5

นี่แหละผ้าใบ


 

ตอนที่ 5

นี่แหละผ้าใบ

- คีรี -

                “นั่นใครวะ” ผมนิ่วหน้ามองตรงไปยังคนที่จอมทัพถามถึง เห็นผู้ชายรูปร่างเก้งก้าง นั่งเก้าอี้พลาสติกอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้กับรถของผมที่จอดทิ้งไว้

            “กูไม่รู้จัก”

            “หรือไอ้พวกนั้นมาดักรอมึง” จอมทัพหมุนพวงมาลัยรถเพื่อหาที่จอด ผมให้เพื่อนมารับที่บ้านตั้งแต่เช้า เพื่อมาจัดการเรื่องรถที่จอดทิ้งไว้

            “ไม่น่าใช่” ผมไม่คิดว่าจะเป็นพวกมัน เพราะเห็นนั่งก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ ดูแล้วไม่น่าตั้งใจมาหาเรื่องใคร

            “เดี๋ยวก็รู้” จอมทัพดับเครื่องยนต์ พวกผมเดินตรงไปที่รถ เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนส่งยิ้มกว้างมาให้

            “พี่คีรีหรือเปล่าครับ” ผมหรี่ตาลง แปลกใจที่เขารู้จักชื่อผม จึงระวังตัวมากขึ้น

            “ผมชื่ออู๊ด เป็นเด็กที่ร้านบลูมูนครับ เมื่อคืนพี่ผ้าใบบอกให้ผมคอยระวังรถให้พี่ ผมนอนเฝ้าที่ร้านอยู่แล้ว แกเลยฝากไว้”

            “ผ้าใบบอกเหรอ” ผมถามซ้ำแม้จะได้ยินชัดเจนแล้ว

            “ครับ พี่ผ้าใบโทร.หาผมเมื่อคืน บอกให้ผมคอยดูไว้ให้ ผมนอนอยู่บนชั้นสามของร้าน มองลงมาเห็น พอเช้าเห็นคนมาเดินป้วนเปี้ยน รถหรูจอดไว้ในที่เปลี่ยวๆ แบบนี้ ล่อหูล่อตาขโมยขโจร ผมเลยมานั่งเฝ้า กว่าร้านจะเริ่มงานก็บ่ายโน่น”

            “ขอบใจนะ”

            “ไม่เป็นไรพี่ ผมเต็มใจ พี่ผ้าใบแกมีน้ำใจกับผม อะไรช่วยได้ผมก็อยากช่วย พวกพี่มาแล้ว งั้นผมไปก่อนนะ”

            “เดี๋ยว” ผมเรียกอู๊ดไว้ เปิดกระเป๋าหยิบแบงก์พันส่งให้

            “ไม่เป็นไรพี่” เด็กหนุ่มส่ายหน้า ไม่ยอมยื่นมือมารับ

            “เงินนี่เทียบกับน้ำใจอู๊ดไม่ได้ แต่ช่วยรับไว้เถอะ ไม่อย่างนั้นพี่ไม่สบายใจ”

สีหน้าของอู๊ดลังเล จอมทัพต้องช่วยผมพูดอีกคน เขาถึงยอมหยิบเงินไป

            “ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นไหว้

            “นิสัยดีนะ”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับจอมทัพ ละสายตาจากแผ่นหลังของอู๊ด ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา

            “กูเก็บของในรถก่อน รถลากน่าจะใกล้ถึงแล้ว”

            “มา กูช่วย”

 

            “แม่งเห็นรถชัดๆ แล้วเซ็งแทนมึง”

หลังจากรอพบประกันและดูจนคนของศูนย์มาลากรถไปเรียบร้อยแล้ว ผมก็ให้จอมทัพขับรถกลับไปส่งที่บ้าน คงต้องโดดเรียนสักวัน สภาพผมยังไม่เอื้ออำนวย

            “ช่างเถอะ คิดซะว่าดีกว่าเป็นที่ตัวกู” ผมยังคิดว่าเป็นโชคดีที่พวกมันแยกไปเล่นงานรถคนหนึ่ง พอย้อนกลับมาร่วมวง ยังไม่ทันล้ม ผมได้ผ้าใบก็ผ่านมาเจอเสียก่อน

            “ถ้าไม่ได้ผ้าใบ กูว่าเมื่อคืนมึงน่าจะหนักอยู่เหมือนกัน”

            “อืม” ผมไม่คิดว่าจะยืนระยะสู้ได้ยาว เมื่อเทียบกับขนาดตัวแล้ว

            “เป็นเด็กที่น่าสนใจดี ถ้าเป็นกูเจอคนไม่ชอบหน้าถูกซ้อม ไม่แน่ กูอาจชอบใจมากกว่าช่วย”

            “แต่กูไม่แปลกใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก”

            “ไม่ใช่เหรอ” จอมทัพนิ่วหน้าเมื่อคิดตามผมไม่ทัน

            “มึงลืมเรื่องโหวต Hot Guys แล้วเหรอวะ ผ้าใบใส่ชื่อกู”

            “เออกูลืม สรุปพวกมึงดีกันแล้ว”

            “หึๆ กูว่าไม่”

            “อะไรวะ ช่วยมึงไว้ ไปส่งมึงถึงบ้าน ฝากฝังรถให้มึงด้วย กูนึกว่าจับมือกันแล้ว”

            “กูก็อยากจับ แต่เด็กนั่นเหมือนพร้อมโดดงับหัวกูทุกเวลา” ผมหัวเราะเมื่อนึกถึงสีหน้าและท่าทางของผ้าใบ “เมื่อคืนกูเห็นว่ามันดึกเลยชวนค้างที่บ้าน ไม่อยากให้ขี่กลับ มันมีน้ำใจมาส่ง จะให้กูถีบหัวทิ้งเลยก็ยังไงอยู่ เกิดมันหลับในไถลเข้าไปใต้สิบล้อ กูคงบาปพิลึก เลยบอกไปว่ากูเป็นห่วง แต่มึงต้องเห็นหน้ามันในตอนนั้น มันทำอย่างกับว่ากูกำลังจะก่ออาชญากรรม”

            “กูว่าคงไม่ไว้ใจมึง”

            “เปล่า ผ้าใบบอกกูว่ามาด้วยมนุษยธรรม ไม่ได้ชอบขี้หน้ากู”

            “ฮ่าๆๆ” คราวนี้จอมทัพหัวเราะไม่หยุด ผมเองยังเผลอยิ้มเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน

            “สงสัยน้องมันยังเกลียดมึงไม่หาย แล้วมึงล่ะ”

            “กู?” ผมหยุดคิดชั่วครู่ “แรกสุด กูโมโห เตะได้คงเตะ หลังๆ กูสนุกที่ได้แหย่ได้เอาคืนมัน แต่พอผ่านเหตุการณ์เมื่อคืน กูเอ็นดูว่ะ แสบ กวน ดูท่าจะดื้อ แต่เป็นเด็กจิตใจดี กูเลยเริ่มเห็นมันเป็นน้องชาย”

            “เออ มึงใช้คำดี กูก็นึกเอ็นดูอยู่เหมือนกัน ถึงคำนี้จะไม่เข้ากับหน้าและหุ่นของเด็กนั่นเท่าไหร่ก็เถอะ”

            “หึๆ” ไม่ใช่แค่จอมทัพที่คิดแบบนั้น ผมก็คิดเหมือนกัน

            “กูกับผ้าใบเหมือนมีวีรกรรมร่วมกันมาเยอะ แต่นอกจากรู้ชื่อเล่นกับรู้จักร้านที่มันเล่นดนตรี กูแทบไม่รู้จักผ้าใบเลย”

             “มันก็แน่อยู่แล้ว พวกมึงมีเรื่องกันโดยบังเอิญ จะรู้จักกันได้ยังไงวะ”

            “อืม”

            “มึงไม่ขอเบอร์น้องมันไว้”

            “หึๆ”

            “หัวเราะแปลกๆ หรือมึงขอแล้วไม่ได้”

            “ก็ตามนั้น”

            “ฮ่าๆๆ แม่งแสบได้ใจจริงๆ ไงวะคุณคีรี นานๆ ขอเบอร์กับเขาสักที เสือกหน้าแหก”

            “เพราะอย่างนั้นมันถึงน่าสนใจไม่ใช่เหรอ”

            ผมถูกใจความเป็นผ้าใบ ชอบในความตรง ความกวน ชอบที่ผ้าใบไม่หงอ ไม่ขาดความมั่นใจ ต้องเป็นคนที่ภูมิใจในตัวเองเท่านั้นถึงจะทำได้ และที่สำคัญผมรักในน้ำใจของมัน ดูเอาเถอะ ดึกดื่นป่านนั้น มันยังมีแก่ใจมาห่วงรถแทนผม ต้องใจใหญ่แค่ไหนถึงช่วยคนที่ไม่ชอบขี้หน้าได้ขนาดนี้

 

            “ยังไม่ตายเหรอ” คนเตรียมจะอ้าปากทำหน้าขัดใจเมื่อผมพูดแซงขึ้นก่อน ผมมารอผ้าใบที่ร้าน เมื่อเห็นมันเดินแบกกีตาร์เข้ามา ผมจึงลุกจากโต๊ะไปยืนดักรอตรงทางเดิน

“เปลี่ยนบ้างเถอะ ไม่เบื่อหรือไง”

            “ไม่ตายก็ดี แต่ถ้าไม่เปลี่ยนร้านนั่ง ระวังจะอีกไม่นาน”

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงคิดว่ามันกำลังแช่งผม แต่ตอนนี้ผมคิดว่ามันเป็นห่วง กลัวผมเจอกับกลุ่มที่มีเรื่องด้วย

            “ร้านนี้ดีนะ ให้พนักงานเชียร์แขกเปลี่ยนร้านได้ด้วย ชักอยากรู้จักเจ้าของ ท่าทางจะใจดี” ผมคิดจะกวนเล่น แต่หน้าของผ้าใบกลับเผือดสีลง

            “อย่า!” น้ำเสียงร้อนรนกับสีหน้ากังวลของมันทำให้ผมขมวดคิ้ว

            “อย่าเอาไปพูดได้ไหม ผมขอ” เห็นชัดว่าคนพูดกล้ำกลืนทิฐิเพื่อพูดคำขอร้องออกมา “คือ...” ดวงตาของผ้าใบหลุบลงต่ำ “ถ้าถึงหูเจ้าของร้าน ผมจะพาวงซวยไปด้วย ที่นี่ให้เงินดี มันจำเป็นสำหรับพวกผม” ผมเพิ่งเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ความรู้สึกผิดจู่โจมเข้ามาทันที เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง

            “ขอโทษ”

            “หะ!” สายตาที่ก้มต่ำเงยขึ้นมองผมคล้ายไม่เข้าใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ออกจากปากผม

            “ขอโทษที ฉันคิดจะแซ็วเล่น ไม่ได้จะไปหาเจ้าของร้านจริงๆ”

            สีหน้าของผ้าใบดูโล่งอก ผมอดทึ่งคนตรงหน้าไม่ได้ จากที่คิดว่าผ้าใบเป็นคนไม่ยอมคน เห็นทีต้องคิดใหม่ เด็กคนนี้รู้จักคิด รู้จักละทิฐิของตัวเองเมื่อมันมีผลต่อคนอื่น ไม่ใช่ดันทุรังอย่างเดียว

            “ที่มานี่ก็ตั้งใจจะมาขอบคุณที่ช่วยวันนั้น แล้วก็เรื่องอู๊ดด้วย”

            “อ๋อ...อืม ช่างเถอะ เป็นใครผมก็ช่วยทั้งนั้น”

เมื่อผมพูดดีด้วย ดูเหมือนสรรพนามที่ผ้าใบเลือกใช้กับผมก็เปลี่ยนตาม แม้น้ำเสียงจะยังติดห้วนอยู่เหมือนเดิม

ผ้าใบมองผมไล่จากศีรษะลงมา “แต่ดูแล้ว สภาพยังดีอยู่นี่” ผมยิ้มขำ จะตีความหมายว่ามันเป็นห่วงก็แล้วกัน

            “ไม่ช้ำใน หัวไม่แตก ปวดตัวนิดหน่อย แต่พอไหว”

            “ก็ดี ถ้างั้นก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ที่ช่วยไว้ก็ถือว่าหายกันกับเรื่องก่อนหน้านี้ ตกลงไหม”

            “ไม่ละ”

            “อ้าว!” สีหน้าของผ้าใบเริ่มกลับมาเอาเรื่อง คงนึกว่าผมจะหาเรื่องต่อ

            “ใจเย็น ที่บอกว่าไม่ก็เพราะเรื่องก่อนหน้านั้นฉันกับนายหายกันไปนานแล้ว ดังนั้นที่นายช่วยไว้ ถือว่าฉันยังติดค้าง สักวันจะคืนให้”

            “ไม่ต้อง ไม่เจอกันอีกเป็นดี ทีนี้ก็ช่วยถอยไปหน่อย ยืนเต๊ะท่าอยู่ได้”

            “หึๆ เชิญตามสบาย” ผมก้าวถอยห่างจากทางเดิน เริ่มชินกับคำพูดของอีกฝ่าย  ความรู้สึกจึงออกไปทางขบขัน ไม่หัวร้อนอีกต่อไป

 

                “ไงวะ” จอมทัพมองหน้าผมด้วยรอยยิ้มรู้ทัน “เหมือนเดิม?”

            “หึๆ” ผมไม่ตอบ ดูเหมือนการพยายามเป็นมิตรกับผ้าใบไม่ใช่เรื่องง่าย

            “เด็กมันคงไม่ถูกชะตากับมึงจริงๆ”

            “น่าจะโมโหกูเรื่องรถไม่หาย”

            “ไอ้เรื่องจอดขวางวันแรก กูว่าผ้าใบลืมไปแล้ว แต่ไอ้เรื่องที่มึงตั้งใจจอดขวางครั้งล่าสุด มันก็กวนตีนเกินไป”

            “ถ้ารู้จักมันดีพอ ใครจะไปทำวะ”

            “จะทำอะไรก็ระวังหน่อย มึงเข้าไปยุ่งมากๆ เดี๋ยวแฟนมันเข้าใจผิด”

            “แฟน?” ผมเลิกคิ้ว

            “ก็ไอ้เด็กนักร้องนำไง มึงลืมไปแล้วเหรอ ที่กูเล่าให้ฟัง”

            “กูว่าไม่ต้องห่วง เด็กนั่นเรียบร้อย หงิมๆ ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร” ผมยังจำวันที่คุยกันได้

            “แปลว่ามึงไม่เลิกยุ่งแน่”

            “มึงพูดเหมือนกูไล่จีบผ้าใบ”

            “ไม่ใช่เหรอ กูนึกว่าใช่”

            “ไอ้เหี้ย!” ผมให้ศีลให้พรจอมทัพ เลิกใส่ใจโต้เถียงด้วยเมื่อเห็นใครบางคนเดินมา

            “ม่อน” คนถูกเรียกทำหน้าแปลกใจก่อนเดินเข้ามาหา

            “ไง”

            “ว่างไหม นั่งด้วยกันก่อนสิ”

            “ได้” ร่างท้วมนั่งลงข้างจอมทัพ ผมจัดการชงเหล้าส่งให้

            “มาร้านนี้หลายที ยังไม่เคยทักมึง”

            “อืม กูเห็นมึงอยู่ แต่ไม่อยากกวนเหมือนกัน” ผมกับม่อนเรียนอยู่ปีเดียวกัน แต่คนละสาขา ในมหาวิทยาลัย เราคุยกันน้อยมาก ทักกันนับครั้งได้

            “มีอะไรหรือเปล่า” ดูเหมือนม่อนเดาได้ว่าผมมีเรื่องอยากคุย ไม่ใช่ทักทายตามประสาคนรู้จักกัน

            “มี” ผมพยักหน้า “มือกีตาร์วงมึงเรียนมหา’ลัยเดียวกับเราใช่ไหม”

            “อย่าบอกว่ามึงมาหาเรื่องน้องกู” ม่อนหรี่ตามองผม หลังขยับขึ้นตั้งตรงทันที

            “เปล่า แต่วันก่อนน้องมึงช่วยกูไว้ ไม่ได้เล่าให้ฟังสิ”

            “ไม่ได้เล่า” ท่าทางของม่อนยังระแวดระวัง ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ฟัง

            “อ๋อ” ม่อนดูผ่อนคลายขึ้น กลับมานั่งเอนหลังพิงเก้าอี้เหมือนเดิม “ใช่ เรียนที่เดียวกัน แต่คนละคณะ ผ้าใบเรียนนิเทศฯ”

            “ปีไหนวะ”

            “ปีสอง ว่าแต่มึงถามไปทำไมวะ ทำไมไม่ถามกับผ้าใบมันเอง”

            “ถ้ายอมตอบกูก็ดีสิ น้องมึงแม่งกวนตีนฉิบหาย”

            “ฮ่าๆๆ ได้ข่าวว่ามึงก็กวนตีนมันไม่ใช่เหรอ”

            “เออ” ผมหัวเราะออกมา

            “ตกลงมึงถามทำไมวะ”

            “ก็จะได้รู้ ใครช่วยกูไว้ กูไม่ลืม”

            “เข้าใจแล้ว เห็นบุคลิกมันเป็นแบบนั้น แต่มันเป็นเด็กดี ไม่ติดเหล้าไม่ติดบุหรี่ ยิ่งเรื่องผู้หญิงนี่ไม่มีเลย ตั้งใจทำงาน ตั้งใจเรียน”

            “มึงรู้จักได้ไงวะ คนละคณะ” จอมทัพถามขึ้นบ้าง

            “เคยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านเดียวกับกู เลยสนิทกัน”

            “อ๋อ”

            “กูต้องไปเตรียมตัวแล้ว วันนี้มาถึงสายว่ะ เอาไว้คุยกันใหม่” ม่อนลุกขึ้นยืน ผมพยักหน้าให้เพื่อน

            “เออไว้คุยกัน”

            ผมรอจนม่อนเดินห่างออกไปจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ส่งข้อความไปหารุ่นน้องที่สนิทกัน

            “ทำไรวะ”

            “ขอเบอร์ผ้าใบจากไอ้ป้อง คณะนี้สนิทกันเกือบทุกรุ่น มันน่าจะมี”

            “มึงไม่ถามม่อนไปเลยวะ”

            “แล้วมึงว่าม่อนจะให้กูไหม วิธีนี้ง่ายกว่า” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ เพียงครู่เดียวก็ได้ทั้งเบอร์และไลน์ไอดีมา

 

- ผ้าใบ -

                “ใครวะ” ผมเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

            เบอร์ไม่คุ้น ผมตัดสินใจกดรับเผื่อมีงานจ้างเข้ามา นานๆ ครั้งจะมีคนมาที่ร้านแล้วติดใจเสียงของซอล จ้างพวกผมไปเล่นงานวันเกิดบ้าง งานแต่งงานบ้าง ซึ่งผมรับหมด ขอให้เป็นเงินสุจริตเถอะ

            “สวัสดีครับ”

            “ถึงบ้านแล้วใช่ไหม” ผมนิ่วหน้า เอาโทรศัพท์ออกจากหูมาดูหมายเลขอีกครั้ง ก็ไม่คุ้นอยู่ดี

            “ใคร?”

            “ฉันเอง คีรี” ผมกดตัดสายทิ้งทันที ก่อนโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง แม่งเอาเบอร์มาจากไหนวะ

            เสียงโทร.ซ้ำเข้ามาสองสามครั้ง ผมปิดเสียงกันรำคาญ แต่กลับมีเสียงเตือนของไลน์เข้ามาแทน  ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ไอดีใหม่แอดและทักเข้ามา แค่เห็นรูปก็รู้ว่าเป็นใคร แม่ง! เอาไลน์ผมมาได้ยังไงวะ

            อารมณ์ที่สงบเริ่มขุ่นมัว ผมกดโทรศัพท์โทร.กลับไปทันที ด้วยนิสัยหัวร้อนง่าย บางครั้งจึงลืมคิดให้ดีว่าไปเข้าทางอีกฝ่ายหรือไม่

ไม่รับสาย ผมกดซ้ำอีกครั้ง ยังเป็นสายว่างเหมือนเดิม กวนตีนนี่หว่!า ผมกดวางสายก่อนกดเข้าไลน์ไปรับแอดและส่งข้อความไปหา

เอาเบอร์มาจากไหนวะ

ขอบคุณ

ผมอ่านข้อความสั้นๆ ที่เข้ามา ขอบคุณอะไรของมึง

ที่กดรับ

ประโยคที่ตั้งใจส่งมาทีหลัง ทำให้ผมตะโกนลั่นห้อง “ไอ้เหี้ย!” รู้ตัวแล้วว่าเสียโง่ให้อีกคน เพราะความใจร้อนอารมณ์ร้อนของตัวเอง

            อย่าโมโหน่า แม่งเสือกรู้อีก

นอนได้แล้ว เรื่องของกู

            กู๊ดไนต์ พ่องมึง!

ผมทะเลาะกับข้อความโดยไม่ได้พิมพ์อะไรลงไปเลย นั่งจ้องโทรศัพท์ราวกับเป็นศัตรูกันมาก่อน จนอีกฝั่งเงียบไปแล้ว ไม่มีข้อความเข้ามาอีก

ผมทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียง ตามองขึ้นไปบนเพดาน ขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ พักนี้ผมลืมทำบุญหรือเปล่าวะ ทำไมต้องมาเจอไอ้บ้านี่ด้วย!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น