3

3

03


คนตายมีกาลเวลาไหมนะ

อยู่ที่นี่เหมือนไม่มีกาลเวลา...เหมือนอยู่ในกล่องสมบัติล้ำค่าที่กาลเวลาทุกยุคทุกสมัยไหลมากองอยู่ร่วมกัน เพราะมีทั้งศิลปะสมัยเรอเนซองซ์ รูปปั้นยุคก่อนประวัติศาสตร์ ภาพเขียนจีนอายุหลายพันปี โลงศพมัมมี่อียิปต์...ซึ่งฉันพยายามคิดว่ามันไม่ใช่ของจริง

    ใช่สิ! โลงนั่นต้องไม่ใช่ของจริงแหง...แต่ไอ้โถคาโนปิกที่อยู่ด้วยกันนั่นทำให้ผวานิดหน่อยนะ

    แถมไอ้ความรู้กระจ้อยร่อยกระจิริดของฉันก็ไม่ช่วยให้ฉันฟันธงได้เหมือน โรเบิร์ต แลงดอน ในนิยาย Davinci Code ซะด้วย ว่าของชิ้นไหนจริง ชิ้นไหนปลอม (แต่สัญชาตญาณมันบอกว่าส่วนใหญ่เป็นของจริงง่ะ)

    จิตรกรรมและประติมากรรมของศิลปินตะวันตกและตะวันออก รวมถึงงานปั้นสมัยก่อนประวัติศาสตร์มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ มาร่วมสมัยกันอยู่ที่นี่อย่างน่าอัศจรรย์

    ไม่สิ! มันมั่วเกินไปแล้วต่างหาก

    ที่นี่แบ่งห้องยุคสมัยต่างๆ เอาไว้อย่างคร่าวๆ แต่มักมีของที่ไม่ใช่ยุคสมัยของมันหลงมาปะปนกันอยู่ร่ำไป ฉันอุ้มโถคาโนปิกจากห้องโรมันกลับคืนไปที่ห้องอียิปต์ เดินตามหาโลงศพที่โถคาโนปิกหายไป อนึ่ง...ไอ้ 'โถคาโนปิก' ที่ว่านั้น...มันคือโถดินเผาสูงสักฟุตหนึ่ง เอาไว้ใส่อวัยวะภายในของคุณมัมมี่ที่อยู่ในโลงสวยๆ สีสันตระการตาที่เรียงเป็นตับอยู่นี่...ของใครของมัน ดังนั้นไม่ควรมั่วโถนะตัวเธอ (ว์) ไม่งั้นเวลาที่ฟาโรห์คืนชีพ (ตามคติโบราณของอียิปต์) จะมีอวัยวะภายในไม่ครบถ้วน...

    ...

    ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ขอเสนอวิธีทำมัมมี่ ฉบับ DIY สไตล์รัตติกัญญา ว้าว! ทำเองก็ได้ง่ายจัง!

    เมื่อชาวอียิปต์ยุคหลายพันกว่าปีก่อนตายลง ศพจะผ่านวิธีชำระล้าง จากนั้นแหวะพุงเพื่อนำอวัยวะภายในออกมา ยกเว้นหัวใจที่ต้องใส่ไว้ในร่าง (ไว้สำหรับให้เทพอานูบิสชั่งตวงวัดน้ำหนักระหว่างหัวใจกับขนนก (นกอะไรวะ) เพื่อวัดบุญบาป ตัดสินกันว่าจะได้ไปสู่สวรรค์อันอมตะเพื่อรอเวลาคืนชีพอีกครั้งได้หรือเปล่า ถ้าไม่ผ่านคิวซีก็ Go to Hell!) จากนั้นก็หมักเกลืออวัยวะที่เหลือ...เอ๊ยไม่ใช่!

    ...เอิ่ม...ใช่ว่ะ!

    เกลือจะดูดความชื้นและช่วยรักษาสภาพศพ หลังจากนั้นศพจะผ่านการแช่น้ำยาสูตรพิเศษและต้องผ่านกรรมวิธีลับอีกหลายขั้นตอน อ้อ...บอกไปหรือยังว่าส่วนสมองอะเขาจะควักเอาออกมาโดยเสียบเครื่องมือยาวๆ งอๆ เข้าไปทางรูจมูก จากนั้นก็กวนๆ ละเลงให้เละจนควักออกมาทางรูจมูกได้

    เอิ่ม...ถ้าคนอียิปต์ที่ผ่านกระบวนการนี้สามารถฟื้นคืนชีพได้จริง จะยังจำอะไรได้อยู่มั้ยอะ

    ส่วนอวัยวะภายในจะที่ถูกผ่านออกมาจะผ่านกระบวนการรักษาสภาพก่อนแยกใส่ในโถคาโนปิก ผนึกไว้นอกร่างขณะร่างกายถูกห่อพันด้วยแถบผ้าลินินตั้งแต่หัวจดเท้า จากนั้นเอาใส่ในโลงและไปไว้ในสุสาน ถ้าเป็นบุคคลสำคัญก็มักสร้างสุสานกันยิ่งใหญ่อลังการ มีข้าวของเครื่องใช้และสมบัติมากมายที่กะไว้ให้เจ้าตัวใช้ตอนฟื้นคืนชีพขึ้นมา ซึ่งหลายพันปีผ่านไปก็ได้ใช้จริงๆ ด้วย 

    เปล่า...ไม่ใช่เจ้าของหรอก แต่เป็นโจรปล้นสุสานต่างหากที่ขุดหากันเป็นล่ำเป็นสัน ปล้น...ชิง...ขโมย...แย่ง...ยึด...ขุดค้น...ค้นพบ...วิจัย...ความก้าวหน้าทางโบราณคดี อะไรก็ตามแต่จะสรรหาตำมาเรียก สรุปคือพวกมัมมี่ไม่ได้นอนสงบๆ ในบ้านหลังสุดท้ายของตัวเอง แต่ถูกขุดร่าง เปิดโลง ฉีกผ้าพันศพออกเป็นสินค้าซื้อขายแลกเปลี่ยนทั้งในตลาดมืดตลาดสว่าง เอามาเปิดอ้าซ่าตั้งโชว์ให้คนเป็นแสนเป็นล้านเข้าชมในพิพิธภัณฑ์ หรือไม่งั้นก็ถูกเก็บงำไว้เป็นสมบัติส่วนตัวของมหาเศรษฐีสักคน...เหมือนที่นี่ไง

    ดูโลงศพมัมมี่สิบสี่โลงที่วางเรียงรายเต็มห้องพวกนั้นสิ เหมือนจริงเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเป็นแค่งานรีมาสเตอร์พีซ

    เห็นไหม งานฉันไม่มีอะไรน่ากลัวสักนี้ดดดด...เดี๊ยว! (เสียงสูง) 

    ...

    โลงศพฟาโรห์ที่ฉันตามหาตั้งอยู่สุดมุมในห้องใกล้รูปสลักหินอานูบิส เทพอียิปต์โบราณที่มีร่างท่อนบนเป็นสุนัขสีดำ รูปสลักนี้สมบูรณ์และมีสีสันสวยงามมากๆ ส่วนดวงตาประดับด้วยอัญมณีเป็นประกายแวววับยามต้องไฟ จนดูราวกับกะพริบตาได้และก้มลงมองคนข้างล่างที่ต้องแหงนหน้ามองเพราะความสูงขององค์เทพ

    มองๆ ไปฉันก็รู้สึกว่าเพดานที่นี่มันสูงจนไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ สูงจนแทบจะใส่สฟิงส์เข้ามาได้ทั้งตัวถ้าไม่กลัวพื้นถล่ม!

เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือดังจนสะดุ้ง ในที่เงียบๆ แม้ตั้งเสียงเบาสุดมันก็ยังดังลั่น ฉันตั้งเสียงโทรศัพท์ไว้สี่เวลา คือ เช้าเวลาตื่น อาบน้ำกินข้าว จากนั้นทำงานไปเรื่อยๆ จนกว่าเวลาที่ตั้งปลุกไว้จะเตือนให้กินข้าวเที่ยง เวลาเย็นที่เป็นเวลาเลิกงาน และอีกครั้งคือเวลานอน

ไม่งั้นฉันอาจได้จ่อมจมอยู่กับหนังสือหรือกิจกรรมอื่น กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เลยเวลาเช้าไปครึ่งค่อนวันแล้ว


ผนังทึบของที่นี่กั้นแสงธรรมชาติและเครื่องปรับอากาศก็ปรับเสียจนเย็นเฉียบ ทำลายกาลเวลาจากการรับรู้จนหมดสิ้น

ฉันไปเจอเครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณ และแผ่นเสียงเพลงแจซยุค 50 อยู่หลายแผ่น เมื่อลองเล่นดูปรากฏว่ายังอยู่ในสภาพดีเยี่ยม จะว่าไปทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่ก็อยู่ในสภาพนี้ แม้กระทั่งของเก่าอายุหลายร้อยปี (ที่ฉันมั่นใจว่าเป็นของจริง แต่ของจากยุคสมัยที่มากกว่าพันปีขึ้นไป ฉันไม่กล้าฟันธงว่าของจริงนะ) ราวกับหลังจากผลิตแล้ว พวกมันก็ถูกนำมาเก็บรักษาไว้ที่นี่ตลอดมา ดุจไม่ได้ผ่านกาลเวลาเลยด้วยซ้ำ


“Fly me to the moon

And let me sing among those stars

Let me see what spring is like

On Jupiter and mars

In other words, hold my hand!

In other words, darling kiss me!

Fill my heart with song

And let me sing forever more

You are all I long for

All I worship and adore

In other words, please be true!

In other words, I love you!”


เสียงเพลงแจซแสนหวาน “Fly me to the moon” ที่แต่งโดย บาร์ด โฮวาร์ด ศิลปินชาวอเมริกัน แผ่วพลิ้วสะท้อนไปในความเวิ้งว้างของห้อง ทิ้งความเหงาและเศร้าไว้ในบรรยากาศ...และหัวใจ


คนตายเหงาได้ไหมนะ

ฉันอยู่ที่นี่มาเกือบสองสัปดาห์แล้ว แต่ยังสำรวจได้ไม่หมด ในแต่ละห้องมีทางเดินทอดไปสู่อีกห้อง สู่อีกยุคสมัย จนหลายครั้งต้องถอยกลับมา ไม่กล้าเดินไปสุดทางเพราะกลัวหลง และเมื่อลองทำแผนที่กลับพบว่ายิ่งงงหนักขึ้น เหมือนห้องพวกนี้ยิ่งซับซ้อนชวนสับสนขึ้นทุกที ต้องทดไว้ในใจว่าต้องขอแผนที่หรือแบบแปลนจากเทหวัตถ์ให้ได้ แต่ก็ลืมทุกทีเลย

เทหวัตถ์มาทุกวันเช้าบ้าง สายบ้าง บ่ายบ้าง เขามาพร้อมหนังสือพิมพ์ใหม่ นิตยสารใหม่ๆ ซึ่งน้อยหัวลงทุกที...แบ่งบางส่วนให้ฉัน อีกส่วนเอาไปไว้ที่ไหนสุดรู้ บางทีเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องซับซ้อนพวกนั้น สักวันฉันคงได้เจอซากอารยธรรมสิ่งพิมพ์ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดกองปนกันกับกระดาษปาปีรุสและม้วนภาพเขียนโบราณของจีนแหงๆ

บ่อยครั้งที่เทหวัตถ์มาพร้อมอาหารดีๆ

...แต่ขืนรอเขาคงอดตาย

ฉันทำอาหารเป็นหลายอย่างแล้วนะ ด้วยตำราสารพัด Gourmet & Cuisine ที่มีอยู่ในห้องสมุดมโหฬารนั้น อาหารฝรั่งเศสทำเองก็ได้ง่ายจัง! ที่นี่มีกระทั่งตำราบาริสตาจนฉันเริ่มชงกาแฟสดที่มีอยู่เต็มชั้นพวกนั้นได้หลายสูตรแล้ว แถมเครื่องชงก็มีครบทุกแบบเสียด้วย สุดจะฟิน!

ทำงานคนเดียวดีอย่าง...ไม่ว่าจะแหกปากร้องเพลง คุยกับตัวเอง คุยกับภาพเขียน หรือรูปปั้นประติมากรรมใดๆ ก็ไม่มีใครว่า แถม...ภาพเขียนก็เถียงไม่ได้ด้วย...ดีเหมือนจะตาย!

เหงาเหรอ

...ฉันละความคิดนี้ไว้ก่อนสำรวจที่นี่ต่อ ทำความรู้จักกับสิ่งของครบทุกชิ้นแล้วค่อยคิดเรื่องนั้นละกัน นี่ฉันยังคุยกับภาพเขียนในห้องเรอเนซองซ์ไม่ครบเลยด้วยซ้ำ ทั้งภาพ Mona lisa ของ เลโอนาร์โด ดา วินชี ซึ่งปลอมแหงๆ เพราะของแท้มันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ที่ประเทศฝรั่งเศส Virgin of the Rocks หรือ Madonna of the Rock ที่ไม่เกี่ยวกับเจ๊มาดอนนาหกสิบกว่าแล้วยังแซ่บ และก็ไม่ใช่ชื่อเหล้าตระกูลออนเดอะร็อกอะไรด้วย 

Madonna of the Rock คือภาพวาดทางศาสนาอีกภาพหนึ่งของตาลุงดาวินชี เป็นภาพพระแม่มารีกับพระบุตรตอนพระเยซูทรงพระเยาว์ ขณะประทับอยู่ในหุบผาหินอยู่กับเทพยูเรียลและเด็กทารกอีกคนหนึ่งคือ นักบุญจอห์นเร่ร่อน ทุกคนในภาพนี้หันหน้าเข้าหากัน ท่าทางเหมือนกำลังสนทนากันอย่างออกรส

“โว้ย! ...ทนไม่ไหวแล้ว! กระทั่งรูปวาดยังไม่สนใจฉันเลย!” ฉันแหกปากใส่เทหวัตถ์ "แม่บ้านก็ได้ แม่บ้านก็ยังดี ไหนบอกว่ามีแม่บ้านไง เอามาเป็นเพื่อนคุยกับฉันเดี๋ยวนี้! คุยคนเดียวจนหมดเรื่องคุยแล้ว อีกสักพักภาพเขียนคงคุยตอบฉันได้ แถมอานูบิสยังชอบทำตาวิบวับคอยชำเลืองมองมาอีกด้วย"

“อะไรนะ อานูบิสทำไมนะ” เทหวัตถ์ยกมือห้ามทำหน้าเหลอเมื่อได้ยินเรื่องของอานูบิส

“ชำเลืองมองอะ” พอเขาเอียงคอทำท่าฉงน ฉันจึงต้องอธิบายเพิ่ม “เหมือนพวกภาพเขียนเหมือนคนเก่าๆ อายุสองสามร้อยปีในปราสาทไง ที่ออกแบบไว้ให้คนรู้สึกว่าถูกมองอยู่ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของห้องน่ะ คนก็จะหลอนว่าถูกผีหลอกอะไรอย่างนั้นไง เนี่ยฉันรู้สึกว่าถูกอานูบิสมองตลอดเวลาที่เข้าไปในห้องอียิปต์เลย คุณเข้าใจปะ”

“เดี๋ยวนะ สรุปว่า...คุณกลัวอานูบิส” เทหวัตถ์พยายามเข้าประเด็น

“ไม่!” ฉันทำปากจู๋ ปฏิเสธเสียงแข็ง

“อ้าว ...งั้นคุณก็เข้าใจเรื่องการออกแบบ” ชายหนุ่มยังพยายามทำความเข้าใจ

“ไม่!” ฉันยืนยันคำเดิม

“เอ้า! งั้นมันยังไง (กันวะ?)” เทหวัตถ์เกาหัว

“ฉันไม่กลัว และก็ไม่อยากให้มันมองฉัน โอเคปะ” ฉันบอกเขา ก่อนร่ายยาวสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจออกมา

“ถ้าฉันไม่ถูกขัง ฉันว่ามันคงดีกว่านี้ นี่ฉันเบื่อออมเลตแล้วอะ ทำทั้งซูเฟล่ ทั้งไข่เจียวก็ไม่ออกมาฟูสวย ไข่ต้มก็ติดเปลือก แถมฉันยังทำน้ำปลามะนาวไม่อร่อยอีก แบบนี้ใครเขาจะเอา แถม...ผู้หญิงอายุระยะสุดท้ายที่จะหาสามีกลับถูกจับมาขังแบบนี้ จะหาเสื้อผ้าสวยๆ หรือหาหลัวกะใครเขาได้? ผู้ชายมือสองยังไม่มีผ่านมาเลย มีแต่ผู้ชายเคยมีฐานะอายุตั้งหลายพันปีนอนพันผ้าเป็นมัมมี่อยู่ในโลงง่ะ”

เทหวัตถ์กะพริบตาปริบๆ อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแล้วก็งับปากลง ชายหนุ่มสะบัดหัวเหมือนไล่ความมึนงงจากการโดนฉันจิกใส่ชุดใหญ่ และคงรู้สึกอีหยังวะ!

“เอางี้ เอาทีละเรื่องนะ เรื่องอานูบิส...ผมว่า...” 

“ช่างหัวอานูบิสมัน!” คำตอบไม่แยแสทำเอาคนฟังหน้าเหลอกว่าเดิม

“งั้น...เรื่องอาหาร เอาคลิปสอนทำอาหารไหม” เทหวัตถ์เริ่มต้นเจรจาประนีประนอมใหม่ “เอารายการของเจมี โอลิเวอร์ หรือเชฟกอร์ดอนดีไหม ผมก็ไม่รู้ว่าคุณทำกับข้าวไม่เป็น...ขนาดแม้กระทั่งพริกน้ำปลายังทำไม่อร่อย” 

ท้ายประโยคของเขาติดจะขำปนปลดปลง แต่ฉันไม่สน

“ไม่เอา จะเอาหนังสือสอนทำอาหารละเอียดๆ” ฉันสั่ง หน้าเชิด

“อืม...” เทหวัตถ์เอาโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกรายการ “แล้วเรื่องเสื้อผ้าเดี๋ยวผมเอาแค็ตตาล็อกมาให้ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า”

“ไม่เอาแล้ว ทำงานอยู่ในนี้ไม่มีใครมาเห็น แก้ผ้าอยู่ยังไม่มีใครว่าเลย!” ฉันเหวี่ยงวีนไม่เลิก

“อย่า!” เทหวัตถ์รีบยกมือห้าม สีหน้าตื่นตระหนกจริงจัง “แค่อันนี้ที่ผมขอ เจาะจงเลย ก-รุ-ณา-อย่า!”

ตานี่ไม่รู้จักคำว่าพูดเล่นรึไงนะ เดี๋ยวปั๊ดทำจริงซะเลยนี่!

“ส่วนเรื่อง...เอ่อ เนื้อคู่คุณน่ะ คงไม่สามารถหาให้ได้ อันนี้ต้องขอโทษด้วย ส่วน...เรื่องของคนทำความสะอาด...”

“ใช่แล้ว! แม่บ้าน...เขามาตอนไหนน่ะ ทำไมที่นี่ถึงสะอาดตลอดเวลาได้ขนาดนี้” ฉันถามอย่างสงสัยจริงจังปนกระตือรือล้นที่จะได้รู้เวลาเพื่อดักรอหาเพื่อนคุย

“เอ่อ...เวลาของเขาคงเหลื่อมกันกับของคุณ แต่ถ้าเขาอยากให้คุณเจอ เขาก็คงให้คุณเห็นเอง” เทหวัตถ์อึกอัก การใช้คำ...มันแปลกๆ ไหมนะ

“แล้วมีอะไรที่คุณต้องการอีกมั้ย” เทหวัตถ์รวบรัด

“ฉันไม่อยากถูกขัง ถึงเป็นห้องกว้างๆ ก็ไม่เอาอะ ฉันอยากไปข้างนอก อยากได้แสงแดด อยากถูกลมพัดใส่อะ” ฉันบอกน้ำเสียงงอแง ทำท่าเหมือนอยากทิ้งตัวลงไปนอนดิ้นบนพื้น

“อืม...” เทหวัตถ์ทำท่าใช้ความคิดก่อนหันหลังกลับ เดินนำไปทางห้องสมุด “ตามมา”

ฉันเดินตามเขาไปในห้องสมุด ผ่านตรอกชั้นหนังสือที่เป็นไม้แกะสลักลวดลายอลังการงดงามสูงเท่าตึกสามชั้น ไปจนสุดทางซึ่งมีบันไดวนขึ้นไปบนชั้นหนังสือ กลางโถงกว้างมีแชนเดอเลียร์เป็นรูปแผนที่ดวงดาวห้อยระย้าลงมาจากความมืดมิดเบื้องบนด้วยเส้นเอ็นที่มองไม่เห็น

ฉันไม่มีความรู้เรื่องแผนที่ดวงดาวสักเท่าไร รู้แต่มันเหมือนดวงดาวทั้งจักรวาลถูกเก็บมาห้อยระย้าอยู่ต่อหน้าแทบจะหมดทั้งกาแล็กซีแล้ว ที่อยู่ตรงหน้าในระยะเอื้อมมือถึงคือ ชิ้นส่วนของสุริยะจักรวาลที่มีดวงอาทิตย์ ดาวบริวาร และดาวอื่นๆ ลอยวนอยู่อีกหลายสิบดวง

    ในแผนที่ดวงดาวนั้น ดาวเคราะห์สีครามอยู่ถัดมาจากดวงอาทิตย์มาเป็นดวงที่สาม ประกบด้วยดาวดวงเล็กสีเงินยวงเทหวัตถ์แตะดาวสีครามที่มีดวงจันทร์นั้นแล้วหมุนมันราวกับไม่ได้ติดอยู่กับแกนใดๆ ฉันยังไม่ทันตกใจ ตู้หนังสือด้านซ้ายมือก็เคลื่อนออกเป็นประตูกลให้ผลักเข้าไปได้ 

    โว้ว! อย่างกะ แฮร์รี่ พอตเตอร์ แน่ะ 

    ฉันก้าวตามเขาเข้าไปในทางเข้าขนาดใหญ่ แอบเทียบกับหนัง แฮรี่ พอตเตอร์ ทางลับไม่ยักเล็กแคบเหมือนในหนังเนอะ

    เมื่อพ้นออกมาจากห้องสมุด ฉันก็ห่อปาก อดอุทานออกมาไม่ได้

    “สวนลอยฟ้าบาบิโลน!” ถ้ามันมีจริงมัน 'ต้อง' เป็นแบบนี้!

    เบื้องหน้าคือสวน บอกไม่ถูกว่ามันเป็นสวนอะไรดี มันมีทั้งไม้ใหญ่ ไม้เล็ก ไม้เลื้อย ไม้ดอก ไม้ผล ไม้ประดับ ไม้ทะเลทราย มอสและตะไคร่น้ำเกาะอยู่บนโขดหินในน้ำตกที่ก็แค่สูงจน...ต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่า เถาวัลย์และพืชไม้เลื้อยเกี่ยวเกาะกันแน่นหนา ดอกกล้วยไม้สารพัดชนิดแข่งกันออกดอกสะพรั่ง ลำธารใสมีปลาสารพัดสีแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางกรวดแม่น้ำหลากสีสันที่สะท้อนแสง ระลอกริ้วของสายน้ำสวยราวกับอัญมณี 

    ทางเดินแผ่นหินสีน้ำตาลแดงพาเราลัดเลาะเลี้ยวเข้าไปในป่าทึบ ถูกแล้ว ‘ป่าทึบ’ ต้นไม้ที่นี่แน่นทึบ ใบเขียวชอุ่มครึ้มครอบคลุมพื้นที่จนเหมือนเดินอยู่ในป่าดิบ ต้นไม้บางต้นสูงใหญ่จนกะความสูงไม่ถูก รู้แต่ใหญ่จนน่าจะหลายคนโอบ เสียงของแมลงนก กระรอก รวมถึงสรรพเสียงที่พึงมีในป่าทึบดังคลอไปกับเสียงลำธารรินไหล

    แม้ส่วนผสมของสวนทั้งหมดจะจัดวางปะปนกัน ทว่าเหมาะเจาะลงตัวจนหาตำหนิหรือจุดขัดสายตามิได้บนพื้นที่กว้างใหญ่ตระการตา จนฉันลืมไปแล้วว่าตัวเองอยู่บนตึก หรืออย่างน้อย...ตึกมันก็ควรมีจุดสิ้นสุด 

    แต่ที่นี่กลับไม่มี...

    ...

    เพราะมัวแต่ตื่นตะลึงกับความงดงามละลานตานั้น รัตติกัญญาจึงไม่สังเกตเห็นท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีขาวอมม่วง บางครั้งก็มีม่านหมอก บางครั้งก็แหวกตัวออก เผยห้วงอวกาศที่มีดวงดาวระยิบระยับพริบพราว อยู่ใกล้ราวจะเอื้อมหยิบได้

    “คุณออกมาที่สวนนี้ได้เวลาต้องการพักผ่อน” เทหวัตถ์บอกเธอขณะเดินนำไปยังเรือนกระจกหลังคาโค้งหลังมหึมาที่ประดับด้วยลวดลายเหล็กดัด...

    ‘โคตรสวยเลย’ หญิงสาวคิดเมื่อเดินเข้าไปในเรือนกระจกก็พบสวนที่เต็มไปด้วยไม้หายาก ดอกไม้งดงามมากมายแข่งขันกันออกดอกหลากสีสัน และกำจายกลิ่นหอมหวานอบอวล

    ถ้าไม่นับว่าโดนขัง...ไม่สิ! ต่อให้โดนขังก็เถอะ แต่แลกกับการได้หย่อนใจ ได้นั่งกินอาหารมื้อเที่ยงในสวนสวรรค์ลอยฟ้าบาบิโลนนี้ก็เกินคุ้มแล้ว!

    “เดี๋ยว...แล้วฉันต้องทำไงเวลาที่อยากออกมาที่สวน?” รัตติกัญญาตั้งคำถามเมื่อเทหวัตถ์พากลับเข้ามาอยู่ในห้องสมุด ใต้แชนเดอเลียร์แผนที่ดวงดาวมหึมานั้น

“เออ เกือบลืมไป วิธีเปิด...เฮ้ย! อย่า!” เทหวัตถ์พึมพำก่อนร้องเสียงหลงเมื่อหญิงสาวเอื้อมไปหมุนลูกโลก 

หญิงสาวคิดว่าทำแบบเดียวกันกับที่เขาทำแล้วเชียว แต่วิธีหมุนนั้นกลับไม่ได้ทำให้ผนังฝั่งที่เป็นสวนเปิดออก มันกลับเปิดผนังกลอีกด้าน ที่ดูเหมือนว่าเจ้าของบ้านมิได้อยากเปิดเผยให้รู้เห็น เทหวัตถ์ถึงได้ร้องเสียงหลงขนาดนั้น แต่ก็สายไปแล้ว

    ห้องนั้นโล่งกว้าง ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกแบบฝรั่งเศสที่สูงจากพื้นจดเพดานลิบลิ่ว แชนเดอเลียร์โบราณที่ห้อยลงมาสาดแสงจางๆ ได้ไม่ทั่วห้องที่ตกแต่งผสมผสานสไตล์ พื้นหินอ่อนดำสนิทปูด้วยพรมขนสัตว์ผืนใหญ่ (ที่ไม่กล้านึกว่ามันถลกออกมาจากหนังตัวอะไร) ที่หน้าเตาผิงก่ออิฐแบบโบราณคือ ชุดรับแขกชุดใหญ่ที่น่าจะรับรองได้ซักยี่สิบถึงสามสิบคน มีตู้และชั้นไม้สไตล์วิกตอเรียแทรกระหว่างเฟอร์นิเจอร์สไตล์เอเชียอย่างกลมกลืน 

    บนพื้นบางส่วนที่เป็นไม้มีพรมขาวฟูผืนใหญ่ปูหน้าเตียงหลังมหึมา...มันใหญ่เกินกว่าจะเรียกเตียง ที่จริงมันเหมือนเป็นแท่นโชว์ที่วางอยู่บนยกพื้นเล่นระดับซึ่งยกขึ้นสองชั้น ส่วนที่เป็นดูเหมือนเตียงนั้นกว้างยาวเกินคิงไซซ์ไปหลายเมตร ลาดด้วยฟูกนอนหนาน่าจะนุ่มนอนสบาย 

    แม้จะมีขนาดที่น่าจะนอนได้ทีละเป็นสิบคน ทว่า...บนเตียงนั้นกลับมีร่างหนึ่งนอนอยู่เพียงลำพัง

เขานอนนิ่งไม่ไหวติง...ไม่แม้จะหายใจ!

“ขอแนะนำอย่างเป็นทางการ นี่คือนายจ้างของเรา...ลูนาร์…แต่คุณไม่ต้องสนใจหรอก และเขาก็คงไม่ต้องการให้คุณสนใจอะไรเขา” เทหวัตถ์แนะนำอย่างเซ็งๆ

‘ก็แน่ละสิ...ก็เขาเล่นนอนนิ่งอย่างงั้นอะ’

“ขะ...เขา....เขาเป็น....” รัตติกัญญาถามตะกุกตะกัก ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งที่หวั่นกลัว แต่กลับยังเดินเข้าไปใกล้เขา

    “เขาไม่มีชีวิต” เทหวัตถ์อธิบายสถานะของนายจ้างให้กระจ่าง

    ‘นั่นไง!...ชัดเลย!’ หญิงสาวร้อง พร้อมกับที่คำถามเมื่อตอนสัมภาษณ์งานดังก้องเข้ามาในหัว

    ‘...เออ ว่าแต่ คุณเป็นคนกลัวผีไหม’ 

‘เปล่า! ไม่ใช่! ไม่มี! ไม่มีใครเคยถูกผีหลอกที่นี่!’ 

    ‘ผมหมายถึง...คนบางคน...อาจหวาดผวา คิดไปเอง กลัวไปเอง เหมือนกลัวความมืด หรือไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนคนเดียวอะไรอย่างนั้น ไม่ได้พูดถึงว่าโดนผีหลอกแบบจะจะแบบ...ออกมาให้เห็นตัวแบบนั้น หรือไม่งั้นก็พวกที่กลัวเวลาเห็นศพ หรือกลัวถ้าต้องอยู่ในห้องที่เคยมีคนตาย หรืออะไรเทือกนั้นน่ะ’ 

    ไม่น่าเลย...ตอนนั้นเธอไม่น่าไปบอกเขาเลยว่าไม่กลัว

อา...มิน่าล่ะ ตอนที่ถามคำนั้นออกไป เขาถึงตอบอย่างมั่นอกมั่นใจว่าไม่มีทาง...

‘...ถ้าเจ้านายคุณไม่ชอบฉันล่ะ’ 

‘ถ้าหาก...ผมรับรองได้ว่านายจ้างของเราจะไม่เป็นปัญหาใดๆ กับคุณ...คุณจะยอมรับงานนี้ไหม

    ทำไมจะไม่มีปัญหาล่ะ!

    เขา-ตาย-แล้ว-ไง-ล่ะ-โว้ย!!!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น