4

คนดี


 

ตอนที่ 4

คนดี

- คีรี -

            ผมยกยิ้มมุมปากเป็นเชิงทักทาย เมื่อเห็นผ้าใบมองลงมาจากเวที เห็นสีหน้าก็รู้แล้วว่ามันดีใจแค่ไหนที่ได้เจอผม จากใบหน้าที่กำลังมีความสุขกับการเล่นดนตรี เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้นมาทันที

            “สงสัยนึกว่ากูมาหาเรื่อง ร้านอื่นมีตั้งเยอะ มึงก็เสือกเลือกร้านนี้” ผมอยู่ช่วยงานอาจารย์จนดึก จอมทัพจึงชวนแวะหาอะไรดื่มก่อนแยกย้าย

            “ร้านแถวมหา’ลัยเราน่านั่งมีไม่กี่ร้านนี่หว่า กูขี้เกียจขับไปไกล”

            “แน่ใจนะว่าเพราะร้านน่านั่ง ไม่ใช่ว่ามึงนัดใครไว้แต่ไม่บอกกู” ผมมองเลยไหล่จอมทัพไป

            “จะนัดใครวะ”

            “พี่จอมทัพ พี่คีรี บังเอิญจัง มาร้านนี้เหมือนกันเหรอคะ”

            “ครับ” ผมยิ้มรับเมื่อสองสาวที่ผมเห็นเดินมาถึงโต๊ะ

            “ขอนั่งด้วยได้ไหมคะ พริ้มมากับหนูนิดแค่สองคน กำลังเบื่อๆ อยู่เชียว”

            “ได้ครับ” จอมทัพเอ่ยปากอนุญาต พวกผมสบตากัน เรื่องแบบนี้ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าจะเป็นอย่างไร

 

            “นั่นเด็กกู มึงกลับไปได้แล้ว” ผมชะงักมือที่กำลังล้าง เงยหน้าขึ้นมองกระจกจึงเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

            “ใช่เหรอ” ผมล้างมือต่อ แต่สายตาคอยระวัง

            “ไม่ใช่เรื่องของมึง แค่รู้ว่ามึงไม่มีสิทธิ์ยุ่งก็พอ” น้ำเสียงข่มขู่ยิ่งทำให้ผมยิ้มมากขึ้น ผมปิดน้ำก่อนหันไปเผชิญหน้า

            “แต่ผู้หญิงให้สิทธิ์กูว่ะ ไม่ใช่มึง” ถ้าหวังให้ผมหน้าซีดตัวสั่น กลัวจนหางจุกตูด ก็มาหาเรื่องผิดคนแล้ว ผมตบมือลงบนไหล่ ยิ้มท้าทายก่อนเดินออกมาโดยไม่ใส่ใจ

           

                “พรุ่งนี้เจอกัน” ผมโบกมือให้จอมทัพเมื่อถึงรถของเพื่อนก่อน

            “เออ แล้วเจอกัน” ไม่มีใครไปต่อแม้รู้ว่าผู้หญิงอยากให้ชวนก็ตาม ผมแค่มาหาอะไรดื่มก่อนกลับ เหนื่อยเกินกว่าจะอยากทำอย่างอื่น

            ผมเดินตรงไปที่รถ ยกมือขึ้นโบกเมื่อได้ยินเสียงแตรจากรถของจอมทัพที่ขับผ่าน รู้สึกมึนเล็กน้อยกับปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป

            ผมกดรีโมตเปิดประตู ก่อนจะรู้ตัวว่ามีคนย่างเท้าเข้ามาหาจากด้านหลัง ผมจำหน้าหนึ่งในนั้นได้ ตัวต่อตัวผมไม่หวั่น แต่ตัวใหญ่สองนี่ผมกำลังคิดหนัก แม้ว่าสีหน้าจะไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา

            “แน่นักเหรอมึง กูก็อยากรู้เหมือนกันว่ามึงจะแน่ได้แค่ไหน” ผมกดรีโมตปิดรถ ยัดกุญแจลงในกระเป๋ากางเกง ขยับตัวในท่าเตรียมพร้อมก่อนยิ้มเย็น

            “ก็ลองดู”

 

- ผ้าใบ -

            ผมเกือบขับผ่านอยู่แล้วเมื่อเห็นเหตุการณ์เข้า ผมตัดสินใจสาดไฟรถเข้าหา ให้รู้ว่ามีคนมา โชคดีที่ไม่ต้องลงไปตะลุมบอนด้วย วงก็แตกเสียก่อน

            ผมขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดใกล้ๆ ไม่ต้องเห็นหน้าคนที่ยกมือขึ้นบังตาจากแสงไฟ แค่เห็นรถ ผมก็รู้แล้วว่าใคร

            “ไง!” น้ำเสียงกับรอยยิ้มกวนๆ ทำให้ผมนึกอยากเปลี่ยนใจ แม่งไม่น่าแวะเลยกู เสื้อผ้าเลอะเทอะไปด้วยฝุ่น มุมปากมีรอยเลือด คิ้วน่าจะแตก แต่ยังทำเท่ไม่รู้จักเวล่ำเวลา

            “ยังไม่ตายก็ดี”

            “บอกแล้วว่าจะรอพร้อมกัน” ผมนึกอยากให้พวกที่วิ่งหนีกลับมาต่อยซ้ำอีกซักทีสองที จะได้กวนตีนใครไม่ได้อีก

            “ปากอย่างนี้ สมควรโดนรุมกระทืบ”

            “หึๆ โอ๊ะ!” เสียงร้องเบาๆ ทำให้ผมนึกหมั่นไส้ ไม่มีความสงสารสักนิด ปากแตกแล้วยังเสือกหัวเราะ ผมมองสภาพของคู่อริ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ยังยืนอยู่ได้ พูดไปไอ้หมอนี่ก็เก่งใช่เล่น สองต่อหนึ่งยังไม่ร่วง

            “ถ้าไม่ต้องช่วยเก็บศพก็ขอตัว” ผมสตาร์ทรถ แต่มีมือมาจับกระจกเอาไว้

            “เดี๋ยว”

            “อะไร”

            “ไปส่งหน้าปากซอยหน่อย ดูเหมือนไอ้หัวเกรียนจะมีเวลาเดินเล่นไปเจาะยางรถกับกรีดรอบคัน ก่อนกลับมาช่วยเพื่อนมันสู้” ผมหันไปมองล้อรถทันที มันแบนราบ!

            “ไปทำอะไรดีๆ มาล่ะ ถึงโดนเล่นทั้งรถทั้งคน” ผมถามประชดประชัน

            “มีเสน่ห์เกินไปมั้ง”

            “ถุย!”

             “หึๆ รถคงต้องทิ้งไว้แบบนี้ พรุ่งนี้ค่อยกลับมาจัดการ”

“เดี๋ยวหาย ไม่ตามช่างหรือตามเพื่อนมา” ผมอดกังวลแทนไม่ได้

“ตามช่างตอนนี้ก็เสียเวลารอ จอมทัพน่าจะขับไปไกลแล้ว” ผมลืมไปเลยว่าคนพูดคงเจ็บอยู่ไม่น้อย ผมอยากปฏิเสธ แต่เห็นสภาพอีกฝ่ายแล้ว ก็ได้แต่กัดฟันตกลง

            “ขึ้นมา”

            “ขอบใจ”

           

            ผมขี่มอเตอร์ไซค์พ้นปากซอย แต่ไม่ได้จอดให้ลง ระหว่างทางที่ขี่รถออกมา ฝ่ายดีกับฝ่ายชั่วในใจผมตีกันมาตลอดทาง สุดท้ายฝ่ายดีก็ชนะ ผมอยากทำใจดำปล่อยลงตามที่ขอ แต่เวลานี้แท็กซี่น่าจะหายาก ไม่รู้ว่าต้องยืนรอนานแค่ไหน

            “บอกทางมา”

            “อะไรนะ”

แผ่นอกทาบเข้ามาโดนหลังของผม หน้าชะโงกข้ามไหล่มาหา รักษาระยะห่างหน่อยสิโว้ย!

            “บอกทางไปบ้านมา”

            “จะไปส่งเหรอ”

            “เออ”

            “ตรงไปก่อน เดี๋ยวบอกทางให้”

“!!!” ผมสะดุ้งเมื่อมือใหญ่จับเข้าที่เอว ไอ้เวรนี่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์หรือเปล่าวะ เกาะด้านหลังหรือขอบเบาะสิโว้ย! มากอดอะไรเอวกู

                                               

             “หิว” เสียงทุ้มดังฝ่าเสียงลม แต่ผมได้ยินไม่ถนัด จึงตะโกนถามกลับไป

            “อะไรนะ”

            “หิว” คราวนี้เสียงดังชัดเจน

            “หิวก็กลับไปกินบ้าน”

            “จอดรถคุยกันก่อน”

เสียดายที่รถผมเป็นเวสป้า ไม่อย่างนั้นจะยกล้อหน้าทิ้งแม่งตรงนี้ ผมชะลอรถเข้าชิดซ้าย ก่อนจอดริมฟุตบาท

            “อะไรอีกวะ” ผมถอดหมวกกันน็อกออกอย่างหัวเสีย

            “หิว”

            “ได้ยินแล้ว หิวก็กลับไปกินที่บ้าน” ยอมไปส่งก็บุญแค่ไหนแล้ว แม่งเอ๊ย! เรื่องมากฉิบหาย

            “ขี้เกียจให้ที่บ้านเห็น ไม่งั้นไม่ได้นอน”

            “ไหวเหรอ ไม่เจ็บหรือไงวะ”

            “ไหว คิ้วแค่เป็นแผล ไม่แตก อย่างอื่นโอเค”

            ผมถอนใจหนักๆ มองซ้ายมองขวา “งั้นก็กินก๋วยเตี๋ยวตรงนั้น” ผมชี้มือไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง มีเก้าอี้พลาสติกสีๆ วางให้คนนั่งกิน แต่ไม่มีโต๊ะ ต้องถือถ้วยเอาเอง

            “ร้านอื่นเถอะ”

            “จะกินร้านอื่นก็หาทางไปเอง เรียกแท็กซี่กลับเอา” ผมเห็นร่างสูงมองร้านก๋วยเตี๋ยวนิ่ง เหมือนกำลังตัดสินใจ เลือกเอาก็แล้วกัน อยากมาดคุณชายนัก ก็หาทางกลับเอง

            “ร้านนี้ก็ได้”

            “ก็แค่นั้น”

 

            ผมนั่งมองท่าทีเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่รู้จะถือชามยังไง กินยังไง แล้วแอบยิ้มเยาะ ร่างสูงกลายเป็นสิ่งประหลาดเมื่ออยู่ท่ามกลางคนทำงานตัวเป็นเกลียวอย่างพวกผม ผมเห็นลุงแท็กซี่ที่นั่งใกล้ๆ แอบยิ้มขำ

            “มันไม่ถนัด” หน้าเก้อๆ กับคำแก้ตัวบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงเห็นเหมือนกัน ผมพยักหน้าไม่ได้พูดอะไร จัดการก๋วยเตี๋ยวในชามตัวเองอย่างว่องไว

            ...

            “ทำไมถึงยอมมาส่ง” ผมชะงักมือที่กำลังสวมหมวกกันน็อก ลดหมวกลงมองหน้าคนถาม

            “ก็อยากรู้เหมือนกัน แม่งไม่น่ามาสักนิด”

            “หึๆ เพราะนายเป็นคนดีกว่าที่คิด”

            “รู้แล้วยังเสือกถาม” ผมพูดก่อนใส่หมวก ถ้าทำใจแข็งได้ก็ไม่อยากมาหรอกโว้ย!

 

            นี่มันบ้านคนเหรอวะ! ผมเบิกตากว้างเมื่อจอดรถหน้าบ้านหลังใหญ่ อยู่กลางใจเมืองแบบนี้ หลังขนาดนี้ราคาสักเท่าไหร่วะ แค่ขับจากประตูรั้วเข้ามายังใช้เวลาเป็นนาที

            “มันดึกแล้ว ค้างที่นี่เถอะ”

            ผมหันขวับไปมองคนพูด จะบ้าเหรอวะ! รู้จักกันหรือก็เปล่า

            “ไม่ต้อง ส่งหมวกมา จะได้กลับ” ผมมองหมวกกันน็อกในมืออีกฝ่าย ให้รู้ว่าต้องการอะไร

            “อยู่เถอะ”

            “ที่มาส่งเพราะยังมีมนุษยธรรม ไม่ได้แปลว่าชอบขี้หน้า”

            “ชัดเจนดี”  ผมคว้าหมวกกันน็อกที่อีกฝ่ายยื่นคืนให้มาแขวนไว้กับแฮนด์รถ         

            “ขอบใจมาก”

            “เออ” ผมไม่สนใจคำขอบคุณ เวลานี้อยากกลับบ้านไปนอนมากกว่า

            “ผ้าใบ”

            “อะไรอีก” ผมมัวแต่หงุดหงิด จึงไม่เอะใจสักนิดว่าสรรพนามที่ใช้เรียกผมเปลี่ยนไป

            “จอดรถไว้นี่ เดี๋ยวให้คนไปส่ง”

            “ไหนว่าไม่อยากให้ใครเห็น”

            “เป็นห่วงมากกว่า” สายตาจริงจังแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำเอาผมอึ้งไปเหมือนกัน

            “ไม่ต้อง ดูแลตัวเองเถอะ”

            “เอาเบอร์มา จะโทร.ไปเช็กว่าถึงหรือยัง”

            “นายนี่ท่าจะสั่งคนจนเป็นนิสัย ลืมไปแล้วมั้งว่าเราไม่ใช่เพื่อนกัน”

            “โทษที ฉันขอเบอร์นายได้ไหม”

             “อย่าเลย” เสียงผมอ่อนลง ไม่ชินกับการพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มของอีกฝ่าย “กลับดึกจนชิน แค่นี้สบายมาก ไปละ” ผมไม่รอให้อีกฝ่ายมีโอกาสเรียกซ้ำ รีบขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกมา   

ผมผ่านรั้วบ้านหลังใหญ่ อดคิดไม่ได้ว่าคนที่รวยขนาดนี้ วันๆ ทำอะไรกันบ้าง ผมไม่ได้อิจฉา แค่รับรู้ถึงความแตกต่างแบบสุดขั้วระหว่างตัวเองกับหมอนั่น สำหรับผม...แค่ทำให้ตัวเองมีเงินเรียน มีเงินกินเงินอยู่ สอบผ่านทุกวิชา แค่นี้ผมก็ยิ้มได้นอนหลับแล้ว นายคีรีจะมีความสุขกับอะไรบ้างวะ โลกบางใบผมคงไม่มีวันเข้าใจ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น