6

6

06


ในที่สุดสิ่งที่ฉันคิดไว้ก็เป็นความจริง

เปล่า...ไม่ใช่เงินในบัญชีที่พุ่งพรวดๆ เหมือนกับทำงานอย่างหนักมาสักยี่สิบสามสิบปีแล้วนั่นหรอก 

ไม่ได้หมายถึงงานที่สุดแสนสบายเหมือนฝัน ที่ได้มาอยู่ท่ามกลางผลงานมาสเตอร์พีซเป็นพันๆ เป็นหมื่นชิ้นนี้นะ

แล้วก็ไม่ได้หมายถึง ที่พักหรูหรากลางตึกสูงกลางเมืองที่ราคาที่ดินตารางวาละเป็นล้านนี่ด้วย...

บอกแล้วไงว่าที่นี่กว้างมากและซับซ้อนมาก มีห้องมากมายทะลุกันไปมาเหมือนเขาวงกต...ทั้งๆ ที่เป็นใจกลางเมือง ดูภายนอกก็เป็นตึกสำนักงาไม่ใหญ่มาก แต่ทำไมมันถึงกว้างได้กว้างเอาได้ขนาดนี้นะ รัตติกัญญาอยากเกาหัวเหลือเกิน ความกว้างของที่นี่มันทำให้เหตุการณ์เป็นไปอย่างที่คิดแหละ...

ฉันหลงทาง!

เออ! ถูกแล้ว พูดอย่างไม่อายเลยว่าหลงทางในที่ทำงานตัวเอง!

OMG!

ขุ่นพระขุ่นเจ้าช่วยลูกด้วยเหอะ!

แบร์ กริลส์ ช่วยด้วยยยย!!!

ฉันเรียกหานักผจญภัยชาวอังกฤษของรายการ Man vs. Wild อยู่ในใจ ก็...เพราะอีตาเทหวัตถ์นั่นแหละ ที่บอกให้ฉันออกห่างจากห้องอียิปต์สักพัก เผื่อว่าอานูบิสจะได้เลิกตามหลอกหลอนฉันในฝัน

ฉันก็ลองดูนะ ลองไปทางห้องฝั่งตรงข้ามดู ผ่านห้องที่รวบรวมอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ทะลุไปห้องกรีก-โรมัน แล้วก็ผ่านห้องที่มีงานภาพเขียนของแวนโก๊ะ กับงานของ เอ็ดเวิร์ด มุนค์ เจ้าของผลงานภาพ The Scream เป็นภาพที่มีมวลสารของอะไรสักอย่างคล้ายๆ คนกำลังยืนอยู่บนฉากที่คล้ายสะพาน มีฉากหลังเบลอๆ ย้วยๆ หลอนๆ สิ่งคล้ายคนบนสะพานยกมือทั้งสองขึ้นประกบสองแก้ม อ้าปากคล้ายกำลังกรีดร้องอย่างสุดหลอน เป็นอีกหนึ่งภาพคลาสสิกที่ถูกนำไปเล่นในสื่อต่างๆ ล้อเลียนกันอย่างสนุกสนาน จนเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความน่ากลัว สยดสยองปนติดตลกอย่างแยกกันไม่ออก

ห้องติดๆ กันเป็นห้องภาพเขียนของโกยา จากนั้นฉันก็หลงเข้าไปในห้องของ โยฮัน เฟอร์เมร์ มัวยืนตะลึงกับภาพ Girl with a Pearl Earring ของศิลปินยุคบารอค (ศิลปะที่รุ่งเรืองในคริสต์ศตวรรษ์ที่สิบเจ็ดถึงสิบแปด) ผลงานจิตรกรรมที่ได้รับสมญานามว่า 'โมนาลิซาแห่งยุโรปเหนือ' เป็นภาพครึ่งตัวหญิงสาวผู้สวมต่างหูมุก สวมผ้าโพกศีรษะสีน้ำเงินที่ทิ้งชายผ้าสีเหลืองยาวลงมาเบื้องหลัง เธอหันมองข้ามไหล่กลับมาที่ผู้ชม 

หญิงสาวจากศตวรรษที่สิบเจ็ดในภาพนั้นเผยอริมฝีปากนิดๆ สีหน้ากึ่งพิศวงกึ่งดูพึงพอใจอะไรบางอย่าง ซีกหน้าที่หันมาหาคนดูอยู่ในเงาที่เล่นกับแสงที่สาดเข้ามาทางด้านซ้ายของภาพอย่างลงตัว มีรอยแต้มเล็กๆ ที่แสนมีเสน่ห์ตรงมุมปากที่ทะลุเงาขึ้นมา จุดแสงนั้นเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนักของนักวิจารณ์ว่า เป็นความผิดพลาดของศิลปินหรือจงใจ หลายคนเชื่อว่าเป็นอย่างหลัง ฉันก็เชื่ออย่างนั้น เพราะภาพที่ถูกแต้มด้วยสีสว่างที่เด่นเด้งขึ้นมาดุจลักยิ้มนั้นช่วยเพิ่มมิติและความงดงามให้ภาพอย่างจงใจเกินกว่าที่ใครจะแต้มพลาดได้งามขนาดนี้

คงเป็นภาพก๊อบปี้...ละมั้ง เพราะของจริงมันควรอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของเนเธอร์แลนด์นี่นา แต่ฝีแปรงความละเอียดของแสงเงา รวมถึงรสสัมผัสต่างๆ ของภาพทำให้ฉันคิดว่ามันไม่ได้ด้อยไปกว่างานจริงในพิพิธภัณฑ์ (ที่ฉันไม่เคยเห็น) เลย ฉันหลงอยู่ในห้องของเฟอร์เมร์ร่วมสองชั่วโมง เพลินๆ อยู่ก็หลุดออกจากห้องนั้นหลงเข้าไปในประตูหนึ่ง

ในแต่ละห้องมีประตูไม่ต่ำกว่าหกบาน เชื่อมผ่านเข้าไปในอีกห้องที่จัดแสดงผลงานต่างๆ กัน

คราวนี้เป็นห้องที่แสดงงานแบบพรีมิทิฟหรือศิลปะชนเผ่าในแอฟริกา เส้น สี จุด รูปทรงเรขาคณิตแบบต่างๆ ที่ผสานกับสีสันสุดจี๊ดที่เย้ยหยันทฤษฎีสีอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ฉันเสียเวลาอยู่ในห้องนี้อีกพักใหญ่ ก่อนจะพบว่าพาตัวเองเข้าประตูมาผิดบาน

ห้องที่ฉันหลงเข้ามาเต็มไปด้วยเครื่องเคลือบดินเผาทั้งของญี่ปุ่นและจีน มีเครื่องลายครามแบบจีน มีทั้งถ้วยโถโอชาม แจกัน ถ้วยชา กาน้ำชา และอุปกรณ์ชงชาทั้งมัทฉะแบบชาญี่ปุ่นและป้านชาดินเผาแบบจีน และเครื่องเคลือบโบราณล้ำค่า ของทุกชิ้นมีตราประทับแบบโบราณที่ดูหรูหราอลังการและวางอย่างหมิ่นเหม่อยู่บนโต๊ะ บนชั้น และบนแท่นวางที่ไม่มีอะไรครอบเลย

ฉันเตือนตัวเองว่าที่นี่เป็นโซนอันตรายสำหรับฉันเลยละ เพราะรู้ถึงความซุ่มซ่ามของตัวเองดีว่ามีโอกาสทำลายล้างสูง ฉันแนบตัวกับผนัง พยายามหาทางที่ไม่ต้องผ่านอะไรที่แตกหักง่ายไปหาประตูถัดไป ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่ ห้องถัดไปขอให้มันเป็นห้องที่ไม่มีของแตกหักได้ละกัน

OMG!

ประตูบานถัดมาพาฉันไปสู่ห้องหยก!!!

ที่นี่เต็มไปด้วยหยกสารพัดขนาด สารพัดสี สารพัดน้ำหนัก และสารพัดรูปทรงเท่าที่มนุษย์จะนึกออก มีตั้งแต่งานฉากแกะสลักจากหยกชิ้นเดียวกันขนาดใหญ่ยาวหลายเมตร ถ้วย โถ โอ ชาม กระถางลวดลายวิจิตร ไปจนถึงกำไล ต่างหู จี้ และปิ่นปักผม หมูสามชั้นและผักกาด...

เดี๋ยวนะ! ทำไมถึงมีหมูสามชั้นกับผักกาดวางอยู่บนแท่นโชว์ในห้องแสดงหยก

ด้วยความสงสัยตงิดๆ ฉันก้มลงดูใกล้ๆ หมูสามชั้นสีน้ำตาลดูจะผ่านการเคี่ยวต้มมาเป็นอย่างดี มีชั้นไขมันนุ่มๆ หยุ่นๆ แทรกอยู่ในชิ้นเนื้อหมู ชวนน้ำลายสอ...ถ้ามันจะไม่ใช่ก้อนหยกแข็งเป๊กที่ถ้ากัดเข้าไปคงฟันหัก

ผักกาดก็เช่นกัน มันสร้างขึ้นจากชิ้นหยกมีตำหนิ คือมีสีปนกันระหว่างสีขาวกับเขียว ทำให้ไม่มีช่างคนไหนกล้ารับไปทำ เพราะทำเป็นอะไรก็คงไม่สวย จนมีช่างยอดฝีมือนำก้อนหยกชิ้นนั้นไปทำเป็นงานศิลปะที่ในเวลาต่อมา มันได้กลายเป็นสิ่งของล้ำค่าคู่บ้านคู่เมือง สงสัยก็เพียงว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

หยกผักกาดขาวและหยกหมูสามชั้นนั้นเดิมเป็นสมบัติอยู่ในพระราชวังต้องห้ามของจีน ในตอนหลังนายพลเจียง ไคเชกได้ขนย้ายพวกมันมายังไต้หวัน และปัจจุบันของพวกนี้ควรจะอยู่ในพิพิธภัณฑ์พระราชวังกู้กงในไต้หวัน 

ฉันมองแล้วมองอีกทุกซอกมุมมุม แต่จนปัญญาที่สายตาฉันไม่สามารถแยกแยะจนฟันธงได้ว่า มันของจริงหรือเลียนแบบ

แต่...ถ้าเป็นของจริง แล้วมันจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ

ฉันแก้ปัญหานี้ง่ายๆ สไตล์คนขี้เกียจคิดมากคือ ถือเสียว่ามันคือของเลียนแบบก๊อบปี้เกรดเอไปซะ

เพราะตรรกะง่ายๆ เลยคือ มันไม่ควรมีงานชิ้นสำคัญๆ ที่ควรอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติจากแทบทุกมุมโลกมาอยู่ที่นี่ ต่อให้เจ้าของที่นี่จะรวยและมีอิทธิพลแค่ไหนก็เถอะ

ฉันพยายามคิดแบบนั้น ทั้งๆ ที่กวาดตามองบรรดางานฝีมือสุดล้ำค่าที่ไม่มีทางจะทำซ้ำหรือเลียนแบบกันได้ง่ายๆ อย่างรู้สึกขัดแย้งในใจ

ของพวกนี้มันจะเป็นของก๊อปปี้เชินเจิ้นไปได้ยังไงกันเล่า!

แต่ยังไงก็ตามช่างหัวมันก่อนเถอะ

ฉันรีบคว้าบานประตูใกล้สุดเพื่อจะหนีไปจากห้องนั้น

ทันทีที่พาตัวเองหลุดพ้นจากห้องหยกมาได้...

WTF!

ห้องนี้เป็นเครื่องแก้ว!

ที่นี่เต็มไปด้วยแก้วใสและสารพัดสี ล้วนแล้วแต่เปราะและบางเฉียบ หนักหนาสาหัสสุดละห้องนี้ ฉันแทบไม่กล้าหายใจขณะทำตัวลีบๆ หลบหลีกแท่นวางที่ดูบอบบางพอๆ กับเครื่องแก้วที่เป่าเป็นรูปร่างลวดลายสวยงาม สวยมั้ยน่ะ มันสวยแน่ แต่ถ้าฉันทำแตกไปสักชิ้นละ มันจะซวยแหงๆ 

ค่อยยังชั่วที่ห้องถัดไปนั้นพ้นจากอะไรที่แตกหักง่ายมาแล้ว แต่ที่หนักกว่าการหลงในดงเครื่องแก้วคือ...ฉันหลงทางแล้วเรียบร้อย

หลายชั่วโมงผ่านไปฉันยังไม่เจอเฟอร์เมร์หรือแวนโก๊ะเลย แม้แต่ห้องเครื่องแก้วก็ยังไม่เจอให้หวาดเสียวเลย

หลงแล้วจ้า...

สิ่งที่ควรทำเมื่อหลงทาง

ข้อหนึ่ง หาทางออก (...) คือ...ถ้าข้ารู้ทางออกข้าจะหลงมั้ย ถามใจเธอดู 

ข้อสอง หาคนช่วย อีตาคนช่วย (ที่มีอยู่แค่คนเดียว) นั่นมันจะรู้ไหมล่ะว่าฉันหลงอยู่ที่ไหน...

ข้อสาม ร้องเรียกให้คนมาช่วย...แหกปากไปใครจะได้ยินคะ กว้างขนาดนี้น่ะ

สัญญาณโทรศัพท์น่ะเหรอ...หึ...ที่นี่ไม่มีสัญญาณสักขีดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่รู้เรอะ สงสัยมันจะกว้างเกินจนแต่ละเครือข่ายติดตั้งเสาส่งสัญญาณไม่ครอบคลุม ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ โทรศัพท์ของฉันใช้ได้แค่เป็นที่ตั้งนาฬิกาปลุกเท่านั้นมาตั้งนานแล้ว เมื่ออยู่ที่นี่นอกจากที่ห้องของลูนาร์แล้ว ทั้งเฟซบุ๊ก ทั้งไลน์ สารพัดแชตแอพเทพใดๆ ก็ไม่กระดิกสักอย่าง ฉันทำได้เพียงส่งข้อความที่ต้องการสื่อสารทิ้งไว้เท่านั้น หวังว่าสักวัน สัญญาณคงตามข้อความของฉันเจอ

ข้อสี่ ส่งสัญญาณควันไฟ!? เอาอะไรมาจุดล่ะ ให้ฉันเอาภาพเขียนราคาเป็นหมื่นถึงเป็นล้านมาจุดไฟเรอะ อีกอย่าง ให้จุดไฟในห้องปิดทึบบนยอดตึกที่ไม่น่าจะมีรถกระเช้าเข้าถึงเนี่ยนะ ไม่น่าจะรอด...

ส่งสัญญาณ SOS โดยเอาของมาวางเรียงให้เห็นได้จากบนฟ้า...เดี๋ยวๆ นี่มันไม่มีบนฟ้าไง มีแต่เพดานสูงลิบลิ่วที่ไม่มีใครผ่านมาได้ ดังนั้นอีกข้อที่ให้เอากระจกเงาสะท้อนแสงส่งสัญญาณก็เป็นอันตกไปเหมือนกัน

ข้อห้า หาทิศทาง...จากอะไรล่ะ จากห้องที่มีประตูไม่รู้จบพวกนี้น่ะเหรอ...

ฉันหยุดแล้วละ โคตรเหนื่อยเลย...ฉันทิ้งตัวลงนั่งแปะกับพื้น หลังพิงผนัง ข้างๆ แท่นวางรูปปั้น The Ecstasy of Saint Teresa ของเบอร์นินี 

พื้นหินอ่อนสีดำเย็นเฉียบ เย็นพอๆ กับแท่นหินที่วางรูปปั้น ฉันทั้งกระหายน้ำ ทั้งหิว นาฬิกา (หรือที่เคยเป็นโทรศัพท์สมาร์ตโฟนสารพัดประโยชน์ซึ่งหาประโยชน์อะไรไม่ได้ในตอนนี้ นอกจากไว้ใช้ดูนาฬิกา) บอกเวลาว่าฉันหลงทางอยู่กว่าสิบชั่วโมงแล้ว อีตาเทหวัตถ์จะรู้มั้ยนะว่าฉันหลง

ไม่หรอก เพราะบางทีถ้าเขามาไม่เจอฉัน เขาก็จะทิ้งของเอาไว้ให้ ไม่ว่าของกินของใช้ หนังสือ นิตยสาร ซีดีเพลงหรือหนังสือสอนทำอาหาร 

ฉันลืมถามเขาไปอย่างว่าที่นี่เคยมีคนหลงทางจนตายอยู่ในนี้ไหม

แต่เท่าที่ผ่านทางมา ยังไม่เห็นกองกระดูก หรือซากร่างน่าสงสัยอะไรเทือกนั้นนะ

พื้นเย็นทะลุเนื้อผ้ายีนขึ้นมาจนก้นชา กำลังคิดว่าจะหาอะไรสักอย่างมาจุดไฟให้ความอบอุ่น เกือบตัดสินใจเลาะภาพเขียนพวกนั้นลงมาละ ก่อนฉันจะนึกขึ้นมาได้ว่ามีหนังสือพิมพ์ที่เทหวัตถ์เอามาให้อยู่ฉบับหนึ่ง ฉันดึงมันออกจากกระเป๋าหลังกางเกงยีนอย่างปลื้มปริ่ม แล้วก็ตระหนักได้ในเวลาต่อมาว่า...ฉันไม่มีอะไรสำหรับใช้จุดไฟสักอย่าง!

อย่างเดียวที่มันทำได้คือ ปูรองนั่งซึ่งก็ช่วยบรรเทาความเย็นจากพื้นหินอ่อนได้นิดหน่อย

ต่อไป...คงต้องเตรียมให้พร้อมถ้าจะมาลุยในห้องพวกนี้ ทั้งกระติกน้ำ ของกิน เสื้อหนาว ไฟแช็ก เตาแก๊สปิกนิก มาร์ชแมลโลว์... 

เดี๋ยวสิ! นี่หล่อนจะมาหลงทาง หรือจะมาแคมป์ปิงยะ!?

ถ้าขาดอาหารคนเราจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณเจ็ดวัน 

ถ้าขาดน้ำร่างกายจะอยู่ได้ราวๆ สามวัน

ถ้าขาดอากาศคนเราจะตายภายในสองถึงสามนาที

เห็นไหม...แค่หลงทางขาดน้ำและอาหารไม่ได้ตายในทันทีเหมือนขาดอากาศเสียหน่อย

คิดในแง่ดี หลงทางที่นี่ยังดีกว่าหลงไปอยู่ในอวกาศเสียอีก อย่างน้อย ยังมีเวลาตั้งสามวันกว่าจะตาย (อย่างทรมาน) เท่านั้นเอ๊ง...กรี๊ดดดส์!

ถ้ายังมีแรงอยู่ฉันก็คงก่นด่า งอแงโวยวายใส่อีตาเทหวัตถ์แล้ว เสียแต่ฉันไม่เหลือเรี่ยวแรงจะอาละวาดแล้วนี่สิ

ฉันทิ้งตัวลงนอนที่พื้นเย็นเฉียบ รู้สึกใกล้ชิดความตายยิ่งกว่าครั้งใด 

อยู่ลำพังในห้องลับที่เฉียบเย็นเหมือนสุสานโดยไม่ได้ร่ำลาใคร...ลืมไป ฉันไม่มีใครให้ร่ำลานี่นา ญาติสนิทของฉันล้วนด่วนจากไปกันจนหมดสิ้นแล้ว เหลือตัวคนเดียว ตายคนเดียวลำพังในจักรวาลอันเวิ้งว้างว่างเปล่า

กว่าที่เทหวัตถ์จะมาเจอ ฉันอาจเหลือแต่กระดูกไปแล้ว ไม่สิ...ถ้าอุณหภูมิพอเหมาะและโชคดี ฉันอาจได้เป็นเหมือนร่างของนายจ้างก็ได้ เป็นศพที่ไม่ย่อยสลาย

งั้นก็ต้องจัดท่านอนให้สวยไว้สิ เผื่อคนมาเจอจะได้ไม่ตกใจ เสียดายนิดเดียวที่ชุดชั้นในไม่สวย ถ้าถูกชันสูตรต้องอายหมอผ่าศพแน่ๆ เลย

ไม่ได้สิ! ไม่เอา! ฉันจะมาตายอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด!

    ฉันกัดฟันลุกขึ้นได้ในที่สุด อย่างน้อยถ้าจะตาย...ขอให้ได้ใส่ชุดชั้นในสวยๆ หน่อยก็ยังดี (วะ)!


The Gates of Hell 

บานประตูสูงหกเมตร กว้างสี่เมตร ที่เต็มไปด้วยภาพปั้นจำนวนมาก เป็นผลงานประติมากรรมของ ออกุสต์ โรแดง และเป็นเหมือนบานประตูเปิดไปสู่นรกสำหรับฉันซึ่งหลงทางเกินสี่สิบแปดชั่วโมงแล้ว และกำลังนอนหมอบหมดแรงอยู่ตรงนั้น ยมทูตคงตามเจอฉันได้ง่ายขึ้นกว่าตอนหลงอยู่ในห้องซับซ้อนของพิพิธภัณฑ์เป็นแน่ 

ฉันพยักหน้าหงึกๆ ให้ความคิดเพี้ยนๆ ในสมองที่ชักเลอะเลือนขึ้นทุกที ขณะใช้ดวงตาพร่าเบลอมองเหม่อออกไป...แล้วฉันก็พบว่า...

ฉันเจอยมทูตที่หน้าประตูนรก

ยมทูตเป็นผู้หญิงร่างผอมสูง สวมชุดดำยาวกรุยกราย เธอมีผมดำยาว โหนกแก้มสูง ดูเย่อหยิ่งเหมือนเจ้าหญิงอียิปต์ ดวงตาแต่งอายแชโดว์แบบสโมกีอายสีเข้มให้ขับเน้นดวงตากลมโตดำจัด ผิวขาวซีดอมเทายิ่งทำให้ร่างนั้นดูสูงชะลูด 

ยมทูตสาวที่มีแววตาเยาะหยันปรายตามองมาที่ฉันแบบเดียวกันกับอานูบิสไม่มีผิด!

ร่างระเหิดระหงนั้นเดินกรีดกรายเข้ามาใกล้ ยืนอยู่เหนือร่างฉันที่นอนหมอบหมดแรงรอความตายอยู่บนพื้น ขณะที่ฉันคิดว่ามาถึงที่สุดจุดจบของตัวเองแล้ว หญิงในชุดดำก็เอ่ยด้วยเสียงเรียบห้วน

"ลุกขึ้น!" 

ฉันนอนกะพริบตาปริบๆ งงๆ คิดไม่ออกว่าจะ 'ลุก' ยังไง

คือ...เธอต้องเป็นคนเรียกวิญญาณฉันออกจากร่าง ให้ตามเธอไปหรืออะไรเทือกนั้นไม่ใช่เรอะ 

"ลุกซะทีสิ เร็วๆ เสียเวลาจริงๆ" หญิงชุดดำสั่งอีกที คราวนี้ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดสุดเหวี่ยงประมาณว่า 'ลุกเดี๋ยวนี้นะ ไม่ลุกขึ้นมาแม่มีตบ!' อะไรเทือกนั้น ก่อนจะหันไปตะโกนบอกใครอีกคน "เจอแล้ว อยู่ตรงนี้"

ฉันค่อยรู้สึกตัวว่าร่างนั้นไม่ใช่วิญญาณ หรือยมทูตแต่อย่างใด แต่เป็นหญิงสาวสวมชุดราตรีสีดำกรุยกรายยาวกรอมเท้าที่สวมรองเท้าบูตสูงสีดำส้นสูงปรี๊ด ชวนให้คิดว่าถ้าฉันยังไม่ลุกขึ้น อาจได้มีการเขี่ยทักทายกันด้วยรองเท้าคู่นั้นแน่ เลยยักแย่ยักยันลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล แล้วก็พบว่าเทหวัตถ์กำลังเดินเข้าประตูมาจากอีกทางด้วยสีหน้าแปลกใจ

"รัตติกัญญา! มานั่งเล่นอะไรอยู่ที่พื้น" คำถามนั้นเหมือนเขาไม่สังเกตเห็นสารร่างของฉันเลยว่าสะบักสะบอม เหนื่อย และกระหายแค่ไหน ทำเหมือนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันหายมาหลงทางอยู่ที่นี่กว่าสองวันแล้วน่ะ

แต่...ขอสารภาพตรงๆ ว่าไม่เคยดีใจที่มีคนมากวนประสาทขนาดนี้มาก่อนเลย ฉันฉีกยิ้มให้อีตาคนกวนประสาทก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง

ก็ไม่เชิงวูบ...แต่ฉันเดาว่าฉันไม่รู้สึกตัว ถ้าไม่ใช่เพราะเพ้อไปก็คงอยู่ในฝันอีกแล้ว เพราะสายตาพร่าเบลอของฉันเห็นใครอีกคนเดินตามเทหวัตถ์เข้ามาในห้อง ใครคนนั้นเป็นผู้ชายร่างสูงผมยาว...ใครบางคนคนที่ควรนอนตัวเย็นเจี๊ยบเป็นศพอยู่ในห้องนอนตัวเองแท้ๆ แต่ชอบมาป้วนเปี้ยนอยู่ได้ในความฝันของฉัน เขาคุกเข่าลงใกล้ๆ ค่อยบรรจงช้อนร่างฉันขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน 

ซีนในฝันควรจะโรแมนติกกว่านี้ ถ้าตัวเขาจะไม่เย็นเฉียบ มันเย็นเจี๊ยบยิ่งกว่าพื้นหินอ่อนเสียอีกจนฉันฟันกระทบกันกึกๆ ตัวสั่นเป็นลูกนกด้วยความหนาวและน่าจะไข้ขึ้นถึงขั้นเพ้อแหละ เขาก้มลงมองอย่างแปลกใจก่อนความเข้าใจบางอย่างจะปรากฏในสีหน้านั้น จากนั้นฉันก็ค่อยๆ รู้สึกอบอุ่นขึ้น น้ำสะอาดถูกป้อนเข้าปากฉันอย่างช้าๆ นุ่มนวลดุจกลัวฉันสำลัก สัมผัสอันนุ่มนวลและผู้คนอันเคยคุ้น (แม้เขาไม่ใช่คนเป็นๆ แต่ใครสน ใครแคร์ล่ะ นี่มันความฝันของฉันนะ) ทำให้ฉันวางใจจนหลับตาในอ้อมแขนนั้นได้อย่างสนิทใจ

เมื่อสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ฉันยังง่วงอยู่เหมือนคนนอนไม่พอ คอแห้งเป็นผงและฝันร้ายว่าหลงทางอยู่ในห้องที่ซับซ้อนของพิพิธภัณฑ์ ไม่รู้กี่โมงแล้วเมื่อฉันลุกขึ้น พยายามฝืนความเวียนหัวคลานลงจากเตียงกว้าง

"อ้าว ฟื้นแล้ว" เทหวัตถ์ทักขึ้นจากมุมห้อง เขากำลังนั่งอ่านนิตยสารการเงินที่เป็นภาษาต่างประเทศอยู่

"เฮ้ย! คุณเข้ามาในห้องฉันได้ไงเนี่ย!?" ฉันตกใจที่อยู่ๆ ห้องนอนตัวเองมีผู้ชายมานั่งอยู่หน้าตาเฉย

"ก็...เดินเข้ามา" ตอบโคตรกำปั้นทุบดินเลย...แต่...จริงๆ ที่นี่ก็ไม่นับเป็นห้องอะไรได้เลย...แทบไม่มีห้องไหนที่มีประตู มันเป็นพื้นที่เปิดโล่งถึงกันเกือบหมด ไม่ต้องพูดถึงกลอน ล็อกเซฟตีอะไรทั้งนั้น ฉันเพิ่งรู้สึกตัวว่ามันโคตรไม่ปลอดภัยเลยนี่หว่า ระหว่างที่ฉันนอนๆ อยู่จะมีใครเดินมาส่องในห้องนอนฉันก็ไม่แปลก

มิน่าฉันถึงฝัน...

"ฉันฝันอีกแล้ว" ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วโวยวายไปก็เท่านั้น ค่อยคุยเรื่องประตูกับเขาอีกทีละกัน เรื่องนั้นไว้ทีหลังได้...เรื่องที่ต้องทำก่อนคือ ไอ้ฝันพิลึกนั่นที่ต้องรีบเล่าก่อนจะลืม

"ฝันว่า..." เทหวัตถ์วางหนังสือในมือ หันมาสนใจ

"ฉันฝันว่าหลงทางในห้องพิพิธภัณฑ์น่ะสิ หลงแบบสุดๆ ไปเลยด้วย..." ฉันบอกพลางเสยผมยุ่งฟูซึ่งไม่ได้ช่วยให้มันเป็นระเบียบขึ้นเลยสักนิด

"ไม่ได้ฝัน คุณหลงทางอยู่เกือบสามวัน แล้วก็หลับไปอีกสองวัน" เทหวัตถ์บอก

"หา!"

"ไข้ขึ้น ร่างกายขาดน้ำ" เทหวัตถ์เดินเข้ามายกมือขึ้นอังหน้าผากวัดไข้ฉัน ซึ่งมันมีข้อมูลสนับสนุนนะว่าวิธีนี้มันวัดอะไรไม่ได้

"สามสิบหกจุดแปดไข้ ลดแล้ว" อยู่ๆ เขาก็บอกอุณหภูมิออกมาได้ราวกับเป็นเทอร์โมมิเตอร์กระนั้น ฉันกำลังจะอ้าปากถามอย่างสงสัย เขาก็ชี้ให้ดูปรอทวัดไข้ที่ข้างเตียง ซึ่งเขาคงจัดการวัดฉันเสร็จสรรพไปแล้วก่อนหน้านี้ 

แหม่...ก็นึกว่า...

"คุณมาช่วยฉันเหรอ"

"อันที่จริงเนบิวลาเป็นคนเจอคุณน่ะ" เขาอธิบายขณะยกเหยือกน้ำมาเทใส่แก้วแล้วส่งให้ฉัน ฉันรับมาดื่มอึกๆ รวดเดียวสามแก้ว ยังกะวิญญาณผีอูฐเข้าสิง

ว่าแต่...ใครวะ

"เนบิวลา?" ฉันพยายามทบทวนความทรงจำอันแหว่งวิ่นจากการหลงทางจนร่างกายขาดน้ำ และดูเหมือนจะเป็นไข้ขึ้นสูงอยู่อีกสองวัน มิน่าล่ะ ถึงฝันเป็นตุเป็นตะไปถึงไหนต่อไหน...ฝันถึงใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้

ว่าแล้วก็อดหันมองไปรอบตัวไม่ได้ ในห้องตอนนี้ไม่มีใครนอกจากเทหวัตถ์...ก็แหงแหละ ถ้า 'เขา' มายืนอยู่ตรงนี้อีกทีละก็...ฉันคงต้องขอลาจากอาชีพนี้แล้วละ 

ฉันลอบถอนใจโล่งอก แต่ทำไม...ในความโล่งใจนั้นถึงมีความรู้สึกโหวงๆ แปลกๆ เหมือนมีความผิดหวังปะปนอยู่

"ผู้หญิงชุดดำที่ฉันเจอที่ประตูนรกน่ะเหรอ" ฉันกลับมาเข้าเรื่อง พยายามระงับความฟุ้งซ่านไว้

"ประตูนรก?" เทหวัตถ์เหลอไปก่อนทำท่านึกขึ้นได้ "...อ๋อ ใช่ เนบิวลาช่วยเราตามหาคุณจนเจอที่หน้าประตูนรกนั่นแหละ"

"ขอบคุณนะที่ช่วยฉันไว้" ฉันบอกขณะปีนลงจากเตียง ทุลักทุเลซวนเซเสียหลักเล็กน้อยเพราะความวิงเวียน เป็นผลของการที่หลงทางเกือบสามวันและนอนซมอีกสองวัน ก่อนจะรู้สึกตัวว่ามีคนเปลี่ยนชุดให้ ฉันหันไปทำหน้าเหลอใส่เทหวัตถ์ แต่ยังไม่ทันถาม เขาก็ตอบเหมือนเดาได้

"เนบิวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณ" 

เจ๊โหดนั่นน่ะนะ...

"เขาเป็นใครกันแน่" 

"เขาเป็นคนทำความสะอาดทั้งหมดที่นี่" เหทวัตถ์ตอบเลี่ยงๆ อย่างไรพิกล

โอ้! แม่บ้านมหัศจรรย์ที่ทำความสะอาดซะจนที่นี่ไม่มีฝุ่นผงสักเม็ด กำลังจะถามว่าเนบิวลาเป็นคนไทยหรือพูดไทยได้มั้ย ฉันก็นึกขึ้นได้ถึงบทสนทนาที่เจ้าหล่อนมาขู่บังคับให้ฉันลุกขึ้นด้วยกิริยาที่ไม่รู้ไปโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางไหน

"เขาคือแม่บ้านที่ไม่ยอมโผล่มาให้ฉันเจอเนี่ยนะ" 

"ใช่" เทหวัตถ์รับคำเกือบจะถอนใจ "แต่เขาคงไม่มาให้คุณเห็นบ่อยนักหรอก" 

ฉันแอบโล่งใจทั้งๆ ที่ฉันมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการทำความสะอาดอีกเป็นกระบุงโกยว่า เธอทำทั้งหมดนี่ได้ยังไง แต่เดี๋ยวดิ...

"แล้วเขาพักอยู่ที่ไหนอะ" ถึงที่นี่มันจะกว้างมาก แต่คนทั้งคนทำไมถึงไม่เคยเดินเจอกัน มันแปลกไปไหมอะ

"ช่างเรื่องของเขาเถอะ คุณน่ะพักผ่อนเยอะๆ ผมให้นอนพักได้อีกสองสามวันละกัน" เทหวัตถ์ใจดีผิดปกติ แต่จะขังฉันไว้เนี่ยนะ ใครจะทนอยู่ไหว

"ไม่เอาอะ ฉันทนอยู่คนเดียวที่นี่ไม่ไหวแล้วเทหวัตถ์ ฉันขอลาพักหรือไปพักร้อนที่อื่นสักพักได้ไหม" ฉันทำน้ำเสียงอ้อนสุดฤทธิ์ แทบจะช้อนตาเว้าวอนแล้วกระพริบปริบๆ ปิ๊งๆ ใส่ 

เทหวัตถ์ไม่ทันตอบ หรือตอบแล้วฉันไม่ได้ยินก็ไม่รู้ เพราะจู่ๆ ก็มีเสียงดังมากกึกก้องขึ้น เกิดแรงสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว เขย่าจนโคมไฟที่ห้อยจากเพดานสูงลิบละลิ่วแกว่งไกวไปมา

นี่มัน...เหมือนคืนวันนั้นเปี๊ยบเลย!

คืนที่ฉันฝันไปว่าลูนาร์และอานูบิสยืนคุยกันอยู่ที่ห้องโถง เพียงแต่คราวนี้ท่ามกลางฝุ่นควันฟุ้งกระจาย สิ่งที่ปรากฏตัวอย่างสุดอลังการอยู่คือ ซุ้มประตูหินทรายขนาดมหึมาของโบราณสถานที่ไหนสักแห่ง

ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นซุ้มประตูโบราณแบบนี้ที่ไหนมาก่อน...

ในฝัน?

ไม่ใช่สิ มันเป็นภาพข่าวอยู่ในหนังสือพิมพ์...หนังสือพิมพ์ที่ฉันเอาติดตัวไปตอนหลงทางเมื่อหลายวันก่อนไง ฉันพลิกอ่านมันทุกตัวอักษรไม่ต่ำกว่ายี่สิบเที่ยว จนแทบจะท่องข้อความในนั้นได้แล้ว

ข่าวต่างประเทศข่าวหนึ่งคือ ข่าวสงครามใกล้ชายแดนประเทศอิหร่าน ในอดีตประเทศ

ใช่! อดีตประเทศเพราะตอนนี้มันถูกยึดครองโดยกองทัพกบฏที่สู้รบกับกองทัพของอดีตรัฐบาลของอดีตประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยร่วมใจปลดแอกประชาชนเพื่อ...ห่าไรก็ไม่รู้แห่งหนึ่ง

สรุปคือ...พื้นที่ตรงนั้นกลายเป็นรัฐ ‘Failed State’ ที่เต็มไปด้วยการสู้รบกันของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏ ผลัดกันรุกผลัดกันรับ ผลัดกันประกาศชัยชนะเหนืออีกฝ่ายแทบจะทุกสัปดาห์ จนทำให้ชื่อประเทศแทบจะถูกลบออกไปจากแผนที่โลก ผลจากสงครามที่เกิดไม่หยุดหย่อนทำให้มันถูกกลับไปเรียกหาด้วยชื่อตามอารยธรรมเดิมว่า ‘ปาร์ซี’

สงครามทำลายล้างทุกสิ่ง และก็เป็นสงครามอีกเช่นกันที่ทำให้ดินแดนแห่งนั้นยังคงอารยธรรมโบราณของเปอร์เซียเอาไว้ดุจโดนแช่แข็ง และก็เพราะสงคราม...ที่สร้างปีศาจร้ายไร้ศาสนาขึ้นมา ปีศาจร้ายที่พร้อมเข่นฆ่าทำลายทุกสิ่ง รวมถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่อยู่ในเส้นทางของมันด้วย และซุ้มประตูของวิหารโบราณก็ตกเป็นเป้าหมายแห่งการทำลายล้าง ที่กลุ่มกบฏถึงกับประกาศลงในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าจะทำลายมันภายในสามวัน และภาพที่ปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์นั้น มันอันเดียวกันกับที่มาอยู่ในห้องโถงตรงหน้านี้เลย

ซุ้มประตูซึ่งควรจะโดนทำลายในสงครามไปแล้วและ...และ...และ...และ...

และผู้ที่ปรากฏร่างท่ามกลางฝุ่นควันจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากนายจ้างที่เคยนอนเป็นศพของฉัน มาเต็มตาเลยทีนี้! ร่างสูงเกินเมตรแปดสิบเซ็นต์นั้นยืนอยู่กับเนบิวลา หญิงสาวผู้อยู่ในชุดเดิมชุดเดียวกับที่ฉันเจอเธอเมื่อสองวันก่อนเดี๊ยะ ภาพนั้นทับซ้อนกันกับภาพในความทรงจำที่เห็นเขายืนอยู่กับอานูบิสเป๊ะ

มันทำให้การที่จู่ๆ ก็มีเสาหินโอเบลิสก์โผล่ขึ้นในห้องอียิปต์นั้นสมเหตุผลขึ้นมาในทันใด

จิกซอว์ในสมองฉันเคลื่อนเข้าที่เข้าหากันลงล็อกดังคลิกๆๆ มีแค่สองสามสิ่งที่ไม่ลงตัวเท่าไร แต่ฉันไม่สนแล้ว

นาทีนี้ฉันรู้แค่ว่า...น่าจะเชื่อเทหวัตถ์ที่บอกให้รออยู่ในห้อง แต่ฉันดื้อตามเขาออกมาเอง แต่ก็แหม...หลังจากที่หลงทางอยู่คนเดียวตั้งสามวัน เป็นใครก็ต้องหลอนนิดหน่อยปะที่จะต้องถูกทิ้งอยู่คนเดียวอะ

ฉันเบิกตากว้าง สมงสมองมึนงงไปหมด...หรืออาการขาดน้ำหลายวันจะทำให้ฉันเห็นภาพหลอน ไม่สิ! ฉันเห็นอะไรแบบนี้ตั้งแต่ก่อนจะหลงทางจนป่วยแล้วต่างหาก

หรือ...หรือ...หรือการเฉียดตายจะทำให้ฉันกลายเป็นผู้มีญาณวิเศษที่เห็นวิญญาณได้เหมือนในหนังสือนิยายไง

ระหว่างหาเหตุผลสารพันมาอธิบายไม่ให้ตัวเองเป็นบ้า ฉันก็ตะปบเทหวัตถ์ กอดแขนเขาไว้ เพราะเขาคือที่พึ่งเดียวของฉันแล้ว

ตั้งแต่ร่วมงานกันมาฉันรักษาระยะห่างเสมอ นี่เป็นการเข้าใกล้ชายหนุ่มที่สุดแล้ว และความใกล้ชิดนี้ทำให้ฉันได้รู้อะไรอีกอย่าง แขนของเขาที่ฉันกอดเอาไว้ แม้ไม่ถึงกับเย็นเฉียบ แต่ก็ไม่ได้อบอุ่นดังอุณหภูมิร่างกายของมนุษย์ปกติ

...ไม่รู้ฉันคิดอะไรอยู่ ที่จริงก็ไม่ควรหรอก...ไม่ควรจะอยากรู้เลยจริงๆ

ฉันเอื้อมมือไปแตะแถวๆ อกซ้ายของเขา แตะนิ่งๆ ซึ่งมันก็นิ่งสนิท! ไม่มีการกระเพื่อมเพราะการหายใจ ไม่มีชีพจรเต้นตุบตับแบบมนุษย์ให้ชื่นใจเลยสักตุ้บเดียว ห้องเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงเดียวคือ เสียงหัวใจของตัวฉันเองที่ดังเต้นตุบถี่รัวแรงขึ้นๆ

ยัง...ฉันยังไม่สาแก่ใจ ยังอุตส่าห์ควานมือสั่นๆ ไปแตะหาที่อกทั้งด้านขวา (เผื่อหัวใจเขาอยู่ด้ายขวาไง รอบคอบปะล่ะ) วนกลับมาซ้าย ทำกระทั่งแตะดูเส้นเลือดใหญ่ที่คอ

คือ...เขาไม่มีชีพจรสักจุดอะ และเมื่อเอามือไปอังที่จมูก เขาก็ไม่หายใจด้วย!

อ๊ากกกกก!!


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น