียงเย็นยะเยือก

โอเวนมองคนพูดพร้อมกับทำเสียงฮึในลำคอ ก่อนยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกจนหมดแก้ว และลุกขึ้น 

“คุณจะไปไหนหรือคะ”

“ไปเดินเล่น เบื่อที่ต้องนั่งรอจนถึงเวลาอาหารค่ำ”

“ให้ฉันไปเดินเป็นเพื่อนไหม มีเพื่อนคุยจะได้ไม่เบื่อ”

“อย่าดีกว่า คู่หมั้นของคุณมาเห็นจะไม่พอใจ”

“ป่านนี้เขาคงนอนหลับกลางวัน อีกอย่างคนก็เยอะแยะ”

“ผมต้องการไปเดินเล่นตามลำพัง ขอตัว” โอเวนก้มศีรษะ แล้วก้าวยาวๆ จากไปโดยไม่เหลียวหลัง 

แอนนามองตามด้วยสายตาผิดหวัง...สายตามองผ่านช่องที่เปิดโล่งเหนือศีรษะราวกับจะมองไปให้เห็นอะมานดาที่กำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์โดยไม่รู้สึกว่าได้ทำอะไรให้ใครต้องเดือดเนื้อร้อนใจบ้าง 

เธอถอนใจแผ่วเบา ก่อนตัดสินใจเดินตามโอเวนไปห่างๆ อย่างน้อย ได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์และชมวิวสวยๆ ก็คงจะช่วยคลายความทุกข์ใจลงไปได้บ้าง

 

คริษฐ์นั่งคุยอยู่กับโรเบิร์ตที่ท่าเรือหลังเพื่อนที่อาวุโสกว่าเลิกงาน เขาช่วยลากเรือขึ้นฝั่งและล้างทำความสะอาดเรือและอุปกรณ์เรียบร้อยก็มานั่งพัก ใกล้ๆ กัน แอนโทนีกับรอยและเด็กชายอีกสามคนกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน คริษฐ์ยิ้มที่เห็นเด็กๆ เข้ากันได้ดี แอนโทนีไม่ถือตัวเหมือนอะมานดา ต่างจากโอเวนที่เจ้ายศเจ้าอย่าง แม้กระทั่งอยู่บนเขายังแบกเอาความเป็นผู้ดีขึ้นไปด้วย หลังจากได้คุยกับอะมานดาเมื่อครู่ เขาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเธอไม่เหมาะสมกับโอเวน และควรที่จะได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีกว่า

แต่คิดไปก็ไร้ประโยชน์ เธอไม่มีโอกาสที่จะได้หมั้นด้วยซ้ำ เมื่อวาระสุดท้ายของเธอรอคอยอยู่ไม่ไกล และหญิงสาวอีกคนที่มีชะตากรรมเดียวกันก็กำลังเดินผ่านหน้าเขาไป 

คริษฐ์มองตามร่างที่อวบอิ่มและคิดว่าน่าจะเตี้ยกว่าอะมานดาเล็กน้อย เธอดูสวยกว่าในรูปที่เห็นในโรงแรม แม้ว่าจะไม่สวยน่ารักสะดุดตาเหมือนน้องสาว แต่ก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่ แต่เป็นเพราะบุคลิกของอะมานดาที่สดใสร่าเริงเป็นกันเองมากกว่าจึงทำให้คนรอบข้างผ่อนคลาย ขณะที่แอนนากลับมีรัศมีความเย็นชาแผ่กระจายออกจากตัว เดินผ่านหน้าใครก็ไม่ยิ้ม โดยเฉพาะขณะเดินผ่านพนักงานโรงแรมอย่างโรเบิร์ตที่เปิดหมวกและก้มศีรษะทักทาย เขาจึงทำตาม เธอเพียงแค่พยักหน้านิดเดียวเท่านั้นแล้วก็เดินผ่านเลยไป

โรเบิร์ตไม่ได้ใส่ใจนัก แต่คริษฐ์ยังมองตามหลังหญิงสาวไปจนลับสายตา

“มีอะไรผิดปกติงั้นรึ” โรเบิร์ตถามคริษฐ์

“ไม่มีอะไรนี่ครับ” เขาหันมาตอบ 

“ก็เห็นมองตามคุณแอนนาไปตั้งนาน นึกว่ามีอะไร”

“อืม...ผมก็แค่คิดอะไรบางอย่าง”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“ผมก็แค่คิดว่าพี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่”

“คุณแอนนากับคุณอะมานดางั้นรึ”

“ครับ คนพี่ท่าทางถือตัว แต่น้องสาวกับน้องชายโน่น เป็นกันเองกับทุกคนมาก”

“โอ๊ย พวกเศรษฐีเป็นแบบนี้แหละ” โรเบิร์ตโบกไม้โบกมือ “แต่คุณก็พูดถูก สองพี่น้องที่คุณว่า ได้นิสัยมาทางพ่อเยอะ แต่พี่สาวคนโตนั่นถ่ายทอดมาจากแม่เลย พวกผู้ดีอังกฤษ” โรเบิร์ตพูดปนเสียงหัวเราะขำๆ มากกว่าจะเก็บเอามาจริงจัง คงนับจากประสบการณ์ที่ทำงานกับแขกโรงแรมหลายรูปแบบ

หนุ่มใหญ่เก็บข้าวของ หิ้วกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า ก่อนจะตะโกนบอกลูกชาย

“ได้เวลากลับบ้านกันแล้วเด็กๆ คุณแอนโทนีกลับโรงแรมเถอะครับ ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว เดี๋ยวจะอาบน้ำแต่งตัวไม่ทันนะครับ”

เด็กชายทั้งกลุ่มคราง ไม่ค่อยอยากหยุดเล่น โรเบิร์ตเรียกรอยอีกครั้ง เด็กน้อยจึงจำต้องวิ่งจากกลุ่มเพื่อนมาหาบิดา คริษฐ์รีบเด้งตัวลุกขึ้น ช่วยหิ้วถังใส่ปลาแล้วเดินตามกลับกระท่อม เหลียวมองไปด้านหลังก็เห็นกลุ่มเด็กชายแยกย้ายกันกลับ แล้วโรเบิร์ตก็บอกต่อ

“แขกสุภาพสตรีส่วนใหญ่ที่นี่ ถ้ามาพักกันตลอดซัมเมอร์ก็มักจะขลุกอยู่กับกลุ่มเพื่อน นั่งคุย จิบน้ำชา บางทีก็ขี่ม้า พายเรือบ้าง มีแต่คุณอะมานดานี่แหละที่ใช้บริการกิจกรรมที่โรงแรมจัดให้นักท่องเที่ยวทุกอย่าง ตอนหลังเบื่อก็มาถามเส้นทางไปเดินป่า ผมก็บอกเส้นทางใกล้ๆ นี่แหละ แบบไปเช้าและกลับมาทันตอนเย็นก่อนอาหารค่ำ”

“แถวนี้ไม่อันตรายหรือครับ” คริษฐ์อดห่วงไม่ได้เมื่อคิดถึงตอนกลางวันที่พบเธอว่ายน้ำกลางสระอยู่ตามลำพัง “อย่างพวกหมี หรือแม้แต่พวกโจรอาจทำร้ายเธอได้”

“หมีอาจจะมี แต่เรื่องคนร้าย ไม่น่านะ เพราะแถวนี้มีแต่พนักงานโรงแรม และแขกก็มีฐานะทั้งนั้น แถมยังมีนักท่องเที่ยวที่ชอบเดินป่า เลือกเส้นทางเดินไปที่น้ำตกอยู่ตลอด และยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่คุณว่าสักครั้ง”

“ครับ” เขาพึมพำรับ คิดว่าชีวิตผู้คนในอดีตคงจะปลอดภัยกว่ายุคสมัยที่เขาจากมา ในหุบเขาแห่งนี้ก็ไม่มีใครนอกจากพนักงานและครอบครัว กับแขกของโรงแรมที่มีฐานะดีกันทุกคน ไม่อยากนั้นคงจะจ่ายเงินค่าห้องพักในราคาสูงไม่ไหว 

“ว่าแต่คืนนี้คุณจะประชุมกันกี่โมงล่ะ” โรเบิร์ตถาม รอยวิ่งมาถึงข้างตัว ก็เงยหน้ายิ้มให้แก่แขกของบิดาที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะเขาอาศัยนอนในห้องของเด็กน้อยอยู่หลายคืน

“คงจะหลังอาหารกระมังครับ ผมว่าจะไปรอที่ล็อบบี ถ้าพวกเขาทานอาหารกันเรียบร้อยก็คงจะนั่งคุยงานอย่างไม่เป็นทางการ หากพวกเขาต้องการผมก็จะได้เรียกง่ายๆ”

“ถ้างั้นทานข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยไปก็แล้วกันนะ จะได้คุยกันสักพัก”

“ได้ครับ” เขาตอบรับด้วยความยินดี “ผมซื้อสกอตวิสกี้มาฝากคุณด้วย จะได้ดื่มกับสเต๊กปลาสูตรเฉพาะของคุณ”

“เยี่ยมๆ” โรเบิร์ตตบหลังเพื่อนรุ่นน้อง หัวเราะชอบอกชอบใจ แต่ทั้งสามยังเดินไปไม่ถึงกระท่อมหลังเล็ก ไมเคิลก็วิ่งตามหลังมาเสียก่อน และส่งเสียงเรียกเพื่อนร่วมงาน

“เฮ้ คริส”

ทั้งสามหันไปตามเสียง และหยุดเดินเมื่อคริษฐ์เห็นว่าใครเรียก

“มีอะไรรึไมค์”

“คุณฟิลลิปให้มาบอกคุณว่าคืนนี้เราจะร่วมโต๊ะกินข้าวกับคุณอเล็กซ์ ให้รีบอาบน้ำแต่งตัวหล่อๆ เร็วเข้า”

คริษฐ์ประหลาดใจ โรเบิร์ตเอ่ยขึ้น

“ไปเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาดื่มด้วยกัน”

“ครับ ถ้างั้นผมขอตัวก่อน เดี๋ยวจะสาย”

โรเบิร์ตพยักหน้า แล้วจูงลูกชายเดินกลับบ้าน 

คริษฐ์เดินกลับห้องพักกับเพื่อนร่วมงาน ทั้งสองรีบอาบน้ำอาบท่า คริษฐ์ใส่ครีมและหวีผมเรียบแปล้ สวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงที่ดีที่สุดที่มีคาดด้วยสายเอี๊ยมหนัง มองกระจกก็บอกตัวเองว่าหล่อเหลาไม่เบา แต่งตัวก็เหมาะสำหรับอาหารค่ำในห้องอาหารหรูกับเจ้านาย รองเท้าหนังสำหรับทำงานถูกเช็ดทำความสะอาดให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นรองเท้าคู่เดียวที่สุภาพที่สุดที่มี ไมเคิลก็แต่งตัวเรียบร้อย และดูจะเคยออกงานกับเจ้านายหลายครั้ง จึงมีรองเท้าที่ดูดีกว่าเขา

ทั้งสองออกไปรอที่ล็อบบีก่อนเวลานัดกว่าสิบห้านาที แม้ในอดีตคริษฐ์เคยร่วมงานเลี้ยงใหญ่โตมามากมาย แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เขาจะร่วมในงานเลี้ยงในอดีตที่มีพิธีรีตองอย่างยิ่ง เขาจึงอดประหม่าไม่ได้ และนั่งนิ่งมองแขกของโรงแรมเดินเข้าออกห้องโถง ขณะที่เพื่อนหยิบหนังสือพิมพ์อ่านฆ่าเวลา 

พอประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง เขาก็ยิ้มโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นสาวสวยในชุดสีแดงสดเดินออกจากลิฟต์เพียงลำพัง

ใบหน้าของเธอดูเบื่อหน่าย ไม่ได้มองมาทางเขา แต่เลี้ยวออกไปที่ระเบียงของโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ให้แขกนั่งชมวิวริมทะเลสาบ คริษฐ์ลุกเดินตามอัตโนมัติ แต่เขาไม่กล้าเข้าไปทัก เดินตามไปห่างๆ จนกระทั่งเธอหันกลับมา คิ้วที่วาดสวยเลิกขึ้นและเอียงคอเล็กน้อย

“คุณ...”

คริษฐ์ตกใจ ไม่นึกว่าเธอจะรู้ตัวว่ามีคนเดินตาม เขายิ้มเจื่อนๆ

“พอดีผมเห็นคุณที่ลิฟต์ เลยจะเข้าไปทัก แต่คุณออกมาที่ระเบียงก่อน ผมขอโทษนะครับ ไม่คิดว่าจะรบกวนคุณ”

“ไม่รบกวนหรอกค่ะ พอดีฉันลงมาเร็วไปหน่อย ยังไม่ถึงเวลาทานอาหารเย็น ก็เลยว่าจะไปเดินเล่นริมทะเลสาบฆ่าเวลา ว่าแต่คุณมารออาฟิลลิปหรือคะ”

“ครับ คืนนี้ท่านประธานจะเลี้ยงอาหารเย็น ผมโชคดีที่ได้รับเชิญด้วย”

“ดีเลยค่ะ อาหารที่นี่อร่อย ฉันคิดว่าน้ำหนักคงขึ้นมาหลายปอนด์ตั้งแต่มาพักที่นี่”

“ไม่จริงเลยครับ นอกเสียจากว่าเมื่อก่อนคุณผอมมากๆ”

อะมานดาหัวเราะเสียงสดใสทำให้เขาต้องหัวเราะตาม พอเสียงหัวเราะคลายลง เธอก็โบกมือ

“ฉันต้องการยืนยันว่าอาหารที่นี่อร่อยค่ะ”

“ถ้าเทียบอาหารของแคมป์ ผมก็เชื่อว่ามันจะต้องเหมือนกินอาหารทิพย์เชียวละครับ”

“พ่อครัวที่แคมป์ฝีมือแย่มากเลยเหรอคะ”

“จุ๊ๆ อย่าบอกเขานะครับ เดี๋ยวพวกผมจะไม่มีข้าวกิน” เขาบอกขำๆ “จริงๆ อาหารที่แคมป์ได้แค่นี้ก็ดีนักหนาแล้วครับ เพราะทั้งอยู่ไกล เครื่องปรุงบางอย่างก็ขาด กว่าจะได้ของมาอีกครั้งต้องรออีกเป็นอาทิตย์ บางทีพวกเราก็ต้องล่ากวาง กระต่ายป่ามากิน ได้มาทีก็ได้กินอาหารอร่อยทีครับ เพราะไม่ต้องกินอาหารกระป๋อง”

“ถ้างั้นไม่ใช่เพราะฝีมือพ่อครัวแล้วละค่ะ แต่เป็นเพราะต้องกินกันตามมีตามเกิดมากกว่า”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”

“อะมานดา!”

เสียงเข้มงวดดังมาจากด้านหลังของทั้งสอง หญิงสาวหันไปทันที ใบหน้าสดใสของเธอเปลี่ยนไปเมื่อเห็นมารดา

“แม่...”

หญิงวัยกลางคนที่ยังมีผิวพรรณเต่งตึง ใบหน้ายังคงความสวยไม่ต่างจากบุตรสาวจ้องคริษฐ์เขม็ง อะมานดารีบเดินเข้าไปหามารดา

“ลงมาแล้วหรือคะ ลูกนึกว่าแม่ยังไม่เสร็จเลยลงมาเดินเล่นก่อน”

จูเลียไม่ตอบบุตรสาว แต่มองไปทางด้านหลังของเธอ คริษฐ์รีบก้มศีรษะ แล้วอะมานดาก็บอก

“คริส ผู้ช่วยของอาฟิลลิปไงคะแม่ เขามารอกินอาหารกับพ่อ”

พอได้ยินคำอธิบาย จูเลียก็พยักหน้ารับเพียงเล็กน้อย ใบหน้าตึงดูผ่อนคลายลงมานิดกับลูกสาว วินาทีนั้นคริษฐ์รู้สึกถึงความเป็นผู้ดีจัดทุกกระเบียดนิ้วจากสายตาที่มองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จนเขาถึงกับเกิดอาการขนลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ที่ที่คุณควรอยู่คือรอเจ้านายของคุณเรียกที่หน้าห้องอาหาร ไม่ใช่มาอยู่ตรงนี้”

“ครับ ผมจะกลับเข้าไปด้านในรอคุณฟิลลิปที่นั่น” เขาก้มศีรษะอีกครั้งแล้วเดินกลับเข้าไปที่ล็อบบี 

อะมานดารอจนกระทั่งเขาเดินห่างไปก็จับแขนมารดาเขย่า “แม่คะ เขาทำงานให้เรานะคะ ไม่ใช่ผู้ร้ายสักหน่อย”

“แม่ก็ไม่ได้ว่าเขาเป็นผู้ร้าย เพียงแต่เขาควรจะต้องรู้จักที่ทางของตัวเอง ไม่ใช่เดินเที่ยวเตร่ไปทั่วแบบนี้”

“เขาเป็นแขกของโรงแรม มีสิทธิ์ที่จะเดินไปไหนมาไหนได้อิสระนะคะแม่”

สายตาเข้มงวดปรายตามองบุตรสาว ทำให้เธอหน้าจ๋อยลงไปถนัดตา แต่ยังงึมงำ

“ก็จริงนี่คะ เขาก็ถือเป็นแขกคนหนึ่ง”

“ถ้าเป็นแขกที่ควักเงินจ่ายค่าโรงแรมเอง แม่จะไม่ว่าสักคำ แต่เมื่อพ่อเป็นคนจ่ายค่าห้องให้แก่ลูกจ้างทุกคน เขาก็ควรจะรู้ว่าต้องวางตัวในฐานะไหน จะออกมาเดินเตร่แบบนี้ไม่ได้ ฟิลลิปหรือพ่ออาจจะเรียกเขาใช้ได้ตลอดเวลา”

“รวมถึงโอเวนด้วยใช่ไหมคะ” เธอย้อน “เพราะพ่อก็จ่ายค่าห้องให้เขาทุกครั้งที่มาพักที่นี่ แต่ไม่เห็นเขาเคยต้องรอคอยให้พ่อเรียกใช้เลย”

“นั่นมันไม่เหมือนกัน” จูเลียเสียงขุ่นจัด “อย่าเอาโอเวนไปเปรียบเทียบกับคนพวกนั้น มันคนละชั้นกัน”

“คนละชั้นยังไงล่ะคะ ในเมื่อโอเวนก็เป็นพนักงานของบริษัทคุณพ่อ ไม่ว่าจะมาพักที่นี่ ทั้งกินทั้งอยู่ ก็เงินของคุณพ่อทั้งนั้น”

ริมฝีปากมารดาเม้มเข้าหากันแน่น สายตามองบุตรสาวเกรี้ยวกราด ทั้งโกรธทั้งเคืองที่อะมานดายอกย้อน และหล่อนไม่เข้าใจว่าเหตุผลของหล่อนมันยากที่จะเข้าใจตรงไหน

“แค่ชาติกำเนิดและสายเลือดที่แตกต่าง มันก็ทำให้คนแตกต่างกันแล้ว อย่าเอาโอเวนไปเทียบกับคนงานชั้นต่ำแบบนั้นอีก แม่ไม่ชอบ และไม่อยากได้ยินที่ลูกออกโรงปกป้องเขา”

“แต่แม่คะ...”

“หยุด แม่ขอสั่งห้ามลูกไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้น อยู่ให้ห่างลูกน้องของฟิลลิปทุกคน อย่าทำตัวเสื่อมเสียชื่อเสียง อย่าลืมว่าลูกกำลังจะแต่งงานกับโอเวนเร็วๆ นี้”

อะมานดาขัดใจ แต่เมื่อมารดาตวัดสายตาเกรี้ยวกราดมอง เธอก็ต้องหยุด และถอนใจเฮือก ก่อนจะเดินตามมารดากลับไปที่ห้องอาหารหน้าจ๋อย และยังยิ้มไม่ออกแม้โอเวนจะช่วยดึงเก้าอี้บริการสุภาพสตรี อาหารที่เคยแสนอร่อยสำหรับเธอแต่มื้อนั้นมันช่างกร่อยเหลือทน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น