5

5

05


คนเราสามารถทำอะไรร่วมกับคนตายได้บ้าง

บางทีฉันก็ชงกาแฟสองแก้วกับอาหารว่างเบาๆ และหนังสือพิมพ์ (ที่ไม่รู้ว่าตรงวันเวลาไหม) ไปนั่งกินอยู่ในห้องนายจ้าง อ่านข่าวเสียงดังทำตัวเหมือนรายการคุยข่าวโดยมีนายจ้าง (ซึ่งเปลี่ยนช่องหรือลุกหนีไปไหนไม่ได้) เป็นผู้ฟังที่ดี (แหงละถ้าเขาเกิดเถียงหรือโต้แย้งอะไรออกมาได้ คิดหรือว่าฉันจะยังยอมอยู่)

บางทีก็หนีบเอาหนังสือที่น่าสนใจจากห้องสมุดไปอ่านดังๆ ให้เขาได้ยินด้วย เคราะห์ดีที่ห้องนั้นกว้างมาก กิจกรรมของแต่ละคนจึงไม่ก้าวก่ายกัน แค่หนวกหูเพราะฉันแหกปากเท่านั้น แต่คนตายคงไม่เดือดร้อนเรื่องนี้ นอกเหนือจากนี้ฉันก็พยายามไม่ไปรบกวนเขามาก เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ก็ได้ เพราะห้องมันกว้างมากไง ทำให้สามารถรักษาระยะห่างไว้ได้ดีเยี่ยม (เกินยี่สิบเมตรเป็นอย่างต่ำ)

ทีแรกฉันก็กลัวเรื่องสุขอนามัยนิดหน่อยนะ เพราะเขาเป็นศพไง ร่างกายที่ย่อยสลายของสิ่งมีชีวิตนั้นเต็มไปด้วยเชื้อโรค เคยมีคนวิเคราะห์ว่า คำสาปสุสานฟาโรห์ที่ทำให้พวกผู้เปิดสุสานพากันตายด้วยโรคประหลาดๆ ก็เพราะการรับเชื้อโรคที่เพาะเชื้ออยู่ในสุสานเข้าไปเนี่ยแหละ มันหมักบ่มมาจากศพอายุหลายพันปีในพื้นที่ปิดทึบ ทีนี้พอไปเปิดออก ทั้งเชื้อโรค เชื้อรา และอีกสารพัดก็หลุดออกมา บันเทิงกันสิทีนี้ แถมพวกโง่นี่ไม่รู้จักสวมมาสก์ป้องกันอีก ไม่ตายก็ปอดพิการละคุณเอ๊ย!

ซึ่งร่างนายจ้างของฉันก็นอนมานานจนน่าจะหมักบ่มได้ที่อยู่

แต่...ไม่ยักมีสัญญาณที่บ่งบอกความน่ากลัวอะไรเทือกนั้นเลย 

ห้องของเขาไม่มีกลิ่นเหม็น ทั้งไม่ได้มีกลิ่นฉุนจัดของการพยายามกลบกลิ่นอันไม่พึงประสงค์เหมือนที่งานศพใช้ดอกไม้ เครื่องหอม ธูป กำยาน ห้องนี้จัดว่าสบายสุดด้วยซ้ำ โล่งโปร่ง ไม่มีกลิ่นอับ แถมเหมือนมีกลิ่นหอมอ่อนๆ บางเบาที่ไม่ชวนให้อึดอัดคลื่นเหียน

หลังๆ เมื่อมาขอใช้สถานที่เขาบ่อยๆ ฉันเลยชงกาแฟเผื่อเขาซะเลย

มันเริ่มจากที่ฉันคำนวณปริมาณกาแฟพลาด ล้นออกมาเป็นสองแก้ว ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฉันเสียดายเลยหิ้วไปด้วย กะจะกินมันทั้งสองถ้วยให้ตาค้างไปเลย

แต่...หลังจากที่กินข้าวคนเดียว ทำงานคนเดียว เดินไปทั่วเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว นอนคนเดียว เข้าห้องน้ำคนเดียว (ก็ต้องคนเดียวสิวะ!) มาตลอดสามสัปดาห์ คุณรู้ไหม...ถ้วยกาแฟสองแก้วมันให้ความรู้สึกโคตรดีเลย! บอกไม่ถูก...แต่มันดันตอบโจทย์ความเหงาที่ต้องถูกขังอยู่คนเดียวได้ดีฉิบเป๋งเลย

พอมีกาแฟอีกแก้ว วางตรงที่นั่งฝั่งตรงข้ามอยู่ๆ ฉันดันหายว้าเหว่ขึ้นมาซะงั้น!

ความคิดบางอย่างปิ๊งขึ้นในหัวเลย 

มันคล้ายๆ กับที่พวกเพื่อนคนจีนเขาไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษกันไง ตั้งโต๊ะใหญ่ๆ วางหมูเห็ดเป็ดไก่ลงไป จากนั้นก็จุดธูปเชิญวิญญาณบรรพบุรุษมากิน หรือที่คนไทยตักบาตรทำบุญให้คนตาย และอีกหลายวัฒนธรรมที่นำของกินของใช้มาให้คนตาย ซึ่งคนตายไม่ได้ใช้แน่ๆ และคนเห็นต่างก็ว่างมงายกันไป

แต่...มันโคตรตอบโจทย์ทางจิตวิทยาเลยนะรู้ไหม

มันเป็นพิธีกรรมสำหรับคนที่ยังอยู่ล้วนๆ เลย

คนที่สูญเสียใช่ว่าจะมีญาติจอมเผือกเยอะแยะยั้วเยี้ยคอยมุงดูอยู่ตลอดเวลาที่ไหนกัน

บางคนก็อยู่คนเดียวปะล่ะ มันเหงาใช่ปะ คนเคยอยู่ เคยรัก เคยทำอะไรด้วยกัน เคยผูกพัน ญาติที่เคยสนิทหายวับไป เผาไปแล้ว ฝังไปแล้ว ลอยอังคารไปแล้ว ไม่เหลือสิ่งแทนตัวสักสิ่ง นอกจากความเคยผูกพันที่นานวันมันก็คงจางหายไป

ดังนั้นมนุษย์จึงหาวิธีที่จะดำรงความผูกพันนั้นไว้ โดยพิธีกรรมต่างๆ ทำให้เหมือนคนที่เรารักยังหวนกลับมาได้ในรูปแบบอื่นที่เราไม่จำเป็นต้องรู้เห็น...บางทีไม่จำเป็นต้องเชื่อด้วยซ้ำ!

แต่มันจะช่วยเชื่อมโยงความรู้สึกของเราไว้ไม่ให้แหลกสลายไปด้วยความโดดเดี่ยวสูญเสีย

ฉันอธิบายไม่ถูกว่ามันเชื่อมโยงยังไง แต่การวางกาแฟอีกแก้วไว้ที่อีกฟากของโต๊ะมันทำลายความเหงาได้เป็นปลิดทิ้งเลย...วันไหนเหงามากๆ ฉันชงวางทีห้าหกแก้วเลย เอาสิ!

มันจะน่ากลัวหน่อยๆ มั้ย

ก็ไม่นะ...

ฉันไม่รู้จักเขาไง สำหรับฉันร่างนั้นก็คือสิ่งเคยเป็นมนุษย์ แต่ไม่รู้จัก ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความผูกพัน ฉันใช้เขาเป็นเหมือนตุ๊กตาที่เด็กๆ เล่นคลายเหงามากกว่า (แต่ขอไม่หิ้วเขาขึ้นมานั่งโต๊ะเป็นเพื่อนนะ อันนั้นมันก็หลอนไปหน่อย ออกแนวโรคจิตไปนิด) 

แม้จะดูสยดสยองหน่อย...แต่ร่างของนายจ้างนั้นคือสิ่งใกล้เคียง 'สิ่งมีชีวิต' ที่สุดที่ฉันจะหามาบำบัดความเหงาของตัวเองได้แล้ว (ฉันขอไม่นับมัมมี่ฟาโรห์ที่เคยมีอายุหลายพันปีก่อนนะ...มันนานไป)


"คุณเข้ามาทำอะไรที่นี่!?" เทหวัตถ์ทำน้ำเสียงตกใจเมื่อเปิดห้องเข้ามาแล้วเจอฉันนั่งดื่มกาแฟอยู่ในห้องนายจ้าง ตรงชุดโซฟาใกล้เตาผิง มีหนังสือเป็นตั้งวางอยู่ใกล้ๆ ตัว

ฉันชูโทรศัพท์มือถือขึ้นให้เขาดูการค้นพบ

"ฉันตามหาสัญญาณโทรศัพท์มาจนทั่วแล้ว ที่นี่เป็นที่เดียวเท่านั้นที่มีสัญญาณ"

ก็ตลกดี...ทำยังกะคนตายต้องใช้สัญญาณโทรศัพท์งั้นแหละ 

"แล้วก็มีโทรทัศน์ด้วย" ฉันชูรีโมตในมืออย่างผู้ชนะก่อนรีบเปลี่ยนจากช่องกีฬาซึ่งกำลังมีฟุตบอลเตะอยู่ไปอย่างรวดเร็ว 

เทหวัตถ์ทำหน้าปั้นยากขณะดูฉันเปลี่ยนช่องทีวีอย่างเมามัน แหม...ก็ไม่ได้ดู ไม่ได้เปลี่ยนช่องมาตั้งสามสัปดาห์

ห้องนี้เป็นห้องเดียวที่มีทีวี ผนังด้านหนึ่งนั้นมีทีวีเป็นสิบๆ เครื่องเรียงกันเป็นพรืด แต่ละเครื่องก็รับสัญญาณแต่ละสถานีไม่ซ้ำกัน แถมยังมีปุ่มที่เปลี่ยนให้มันกลายเป็นมอนิเตอร์สำหรับกล้องวงจรปิดได้อีกด้วยนะ 

พิลึกชะมัด เอาห้องมอนิเตอร์ที่ดูกล้องวงจรปิดมาอยู่ในห้องที่เจ้าของห้องลุกขึ้นมาดูไม่ได้เนี่ยนะ

"ทำไมคุณมีกาแฟสองแก้ว?"

ฉันเงยหน้า เห็นเขาจ้องไปที่กาแฟอีกแก้วบนโต๊ะ ก่อนชี้ไปที่เตียงใหญ่สุดมุมห้อง

"ฉันชงมาเผื่อเขาไง" 

"คุณ...จะบอกว่าเขาลุกขึ้นมากินกาแฟกับคุณเนี่ยนะ" เทหวัตถ์ถามทำท่าเหมือนถูกผีหลอก

"จะบ้าเรอะ! ขืนเขาลุกขึ้นมากินกาแฟกับฉันได้นี่ ฉันคงไม่อยู่ที่นี่แล้วละ" ฉันแทบตะโกนตอบกลับไป

"เขาลุกมากินไม่ได้ แต่คุณก็ยังอุตส่าห์ชงมาเผื่อ?" ชายหนุ่มทำหน้ากลุ้มใจ

"ใจดีใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องขอบใจฉันหรอก" ฉันไม่สนใจหรอกถึงสายตาแปลกๆ ที่เขามองมา หรือสีหน้าอิดหนาระอาใจ แหม...รู้จักกันมาถึงขนาดนี้ น่าจะชินได้แล้วนะ

"อุ๊ย! ธาราทักมาละ!" ฉันอุทานอย่างตื่นเต้น สัญญาณโทรศัพท์ที่นี่ดีพอจะรับสัญญาณเฟซบุ๊กไลฟ์จากเพื่อนในอีกซีกโลกได้

"โห...ไลฟ์ที่ทะเลด้วย สวยอะ ฉันไลฟ์มั่งได้มะ" ฉันหันไปปรึกษา

เทหวัตถ์ไม่ขำ เขาชี้หน้าสั่งเสียงเหี้ยม

"ห้าม! เช็กอิน ปักหมุด แชร์โลเกชัน แท็ก หรืออะไรก็ตามแต่ ที่จะเป็นการเปิดเผยสถานที่นี้ เด็ดขาด!"

"โห่ย...ไม่มีอารมณ์ขันเลอ" ฉันทำเสียงบู่ใส่

จริงๆ แล้วฉันเคยแอบเปิดโลเกชันนะ...อากู๋หมุนติ้วๆ ติ้วๆ ก่อนบอกว่าหาโลเกชันที่นี่ไม่เจอ

เออ...จ้ะ ลืมไปว่าสถานที่นี้ไม่มีอยู่จริง!


ฉันฝันเห็นคนตาย

อานูบิสยืนตระหง่านอยู่เหนือเตียงฉัน เตียงที่ดูกระจ้อยร่อยไปเลยเมื่อเทียบกับร่างที่สูงไม่ต่ำกว่าสิบห้าเมตรนั่น มันมองลงมาที่ฉันที่นอนอยู่บนเตียงปูผ้าซาตินสีดำด้วยสายตาหยามหยัน

ถ้ามันแสดงสีหน้าได้ ฉันว่ามันคงมองบนทำปากเป็นรูปสระอิใส่ฉันแหงๆ แต่ติดตรงมันเป็นรูปสลักที่มีศีรษะเป็นสุนัขสีดำ  เอ...อานูบิสนับเป็นคนได้ไหมนะ? มันเป็นเทพ...เป็นรูปปั้น ดังนั้นจะนับว่าฉันฝันเห็นว่ามันเป็นคนตายไม่ได้สินะ

...แต่นายจ้างฉันที่กำลังยืนคุยอยู่กับอานูบิสนั่น...คนแน่ๆ 

ไม่สิ! เขาไม่ใช่คนนี่หว่า!!!

ฉันสะดุ้งตื่น ผวาเหลียวมองไปรอบๆ กายอย่างหวั่นระแวง ห้องกว้างมืดทึมโคมไฟที่ห้อยลงจากเพดานไม่สว่างพอจะให้ความรู้สึกปลอดภัย ยังดีที่ฉันอยู่เพียงลำพัง 

สมมุติว่าถ้าตื่นมาแล้วภาพในฝันยังไม่ยอมหายไป ฉันคงต้องขอใช้สิทธิ์โกยหน้าตั้ง ก่อนเรียกอาจารย์จิตสัมผัสสักคนมาพิสูจน์แหงๆ

...

"ความฝันเป็นสิ่งสะท้อนจิตใต้สำนึก หรือสิ่งที่เคยชินติดตา ผมว่าคุณหยุดไปที่ห้องอียิปต์สักพักก็น่าจะดีขึ้น" เทหวัตถ์ปลอบใจหลังจากฉันเล่าเรื่องความฝันให้เขาฟัง ชายหนุ่มเข้ามาตอนสายพร้อมภาพเขียนยี่สิบชิ้นที่ประมูลมาจากที่ไหนสักแห่ง มันมีภาพของมอแน อองรี มาติส ปิซาโร เรมบรันต์ และอีกหลายคนที่ฉันไม่คุ้น แต่ฝีแปรงสวย งานดี

"ฉันยอมรับ...ว่าฉันค่อนข้างติดตากับอานูบิสที่คอยจ้องมองฉันเวลาที่ไปห้องอียิปต์” ฉันบอกเทหวัตถ์

“แต่อีตาเจ้านายคุณเนี่ย...ถึงฉันจะไปกินกาแฟกับเล่นเน็ตที่ห้องเขาบ่อยๆ แต่ฉันไม่ได้เคยไปวุ่นวายกับเขาจนภาพติดตาขนาดเก็บมาฝันได้หรอกนะ เขามาทำอะไรในฝันฉันกันแน่"

"เออ...นั่นสิ แล้วพวกเขามาทำอะไรในความฝันคุณล่ะ" เทหวัตถ์พลอยสงสัยไปด้วย

"พวกเขา...คุยกัน" ฉันขมวดคิ้วนิ่วหน้า คิดถึงเหตุการณ์ในฝันที่เหมือนไม่ปะติดปะต่อ

"อืม...มัน...โคตรไม่เจาะจงเลย" เทหวัตถ์ยิ้มปลงๆ 

"พวกเขาคุยกันเรื่องศิลปะเปอร์เซียกับเสาโอเบลิสก์" ฉันขยายความอีกนิด

"อืมมม คุณ..." เทหวัตถ์มองฉันสีหน้าแปลกๆ "อยากคุยกับจิตแพทย์มั้ย"

"ฉัน-ไม่-ได้-บ้า (โว้ย)" ฉันแหกปากใส่เขา หน้าดำหน้าแดง 

"ใจเย็นๆ สิ ผมก็ไม่ได้ว่าคุณบ้า แต่คุณคิดดูสิ...คุณฝันเห็นคนที่ไม่มีชีวิตอยู่ แล้วยังคุยกับรูปปั้นอานูบิสเรื่องศิลปะเปอร์เซียกับเรื่องเสาหินของอียิปต์เนี่ยนะ" เขาพยายามชี้นำ

"ใช่...ศิลปะมันคนละสมัยกัน ซุ้มประตูของเปอร์เซียมันไม่ใช่ยุคเดียวกับเสาหินอียิปต์เลย...ไม่ใช่เว้ย! นี่มันความฝันของฉันนะ ชาวอินคาจะคุยเรื่องพีระมิดขั้นบันไดกับพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ก็ยังได้เลย ฟังนะ ฉันไม่ได้บ้า! ฉันก็แค่..." แค่...จวนๆ จะอยู่ จวนๆ จะไป (โรงพยาบาลบ้า) แค่นั้นเอ๊ง

"งั้นเอางี้...คุณมีเพื่อนไหม" เทหวัตถ์เริ่มหาวิธี 

"หึ" ฉันส่ายหัว

"โอเค...คุณไม่มีเพื่อน...คนบ้าอะไรวะไม่มีเพื่อนน่ะ!" เทหวัตถ์ตะโกนลั่นอย่างเหลืออด

"ก็แล้วมันความผิดของฉันที่ไหนเล่าที่จะไม่มีเพื่อนน่ะ เพื่อนสนิทฉันตอนนี้ก็...โน่น...เข้าป่าไปตามหาขุดค้นซากโบราณคดีอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ที่มันไม่มีสัญญาณโทรศัพท์น่ะ วิธีเร็วสุดที่จะติดต่อได้คือโทรเลข"

"เดี๋ยวๆ นั่นมันเลิกใช้มาหลายปีแล้วมั้ยเจ๊" เทหวัตถ์รีบเบรก

"ฉันยกตัวอย่างย่ะ เพราะที่ไซด์งานมันไม่มีอะไรเลย ทั้งสัญญาณโทรศัพท์ และที่อยู่ให้ส่งจดหมาย ส่วนเพื่อนสนิทอีกสองคนก็ไปต่างประเทศ คนนึงไปแอมะซอน ป่าลึก ไร้สัญญาณเหมือนกัน อีกคนไปโบราณคดีใต้น้ำ ดำน้ำทั้งวัน นานๆ จะว่างมาอัปเฟซ มาไลฟ์สักที จะเหลือใครให้ฉันคุยไม่ทราบ" ฉันร่ายรายละเอียดเพื่อนที่มีก็เหมือนไม่มีให้เขาฟัง

"แล้วอีกอย่าง...คุณจะให้ฉันไปคุยว่าไง 'เฮ้ยยย นี่! แกรๆ ที่ทำงานฉันนะเว้ย มีอานูบิสสูงสิบห้าเมตร กับโลงศพมัมมี่สิบสี่โลงแหละ แล้วอานูบิสนะ...แม่งชอบมองจิกๆ ใส่ฉันแหละแกรรร' งี้เหรอ" ฉันทำเสียงเมาท์มอยให้เขาฟังเป็นตัวอย่าง

"เอิ่ม..." เทหวัตถ์เกาหัว ส่ายหน้าไปมาพร้อมทอดถอนใจ ท่าทางเขาจะถอดใจในการคุยกับฉันแล้ว

"เออ...เพลงของ เอลลา ฟิตซ์เชอรัลด์ เพราะดีนะ" ฉันเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้สึกว่าคุยเท่าไรก็ไม่ไปถึงไหน

"หือ?" เขาทำท่างุนงง จนฉันต้องเตือนความจำ

"แผ่นเสียงที่คุณเลือกเอามาวางไว้ให้วันนี้ไง"

ที่ห้องแผ่นเสียงในห้องสมุดซึ่งอยู่ในส่วนที่ฉันต้องเดินผ่านทุกวัน มีแผ่นเสียงถูกเลือกมาวางไว้ให้ บางวันก็เป็น หลุยส์ อาร์มสตรอง เอลลา ฟิตซ์เชอรัลด์ หรือนักร้องแจซเพราะๆ คนอื่นซึ่งฉันคิดว่าเทหวัตถ์เป็นคนเลือกเอาไว้ให้ และฉันก็เล่นมันอย่างเต็มใจเพราะเพลงพวกนั้นเพราะมาก

แต่ฉันลืมนึกไปว่าบางครั้งแผ่นเสียงมันก็มาวางไว้หลังจากที่เทหวัตถ์กลับไปแล้ว และก่อนที่เขาจะมาในวันรุ่งขึ้น...ใครรรร!!!

เทหวัตถ์ทำหน้าแปลกๆ แล้วพยักหน้าพร้อมถอนใจ ไม่รู้เป็นไงนะ เวลาคุยกับฉันเขาชอบทำหน้าเหนื่อยๆ อย่างงี้เรื่อย

แต่ที่หล่อนไม่รู้คือ...เขาเริ่มมาเป็นหลังจากที่ได้มารู้จักหล่อนนี่แหละ!

คำว่า โอเบลิสก์ (Obelisk) มีรากศัพท์จากภาษากรีกคือคำว่า Obeliskos แปลว่า ตะปู เหล็กแหลม เข็ม หรือเสาปลายแหลม เสาสูงโอเบลิสก์เป็นทรงสี่เหลี่ยมมีปลายยอดเป็นรูปพีระมิดสอบเข้าหากันเหมือนเข็มขนาดยักษ์ ตัวเสาจารึกด้วยอักษรไฮโรกลิฟจารึกข้อความต่างๆ ของฟาโรห์เจ้าของเสาไว้ มักสร้างเป็นคู่ที่หน้าวิหารหรือสถานที่สำคัญของอียิปต์โบราณ

ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงหนังฮอลลีวูดที่มีฉากสถานที่สำคัญในสหรัฐอเมริกา เวลาโปรยแบ็กกราวนด์ว่าอยู่ที่ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มักมีอนุสาวรีย์หนึ่งที่เป็นเสาต้นใหญ่ๆ สูงปรี๊ด อันนั้นแหละคือ อนุสาวรีย์วอชิงตัน เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่ จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา โดยเอาลักษณะมาจากแท่งเสาโอเบลิสก์ แหม่...โคตรครีเอตและมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองชะมัดเลยเนอะ (?)

    เจ้าเสาโอเบลิสก์นี่ก็เป็นอีกไอเท็มยอดฮิตหนึ่งของอียิปต์ที่มักถูกเอาออกไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมาตั้งแต่สมัยโรมันจนถึงปัจจุบัน เสาจารึกที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์พวกนี้กระจัดกระจายกันไปอยู่ในประเทศต่างๆ ทั้งอิตาลี อังกฤษ ฝรั่งเศส โปแลนด์ อิสราเอล ตุรกี และสหรัฐอเมริกา

และอีกต้นหนึ่งก็มาอยู่ตรงหน้าฉันนี่ไง!

ฉันแหงนคอมองตาค้าง อ้าปากค้าง เหวอสุดใจเมื่อยืนมองเสาหินอียิปต์ในห้องอียิปต์

แหงละ เสาของอียิปต์มันก็ต้องอยู่ในห้องอียิปต์น่ะถูกแล้วไง...

ผิด! 

ผิดตรงไหนน่ะเหรอ? ผิดตรงที่มันไม่เคยมีอีเสานี้อยู่ในห้องนี้มาก่อนยังไงละคะคู้นนน!

เมื่อวานนี้มันยังไม่มีเลย

จู่ๆ เสาหินสูงเป็นสิบๆ เมตรหนักเป็นร้อยๆ ตันจะผุดขึ้นมาในห้องพิพิธภัณฑ์ที่ปิดตายในชั่วข้ามคืนได้ไง...ต่อให้มันเป็นของจำลองเลียนแบบก็เหอะ ไม่มีทางที่จะขนย้ายเข้ามาในสถานที่นี้ได้โดยฉันไม่รู้ไม่เห็นเด็ดขาด อย่างน้อยด้วยน้ำหนักของมันก็ต้องสะเทือนเลื่อนลั่น พื้นสะเทือนเพดานถล่มกันบ้างแหละ

เดี๋ยวสิ...พูดถึงพื้นสะเทือนแล้ว เหมือนมันไปสะกิดต่อมความทรงจำบางอย่างของฉันนิดหนึ่งนะ

ฝันเมื่อคืนนี้ไง ที่ฉันบอกเทหวัตถ์ว่าฉันฝันเห็นอานูบิสกับลูนาร์ เจ้านาย (ที่ตายไปแล้ว) ของฉันกำลังคุยกันเรื่องเสาหินโอเบลิสก์น่ะ ที่จริงแล้วมันมีเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นหน่อยหนึ่ง เหตุการณ์ที่ฉันก็เพิ่งนึกออก...

ฉันจำเหตุการณ์ได้รางๆ ไม่แน่ใจว่าคือฝันหรือความจริง แต่ที่มั่นใจคือเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น พื้นสะเทือน แผ่นดินไหวเขย่าเตียงจนฉันผวา กระโจนลงจากเตียงวิ่งไปที่ห้องโถงทั้งชุดนอน และที่นั่นเองที่ฉันเห็นทุกอย่าง ทั้งอานูบิส ทั้งเสาโอเบลิสก์ ทั้งลูนาร์ นายจ้าง (ที่ไม่น่าจะมีชีวิต) ของฉันรวมตัวกันอยู่ที่นั่น เหตุการณ์น่าจะยังสดๆ ร้อนๆ เพราะฝุ่นยังฟุ้งตลบ เศษหินยังร่วงกราวอยู่เลย ฝุ่นทรายร้อนๆ สาดใส่หน้าฉันที่พรวดพราดเข้ามา ชัดเจนและเหมือนจริงเกินกว่าความฝัน 

ฉันสำลักฝุ่นขณะห้องโถงกว้างถูกคลุมบางๆ ด้วยฝุ่นที่ดูเหมือนอิมพอร์ตมาสดๆ ร้อนๆ จากอียิปต์ ต้นกำเนิดเสาหินเจ้าปัญหา

อานูบิสและลูนาร์ เจ้านายของฉัน (ที่ตายไปแล้ว) พูดกันถึงเสาโอเบลิสก์และซุ้มประตูของพระราชวังโบราณของเปอร์เซีย (โชคดีที่ยังไม่มีซุ้มประตูเปอร์เซียมากองอยู่ในห้องโถงด้วย)

ทั้งคู่หันมองมาฉันซึ่งพรวดพราดเข้ามากลางวงด้วยร่างเล็กจ้อย เจ้านายฉันที่สูงเกินเมตรแปดสิบ แต่ไม่รู้ทำไมเขาดูสูงพอๆ กันกับอานูบิสเลย ยิ้มทักทายฉันอย่างเป็นกันเองสุดๆ

‘ราตรีสวัสดิ์ ขอโทษที่ทำให้ตื่นกลางดึกนะ’

แล้วฉันก็ดับไป ฉันฝัน...ฉันคิดว่าฉันฝัน...แต่นี่มันคืออะไรรรรร (วะ!?)

พอเช้ามาก็เหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลย ห้องโถงที่ฝุ่นตลบเมื่อคืนกลับคืนสู่สภาพไม่มีฝุ่นแม้สักเม็ดกระทั่งในพรมขนสัตว์ สิ่งยืนยันเดียวคือ เสาหินหนักร้อยกว่าตันที่อยู่ตรงหน้าฉันนี่

ฉันหันหลังกลับ พยายามไม่สบตากับอานูบิส ตอนที่เดินออกจากห้องอียิปต์...อุปาทาน...หรือจริงก็ไม่รู้ที่ยังรู้สึกว่ามันหันหน้ามามอง มีเสียงหินเคลื่อนตามดังครืด...!!

ฉันทำไงน่ะเหรอ...

วิ่งสิ! จะอยู่รอให้มันชวนคุยหรือไง!!

ฉันไม่หันกลับไปมองหรอกนะ!

ตราบใดที่ยังไม่เห็น...ว่าเกิดอะไรขึ้นและยังยืนยันอยู่ว่าเรื่องที่เกิดเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน ฉันก็ยังบอกตัวเองได้ว่า อาจเพราะอยู่ท่ามกลางงานศิลปะมากมายที่อายุหลายร้อยถึงหลายพันปีโดยไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน และไม่ได้พบเจอมนุษย์คนไหน ไม่มีใครให้คุย งานที่ทำอยู่ทุกวี่วันจึงตามมาหลอกหลอน จนคิดไปว่าเสาหินมันงอกออกมาได้ในชั่วข้ามคืน

ใช่แน่ๆ มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ มันต้องแบบนั้นแหละ

มันต้องเป็นแบบนั้นสิ

ไม่งั้นจะอธิบายที่มาของเสาหินนี้ยังไง!!!


เทหวัตถ์รวบเครื่องเล่นแผ่นเสียงและบรรดาแผ่นเสียงในคอลเล็กชันทั้งหมดที่มีใส่กล่องใบใหญ่สามใบ ทั้งขนาดและน้ำหนัก ชายหนุ่มร่างผอมบางอย่างเขาไม่น่าจะถือไหว แต่ชายหนุ่มก็หิ้วมันได้สบายๆ ด้วยมือเดียวด้วยซ้ำ อีกมือใช้เปิดประตูห้องที่เป็นที่อยู่ของ 'เจ้านาย' ก่อนเดินปึงปังเข้าไปในห้องลับที่มีร่างกายของผู้เป็นเจ้าของบ้านนอนนิ่งอยู่เพียงลำพัง 

ชายหนุ่มกระแทกกล่องที่ถือมาลงบนโต๊ะอย่างฉุนเฉียว

    "ถ้ายังอยากให้ยายนั่นอยู่ต่อ นายต้องเลิก...แสดงตัวให้ยายวุ่นวายนั่นสังเกตเห็นสักที"

    ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาก่อนหิ้วไอ้กล่องเจ้าปัญหาไปทางตู้แบบบิวต์-อินที่ออกแบบเป็นผนังเรียบๆ เขาเปิดมันออก แล้วยัดกล่องเข้าไปเก็บไว้ภายในนั้นราวจะปิดตาย ไม่ให้สิ่งของเหล่านั้นหลุดออกมาสร้างความลำบากใจให้เขาได้อีก

    "แค่ลำพังต้องตอบปัญหาบ้าๆ บอๆ ของยายนั่นฉันก็จะประสาทเสียอยู่แล้ว" เทหวัตถ์บ่นอยู่คนเดียว แต่ในความเงียบเหมือนมีเสียงหัวเราะแผ่วเบาตอบกลับมา ซึ่งยั่วให้เขาโมโหอีกรอบ

    "แล้วยายนั่นน่ะ ถึงจะงี่เง่า แต่ไม่ได้โง่เลยนะ ช่างสังเกตด้วย บางทีนายคงต้องเลือกระหว่างของสะสมของนายกับยายนั่นแล้วละ" 

    เขาเดินปึงปังไปที่เตียงใหญ่ก่อนพบว่าตัวเองกำลังคุยอยู่กับความว่างเปล่า บนเตียงกว้างนั้นไม่มีร่างไร้ชีวิตของผู้เป็นเจ้าของสถานที่นอนอยู่อย่างเคย มีเพียงผ้าห่มที่เลิกขึ้นเหมือนเจ้าของเตียงเพิ่งรู้สึกตัวตื่นและรีบร้อนลุกไป 

    ชายหนุ่มไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจ เขากวาดตามองหาจนพบว่าหน้าต่างแบบฝรั่งเศสที่ยาวจดพื้นบานหนึ่งถูกเปิดทิ้งไว้ สายลมราตรีพัดแผ่วเข้ามาพาให้ม่านกรองแสงบางๆ พลิ้วไหว

    "อย่าหนีสิเฮ้ย! กลับมาคุยกันก่อน!" เทหวัตถ์ตะโกนบอกพลางก้าวยาวๆ ไปที่บานหน้าต่างซึ่งเปิดออกสู่ความเวิ้งว้าง มองลงไปก็คือผนังตึกที่ไม่มีระเบียงหรือขอบกันสาดให้ปีนป่าย หรือคิดจินตนาการได้เลยว่าผู้ที่เปิดออกไปหายไปทางใด มีเพียงดวงจันทร์เสี้ยวลอยโดดเดี่ยวอยู่เหนือฟากฟ้าราตรี

    เทหวัตถ์สบถอย่างฉุนเฉียวให้ความว่างเปล่านั้น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น