6

ไม่รู้จักก็เหมือนรู้จัก


 

ตอนที่ 6

ไม่รู้จักก็เหมือนรู้จัก

- จอมทัพ -

                “มึงไปกันก่อน เดี๋ยวกูตามไป” ผมหันไปบอกเพื่อนที่เดินมาด้วยกันเมื่อเห็นคนคุ้นหน้าเข้า ดูเหมือนว่ารถจะมีปัญหา เพราะผมเห็นกระโปรงหน้ารถถูกเปิดขึ้น ใบหน้าอ่อนเยาว์กำลังขมวดคิ้วมุ่น ปากพูดบางอย่าง แต่ผมไม่เห็นใครยืนอยู่ด้วย มันคุยกับใครวะ

            “มีอะไรหรือเปล่า” ผมเดินไปหยุดยืนด้านหลัง

เด็กนั่นสะดุ้งโหยง หันขวับมามอง สะโพกชนเข้ากับรถอย่างจัง

            “ตกใจทำไม”

            “ก็มาไม่ให้สุ้มให้เสียง” คนพูดบ่นอุบอิบ สีหน้าแดงเรื่อ แค่นี้มันต้องหน้าแดงด้วยเหรอวะ

            “ตกลงเป็นอะไรหรือเปล่า มีอะไรให้ช่วยไหม”

            “เปล่าครับ แค่กระป๋องสีไม่สบาย”

            “กระป๋องสี?” ผมเลิกคิ้ว

            “รถน่ะ” คนตอบมีสีหน้าเก้อเขิน

            “รถไม่สบาย!” ผมกลั้นหัวเราะจนปากสั่น ภาษาบ้าอะไรของมันวะ

            “ครับ” คนพูดทำหน้าเศร้า จนผมไม่กล้าหัวเราะออกมาอย่างที่อยากทำ

“อาการเป็นยังไง”

            “สตาร์ทไม่ติด”

            “เปิดกระโปรงหน้ารถดูแบบนี้ ซ่อมเป็นเหรอ”

            “ไม่เป็นครับ” คนตอบเสียงอ่อย

            “แล้วเปิดทำไม”

            “ก็เห็นเขาเปิดกัน เลยลองเปิดดู เผื่อขยับๆ แล้วจะหาย”

            “คิดได้” ผมส่ายหัว “ไหน ขอดูหน่อย”

            “ไม่เป็นไรครับ! ไม่รบกวนดีกว่า” ผมไม่สนใจคำปฏิเสธ เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนขับ นั่งลงก่อนลองสตาร์ทรถ

            “มานี่” ผมกวักมือเรียก

            “ได้ยินเสียงไหม” ผมบิดกุญแจอีกครั้ง         

            “ครับ มันดังแชะๆ”

            “ใช่ มีเสียงแชะ สตาร์ทไม่ติด ไฟแบตไม่ขึ้น” ผมชี้มือไปที่หน้าปัดรถ “มันคืออาการแบตเตอรี่หมด ต้องจัมพ์แบตกับรถคันอื่น แล้วถ้าว่างก็ไปเปลี่ยนแบตเถอะ ดูจากสภาพแล้วน่าจะเสื่อม ใช้ไปสักพักเดี๋ยวก็เป็นอีก”

            “แต่กระป๋องสีเพิ่งออกมาจากอู่” เสียงหงอยๆ พยายามค้าน

            “ไม่ใช่ออกจากโรงพยาบาลเหรอ” ตาคู่โตเบิกกว้างมองผม “หึๆ” ผมอดหัวเราะขำไม่ได้ “แปลว่าไปเจออู่ซังกะบ๊วยเข้าน่ะสิ บอกอาการไปแค่ไหนก็ดูให้แค่นั้น หรือไม่ถ้าซวยกว่าก็โดนเปลี่ยนแบต”

            “ไม่จริงมั้ง” ตาที่โตอยู่แล้วยิ่งโตขึ้นไปอีก “เขาคงไม่ทำแบบนั้น” เฮ้อ! ไปโลกสวยอยู่ไหนมา ซื่อเกินไปหรือเปล่า

            “ก่อนหน้านี้ มันมีเสียงแชะแบบนี้ดังก่อนจะสตาร์ทติดไหม”

            “อืม...” ผมชักไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวเคยสังเกตบ้างหรือเปล่า เพราะคิดนานเหลือเกิน “มีครับ คิดว่ามี”

            “งั้นก็แปลว่ามันมีอาการมาก่อน แบตคงถึงเวลาแล้ว แต่อู่อาจขี้เกียจเช็กให้” ผมเปิดประตูก้าวลงจากรถ

            “ขอบคุณครับ”

            “ชื่ออะไรน่ะเรา”

            “ซอล” ยังดีที่ยอมบอกผมง่ายๆ

            “อยู่ปีสองใช่ไหม”

            “ครับ”

            “พี่ชื่อจอมทัพ อยู่ปีสี่ เป็นเพื่อนกับคีรี คุ้นหน้าพี่บ้างไหม”

            “คุ้น จำได้ เคยเห็นไปที่ร้าน”

            “อืม แล้วนี่เราพอจะเรียกใครมาพ่วงแบตให้ได้ไหม”

            “ไม่มีครับ เพื่อนผมมีแต่รถมอเตอร์ไซค์ แต่เดี๋ยวผมจะโทร.ตามอู่มา”

            “อย่าบอกว่าอู่เดิม”

            “ผมไม่รู้จักที่อื่น แล้วที่นี่ก็คิดถูกดี”

            “มันถึงไม่ดี” ผมถอนใจ มองสภาพรถแล้วอยากแนะนำให้ขายมากกว่าเปลี่ยนแบต ไม่อย่างนั้นคงวนเวียนซ่อมกันหัวโต

            “รออยู่นี่ เดี๋ยวจะขับรถมาพ่วงให้”

            “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากรบกวน”

            “แล้วเรามีทางเลือกอื่นเหรอ นอกจากอู่ซังกะบ๊วยนั่น” คนถูกถามเงียบไม่ตอบ ครู่เดียวก็ส่ายหน้าจนผมสะบัด

            “ผมต้องลองหาดูก่อน”

            “เสียเวลาเปล่าๆ รออยู่นี่ เดี๋ยวมา”

            “ก็ได้ครับ ขอบคุณครับ” 

            ผมมองนาฬิกา กว่าจะไปเอารถ กว่าจะกลับมาจัดการ ผมคงเข้าเรียนไม่ทันแน่ แต่ก็ช่างเถอะ เห็นหน้าจ๋อยๆ แบบนั้น ใครจะทิ้งลง

 

- ซอล -

            ผมมองตามร่างสูงที่สาวเท้ายาวๆ จากไป ผมแวะมาหาอาจารย์ที่คณะบริหาร เพราะพี่ม่อนบอกว่าอาจารย์ท่านหนึ่งอยากคุยเรื่องจ้างงานไปเล่นวันครบรอบหกสิบปี แต่วันนี้พี่ม่อนไม่มามหาวิทยาลัย ผ้าใบก็ยังไม่มา จึงขอให้ผมแวะมาคุยแทน พี่ม่อนไม่อยากรอ กลัวอาจารย์ท่านเปลี่ยนใจ แต่สงสัยว่าส่วนแบ่งที่ได้จากงานนี้คงหมดไปกับกระป๋องสีแน่ๆ

            “เพลาๆ การช็อปปิ้งหน่อยกระป๋องสี ซอลไม่มีเงินตามจ่ายให้แล้วนะ” ผมลูบมือไปบนกระโปรงรถ พยายามบอกให้กระป๋องสีเป็นเด็กดี เพราะเดือนนี้ผมใกล้จะกินแกลบเต็มที

           

             “อืม คนนั้นแหละที่เห็นนั่งด้วยกันทุกครั้ง”  ผมโทร.บอกผ้าใบเรื่องรถ แล้วก็เป็นไปตามคาด ผ้าใบจะมาหา แต่ถูกผมห้ามไว้

            “ไม่ต้องมา เดี๋ยวก็เรียบร้อยแล้ว”   

            “เราว่าไว้ใจได้ ในมหา’ลัยนะ จะมีอะไร ผ้าใบคิดมาก”

            “เราว่าจะเอากระป๋องสีไปเปลี่ยนแบตเลย กลัวเลิกดึกแล้วสตาร์ทไม่ติดขึ้นมาอีกจะลำบาก”

“อืม เรารับปาก ถ้ามีอะไรจะรีบโทร.ไปหา เดี๋ยวเย็นนี้เจอกันที่ร้าน”  

ผมวางสายจากผ้าใบ ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ กะไว้ตั้งแต่ก่อนโทร.ว่าคงโดนซักไม่ยั้งด้วยความเป็นห่วง

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น รถยนต์คันหรูก็ตีวงเลี้ยวเข้ามาหา ผมมองตัวเองกับกระป๋องสีแล้ว ก็ได้แต่ยิ้มขำ ความแตกต่างบนโลกใบนี้มีอยู่จริง

 

“ขอบคุณครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ เมื่อกระป๋องสีสตาร์ทติดเรียบร้อย

“ไม่เป็นไร ตอนขับก็ระวังด้วย ถ้าแบตมันเสื่อมสภาพ ก็มีโอกาสสตาร์ทไม่ติดอีก”

“ครับ นี่ผมก็กะจะเอาไปเปลี่ยนเลย กลัวเลิกงานดึกๆ แล้วเป็นขึ้นมา”

“หาร้านได้แล้วเหรอ”

“เดี๋ยวว่าจะโทร.ถามพี่ที่วงครับ แกน่าจะพอแนะนำร้านดีๆ ให้ได้”

“จะไปตอนนี้เลยใช่ไหม”

“ครับ” ร่างสูงมองกระป๋องสีด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนหันมาพูดกับผม

“ไปร้านประจำพี่ก็แล้วกัน เดี๋ยวพาไป”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ เราสองคนแทบจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน จะให้ผมรบกวนขนาดนั้นได้ยังไง และอีกอย่าง...ผมมองไปยังรถเก๋งสีดำคันหรู ร้านประจำที่ดูแลรถคันนี้จะหรูสักแค่ไหน แค่คิดถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องเจอ ผมก็หน้ามืดแล้ว

“พี่ว่าง พาไปได้”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ” ผมยังยืนยันคำเดิม เพราะกระเป๋าตังค์ก็ยังมีเงินอยู่เท่าเดิมเหมือนกัน

“เรานี่ดูหงิมๆ เหมือนเด็กหัวอ่อน แต่ดื้อใช่ได้นะ” ผมมองคนพูดตาโต ผมเป็นเจ้าของรถนะ จะปฏิเสธไม่ได้เหรอ

“ก็ผมไม่อยากไป”

“ทำไมถึงไม่อยากไป”

“ผมไม่มีเงินขนาดนั้นหรอกครับ ว่าจะเลือกยี่ห้อกลางๆ เอาแค่พอใช้งานได้ ไปร้านหรูๆ ก็คงเจอของแพง”

“เรื่องนี้เอง ไม่มีปัญหา ร้านนี้พี่สนิทมาก เดี๋ยวพี่คุยให้” สายตาที่มองมาดูอ่อนโยนลง

“ขึ้นรถสิ”

“ครับ?”

“ไปได้แล้ว เดี๋ยวพี่กลับมาไม่ทัน” ผมยืนทำหน้าเหลอหลา ขณะร่างสูงเดินไปขึ้นรถผมฝั่งคนขับหน้าตาเฉย เดี๋ยวสิ ผมยังไม่ได้ตกลงเลย เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ผมได้แต่บ่นอยู่ในใจ สุดท้ายก็ต้องยอมเดินไปขึ้นรถ

 

“แอร์มันไม่เย็นแล้ว”

“ผมรู้”

“เสียงอะไร” คนขี้บ่นนิ่วหน้า ตั้งใจฟังเสียง

“เสียงเบาะครับ นอตมันหลวม”

“นี่มันรถหรือที่ปลูกสะระแหน่”

“อย่าว่ากระป๋องสีนะครับ” ผมหันขวับไปมอง สีหน้าเอาเรื่อง “กระป๋องสีเป็นเด็กดี” ผมยกมือลูบคอนโซลรถ “ถึงพักนี้จะขยันช็อปปิ้งไปหน่อยก็เถอะ”

“หะ!”

“ก็ที่เปลี่ยนแบต เปลี่ยนสายไฟ เปลี่ยนไฟหน้า พวกนี้ไงครับ”

“หึๆ” ดูเหมือนคนขับพยายามกลั้นขำ ทำเอาผมหน้ามุ่ย

“อย่าขำสิครับ เดี๋ยวกระป๋องสีงอน”

“โอเค เอาเป็นว่าพี่ขอโทษ” สายตาที่หันมามองเต้นระยิบระยับ ผมหลุบตาลงต่ำ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเขินสายตากับรอยยิ้มนั้น

“อย่าเพิ่งดับ อย่าเพิ่งแอร์พังตอนนี้นะคุณกระป๋องสี  พูดแบบนี้ใช้ได้ไหม”

“ได้ครับ” ผมอมยิ้มน้อยๆ

มีไม่กี่คนหรอกที่เข้าใจ คนส่วนใหญ่จะหาว่าผมบ๊องที่คุยกับรถ ก็ผมรักของผม ถึงกระป๋องสีจะเก่าแค่ไหน ก็เป็นรถคันแรกที่ผมหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง

 

ผมมองไปรอบๆ ร้านแล้วได้แต่ถอนใจเบาๆ เป็นร้านประดับยนต์ที่ตกแต่งหรูหรา ชั้นวางล้อแม็กมีเฉพาะยี่ห้อแพงๆ  แบตเตอรี่ยี่ห้อถูกสุดของที่นี่ ราคาสักเท่าไหร่หนอ ผมเริ่มกังวล

พนักงานเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางนอบน้อม คุยกับคนที่พาผมมาด้วยความสุภาพ แต่สายตาที่มองไปยังกระป๋องสี ผมไม่อยากบรรยาย

“ได้ครับ เชิญคุณจอมทัพในห้องรับรองก่อน เดี๋ยวเปลี่ยนเสร็จเรียบร้อยผมจะเข้าไปแจ้งครับ”

“ผมฝากเช็กอย่างอื่นให้ด้วย พวกผ้าเบรก สายพาน ยาง น้ำยาแอร์ อ้อ ฝากขันนอตเบาะด้วยนะ มันหลวม” ผมอ้าปากกว้าง เดี๋ยว! ไม่ได้ตกลงกันมาแบบนี้

ผมรีบดึงเสื้ออีกฝ่ายไว้เมื่อเดินห่างจากพนักงาน “เดี๋ยวครับ ผมจะเปลี่ยนแบตเตอรี่อย่างเดียว อย่างอื่นผมยังไม่ทำ”

“รถมันเก่ามาก ไม่เช็กไว้จะอันตราย”

“ผมรู้ครับ แต่ผมยังไม่มีเงิน ค่อยเปลี่ยนไปตามอาการ”

“เอาน่า อย่าขัด พี่บอกพนักงานไปแล้ว ที่นี่ทำอู่รถด้วย เขามีบริการครบวงจร”

“แต่...”

“หากาแฟกินดีกว่า พี่ง่วง”

คนรวยเอาแต่ใจอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า ผมถอนใจเฮือกใหญ่ คำนวณเงินที่มีในหัว มันจะพอจ่ายไหมหนอ น่าจะทำใจแข็งไว้ ไม่น่ายอมมาด้วยเลย

 

“เสร็จแล้วครับคุณจอมทัพ”

“ขอบคุณครับ” ผมเตรียมเปิดกระเป๋าตังค์ เมื่อพนักงานส่งกุญแจรถคืนให้อีกคน แต่ทำไมไม่เห็นมีใบเสร็จอะไรมาด้วย หรือผมต้องไปจ่ายตรงไหน มีเคาน์เตอร์หรือเปล่า ร้านหรูๆ แบบนี้ผมไม่เคยเข้าซะด้วย

“กลับเถอะ”

“แต่ผมยังไม่ได้จ่ายเงิน”

“ไม่ต้อง”

“ไม่ต้อง?”

“อืม”

“ได้ยังไงครับ”

“เอาเถอะน่า อย่าเพิ่งถาม” มือใหญ่ดันหลังผมให้ออกเดิน ผมพยายามขืนตัวไว้แต่ไม่สำเร็จ

“ไงยะ ไม่คิดจะขึ้นไปทักพี่เชื้อบ้างเลยเหรอ” เจ้าของเสียงผลักประตูเข้ามา เป็นผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่ง ผมยาวถึงกลางหลัง ริมฝีปากสีแดงสด สวยจนผมตะลึง “แล้วนี่ใคร หน้าตาน่ารักเชียว”

“รุ่นน้อง ชื่อซอล ส่วนนี่พี่สาวพี่ ชื่อจอมขวัญ”

 “สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือขึ้นไหว้แทบไม่ทัน ผู้หญิงคนนั้นส่งยิ้มให้ผม พอยิ้มแล้วหน้าตาดูใจดีขึ้นเยอะ

 “เห็นว่าประชุมอยู่ เลยไม่อยากกวน”

“เพิ่งเสร็จ จะกลับเลยเหรอ”

“จะกลับแล้ว”

“แวะไปนอนที่บ้านบ้าง แม่บ่นจนพี่เบื่อฟัง ระวังแม่จะขายคอนโดที่เราอยู่ทิ้ง”

“แม่ไม่ทำหรอก ห้องนั้นอยู่ใจกลางเมือง แม่เก็งกำไรได้อีกเยอะ”

“เจ้าบ้านี่” มือขาวตีลงบนแขนของน้องชาย

“ผมไปก่อน ต้องรีบกลับไปเรียน เดี๋ยวเสาร์นี้เข้าไปที่บ้าน”

“ได้ พี่จะบอกแม่ให้”

“ไปเถอะ” มือหนาแตะลงที่แขนของผม

ผมรีบยกมือขึ้นไหว้ลา ก่อนเดินตามร่างสูงออกมารับรถที่จอดรออยู่ด้านนอก

 

“เท่าไหร่ครับ” ผมถามเมื่อรถขับออกมาจากร้านแล้ว

“ไม่ต้อง”

“ไม่ได้ครับ” ผมทำเสียงแข็ง

“ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้จ่าย”

“แต่ร้านต้องจ่ายของที่ซื้อมานะครับ ไม่ใช่ได้มาฟรีๆ”

“ทำไมถึงดื้อนัก”

“แล้วทำไมถึงไม่รู้คุณค่าของเงินแบบนี้ล่ะครับ” ผมพูด แล้วก็ได้แต่กัดปากตัวเอง คนมีน้ำใจช่วยเหลือ ดันพูดไม่เข้าท่าใส่

“ขอโทษครับ” ผมขอโทษเสียงอ่อย

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จะถามราคาแบตเตอรี่มาให้แล้วกัน จ่ายต้นทุนก็พอ”

“ขอบคุณครับ แล้วก็อย่างอื่นด้วย” ยังดีที่ผมเพิ่งเปลี่ยนล้อมาได้ไม่นาน ไม่อย่างนั้นคงแทบกระอัก

“เอาเป็นว่าเราจ่ายค่าแบตเตอรี่อย่างเดียว แล้วเลี้ยงข้าวพี่ที่ร้านสักมื้อก็พอ ดีไหม”

“แต่...”

“เอาตามนี้เถอะ” น้ำเสียงที่เข้มขึ้นทำให้ผมต้องเงียบเสียง

ผมลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนขับ รู้จักกันสักนิดก็ไม่ แต่ยังเป็นธุระให้ผมขนาดนี้ ไม่ควรใช้เสียงพูดแบบนั้นเลย เหมือนไปต่อว่าเขา ผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันที

“ขอบคุณครับที่ช่วยผมไว้”

“ไม่เป็นไร”

“เราไม่รู้จักกันแท้ๆ”

“นั่นสิ แต่ทำไมพี่เหมือนรู้จักเราก็ไม่รู้ คงฟังเรื่องของเพื่อนเรามาเยอะมั้ง”

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ อาจเพราะแบบนั้นผมถึงรู้สึกไว้ใจผู้ชายคนนี้ เหมือนว่าเรารู้จักกันมานาน

“วีรกรรมคู่นั้นสุดๆ ไปเลยนะครับ” เสียงหัวเราะสองเสียงดังประสานกัน เมื่อต่างคนต่างคิดถึงเพื่อนของตัวเอง

“ที่บอกให้ผมเลี้ยง ไปวันนี้เลยไหมครับ ผมอยากเลี้ยงเร็วๆ ไม่อย่างนั้นจะไม่สบายใจ”

“วันนี้เหรอ” คนพูดหยุดคิด “ได้ เดี๋ยวตอนเย็นพี่แวะไป”

“ชวนเพื่อนมาด้วยก็ได้นะครับ ผมเลี้ยงเอง”

“ตกลง”

ผมเงียบเสียงลงเมื่อไม่มีเรื่องใดให้พูดต่อ ได้แต่แอบมองด้านข้างของร่างสูง เป็นผู้ชายที่ดูดีจริงๆ จนผมยังอิจฉา นิ้วเรียวยาว อกผึ่งผาย  ไหล่กว้าง ใบหน้าหล่อเหลา สายตาของผมไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนหยุดที่ใบหน้าคมสันนั้นนิ่งนาน

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ครับ?”

“ก็เห็นเรามองมา”

“ไม่มีครับ” ผมรีบหันไปมองทางอื่น หัวใจเต้นตึกตัก ใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ จะเข้าใจผิดผมหรือเปล่านะ เป็นผู้ชายแท้ๆ ดันนั่งจ้องหน้าผู้ชายด้วยกัน มันไม่มีอะไรทั้งนั้น ผมแค่...ผมก้มหน้าเพื่อซ่อนสายตา ผมแค่...รู้สึกดีเท่านั้นเอง

ผมรู้ว่าคนเราควรต่อสู้ดิ้นรนด้วยตัวเอง แต่การได้รับการดูแลจากใครสักคน ไม่ต้องคิดเองทำเอง ดิ้นรนเองเหมือนที่ผมกับผ้าใบต้องทำ ผมเพิ่งรู้ว่ามันให้ความรู้สึกอย่างไร

“ขอบคุณนะครับ” ผมพูดอยู่ในใจ ขณะสายตาเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างกาย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น