02
ฉันทำสัญญากับคนตาย…ในสถานที่ที่ไม่มีอยู่จริง!
“ข้อหนึ่ง สถานที่นี้ไม่มีอยู่จริง”
“อ้าว!? แล้วเราอยู่ที่ไหนกันล่ะ” ฉันถามซื่อๆ ทื่อๆ งงๆ ขณะที่เทหวัตถ์ผู้ทำสัญญาแทนนายจ้างทำสีหน้าข่มความรู้สึกสุดความสามารถ เขาสูดลมหายใจลึกก่อนอธิบายแบบเหลืออด
“ในสถานที่ที่เป็นความลับ คุณจะได้เงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ รวมทั้งการดูแลทุกสิ่งอย่างอย่างดีที่สุด เพียงแต่คุณต้องไม่ให้ใครรู้ว่าคุณทำงานอะไร ทำให้ใคร และทำที่ไหน จะให้ใครรู้ไม่ได้ นี่เป็นนโยบายความเป็นส่วนตัวของนายจ้างเรา”
“อ๋อ....ไม่มีใครรู้แน่ กระทั่งชื่อนายจ้างฉันยังไม่รู้เลย ความลับไม่ถูกเปิดเผยแน่ๆ”
ชายหนุ่มไม่สนใจการประชดประชันนั้น เขาก้มหน้าอ่านกฎข้ออื่นๆ ในสัญญาว่าจ้าง
นอกจากความลับบลาๆๆ ความลับ...บลาๆๆ แล้ว...เทหวัตถ์เป็นทนายที่...ฉันชักไม่มั่นใจแล้วว่าเขาอยู่ฝั่งไหนแน่...เพราะเขาเล่นทำสัญญาว่าจ้างแบบโคตรเอื้อประโยชน์ให้ลูกจ้างเลย ไม่ว่าจะเป็นกฎข้อไหนที่ดูเหมือนฉันจะเสียประโยชน์ เขาจะลบทิ้งมันไปหมด แถมยังเติมศูนย์หลังค่าจ้างที่ตกลงกันไว้แต่แรกให้ฉันอีกตัวหนึ่งด้วย...ถืออภิสิทธิ์อะไรก็ไม่รู้...(ทนายเขาทำแบบนี้กันได้ด้วยเรอะ)
ไม่รู้ฉันคิดไปเองรึเปล่า แต่ระหว่างทำเอกสารฉันเหมือนเห็นรอยยิ้มสะใจปรากฏขึ้นเป็นระยะบนใบหน้าหล่อเหลานั้น
กึ๋ย...น่ากัวอะ
“เอาละ คุณกลับไปเก็บข้าวของได้...พรุ่งนี้เที่ยงผมจะส่งคนไปช่วยขนย้ายข้าวของของคุณทั้งหมดมาที่นี่” เทหวัตถ์สรุปหลังตรวจสอบสัญญาครบถ้วนทุกแผ่นและให้ฉันเซ็นครบทุกจุดแล้ว
“ฮะ!! เดี๋ยวๆๆ ย้าย!? ย้ายอะไร ย้ายไปไหน ย้ายทำไม...ยังไง ทำไมต้องย้าย”
“ย้ายตามสัญญาจ้างนี่ไงล่ะครับเจ๊ เพิ่งเซ็นสดๆ ร้อนๆ อ่านก็อ่านให้ฟังนะ อย่ามา...” คนพูดยืนโบกเอกสารในมือพึ่บพั่บด้วยสีหน้าของผู้ชนะขณะที่ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าเสียรู้ให้ข้อสัญญาบลาๆๆ ที่น่าเบื่อจนต้องฟังบ้างไม่ฟังบ้าง และในการแสดงทีท่าเอื้อประโยชน์ให้อย่างเยอะเว่อร์นั้น อีตาเทหวัตถ์แอบสอดไส้ข้อสัญญาเสียเปรียบอะไรก็ไม่รู้ให้ฉันเซ็นไปด้วย
“เฮ้ย!” คำว่า 'ฉิบหาย' นั้นยังอาจน้อยไปเมื่อพลิกเอกสารนั้นอ่านโดยละเอียด
ข้อ 13.5 ลูกจ้างเต็มใจและยินดีที่จะเข้ามาอยู่ในสถานที่ที่นายจ้างจัดไว้ให้ ทั้งนี้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนายจ้างและเพื่อการรักษาความลับและความปลอดภัยในสถานที่และทรัพย์สินของนายจ้าง ห้ามลูกจ้างเปิดเผยถึงสถานที่ที่กำหนดนี้ ทั้งนี้การย้ายเข้าต้องให้แล้วเสร็จภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังการเซ็นสัญญาจ้าง
“ทำไมฉันต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย (วะ)!” ฉันร้องเสียงหลง
เทหวัตถ์ยักไหล่ท่าทางเป็นต่อสุดๆ
“น่า...มันเป็นมาตรการ”
“มาตรการบ้าอะไร”
“มาตรการรักษาความปลอดภัยไงครับ การสแกนคนเข้าออกที่ดีที่สุดคือ...”
“ขังมันไว้เลยงั้นสิ”
เทหวัตถ์กลั้นหัวเราะ
“มันมีคำพูดที่ดีกว่านี้ให้เลือกใช้นะ...แต่ก็...เป็นนโยบายความเป็นส่วนตัวของนายจ้างเรา”
“และ! นโยบายความเป็นส่วนตัวของฉันคือ...ไม่-ย้าย-มา-ที่นี่-เด็ด-ขาด!” ฉันตัดบทโดยเน้นทีละคำอย่างชัดเจนสุดๆ ขณะที่อีตาเทหวัตถ์ก็อ้าปากค้างแทบปล่อยสัญญา (ทาส) ที่ฉันเพิ่งเซ็นผูกมัดตัวเองไปสดๆ ร้อนๆ หลุดมือ
“เฮ้ย...คุณจะไม่ย้ายมาได้ยังไง!? มันผิดสัญญา”
“ข้อหนึ่ง” ฉันชูนิ้วขึ้นคำสั่งเสียงเฉียบขาด
“สถานที่นี้ไม่มีอยู่จริง เมื่อไม่มีอยู่จริง ดังนั้นสัญญาที่ทำขึ้นในสถานที่ที่ไม่มีอยู่จริงนั้นฉันถือว่ามันไม่เคยมี!”
“เฮ้ยๆๆ” เทหวัตถ์ร้องเสียงหลง ดูจากท่าทางแล้ว ด้วยประสบการณ์อาชีพทนายที่น่าจะจบดีกรีเมืองนอก หมอนี่คงไม่เคยถูกใครเบี้ยวสัญญาที่เพิ่งเซ็นกันไปสดๆ ร้อนๆ อย่างหน้าด้านๆ ต่อหน้าต่อตาแบบนี้แน่
“ข้อสอง” ฉันตอกย้ำอย่างเป็นต่อ
“ดูจาก 'นโยบายความเป็นส่วนตัว' ของนายจ้างคุณแล้ว ฉันว่าเขายอมฉีกสัญญา แถมยังจะยอมจ่ายเงินเป็นสิบเท่าปิดปากฉันด้วยซ้ำเพื่อให้สถานที่นี้ 'ไม่มีอยู่จริง' คนอย่างเขาไม่ยอมทำเรื่องฟ้องร้องค้าความให้ตัวเองเดือดร้อนวุ่นวายแน่ อย่าทำหน้าเหมือนปวดท้อง คุณก็รู้ว่าจริง ไม่งั้นก็ฟ้องฉันได้เลย”
ฉันยิ้มเย็นเย้ยคนที่ตั้งแต่แรกมีท่าทีเป็นต่อทุกอย่างมาคราวนี้กลับเหงื่อแตกพลั่ก หน้าซีดเป็นไก่ต้ม หมดฟอร์มหนุ่มเนี้ยบโชว์เหนือไปทุกกระเบียดนิ้ว
“ดังนั้นคุณมีทางเลือกเดียวคือรับเงินของคุณคืนไปซะ ถือซะว่าฉันไม่มีอยู่จริง แล้วฉันก็จะถือว่าไม่เคยมาที่นี่...โอเค้?”
ฟ้าเริ่มค่ำแล้วเมื่อฉันฝ่ารถติดกลับมาถึงที่พักได้อย่างสวัสดิภาพ มันเป็นห้องเช่าห้องน้อยที่ฉันเช่าอยู่มาตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ...ยังไงดีล่ะ...จะเรียกมันว่า 'รูหนู' ก็ได้นะ ห้องเล็ก มีเตียงเล็กๆ ตู้แคบๆ ห้องน้ำในตัวก็กระจิริดนักหนา โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ใช้เป็นโต๊ะกินข้าวไปด้วยในตัวเบียดเข้าไปอีกตัวก็เต็มแล้ว ไม่มีครัว ไม่มีระเบียง ไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอะไรสักอย่าง แถมยังอยู่ซะชานเมืองไกลสุดกู่ กว่าจะเดินทางเข้าเมืองได้แต่ละทีต่อรถกันสนุกสนานเชียวละ...แน่นอนว่ามันไม่ได้อยู่ติดรถไฟฟ้า ไม่มีแม้แต่โครงการจะสร้างในอีกยี่สิบสามสิบปีหรือห้าสิบปีข้างหน้าด้วยซ้ำ!
ใช่! ฉันฉีกสัญญามูลค่ามหาศาลนั้น ปฏิเสธงานที่ดีที่สุดในสามโลก ขัดแย้งกับทนาย วอนโดนฟ้องหมดเนื้อหมดตัวเพื่อแลกกับการอยู่ที่นี่! ห้องเช่ารูหนูเก่าโทรมเนี่ย!
หรือว่าฉันควรกลับไปกอดขาอ้อนวอนของานคืนจากอีตาเทหวัตถ์ดีหว่า...
หอพักดูคึกคักผิดปกติ มีคนตรงชั้นหนึ่งที่อยู่มาตั้งแต่ก่อนฉันมาอยู่อีกกำลังเก็บข้าวเก็บของย้ายออกด้วยท่าทางลิงโลด สงสัยคงถูกหวยรางวัลใหญ่...แต่เอ๊ะ! วันนี้มันไม่ใช่วันหวยออกนี่หว่า...ฉันก็แฟนพันธุ์แท้กองสลากนะเป็น 'ผู้หญิง...อย่าหยุดหวย!' คนหนึ่ง
ฉันเดินผ่านห้องว่างอีกสองห้อง เอ๊ะ...ห้องพวกนี้มันเคยมีคนอยู่นี่นา...ช่างเหอะ อย่าคิดมาก
แต่...คงต้องคิดหน่อยแล้วเมื่ออีกสามห้องที่เดินผ่านก็ว่างเปล่า พอขึ้นบันไดไปก็มีคนกำลังขนข้าวของย้ายบ้านกันโกลาหล เมื่อขึ้นถึงชั้นสามยกเว้นห้องของฉันและห้องหมายเลข 307 ที่เจ้าของไปทำงานยังไม่กลับมาแล้ว ทุกห้องกลายเป็นห้องว่างหมดสิ้น!
“เอ้า! ย้าย! ย้ายกันออกมาให้หมด!” เสียงเจ๊เจ้าของหอดังแจ้วๆ อยู่ชั้นล่าง ทำให้ฉันต้องชะโงกลงไปตะโกนถาม
“เจ๊! เกิดอะไรขึ้น!? ทำไมคนถึงย้ายออกหมดแบบนี้ล่ะ หรือเขาจับได้ว่าเจ๊โกงค่าส่วนกลางมาหลายปีแล้ว?” อยู่มาหลายปีก็คุ้นเคยกันจนแซวจิกกัดดัดสันดานกันได้แบบนี้แหละ
เจ๊ตะโกนเสียงแปร๋นตอบโต้ทันควัน
“เดี๋ยวเหอะ ยายกันยา เดี๋ยวเธอจะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับค่าชดเชยคอยดู”
“ค่าชดเชย? ชดเชยอะไร” ฉันถาม
“ค่าชดเชยให้ย้ายออกภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงยังไงล่ะจ๊ะ” เจ๊ตอบเสียงหวานกลับมา
“ย้าย! ย้ายทำไม อยู่ๆ จะมาให้ย้ายยังงี้ได้ไงผิดสัญญาชัดๆ” ฉันแหกปากอย่างไม่กลัวหลอดลมพัง คุ้นๆ ว่าเคยเถียงอะไรคล้ายๆ อย่างนี้มาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ แถมเป็นคนเบี้ยวสัญญาเขาด้วย
นี่เวรกรรมตามทันแบบไฮสปีดห้าจีขนาดนี้เลยเรอะ!
“เจ๊จะมาไล่ฉันออกจากห้องได้ยังไง สัญญาก็ยังมี” ฉันโวยวายใส่เจ๊เจ้าของหอที่หอบแฮกๆ หลังพาร่างอ้วนท้วนของสตรีวัยสี่สิบปลาๆ ปีนบันไดสามชั้นขึ้นมา
“ก็ไปฟ้องร้องเอาซี้ ใครๆ เขาก็รับเงินและรีบขนของออกกันทั้งนั้นแหละ” นางรูดซิปกระเป๋าคาดเอว หยิบมัดเงินออกมายื่นให้ปึกหนึ่ง จำนวนไม่ใช่น้อยเลยนะเนี่ย
“อะ เอาไปแล้วรีบๆ ไปๆ ซะ ฉันจะรีบไปจองตั๋วทัวร์รอบโลก” เจ๊พูดพร้อมโบกมือไล่ไม่ไยดี
“เฮ้ยๆ เดี๋ยว! เจ๊ไปรวยอะไรมาเนี่ย ถึงกับจะทัวร์รอบโลก” ฉันทักท้วงอย่างเริ่มชักแหม่งๆ
“เจ๊ขายหอได้” เจ๊เฉลยด้วยท่าทางปลื้มปริ่ม กระดี๊กระด๊าสุดๆ
“ไหนเจ๊ว่าที่นี่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เฮียให้ไว้ก่อนตายไง เป็นของดูต่างหน้าที่สุดแสนมีคุณค่าทางจิตใจ จะเป็นจะตายจะไม่ยอมขายเด็ดขาด...แล้ว...หอพักชานเมืองแบบนี้มันมีราคาพอให้ไปเที่ยวรอบโลกได้เชียวเรอะ” ฉันทวนความรักความหลัง เผื่อเจ๊จะนึกถึงสามีสุดที่รักที่ทิ้งอนุสรณ์รักแท้ไว้ให้ฉันใช้เป็นที่ซุกหัวนอนแหล่งสุดท้ายได้
เจ๊หัวเราะลั่นอย่างมีความสุข ชะโงกตัวเข้ามาใกล้
“นี่เห็นว่าสนิทกันหรอกนะ เจ๊ถึงจะบอก” ว่าแล้วแกก็กระซิบบอกจำนวนเงินที่ทำให้ฉันตาเหลือก
มิน่าล่ะ เจ๊ถึงไม่เห็นอนุสรณ์รักแท้ของตัวเองอยู่ในสายตา...มีเงินขนาดนี้ไม่ต้องมีสามีก็ยังได้...ซื้อกินเอา!
“โห...เที่ยวรอบโลกสามรอบเงินยังเหลือกินได้อีกตลอดปีตลอดชาติ คนซื้อบ้าชัดๆ” ฉันพึมพำอย่างทึ่งๆ ก็สมควรแล้วละที่เจ๊แกจะรีบขาย แต่...มันทะแม่งๆ ยังไงไม่รู้แฮะ
“รีบๆ ย้ายออกซะ ฉันจะรีบไปทัวร์รอบโลก แต่ก่อนหน้านั้นต้องไปเกาหลี อัปร่างใหม่ให้หมดทั้งตัวก่อน อิๆๆ” เจ๊ยัดเงินใส่มือให้อย่างร้อนรนขณะที่ฉันยังพยายามค้านอยู่
“เดี๋ยวสิเจ๊! มันฉุกละหุกขนาดนี้จะหาห้องเช่าทันกันได้ยังไงตั้งหลายสิบคน”
“โอ๊ย ไม่มีปัลหาว์...โน่น” เจ๊แกชี้ตึกหอพักไฮโซแพงหูฉี่ที่เพิ่งสร้าง อยู่ห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร “ไปอยู่โน่นก่อนเลย เขาเช่าไว้ให้คนที่ย้ายออกไปอยู่ฟรีปีนึง”
“ฮ้า!!!” คำว่างงเป็นไก่ตาแตกยังน้อยไปกับปรากฏการณ์นี้
“เจ๊รู้ไหมว่าวันนี้ฉันเพิ่งปฏิเสธงานที่ข้อเสนอดีโคตรๆ แถมปฏิเสธเงินเยอะแค่ไหนเพื่อมาให้เจ๊ไล่ฉันออกจากห้องเช่าที่ฉันพยายามรักษาไว้เนี่ย...”
“ไม่รู้เว้ย มันไม่ใช่ปัญหาของเจ๊ อิตส์ นอต มาย บิซิเนสสส! ยูว์ โนว์ ซิส?" เจ๊ปัดความรับผิดชอบเสร็จก็ปรี่ไปหาเจ้าของห้อง 307 ที่เพิ่งกลับมาจากทำงาน หญิงวัยสาวระยะสุดท้ายทักทายลูกค้ารายสุดท้ายเสียงสดใสสุดๆ
"อ๊าย...สุนีย์ กลับจากทำงานแล้วเหรอ...”
ฉันแทบทรุดลงนั่งร้องไห้
นี่มันเกิดอะไรกับชีวิตฉันวะ
เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดึงฉันออกจากความดรามา เบอร์ของคนที่โทร. เข้ามาไม่แสดงหมายเลข...แต่ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าน่าจะเป็นใคร...ใครที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้...ง่ายๆ
“คุณพร้อมย้ายเข้ามาทำงานที่นี่รึยัง” เสียงถามของทนายเทหวัตถ์ดังมาตามสาย น้ำเสียงพึงพอใจจนน่าหมั่นไส้!
“ยัง” ฉันกัดฟันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงคั่งแค้นให้อีกฝ่ายอึ้งไปอย่างผิดคาด
“จนกว่านายจะส่งคนมาช่วยฉันขนของ!”
เคยมีคนบอกคุณไหมว่าอย่าทำสัญญากับปีศาจ...แม้ว่าข้อเสนอมันจะดีแค่ไหนก็ตาม
ฉันพลาดไปแล้วละ!
ตกลง...ฉันต้องย้ายมาอยู่กับคนตาย!
...เอ้อ...ฉันหมายถึง...ต้องมาอยู่ร่วมบ้านกับคนตายน่ะ...
แต่...ยังไงเขาก็ตายไปแล้ว แถม...ตัวเลขศูนย์ในเงินเดือนค่าจ้างก็เยอะจนน่าย้ายมาอยู่ด้วยจริงๆ ฉันไม่ได้งกหรอกนะ...
จริง...จริ๊ง!
พูดถึง 'คนตาย' ที่จริงตอนแรกฉันก็ไม่รู้เรื่อง 'สถานะทางชีวภาพ' ของ 'นายจ้าง' ของฉันหรอก เพราะอีตาเทหวัตถ์มักเรียกอีกฝ่ายว่า 'เขา' นอกจากเขาคือ 'เขา' แล้ว...เรื่องนอกเหนือจากนั้นเกี่ยวกับนายจ้างคือความว่างเปล่า
แต่...ด้วยจำนวนเงินที่เขายัดใส่เข้ามาในบัญชีฉันราวกับกลัวว่าฉันจะหนี ทำให้ฉันที่แม้ไม่มีประสบการณ์ แต่ก็รู้อยู่บ้างว่าอะไรควรถาม อะไรไม่ควรถาม...
เอ่อ...ขอย้ำอีกทีนะว่าไม่ได้เป็นคนงกเลย...จริงๆ
นอกจากโต๊ะ ตู้ เตียงที่เป็นของห้องเช่าแล้ว โต๊ะคอมพิวเตอร์และเครื่องใช้หลายชิ้นก็ไม่ได้ถูกยกมาด้วยเหตุผลว่าหาที่ใหม่และดีกว่านั้นได้มากมายนัก ดังนั้นสมบัติบ้าของฉันจึงเหลือแค่ไม่กี่กล่องสำหรับใส่เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าของสะสมกิ๊กก๊อกๆ และที่เหลืออีกส่วนใหญ่คือหนังสือ...ก็กล่องที่อีตาเทหวัตถ์หอบตัวเอนอยู่นี่ไง...หุๆ แถมยังต้องยักแย่ยักยันกดรหัสเพื่อเปิดประตูลวดลายพระจันทร์อย่างทุลักทุเลที่สุด
อิๆ ดีสม!
...
เทหวัตถ์ถอนใจขณะเหลือบตาดูหญิงสาวที่เดินอยู่ข้างๆ
เธอสูงประมาณร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร ไม่ผอมบางจนเกินไปนัก ดูท่าจะสู้งานหนักได้ไหวอยู่ ผิวขาวแบบธรรมชาติไม่ได้ขาวสวยออร่าแบบสาวกระเป๋าหนักที่ทุ่มซื้อคอร์สความงามแพงๆ มาพอกผิว ดวงหน้าเรียวดูธรรมดาแต่งหน้าบางเบา คิ้วเรียวเฉียงนิดๆ ดูเฉียบขาดและเจ้าอารมณ์หน่อย แต่ค่อยยังชั่วที่จมูกนิดกับปากอีกหน่อยของเธอทำให้ดวงหน้าลดความดุดันลงได้เยอะ และมีเค้าว่าถ้าแต่งหน้าแบบจัดเต็มก็อาจสวยขึ้นได้อีกมาก
เขาพาเธอเดินมายังส่วนที่พักที่เป็นห้องกว้างประดับด้วยหินอ่อนสีดำและไฟดาวน์ไลต์บนเพดานสูงลิบลิ่ว ทำให้ดูราวกับตอนนี้พวกเขาหลุดลอยออกไปอยู่ในอวกาศ
“เพดานนี่ทำความสะอาดยังไงเหรอ” เธอชี้นิ้วใส่เพดานสูงเป็นสิบๆ เมตรขณะเขาวางลังหนังสือหนักๆ ลงพร้อมเสียงถอนใจอย่างไม่รู้จะเหนื่อยใจหรือเพราะลังหนังสือหนักดี
“ทางนี้เป็นครัว...ทางโน้น...ห้องน้ำ ส่วนนี่ห้องนอน” เทหวัตถ์แนะนำสถานที่พลางผายมือไปรอบตัว
เพราะห้องกว้างแบบสตูดิโอทันสมัยนั้นไม่ได้กั้นพื้นที่ใดออกจากกันเลย มันจึงเปิดโล่งให้ไฟดาวน์ไลต์สร้างแสงวับแวมเหมือนอยู่ในอวกาศ เตียงมหึมาตั้งอยู่ตรงสุดมุมหนึ่ง คั่นด้วยโซฟาชุดใหญ่ แบ่งสัดส่วนเล็กน้อยด้วยชั้นเหล็กโปร่ง เลยมาเป็นเคาน์เตอร์ครัวขนาดกลาง มีตู้เย็นตัวใหญ่และตู้ชั้นลอยหลายชั้นซึ่งอัดเต็มด้วยอาหารที่กักตุนไว้เหมือนจะให้อยู่ได้สักเดือนหนึ่ง
อ้อ...ยกเว้นห้องน้ำไว้ห้องหนึ่งที่มีบานประตูเปิดเข้าไปอีกที พื้นห้องน้ำเป็นหินอ่อนสีขาวและกระเบื้องที่เล่นลวดลายไล่สีจากสีฟ้าไปหาสีน้ำเงินเข้ม ตู้อาบน้ำมีฝักบัวปูพื้นด้วยกระเบื้องลวดลายโมร็อกโก เน้นสีสันอลังการเว่อร์ๆ ถัดไปมีอ่างอาบน้ำจากุซซีที่กว้างจนลงได้พร้อมกันสามสี่คนยังไม่เบียดเลย
ชายหนุ่มยืนมอง ปล่อยให้เธอสำรวจจนพอใจ จากนั้น...
...
“จะให้ฉันอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอ”
พอฉันหันกลับไปถาม ปรากฏว่าเทหวัตถ์ชิงหนีคำถามยุ่งยากโดยการหายตัวไปแล้ว เมื่อฉันเดินกลับออกมาห้องกว้างเลยยิ่งเวิ้งว้าง เพดานสูงเบื้องบนเหมือนยิ่งสูงลิบละลิ่วขึ้นไปอีก ยิ่งเดินย้อนจากส่วนที่พักซึ่งมีเพียงห้องนั้นออกมา ไม่มีวี่แววสิ่งมีชีวิตอื่นใดในสถานที่นี้เลย
ฉันยืนอยู่คนเดียวเสมือนอ้างว้างท่ามกลางจักรวาล
“อีตาเท-หะ-วัตถ์! นี่เอาฉันมาทิ้งไว้จริงๆ เหรอ...อีตาบ้า...”
ฉันแหกปากสุดเสียง กะว่าถ้าเจ้าตัวซ่อนอยู่ที่ไหนต้องมีสะดุ้งกันบ้าง แต่ที่ตอบกลับมาคือเสียงสะท้อนก้องของฉันเอง ราวกับฉันตะโกนใส่หุบเหว...หุบเหวที่ว่างเปล่าและเยียบเย็น สงสัยอีกละว่าที่นี่ติดแอร์ยังไง ถ้าเป็นระบบปรับอากาศแบบห้าง อย่างน้อยต้องมีท่อแอร์ให้เห็นกันบ้างสิ แต่มันกลับเย็นเฉียบได้ทุกจุดโดยไม่เห็นท่อแอร์ใดๆ ให้ระคายสายตาเลย
ห้องรับรองมีตั่งโบราณตัวใหญ่ที่แกะสลัก เดินลายทอง และประดับกระจกสีลวดลายละเอียดแบบโบราณ ส่วนพื้นเป็นพรมเปอร์เซียสวยมากกก! ทอด้วยลวดลายโบราณ...จะใช่แบบที่เคยอ่านรึเปล่านะ ที่ว่าไว้มอบเป็นของขวัญให้แขกบ้านแขกเมือง ผืนหนึ่งใช้เวลาทอร่วมยี่สิบปี
...คือถ้าใครจะมาเป็นแขกที่นี่ ต้องนัดล่วงหน้าอย่างน้อยยี่สิบปีปะ…ไม่ใช่ละ
โต๊ะโบราณวางใกล้ตั่ง เลยไปเป็นกลองมโหระทึกโบราณที่อายุไม่ต่ำกว่าสองพันปี (ถ้ามันเป็นของจริงนะ) เลยไปเป็นพรมขนสัตว์...จากตัวอะไรไม่รู้ รู้แต่น่าจะขนสัตว์แท้ เป็นขนนุ่มๆ สีขาว ผืนมหึมากว่าสามสี่เมตร (ตัวอีหยังวะ)
สิ่งน่าประหลาดใจอีกอย่างคือ ที่นี่ไม่มีฝุ่นเลย ไม่ว่าจะเป็นตามพรมซึ่งน่าจะดูแลยาก หรือตามพื้นที่ต่างๆ หลืบมุมใดๆ ล้วนแล้วแต่สะอาดเอี่ยมราวเพิ่งแกะซีลพลาสติกออกมา
“แม่บ้านที่นี่เก่งจริงๆ” ฉันชื่นชมอย่างอัศจรรย์ใจ
ถึงไม่รู้เวลาแต่ฉันเริ่มรู้สึกหิว ต้องประหลาดใจอีกหนเมื่อเหลียวมองหาแล้วพบว่าที่นี่ไม่มีนาฬิกาแม้สักเรือน ไม่ว่านาฬิกาดิจิทัลหรือนาฬิกาเข็มวินาทีแบบโบราณ เพราะถ้ามีนาฬิกา ด้วยความเงียบของสถานที่นี้ เสียงเดินเข็มนาฬิกาก็น่าจะดังก้อง
ที่นี่ไม่มีนาฬิกาจริงๆ เหรอ
ฉันสงสัยขณะดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือ และเริ่มทำอาหารง่ายๆ ให้ตัวเอง เป็นอาหารมื้อแรก...ในที่พักสุดตระการตาและในตำแหน่งที่กินเงินเดือนมหาศาลของฉัน
...บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป!!
“ไม่ถามสักคำ” ฉันพึมพำแค้นๆ ถึงอีตาเทหวัตถ์
“ไม่ถามสักคำว่าฉันทำกับข้าวเป็นไหม!?”
เหตุผลที่ฉันอดทนอยู่ไอ้หอพักซังกะบ๊วยนั่น เพราะว่าแถวนั้นมันกับข้าวเยอะดี ทั้งถูกทั้งอร่อย มีให้เลือกเยอะแยะละลานตาเลยละ
“จะมีประโยชน์อะไร ถ้าจะมีที่พักดี เงินเดือนสูง แต่ต้องกินแต่บะหมี่สำเร็จรูปน่ะฮะ!” ฉันชูตะเกียบ ตะโกนอย่างคั่งแค้นใส่เพดานสูงลิบลิ่ว
ความคิดเห็น |
---|