3

ความซื่อสัตย์ของมด


 

ตอนที่ 3

ความซื่อสัตย์ของมด

- ผ้าใบ -

            “ตกลงนะ?”

ผมมองหน้าพี่ม่อน ก็คิดอยู่ว่ามันแปลกๆ ที่วันนี้แกซื้อขนมมาฝากน้องนุ่ง ที่ไหนได้…

            “ได้อยู่แล้วพี่ม่อน” ซอลตอบรับด้วยรอยยิ้ม เรื่องช่วยเหลือกัน เพื่อนผมไม่เคยพลาด ไม่เคยเอ่ยปากปฏิเสธ

            “แต๊งกิ้ว งานคณะพี่จะปฏิเสธก็ลำบาก แต่เล่นไม่นาน ไม่เกินสองชั่วโมง”

            “เอาคนนอกคณะเข้าไปเล่นจะดีเหรอไอ้ม่อน งานภายในไม่ใช่เหรอ”

            “ไม่มีปัญหาพี่อาจ อาจารย์ผมเป็นคนเอ่ยปากถามเอง แกเคยมากินข้าวที่ร้านแล้วชอบเสียงของซอล”

            “จับได้แล้ว! พี่ม่อนเอาพวกผมไปแลกเกรด” พี่ม่อนสะดุ้งโหยง คงเพิ่งรู้ตัวว่าพลาดให้ผมจับได้

            “น้องผ้าใบคร้าบบบ กูขอโทษ แต่ไปให้กูหน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นปีนี้กูไม่จบแน่ ช่วยงานคณะเผื่ออาจารย์ท่านจะเห็นใจ”

            “ฮ่าๆๆ ผมช่วยอยู่แล้วพี่ม่อน ที่จริงไม่เห็นต้องถามเลย”

            “กูก็ว่างั้น เลยรับปากอาจารย์ไปเรียบร้อย”

            “โห! พี่ม่อนเล่นงี้เลยเหรอ”

            “ฮ่าๆๆ” พี่ม่อนหัวเราะชอบใจสีหน้าของผม

วงของพวกเรามารวมกันได้เพราะพี่ม่อนกับผมเคยทำงานในร้านอาหารเดียวกัน หลังจากได้พูดคุยจนสนิทสนม ทำให้รู้ว่าเราต่างชอบดนตรีเหมือนกัน พี่ม่อนจึงชวนผมตั้งวงดนตรีเพื่อออกหางาน ผมดึงซอลมาร่วมด้วย เพราะอยากให้เพื่อนมีรายได้มากขึ้นกว่างานที่ทำอยู่ ส่วนพี่อาจเป็นเพื่อนข้างบ้านของพี่ม่อน

“พี่ม่อน” ผมขมวดคิ้วเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แต่พูดก็พูดเถอะ ผมไม่อยากเจอหน้าไอ้หมอนั่น”

“ไอ้หมอนั่น? คีรีเหรอ ไม่มามั้ง”

“ก็แล้วไป” ผมถอนใจโล่งอก ตั้งแต่คืนนั้นผมไม่ได้เจอหน้าคู่อริอีกเลย ผมไม่ได้เอาคืนเหมือนทุกครั้ง เพราะตกปากรับคำซอลไปแล้ว มันเลยยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจเมื่อนึกถึง ไม่เจอหน้ากันไปเลยน่าจะดีกว่า

 

            “ขอบใจมากพี่ม่อน”  ผมกัดฟันพูดเมื่อเห็นคู่อริเต็มสองตา

                “กูบอกว่าไม่มามั้ง แปลว่าก็ยังไม่ชัวร์” พี่ม่อนแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ “สงสัยแวะมาช่วยแป๊บๆ เอาคะแนนกับอาจารย์”

                “แป๊บๆ กับผีสิพี่ ผมเห็นชื่อมันอยู่ในรายชื่อโหวต Hot Guys & Girls” ผมสะบัดกระดาษในมือ ขอยืมน้องคุมเวทีมาดู

            “ฮ่าๆๆ มึงเห็นแล้วเหรอ”

            “ไอ้พี่ม่อน รู้อยู่แล้วใช่ไหม”

            “ฮ่าๆๆ  ก็กูกลัวมึงไม่ยอมมา เอาน่า มึงไม่ได้อยู่ใกล้กัน จะหัวเสียทำไมวะ ไม่มองซะก็สิ้นเรื่อง”

            “พูดง่ายว่ะพี่ คนไม่ชอบขี้หน้ากัน สูดอากาศที่เดียวกันยังไม่อยากเลย”

            “ผ้าใบก็อย่าไปใส่ใจสิ เราก็อยู่ของเราไป” ซอลเข้ามาช่วยพี่ม่อนไกล่เกลี่ย

“เออๆ คราวหลังหลอกผมแบบนี้อีกมีเฮ”

“ขอบคุณคร้าบบบ น้องผ้าใบโคตรหล่อของพี่”

ผมกลั้นยิ้ม ที่จริงก็โวยวายไปอย่างนั้นเอง ถึงยังไงก็ต้องอยู่ช่วยกันจนจบ ไม่อย่างนั้นแทนที่จะได้คะแนนพิศวาสจากอาจารย์ ไอ้พี่ม่อนอาจตกรวดทุกวิชา ข้อหาทำงานคณะพัง

 

            “ไง!

            คนกวนตีนย่อมมีตีน ถึงผมพยายามอยู่ห่างๆ ก็ยังเจอกันจนได้ ผมเดินมาเข้าห้องน้ำใต้ตึกคณะ ส่วนหมอนี่เพิ่งเดินออกมา ผมมองเหมือนเป็นอากาศธาตุ ตั้งใจจะเดินผ่านหน้าโดยไม่ตอบโต้

            “ไม่ทักทายกันหน่อยเหรอ”

            ผมชะงักกึก ถอนใจออกมาดังๆ ซอลจะโทษกูไม่ได้นะ กูไม่ใช่คนหาเรื่องก่อน

            “ยังไม่ตายเหรอ” อยากให้ทักมากนัก ผมก็จะทักตามที่ขอ

            “ยัง” คนพูดยักไหล่ “ว่าจะรอไปพร้อมกัน” ผมนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ พร้อมกับชั่งใจไปด้วยว่าจะบวกกับหมอนี่ดีไหม ผมไม่กลัว แต่ไม่อยากให้พี่ม่อนมีปัญหา มีเรื่องในคณะ ขึ้นแสดงไม่ได้ขึ้นมา จะพาพี่ม่อนซวยไปด้วย

            “ไปชวนเพื่อนเถอะ ฉันไม่รู้จักนาย” ผมสาวเท้าเข้าห้องน้ำ สั่งตัวเองว่าอย่าฟัง อย่าสนใจ ห้ามพูดอะไรต่อ โชคดีที่อีกฝ่ายคงคิดเหมือนกันว่าไม่ใช่วันนี้ เพราะนอกจากเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอแล้ว ก็ไม่มีคำพูดลอยตามหลังผมมาอีก

             

            “ทำหน้าดีๆ” ซอลจับแก้มผมส่ายไปมา จากที่ยิ้มไม่ออกก็ต้องยิ้มตามรอยยิ้มอ่อนๆ นั้น ผมดึงซอลลงนั่งตัก กอดเอวมันไว้หลวมๆ

            “นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องขึ้นแสดง กูต่อยคว่ำไปแล้ว”

            “ดีแล้วที่ผ้าใบคิดได้ อย่ามีเรื่องเลย เราไม่อยากเห็นผ้าใบเจ็บตัว อีกอย่าง...เห็นว่าบ้านรวยมาก พ่อเป็นถึงเจ้าของโรงแรมใหญ่ เกิดอะไรขึ้น เราจะมีแต่ผิดกับผิดลูกเดียว”

            “รู้น่า”

            “ผ้าใบก็รู้แล้วตลอดแหละ แต่ชอบทำให้เราเป็นห่วง”

            “จะได้อ้อนซอลได้ไง” ผมซบหน้าลงกับหลังของซอล ถูใบหน้าไปมาเบาๆ

            “อยากอ้อนก็ต้องทำตัวให้น่ารัก กับคนนั้นพอแล้วนะ จำที่รับปากเราได้ไหม”

            “ได้”

            “ลืม พรุ่งนี้กระป๋องสีซ่อมเสร็จแล้ว ผ้าใบไม่ต้องไปรับเราตอนเช้าแล้วนะ เดี๋ยวเราแวะไปเอารถก่อนค่อยไปมหา’ลัย”

            “งั้นก็ยิ่งต้องไปรับ อู่อยู่ไกลไม่ใช่เหรอ จะไปยังไง เดี๋ยวกูไปส่งเอง”

“ไปได้”

“รออยู่หอนั่นแหละไม่ต้องเถียง บอกแล้วว่าให้ย้ายมาอยู่หอเดียวกันก็ไม่เชื่อกู”

“ขี้เกียจย้าย อยู่มาตั้งแต่เข้ามหา’ลัย ที่นั่นก็ดีอยู่แล้ว”

“ตามใจ” ผมหลับตา ซบหน้ากับหลังของซอลนิ่ง อีกฝ่ายนั่งเงียบๆ ปล่อยให้ผมพัก

ผมกับซอลรู้จักกันตั้งแต่ปีหนึ่ง เราสนิทกันอย่างง่ายดายทั้งที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว อาจเป็นเพราะผมอารมณ์ร้อน ในขณะที่ซอลเป็นคนใจเย็นมาก ถึงทำให้เราอยู่ด้วยกันได้ ผมมีเพื่อนน้อย เพราะนอกจากเวลาเรียนแล้ว ที่เหลือก็หมดไปกับการทำงานเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย ไม่มีเวลาออกไปเที่ยวเหมือนคนอื่นเขา ก็มีแต่ซอลที่ผมพึ่งพาได้ทุกอย่าง เป็นทั้งเพื่อนสนิท เป็นผู้ฟังที่ดี และเป็นพี่ของผมในเวลาที่ผมจำเป็นต้องมีคนตักเตือน ซอลจึงเหมือนครอบครัวเดียวที่ผมมีที่นี่ เมืองใหญ่ที่ต่างต้องดิ้นรนกันไป

 

- คีรี -

            “เมื่อกี้กูเดินผ่านด้านหลังเวที เจอคู่อริมึงด้วย” จอมทัพทิ้งตัวลงนั่งข้างผม ในห้องที่จัดไว้ให้ผู้เข้ารอบสิบคน Hot Guys & Girls  มันคือการเปิดให้คนในคณะโหวตว่าหนุ่มสาวคนไหนเข้าตาเพื่อนร่วมคณะมากที่สุด ถึงไม่อยากมาก็ต้องมา เพราะผมกับจอมทัพติดทั้งคู่

            “กูเจอแล้ว” ผมไม่ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์

            “ที่ไหน”

            “หน้าห้องน้ำ”

            “มาทำอะไรกันวะ เห็นมากับคนตัวเล็กๆ ที่เป็นนักร้อง”

            “เล่นดนตรี” ผมชี้นิ้วไปที่เอกสารบนโต๊ะ

            “อ๋อ วงที่เล่นช่วงก่อนปิดงาน” จอมทัพเปิดอ่านกำหนดการที่ทางทีมงานเอามาให้นานแล้ว แต่พวกผมไม่สนใจ ผมเพิ่งเปิดอ่านหลังจากเจอหน้าอีกฝ่ายมา

            “เออมึง คู่อริมึงชื่ออะไรนะ ผ้าใบใช่ไหม” จอมทัพวางกระดาษลง หันมาตั้งใจคุยกับผม

            “ใช่”

            “เมื่อกี้กูเห็นอะไรแปลกๆ มาว่ะ”

            “อะไรที่มึงว่าแปลก” ผมปิดหน้าจอ ชักสนใจสิ่งที่เพื่อนพูด

            “กูว่าผ้าใบกับนักร้องตัวเล็กนั่นน่าจะเป็นแฟนกัน”

            “มึงแน่ใจ?”

            “ไม่เชิง แต่เมื่อกี้กูเห็นนั่งตักกัน กอดกัน มันดูเกินเพื่อนไปหน่อย หรือมึงจะให้กูนั่งตัก”

            “ไปห่างๆ ตีนกูเลย” ผมเงื้อเท้ารอเพื่อน

            “ฮ่าๆ เห็นไหม แค่คิดกูยังสยอง แต่คู่นั้นทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ”

            “ที่มึงพูดก็มีสิทธิ์” ผมคิดย้อนไปถึงหลายอย่างในคืนนั้น มันมีความเป็นไปได้สูงมาก มิน่า ถึงออกอาการหวงนัก

            “ทำไมทำหน้าเจ้าเล่ห์วะ อย่าบอกว่ามึงจะแกล้งจีบแฟนมัน”

            “ถามเหี้ยอะไรอย่างนั้นวะ กูไม่จีบผู้ชาย”

            “กูก็ลองถามดู ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ ทำไมต้องของขึ้นด้วย แต่คู่นั้นกูว่าใช่แน่ เด็กนั่นตัวนิดเดียว หน้าตาน่ารักอย่างกับผู้หญิง”

            “อืม” ผมพยักหน้าเห็นด้วย หมดความสนใจเมื่อรู้ว่าคือเรื่องอะไร รสนิยมของมันจะเป็นยังไง ก็ไม่เกี่ยวกับผม

           

            ผมถอนใจยาวเมื่อถูกพิธีกรประกาศชื่อให้ขึ้นไปบนเวที การตัดสินผู้ชนะจากห้าคนสุดท้ายทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะเริ่มนับคะแนนใหม่ โดยการโหวตจากผู้ที่อยู่ในงานเท่านั้น ผู้เข้ารอบทั้งหมดจึงต้องขึ้นไปให้พิธีกรสัมภาษณ์ และนั่นเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับผม ยิ่งถูกบังคับกลายๆ ให้มาแบบนี้ ก็ยิ่งเซ็งเข้าไปใหญ่

ผมตอบคำถามด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม โชคดีที่ต้องออกงานกับพ่อบ่อย ทำให้ผมถนัดในการรักษาสีหน้า และควบคุมอารมณ์ตัวเอง มาถอนใจยาวด้วยใบหน้าเบื่อหน่ายก็ตอนก้าวลงจากเวทีมาแล้ว

“คิดว่าจะชนะเหรอ” คำถามห้วนๆ ที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องมองหาเจ้าของเสียง

ผ้าใบยืนพิงเสา กอดอกหลวมๆ มองผมอยู่

“ไง! คนแปลกหน้า” ผมยกยิ้มมุมปาก ทักทายด้วยคำนี้ เพราะจำได้ว่าผ้าใบพูดว่าไม่รู้จักผม

“ก็น่าจะชนะนะ” ผมเดินเข้าไปหาพร้อมกับตอบคำถามเมื่อครู่ ยิ้มแบบตั้งใจกวนประสาทอีกฝ่าย และมันก็ได้ผล ริมฝีปากของผ้าใบเบ้ออกเล็กน้อย

“มั่นใจไปหน่อยมั้ง ทำหน้าเหมือนเสียเวลาชีวิต ไม่ดูถูกคนอื่นไปหน่อยเหรอ” ผมขมวดคิ้ว คิดจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ อธิบายไปก็เท่านั้น เด็กนี่อคติกับผมอยู่แล้ว

“นายอยู่ปีไหน”

“ไม่เกี่ยวกับนาย”

“ฉันอยู่ปีสี่ น่าจะเป็นรุ่นพี่นายหลายปี”

“แล้วไง” คนพูดมองผมด้วยสายตาท้าทาย

“ไม่มีใครสอนให้เคารพรุ่นพี่เหรอ”

“ก็อยู่ที่ว่ารุ่นพี่มันน่าเคารพหรือเปล่า” สายตาที่มองมามีรอยยิ้มเยาะ “กับบางคนก็ไม่ไหว”

“รุ่นน้องบางคนก็ควรถูกสั่งสอน” ผมสืบเท้าเข้าไปใกล้  คนที่ยืนพิงเสาสบายๆ ตื่นตัวทันที รีบขยับขึ้นยืนตรงในท่าเตรียมพร้อม

“คิดว่ากลัวเหรอ”

“คนไม่กลัวจะไม่ถามแบบนี้”

“คนโดนสอยร่วงเพราะปากดีก็มีเยอะ”

“คีรี” เสียงเรียกทำให้การต่อปากต่อคำชะงัก ผมหันไปมองคนเรียก “มายืนทำอะไรตรงนี้คะ เขาให้ไปรวมตัวกันข้างเวที”

“ปันไปก่อนเลยครับ ผมขอคุยกับ...”

“คนแปลกหน้า” เสียงแทรกดังขึ้น คนพูดยิ้มท้าทาย

“อ้าว! ไม่รู้จักกันเหรอคะ” ปันมีสีหน้างุนงง หันมองผมที มองคู่ปรับผมที

“ทำนองนั้นครับ”

“อืม...งั้นปันไม่กวนดีกว่าคะ อย่าลืมรีบไปนะคะ ปันว่าคีรีได้รางวัลแน่” ดูเหมือนปันจะจับรังสีมืดมิดที่แผ่ออกมาระหว่างพวกผมได้ จึงรีบเอ่ยขอตัว

“ครับ เดี๋ยวผมไป” ผมรอจนปันเดินพ้นไปแล้ว จึงหันกลับไปหาคนที่ยังยืนอยู่ จู่ๆ คนทำหน้าบึ้งตึงมาตลอดก็ยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนคนถือไพ่เหนือกว่าขึ้นมา

 “รู้ไหมว่าเขาให้คนที่มาในงานลงคะแนนได้ทุกคน”

“หึๆ อยากลงชื่อใครก็ลงไปเถอะ ไม่มีผลอะไรกับฉัน”

“ขี้อวดฉิบหาย”

“เขาเรียกว่ารู้จักตัวเองดีพอ คุยกับนายสนุกใช้ได้ แต่ฉันต้องไปแล้ว วันหลังค่อยคุยกันใหม่”

“อยากคุยตายห่าละ” ผมยิ้มมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงห้วนๆ ยิ่งเห็นมันหัวเสีย ผมยิ่งขำ เด็กนี่หัวร้อนไวจริงๆ

“ใครจะรู้” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนเดินจากมา จู่ๆ ก็รู้สึกหายเบื่อ ชักอยากรู้ว่าคนที่ชอบผู้ชายอย่างมันจะเลือกให้คะแนนใคร ไม่มีใครตัวเล็กๆ น่ารักเข้าประกวดซะด้วย แต่ที่แน่ๆ มันคงไม่เลือกผม

 

“คีรี กระดาษที่มึงอยากได้” ผมรับกระดาษมาจากเพื่อนร่วมคณะหลังจบงาน

“ขอบใจมาก มึงจะพาแฟนไปกินข้าวที่โรงแรมเมื่อไหร่บอกกู เดี๋ยวกูจัดการให้”

“สักอาทิตย์หน้า เดี๋ยวกูบอกมึงอีกที”

“ได้ทุกเมื่อ” ผมจับมือเพื่อนเขย่า รอจนอีกฝ่ายเดินห่างออกไปจึงก้มมองกระดาษในมือ มันถูกพับเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ผมทายผลไว้ในใจก่อนเปิดออกดู

ผมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่เขียนในกระดาษ ยอมรับว่าแปลกใจมาก ชื่อของผมเขียนด้วยลายมือคุ้นตา แม้ไม่ลงชื่อ แต่เพราะเพื่อนผมเป็นคนเดินเก็บผลกับมือ จึงเชื่อได้ว่าไม่ผิดคน

คีรี ผมยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ไม่อยากเชื่อว่าไอ้เด็กนั่นเลือกผม เพิ่งรู้ว่าความสามารถของมด นอกจากขยันขันแข็งแล้ว  ยังซื่อสัตย์อีกด้วย

อยากเห็นหน้าตอนมันเขียนชื่อผมลงไปชะมัด ไม่ชอบขี้หน้า แต่ก็ยังคิดว่าผมควรชนะ หึๆ ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อพอเดาบางอย่างได้ ผมว่า...มันคงเขียนไปแช่งชักหักกระดูกผมไปร้อยเปอร์เซ็นต์ ไอ้เด็กนี่น่าสนใจดี

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น