ตอนที่ 1 สัมภาษณ์งานสไตล์อาฟรอส
“งั้นทำผัดหน่อไม้แทนแล้วกัน”
“อาฟรอสครับ ผมบอกแล้วไงว่าไม่ใช่หน่อไม้ทุกพันธุ์ที่กินได้ แล้วหน่อไม้ของอาก็แก่จนกินไม่ได้แล้ว”
เพราพนาไม่รู้ว่าเขาควรจะขำหรือเหนื่อยหน่ายใจดี เพราะบอกกับผู้ชายตัวโตในชุดม่อฮ่อมมาสามรอบแล้วว่าหน่อไม้ที่อีกฝ่ายขุดจนเต็มอ้อมกอดแก่เกินกว่าที่จะเอามาทำอาหาร ไม่เพียงเท่านั้น เขายังไม่รู้ด้วยว่าต้นไผ้ที่ปลูกยาวทั้งแนวรั้วเป็นพันธุ์อะไร ไม่รู้ว่ากินได้หรือเปล่า แต่อาฟรอสก็ยังเสนอเมนูใหม่ออกมาเรื่อยๆ ราวกับว่าจะกินให้ได้
“งั้นแกงจืดใส่หน่อไม้ ต้มๆ ไปเดี๋ยวก็นิ่มกินได้เอง”
นี่เขากำลังรับมือกับอดีตพระเอกชื่อดังหรือแค่คนแก่หัวดื้อกันแน่
ชายหนุ่มคิดพลางเหลือบไปมองผู้ชายตัวโตที่กำลังนั่งอยู่บนสตูลเคาน์เตอร์ครัว ใช้ปลายของผ้าขาวม้าเช็ดเหงื่อที่ชุ่มโชกใบหน้า แต่ดวงหน้าคมก็ยังฉายแววดื้อรั้นจนพาลนึกไปถึง...
“เหมือนตาเลย”
อื้อ เหมือนคุณตาที่เสียไปเมื่อสองปีก่อนเป๊ะ
“หมายถึงใคร”
คนหลุดปากสะดุ้งโหยง รีบหันกลับไปมองครัวสุดหรูที่ถอดแบบออกมาจากนิตยสารแต่งบ้าน ชักหวั่นใจว่าอาจจะทำให้นายจ้างไม่พอใจตั้งแต่การทำงานวันแรก
“ดูแก่ขนาดนั้นเชียว”
“เอ่อ...”
“เฮ้อ อาก็อายุไม่น้อยแล้ว มันก็จะเหี่ยวๆ หน่อยน่ะนะ”
คนลนรีบหันกลับมาทันที เพราะหมายจะแก้คำ แต่ต้องเบิกตากว้าง เพราะ...
“มันก็ตามอายุของมัน”
อาฟรอสกำลังดึงขอบกางเกงเพื่อก้มลงมองสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน!!
“อาฟรอสทำอะไรครับ!” เพ้นท์ถามเสียงหลง มองคนที่เงยหน้าขึ้นมาสบตา แล้วบอกเต็มปากเต็มคำ
“ก็เราว่าหน่อไม้ของอาแก่ อาก็เลยเช็กสภาพของมันหน่อย”
“ผมไม่ได้หมายถึง...คือไม่ได้หมายถึง...นี่! ผมพูดถึงนี่ต่างหาก หน่อไม้นี่ ไม่ใช่หน่อไม้นั่น!!!”
กูลืมไปได้ยังไงว่านี่คืออาแท้ๆ ที่เลี้ยงดูไอ้เพลิงมากับมือ!
เพ้นท์ถึงคราวปากคอสั่น ได้แต่พูดประโยคเดิมซ้ำๆ แบบคนคิดอะไรไม่ออก แล้วก็ถลาไปคว้าหน่อไม้แก่ขึ้นมาชูให้ดูทั้งที่หน้าแดงก่ำ อธิบายให้อีกคนฟังว่าเขาไม่ได้หมายถึงปิกาจูของอาเลยสักนิด
“ทีหลังก็พูดให้เคลียร์สิ”
อาฟรอสพยักหน้าหงึกหงัก ยอมปล่อยมือจากขอบกางเกงยางยืด ทำเหมือนว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยการเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย
“แล้วตกลงจะทำซุปหน่อไม้ให้อากินใช่มั้ย”
“อาฟรอส ก็ผมบอกแล้วไงว่าหน่อไม้ของอาแก่จนกินไม่ได้!”
การพูดคุยที่ไม่เดินหน้าสักทีทำให้เพ้นท์ตะโกนออกมาเสียงดัง ลืมความอับอายที่มีคนยืนดูหนอนน้อยตรงหน้าไปเสียสิ้น แล้วก็จัดการเดินไปลากผู้ชายตัวโตเป็นตึกให้ลุกจากเก้าอี้ ดันหลังให้ออกจากห้องครัวอย่างเดาได้ว่าขืนปล่อยให้ป่วนไปเรื่อยๆ ข้าวกลางวันคงไม่ได้กินกันแล้วล่ะ
“จะให้อาไปไหน นี่บ้านอานะ”
“อาจะไปไหนก็ไป เดี๋ยวผมทำเสร็จแล้วผมเรียกเอง”
“เผด็จการ”
“เออ ผมเผด็จการ!”
ความเกรงใจที่มาแต่แรกเริ่มมันหายวับไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกที่ว่ากำลังต่อกรกับคนแก่ดื้อรั้นจนน่าปวดหัว สองมือจึงทั้งผลักทั้งดันคนเหงื่อท่วมให้ออกจากอาณาเขตครัว
“เออ อาอยากกิน...”
“พอ! ผมไม่ทำหน่อไม้ให้อากินหรอก!”
เพ้นท์ดันเจ้าของบ้านมากปัญหาออกจากห้องครัวสำเร็จจนได้ แล้วก็กลับมายืนเท้ามือกับเคาน์เตอร์ครัว ใจจริงอยากจะเอามือมาขยุ้มผมแรงๆ เพราะพาลนึกไปถึงช่วงแรกที่เจอไอ้เพลิงเสียอย่างนั้น
รับมือยากเหมือนกันเลย!
“กูจะไหวมั้ยวะเนี่ย”
ตั้งแต่ที่เขาโผล่หน้ามายังบ้านหลังนี้ สาบานได้ว่ายังไม่ได้แนะนำตัวเลยว่าชื่ออะไร มาทำอะไร เพราะมัวแต่เถียงกันเรื่องหน่อไม้เจ้าปัญหา แถมตอนนี้เขายังต้องมาคิดไม่ตกว่าควรจะทำอะไรเป็นมื้อกลางวันให้อาของเพื่อนดี จากตอนแรกจะถามว่าอยากทานอะไรเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้นึกออกเลยว่าถ้าถามออกไปคงเป็น...
สายตาเหลือบมองไปยังกองหน่อไม้แล้วถอนหายใจดังเฮือก
สิ่งที่เพราพนาทำจึงเป็นการเดินไปยังตู้เย็น ไม่คาดหวังว่าตู้เย็นของผู้ชายที่เพิ่งหย่าขาดจากภรรยาจะมีอะไรมากมายนัก แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเจออะไรแบบนี้
“นี่ตู้เย็นหรือตู้เหล้า”
เพ้นท์ตาโตขึ้นหน่อย เพราะตู้เย็นบ้านนี้มีทั้งเหล้า ทั้งเบียร์ ทั้งไวน์หลายชนิดอัดกันจนแน่นตู้เย็น เหลือที่ไม่มากนักให้กับชีสอีกหลายชนิดที่ขอเดาว่าทางนั้นเอามาเป็นกับแกล้มไวน์ พอเปิดช่องฟรีซก็เจอกับเนื้อวัวอีกหลายส่วน ทั้งทีโบน เสือร้องไห้ สันนอก สันใน ทั้งแบบของไทยและเนื้อออสเตรเลีย
อืม ทั้งหมดมีแค่นี้แหละ
เนื้อ เหล้า ชีส
นี่มันตู้เย็นของผู้ชายกินเนื้อที่แดกเหล้าต่างข้าวหรือเปล่าวะ
ทันใดนั้นคำพูดของเพื่อนก็ลอยเข้ามาในหัว
‘อากูเพิ่งหย่า’
เพ้นท์อ่อนวูบลงทันที ความสงสารวิ่งวาบเข้ามาในหัวใจ เพราะเขาฟังเรื่องของอาฟรอสมานาน แน่นอนว่ารวมทั้งชีวิตรักของทางนั้นด้วย
ไอ้เพลิงว่าอาฟรอสเคยผิดหวังกับความรักจนทำให้เลิกเป็นดารา แล้วนี่ยังหย่ากับภรรยาอีก ที่เขาได้เห็นอาฟรอสทำตัวรับมือยากแบบนี้ อาจจะเป็นเกราะป้องกันของทางนั้นที่ไม่อยากให้คนนอกเห็นความเสียใจจากการต้องผิดหวังซ้ำๆ ก็ได้
ทันใดนั้น เพ้นท์ก็จัดการรื้อข้าวของหลายอย่างที่เพิ่งซื้อออกมาวางเรียงเต็มเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
ผมไม่รู้หรอกว่าอาใช้ชีวิตยังไง แต่...
“ตราบใดที่ผมทำงานกับอา ผมจะทำทุกอย่างให้อากลับมาเป็นปกติให้ได้!”
เพ้นท์ขอเดาว่าอาการพูดไม่รู้เรื่องของอาฟรอสเกิดจากความเสียใจ ดังนั้น เขาจะช่วยเพื่อนสนิทเอาคุณอาสุดเท่ที่มันเล่าให้ฟังกลับมาให้จงได้
หรือบางที...เขาอาจจะแค่เอาความเสียใจของอามาทับซ้อนกับความเสียใจของเขาอยู่ก็ได้
หลังจากนั้นพักใหญ่ๆ กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยไปทั่วบ้าน เชิญชวนเจ้าของบ้านให้เดินมาหย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้โต๊ะกินข้าวอย่างที่ไม่ต้องเรียก ดวงตาคู่คมก็จับจ้องเพียงจานอาหารในมือของเพ้นท์จนพ่อครัวคนเก่งชักประหม่า ก้มลงมองสิ่งที่อยู่บนจานอย่างไม่แน่ใจ
เขาอาจจะทำอาหารถูกปากไอ้เพลิง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะถูกปากอาของมันไปด้วยเสียหน่อย
ส่วนเมนูที่เขาเลือกในวันนี้...สเต็กแฮมเบิร์กพร้อมผักย่าง ราดด้วยซอสมะเขือเทศสูตรพิเศษ เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ
มันเป็นโชคของโชคที่บ้านหลังนี้ยังอุตส่าห์มีข้าวสารและหม้อหุงข้าว
หลังจากที่เพ้นท์เปิดทุกตู้ในห้องครัว เขาพบว่าบ้านหลังนี้แทบไม่มีอะไรเลยนอกจากเครื่องครัว แม้แต่เครื่องปรุงพื้นฐานที่ทุกบ้านควรจะมีก็ไม่มี เจอแค่ซองซอสมะเขือเทศไม่กี่ซองกับซอสบาบีคิวสำเร็จรูปเท่านั้น ดีแค่ไหนแล้วที่เขาเผื่อเอาไว้ก่อนถึงซื้อมาทั้งไข่ เนื้อหมู หัวหอม กระเทียม แครอท น้ำมัน น้ำตาล น้ำปลา ในไซซ์ขนาดเล็ก ส่วนผักอื่นที่ซื้อติดมาด้วยอย่างพวกคะน้า กวางตุ้งก็เก็บเข้าตู้เย็นไปก่อน
เพ้นท์ยิ่งนึกภาพออกเลยว่าอาไอ้เพลิงต้องใช้ชีวิตอย่างไอ้เพลิงชัวร์
ยังไงน่ะเหรอ ก็ทำกินเองไม่เป็นยังไงล่ะ!
“เอ่อ ผมไม่แน่ใจว่าอาจะถูกปากหรือเปล่า นี่ครับ” ชายหนุ่มลำเลียงอาหารวางตรงหน้า ปากก็อธิบายไปด้วย
“ผมคิดว่าอาน่าจะชอบทานเนื้อสัตว์ แต่ในบ้านไม่มีเครื่องปรุงรสเลย ผมเลยทำเมนูนี้ อ้อ แล้วผมก็ใช้เนื้อวัวในตู้เย็นมาสับผสมกับเนื้อหมูที่ซื้อมา เนื้ออาจจะหยาบไปหน่อยนะครับ ผมสับด้วยมือ ไม่รู้ว่าเครื่องปั่นอันไหนใช้ได้”
คนพูดบอกด้วยใจตุ่มๆ ต่อมๆ แต่คนฟังไม่ตอบคำ แค่รับช้อนส้อมไปหั่นเนื้อแฮมเบิร์กร้อนๆ จนน้ำเนื้อทะลักออกมา จากนั้นก็ใช้ส้อมจิ้มเข้าปาก
เพ้นท์มองหน้าอาหนุ่มอย่างลุ้นแสนลุ้น คาดหวังจะได้เห็นปฎิกิริยาของอีกฝ่าย สักนิดก็ยังดี หากอาฟรอสก็ยังคงจิ้มเนื้อเข้าปาก แต่คราวนี้ตักข้าวตามไปด้วย สลับไปแบบนี้เรื่อยๆ หากยังคงไม่พูดอะไรสักคำ
หน้าตาแบบนี้อร่อยหรือไม่อร่อยอะ
เขาไม่มั่นใจจริงๆ
“เติมข้าวให้อาหน่อย”
กระทั่งข้าวสวยพูนๆ จานหมดลง เพ้นท์ก็ยังไม่แน่ใจ ได้แต่เดินไปตักข้าวให้แต่โดยดี
“ถูกปากมั้ยครับอา”
เขาถามอย่างไม่แน่ใจ แต่อาฟรอสถามกลับ
“เนื้อนี่มีอีกมั้ย” อาหนุ่มเอาส้อมจิ้มๆ เนื้อชิ้นเล็กที่เหลือในจาน
“ครับ มีอีกสองชิ้น”
“งั้นอาขอ แล้วขอข้าวอีกจานด้วยนะ”
ขอเบิ้ลแบบนี้แปลว่าอร่อยล่ะมั้ง
หากหน้าตาของอีกฝ่ายทำให้เดาไม่ถูกจริงๆ
จากนั้นเพ้นท์ก็ต้องมายืนไว้อาลัยให้กับตัวเอง เพราะเขาทำเผื่ออาฟรอสเติมก็จริง แต่ในจำนวนสามชิ้น มันมีมื้อกลางวันของเขารวมอยู่ด้วย ก็ไม่รู้หรอกว่ากินจุแค่ไหน แต่เพ้นท์มั่นใจนะว่าหนึ่งชิ้นของเขามันใหญ่พอให้ผู้ใหญ่กินพร้อมข้าวสวยจานโตแล้วอิ่มตื้อ จนย้ำในใจว่าอาฟรอสกินจุ
ช่างเหอะ แค่ไม่กินข้าวสักมื้อไม่เห็นเป็นไร
“นี่ครับอา” ชายหนุ่มวางจานลงตรงหน้า “งั้นผมกลับไปจัดการในครัวก่อนนะครับ”
เขาเตรียมผละเข้าครัวแล้ว แต่...
หมับ!
ฝ่ามืออุ่นๆ สัมผัสเข้าที่ต้นแขนจนแอบสะดุ้ง หันกลับไปมองคนรั้งเอาไว้
“นั่งสิ”
เพ้นท์มองเข้าไปในดวงตาคู่คม พยายามอ่านอารมณ์ในนั้น แต่นอกจากความเอาแต่ใจที่เป็นเอกลักษณ์ของคนบ้านนี้ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าอาคิดอะไรอยู่ จนรีบทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างกัน สมองวิ่งเร็วจี๋ คิดว่าคงถึงเวลาแนะนำตัวได้แล้ว แต่...
“เอ้านี่ กินสิ มีเยอะแยะ ไม่ต้องเกรงใจ”
อาฟรอสเลื่อนจานข้าวใบใหม่ที่เพ้นท์ส่งให้มาตรงหน้า ตามมาด้วยสเต็กแฮมเบิร์กอีกหนึ่งชิ้น ตักซอสราดให้ และ...ผักย่างอีกเต็มจาน
ท่าทางที่เพ้นท์มองตาปริบๆ เพราะได้ข่าวว่านั่น...กูทำ
อาฟรอสพูดเหมือนทำเองเลยเนอะ ว่าแต่...
“อาครับ ผัก...”
เขาว่าเขาเจอคนไม่กินผักหนึ่งอัตรา
“กินสิ อร่อยดี”
หากคำทักท้วงถึงกองผักในจานข้าวก็กลืนหายเข้าไปในท้อง เพราะทันใดนั้น อาฟรอสก็ยิ้มกว้าง ซึ่งนั่นไม่ได้หยุดเพ้นท์ในการประท้วงได้ เขายังไม่เห็นความหล่อของอาระดับพูดอะไรก็เอออออย่างที่ไอ้เพลิงบอกสักนิด แต่สิ่งที่ทำให้หุบปากแล้วตักข้าวเข้าปากดื้อๆ น่าจะเป็นเพราะคำชม
อร่อยดี
คำไม่กี่คำที่ทำให้เพ้นท์ยิ้มกว้างจนตาหยี
เขาชอบเวลามีคนกินอาหารที่เขาทำแล้วบอกว่าอร่อย มันทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
เมื่อก่อนก็ชอบมีคนมาฝากท้องที่บ้านแล้วชมบ่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้...
เพราพนาหน้าสลดลง จากที่ตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ก็เคี้ยวช้าลง แล้วก็นึกขึ้นได้
สเต็กแฮมเบิร์กก็เคยเป็นของชอบของพี่กัสนี่นา
ท่าทางที่ตกอยู่ในสายตาของเจ้าของบ้านหนุ่มตลอดเวลา ขณะที่ดวงตาคู่คมฉายแววครุ่นคิด
“ฮ้า อิ่มดีจัง”
“อาครับ กินเสร็จแล้วอย่าเพิ่งนอน เดี๋ยวก็ท้องอืดหรอก”
“จู้จี้นะ”
เพ้นท์ขอย้ำอีกทีว่านี่เหรอผู้ชายที่ไอ้เพลิงบอกว่าเป็นที่สุดสำหรับมัน สิ่งที่เขาเห็นมีแค่คนขี้เกียจที่กินแล้วนอนชัดๆ
หลังจากอาหารกลางวันที่หมดเกลี้ยงด้วยฝีมือของผู้ชายตัวโต เพ้นท์ก็ยกจานชามไปล้างพร้อมกับพวกเครื่องครัว พอกลับออกมาที่ห้องนั่งเล่นอีกทีก็เจอกับอาฟรอสที่กำลังนอนกลิ้งอยู่บนโซฟา ไม่เห็นมาดหนุ่มหล่อที่เพื่อนโฆษณา เท่านั้นไม่พอ เมื่อกี้ยังเห็นล้วงมือเข้าไปในกางเกงเกาไข่หน้าตาเฉย
หากคิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน เพราะชายหนุ่มพบว่าเขาไม่เกร็งเวลาอยู่กับคนคนนี้
อารมณ์เหมือนมาดูแลญาติผู้ใหญ่ที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกมากกว่า
“ผมเปล่าจู้จี้สักหน่อย”
“แล้วเราเป็นใครน่ะ เข้าบ้านนี้มาได้ยังไง เป็นโจรหรือเปล่า”
“เอ๊ะ!”
เพราพนาก็สงสัยล่ะนะว่าทำไมอีกฝ่ายไม่ถามชื่อเขาสักที แต่เพราะคิดเอาเองว่าไอ้เพลิงคงบอกเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้น พอมาเจอคำถามว่าเป็นโจรหรือเปล่า เจ้าตัวอยากจะสวนไปเหลือเกินว่าถ้าเป็นโจรจริงป่านนี้ก็ยกเค้าหมดบ้านแล้ว!
“นี่ผมมาตั้งนาน อาเพิ่งจะถามเหรอครับ” เพ้นท์ว่าอย่างนึกปวดหัวหน่อยๆ
“อ้าว แล้วทำไมไม่แนะนำตัว” อะไรคือการทำหน้าเหมือนว่าเขาเป็นคนผิด
“ก็อาไม่ถาม”
“เรื่องแบบนี้ต้องถามด้วยเหรอ”
พออาฟรอสย้อนมา เพ้นท์ก็อดจะสวนกลับไม่ได้
“มันเป็นอย่างแรกที่ต้องถาม! อาคิดว่าผมเป็นนางฟ้าแม่ทูนหัวที่ปิ๊งแวบมาทำอาหารให้อากินเหรอไง”
“อ้าว อาก็นึกว่าเป็นผีบ้านผีเรือนมาตลอดเลยนะ ตกลงเป็นนางฟ้าแม่ทูนหัวเหรอ นางฟ้าแม่ทูนหัวมีที่เป็นผู้ชายด้วย ว้าว”
กูปวดหัว
นี่เขานึกว่ากำลังเถียงกับเด็กสามขวบ!
ความคิดที่ทำให้คลึงหัวคิ้วเบาๆ แต่พอมองหน้าผู้ชายอีกคนดีๆ มองเข้าไปในดวงตา ใช้ประสบการณ์สามปีที่อยู่กับหลานชายของผู้ชายคนนี้ เพ้นท์ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาลางๆ
ตาพราววิบวับอย่างชอบใจสัสๆ
โอเค เขาโดนแกล้ง
ไอ้เพลิงชอบแกล้งด้วยการพูดเรื่องอย่างว่า ทั้งที่รู้ดีว่าเขาไม่ประสา ส่วนผู้ชายคนนี้ก็กำลังแกล้งทำตัวเป็นเด็กสามขวบ แต่คิดเหรอว่าจะแกล้งเขาได้
“งั้นอาก็รู้ไว้นะครับว่านางฟ้าแม่ทูนหัวคนนี้เป็นผู้ชาย ชื่อเพ้นท์ อายุยี่สิบ จะมาเสกอาหารให้อาตลอดเดือนนี้”
“พูดเต็มปากเต็มคำว่าเป็นนางฟ้าแม่ทูนหัวแบบนี้เป็นพวกหลอกลวงแน่ อาไม่ใช่เด็กนะ เห็นทีต้องแจ้งตำรวจ”
ถามจริงนี่ใครปัญญาอ่อนกว่ากัน!
เมื่อกี้อาฟรอสยังทำหน้าตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ แต่มาตอนนี้ทำหน้าคลางแคลงใจ แถมยังดึงโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรหาตำรวจจริงๆ จนกัดฟันว่าเสียงเบา
“ผมยอมแพ้”
“เป็นพวกหลอกลวงจริงด้วย เห็นคนแก่อยู่บ้านคนเดียวแล้วมาหลอกกันแบบนี้ไม่ดีนะ”
“อาฟรอส!”
เพ้นท์ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดี รับมือไอ้เพลิงมาสามปี แต่พอเจอระดับ ‘คนเลี้ยงไอ้เพลิง’ เข้าไปนี่ถึงกับเงิบพูดไม่ออก จะให้ตัดมุกก็ไม่รู้จะทำยังไง จะให้เล่นต่อก็กลัวอีกฝ่ายคิดเป็นจริงเป็นจังจริงๆ สุดท้ายก็กัดปาก ค้อนตาคว่ำ
“รู้ชื่ออาด้วย นี่ถึงขั้นไปสืบประวัติมาเลยเหรอ ทำงานเป็นกระบวนการหรือเปล่า”
“...”
คนอยากเถียงก็เถียงไม่ออก มองหน้าคนที่ยัดเยียดให้เขาเป็นพวกสิบแปดมงกุฏอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี
“อย่ามองแบบนั้น อากลัวแล้ว”
เขามองผู้ชายตัวโตที่ทำท่าห่อไหล่ ดวงตาฉายแววหวาดกลัวจนเกือบจะเชื่อจริงๆ ถ้าไม่ดันนึกออกว่าคนคนนี้เป็นพระเอกเก่า
“ผมไปเช็ดจานต่อนะครับ”
เพ้นท์ขอยกธงขาว ถอยทัพไปตั้งหลัก
“ไม่เถียงต่อแล้วเหรอ”
“ก็อาบอกเองว่าสายตาผมมันน่ากลัว” คนพูดเผลอว่าอย่างงอนๆ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
พอทำท่าจะหนีไปตั้งหลักจริงๆ คนห่อไหล่ก็กลับมายืดตัวตรงหัวเราะเต็มเสียง แล้วยังเสริมอีกว่า...
“เพ้นท์เป็นคนตลกนะ”
ตรงไหนวะ! กูเป็นคนตลกตรงไหน! ไม่มีสักตรงเหอะ!
ถ้าจะมีอะไรดีในสถานการณ์นี้คงเป็นอาฟรอสที่ว่าเสียงกลั้วหัวเราะ เลิกมองเขาเหมือนเป็นพวกหลอกลวงคนแก่สักที แล้วสาธยายในสิ่งที่ถามเองเมื่อครู่
“โอเคๆ เราเป็นเพื่อนของเพลิงชื่อเพ้นท์ ชื่อจริงชื่อเพราพนาเลยรหัสติดกับเพลิง เรียนนิเทศฯ เอกวิทยุและโทรทัศน์เหมือนกัน รู้จักกันตั้งแต่วันแรกที่รายงานตัว เพื่อนสนิทในกลุ่มมีด้วยกันสามคน และตลอดหนึ่งเดือนนี้เพ้นท์จะมาทำกับข้าวให้อากิน ถูกต้องมั้ย”
ก็รู้นี่หว่า
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น อาก็รู้แค่เท่าที่เพลิงบอก แต่อายังไม่รู้เลยว่าทำไมเด็กปีสามถึงยอมมาทำงานพิเศษกับอา แทนที่จะเอาเวลาไปเที่ยวเล่น อ้อ แล้วไม่รู้ด้วยว่าฝีมือดีแค่ไหน ทุกทีทำอาหารบ่อยเหรอ”
อาฟรอสมีการดักคอ แล้วถามมาอีกหลายคำถามที่ทำให้คนฟังตอบกลับแต่โดยดี อ้อ แบบเคืองๆ ด้วย
เขาไม่ลืมที่ถูกแกล้งก่อนหน้านี้หรอกนะ
“เมื่อก่อนบ่อยครับ เพราะผมเป็นคนทำกับข้าวให้คนทั้งบ้าน พ่อแม่ผมเขาทำงานกันทั้งคู่ แล้วผมมีน้องชายน้องสาวฝาแฝด ผมเลยต้องหัดมาตั้งแต่เด็ก”
“เมื่อก่อน?”
“ครับ ก่อนหน้าที่น้องผมจะขึ้นม.ปลายน่ะ เมื่อก่อนน้องๆ จะมาช่วยผมทำ แต่เดี๋ยวนี้เก่งพอเลยผลัดเวรกันทำ แล้วเพราะตาผมไม่ค่อยแข็งแรง ทานพวกอาหารที่ซื้อตามตลาดไม่ได้ ผมเลยต้องคอยทำอาหารอ่อนๆ ทานง่ายๆ ให้ทุกวัน แต่ตาเสียไปเมื่อสองปีก่อน เดี๋ยวนี้ผมเลยไม่ได้ทำอาหารทุกวันแล้ว ส่วนฝีมือดีมั้ย อาทานแล้วคิดว่ายังไงล่ะครับ”
เขาไม่รู้หรอกว่ามีฝีมือมั้ย แต่ก็เลี้ยงน้องฝาแฝดจนอยู่ม.ห้ากันแล้ว
“แล้วเหตุผลที่มาทำล่ะ”
คราวนี้เพ้นท์เผลอเม้มปากเข้าหากัน
“เอาน่า บอกให้อาสบายใจหน่อย อาเพิ่งหย่านะ ช่วงนี้เลยไม่อยากไว้ใจใครง่ายๆ” อีกครั้งที่เพ้นท์อ่อนวูบลงทันที แม้จะฟังจากเพื่อนมาแล้วหนึ่งรอบ แต่พอมาฟังชัดๆ ว่าความรักทำให้อาฟรอสไม่อยากไว้ใจใคร เขาก็เกิดเศร้าขึ้นมา คำตอบที่ควรจะรู้แค่ในกลุ่มเพื่อนสนิทก็หลุดออกมาจนได้
“ผมอยากได้เงินครับ ผม...ผมอยากซื้อของขวัญวันเกิดให้คนที่ผม...แอบชอบ”
“ชอบมากขนาดเอาเวลาทั้งเดือนมาทิ้งกับคนแก่เลยเหรอ” อาฟรอสหันมาสบตา และสายตาคู่นั้นล่ะมั้งที่ทำให้เผลอหลุดปากออกไป
“ครับ ชอบ...ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว”
เพ้นท์บอกจนได้ แล้วรีบอธิบายต่ออย่างร้อนรน
“ถ้าผมรู้ก่อนว่าปีนี้เขาอยากได้อะไร ผมคงพยายามเก็บเงินตั้งแต่ก่อนหน้า แต่นี่ผมเพิ่งรู้เมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน ผมพลาดมาหลายปีแล้วครับ ให้ในสิ่งที่คิดว่าเขาจะชอบ แต่ก็ไม่ตรงใจเขาสักที มาครั้งนี้ผมได้ยินเต็มสองหูว่าเขาอยากได้ ผมก็เลย...อยากให้”
คราวนี้อาฟรอสไม่ถามอะไรต่อ จนคนตอบคำถามเริ่มเม้มปากเข้าหากันอีกครั้ง รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก กระทั่ง...
“เย็นนี้อาอยากกินสตูเนื้อ”
“ฮะ?”
“ยังเด็กยังเล็กหูไม่ดีแล้วเหรอ อาบอกว่าอยากกินสตูเนื้อไง”
ไอ้ได้ยินมั้ยก็ชัดอยู่ แต่เปลี่ยนเรื่องแบบฉับพลันไปมั้ย แล้วสตูเนื้อเนี่ยนะ
“ผมไม่มีเครื่องทำสตู”
“ก็เนื้อในตู้เย็นไง”
คนพูดว่าต่ออย่างเอาแต่ใจ
“อาฟรอส สตูเนื้อไม่ได้มีแค่เนื้อแล้วจะทำได้นะครับ ผมไม่มีมันฝรั่ง ไม่มีมะเขือเทศ ไม่มีน้ำสต็อก อย่าว่างั้นงี้เลยนะ บ้านอาไม่มีเกลือกับพริกไทยด้วยซ้ำ!” พ่อครัวก็โวยสิ ความเครียดปลิวหายออกไปจากใจ แทนที่ด้วยความขุ่นเคือง ยิ่งได้ยินคำต่อลองพรรค์นี้
“งั้นอาอยากกินผัดเผ็ดหน่อไม้”
โว้ย! นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่จะด่าให้!
“ผมบอกแล้วไงว่าหน่อไม้อา...”
“แก่ กินไม่ได้ อย่าย้ำได้มั้ย อาปวดใจนะเนี่ย อาอายุแค่ 38 หน่อไม้อาเหี่ยวนิดหน่อย แต่ก็ใช้งานได้ดีนะ”
“อาฟรอส!”
นี่กูจะพ่นไฟได้อยู่แล้วนะ!
“โอเคๆ เด็กสมัยนี้ดุจริง จะทำอะไรก็ทำมา เสร็จแล้วกลับเลยก็ได้ อ้อ แต่พรุ่งนี้มาก่อนเที่ยงล่ะ อาอยากกินสตูเนื้อ”
“อาฟรอส! สตูเนื้อต้องใช้เวลาทำ แบบนี้ไม่ให้ผมมาตั้งแต่หกโมงเช้าเลยล่ะ”
“อื้อ ถ้าจะมาก็เอากุญแจไขเข้ามาล่ะ อาคงยังไม่ตื่น”
เพ้นท์สาบานได้ว่าไฟลุกออกจากตาแล้ว ยิ่งมองหน้าผู้ชายเอาแต่ใจที่ยืนยันว่าจะกินเมนูที่สั่ง แล้วเขาเห็นภาพไอ้เพลิงเวลาโทรมางอแงว่าอยากกินนู้นกินนี่ได้เลย แต่อย่างเพื่อนเขามันน่ารักไง ทำแล้วยังเหลือความเอ็นดู แต่ผู้ชายตัวโตเป็นตึกนี่ทำแล้วมันน่าหมั่นไส้สุดๆ ไปเลย
ดูลอยหน้าลอยตาสิ
“เดี๋ยวผมทำมาจากบ้านให้” เขาเลยกัดฟันบอก
“ดี แบบนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย” แล้วดูพ่อเจ้าประคุณตอบสิ ดูพอใจเสียเหลือเกิน จนอยากจะถามอีกครั้งว่าไหนวะ อดีตหนุ่มหล่อที่สาวๆ อยากได้จนมดลูกสั่น ลองมาเจออย่างเขาคงวิ่งหนีแทบไม่ทันสิไม่ว่า
หากเพ้นท์ฉุกใจคิดสักนิด จะรู้ว่าทั้งหมดทั้งมวลที่อาฟรอสเอ่ยออกมามีความหมายเดียว...จ้างอย่างเป็นทางการ
ทันทีที่เด็กน้อยชื่อเพราะอย่างเพราพนาก้าวออกจากบ้านไป ผู้ใหญ่ตัวโตนามพัทธ์ธีระก็ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย ใบหน้าคมประดับด้วยรอยยิ้มน่ามอง มือใหญ่ก็รั้งเสื้อที่สวมเอาไว้มาถอดออก สองขาพาก้าวเดินขึ้นไปยังชั้นสอง แต่ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปในห้องน้ำ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
คนกลาง
ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ฟรอสยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม
ท่าทางจะมีคนโทรไปฟ้องแฮะ
“ว่าไงเพลิง”
จากน้ำเสียงดื้อรั้นที่พูดกับเพ้นท์เปลี่ยนเป็นอบอุ่นอ่อนโยนทันทีที่หลานชายโทรมา แล้วก็ฟังเสียงหงุงหงิงของเพราเพลิงที่ดังมาตามสาย
[เพื่อนเพลิงผ่านมั้ย]
คำถามที่ฟรอสหัวเราะพรืดออกมาทันที เดินต่อไปยังห้องน้ำ แล้วมองเงาสะท้อนในกระจก
“เพื่อนเพลิงสายตาสั้นน่าดูเลยนะ”
[เพื่อนเพลิงสายตาปกตินะอา]
ฟรอสยังคงหัวเราะ ไม่อธิบายต่อว่าสายตาสั้นที่ว่าคืออะไร ขณะมองเงาสะท้อนของตัวเอง
แม้ว่าชายหนุ่มจะอายุ 38 ปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้เหี่ยวอย่างที่คุยเล่นกับเด็กอีกคน ร่างสูงใหญ่ยังคงฟิตไม่ต่างจากหนุ่มๆ หุ่นยังดูดีไม่ต่างจากสิบปีก่อน เผลอๆ จะดีกว่าด้วยซ้ำ ใบหน้าคมยังคงมีเสน่ห์ที่ดึงดูดสาวแก่แม่ม่ายมาแล้วครึ่งค่อนประเทศ ด้วยโครงหน้าแข็งแกร่ง ดวงตาคมปราบด้วยตาสองชั้นที่ลึกเข้ม ปลายหางตาเฉียงขึ้น รับกับคิ้วเข้ม จมูกเป็นสันตรง ล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีเข้มที่ปล่อยตามธรรมชาติ
ทั้งหมดทั้งมวลที่เด็กชื่อเพ้นท์ไม่สังเกตเห็นเสน่ห์เลยสักนิด
อย่าว่าแต่จะชื่นชมรูปร่างหน้าตาเขาอย่างที่คนอื่นทำ เด็กคนนั้นไม่มองเขาในฐานะผู้ชายด้วยซ้ำ เหมือนมองญาติผู้ใหญ่แสนเอาแต่ใจมากกว่า
“แต่อาไม่ได้บอกว่าไม่ดี”
ตอนแรกที่หลานชายโทรมาขอให้เพื่อนมาทำงานด้วย เขายังไม่มีอารมณ์จะจ้างใคร การที่ต้องติดแหง็กกับอดีตภรรยาที่ไม่เคยรัก ทำให้ชีวิตเขาวุ่นวายพอแล้ว พอเซ็นใบหย่าได้ ฟรอสจึงทำการโละคนเก่าทิ้งทั้งหมด เพราะเกลียดความวุ่นวาย เกลียดที่อดีตเมียยังคอยสอดแนม เขาอยากกลับมาใช้ชีวิตสงบสุขอีกครั้ง แค่มีคนงานจากบ้านของพี่ชายที่พี่สะใภ้ส่งมาช่วยทำความสะอาดอาทิตย์ละสองสามครั้งก็พอแล้ว
อีกประการคือฟรอสเบื่อเรื่องชู้สาวเต็มทน
เขาอาจจะเคยเป็นอดีตเพลบอยที่ได้หมดทั้งชายทั้งหญิง จนส่งอิทธิพลไปถึงหลานทั้งสามคน แต่ในช่วงอายุนี้ ที่ผ่านความยุ่งยากอย่างการแต่งงานมาแล้ว เขาไม่อยากแตะต้องหรือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไปอีกพักใหญ่ๆ หรืออาจจะตลอดไป และมีเหรอที่เขาจะมองไม่เห็นเจตนาลางๆ ของเจ้าหลานรัก
เพลิงกลัวว่าหากเขาไม่มีใครแล้วจะคิดมาก จะเหงา จะว้าเหว่ งานนี้เลยถึงขั้นส่งเพื่อนมาถึงประตูหน้าบ้าน แต่ไอ้ครั้นจะขัดใจหลานก็ไม่ใช่นิสัย
เขาเลี้ยงของเขาแบบนี้ ตามใจแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก
งานนี้ชายหนุ่มจึงบอกว่า ‘ขอดูก่อน’
การตอบรับแบบแบ่งรับแบ่งสู้นี้คือถ้าฟรอสพบว่าเด็กคนนั้นมีท่าทีกับเขาเกินกว่านายจ้าง ต่อให้ต้องขัดใจหลานครั้งแรกก็ต้องทำ แต่ใครจะเชื่อล่ะว่าเด็กคนนั้นไม่เห็นเขาในสายตาด้วยซ้ำ แม้เจ้าตัวจะจงใจทำตัวเป็นคนแก่เอาแต่ใจก็เถอะ
งานนี้ชายหนุ่มเลยขอเล่นต่ออีกนิดเพื่อดูนิสัยใจคออีกหน่อย
เพ้นท์ดูเป็นเด็กตรงๆ ง่ายๆ ไม่มีพิษภัย รับมือกับการเล่นบ้าบอของเขาได้ดี ค่อนข้างมีความอดทน นอกจากนั้น แววตายามที่พูดถึงคนที่แอบชอบทำให้เขาใจอ่อนจนได้
ไอ้นิสัยตามใจหลานมันแวบกลับเข้ามาในตัวอีกครั้ง พอเห็นเด็กมันพยายามมากๆ แล้วอดจะอยากช่วยไม่ได้ ก็ดีเสียอีก เขาไม่ต้องรบกวนคนของพี่สะใภ้ แถมสัญญานี้ก็แค่เดือนเดียว พอเด็กๆ เปิดเทอมก็หมดสัญญาจ้าง ไม่เห็นมีอะไรที่ไม่ดี
[งั้นแปลว่าอาฟรอสจะจ้างเพ้นท์ใช่มั้ย!]
“อืม จ้างดีมั้ยน้า”
เขาหัวเราะเสียงนุ่ม นึกภาพออกเลยว่าหลานรักต้องทำหน้าออดอ้อน นี่ถ้าอยู่ใกล้ตัวคงเอาหัวมาถูไหล่แล้ว
[จ้างนะ จ้างเพื่อนเพลิงน้า นะครับอา เพื่อนเพลิงนิสัยดีนะ มันต้องการเงินจริงๆ อาช่วยมันหน่อยนะ แล้วถ้าอามีเพื่อนเพลิงดูแล เพลิงจะได้สบายใจด้วยไงว่าอาสบายดี น้า นะครับ]
“แล้วทำไมไม่มาดูแลอาเอง หืม? ติดแฟนล่ะสิเจ้าหลานรัก”
[โธ่ อาฟรอส น้า นะครับ นะๆ]
ฟรอสฟังเสียงโฆษณาเพื่อนของหลานชายอีกพักใหญ่ๆ แล้วว่าขำๆ
“ไปบอกเจ้าพายล่ะว่าไม่ต้องจ่ายค่าจ้างให้เพื่อนเรา”
[เอ๊ะ!]
นึกหน้าออกเลยว่าป่านนี้เพลิงอ้าปากหวอ นึกว่าเขาปฏิเสธไปแล้ว
“เพราะอาจะจ่ายค่าจ้างเพื่อนเราเอง บอกพี่ชายเรานะว่าเก็บเงินไว้เลี้ยงแฟนเถอะ แค่ค่าจ้างจ่ายเด็กคนนึงทำไมอาจะจ่ายเองไม่ได้”
[งั้นแปลว่าอาตกลง!]
เพลิงถามอย่างตื่นเต้นสุดขีด
ใช่ เพ้นท์ไม่มีอะไรที่ไม่ดี ที่สำคัญ...
ฟรอสหัวเราะอีกครั้ง แล้วว่าเต็มเสียง
“อาตกลงตั้งแต่กินแฮมเบิร์กคำแรกแล้วล่ะ ฝีมือแบบนี้ใช่จะหากันง่ายๆ”
มันไม่ใช่แค่อร่อยธรรมดา ต้องบอกว่าเด็กคนนั้นฝีมือดีมากต่างหาก
[เย้! รักอาฟรอสที่สุดเลย!]
“แต่รักแฟนมากกว่า?”
[โธ่ อาอะ มันเปรียบเทียบกันไม่ได้]
ฟรอสฟังเสียงออดอ้อนของหลานชายอย่างนึกเอ็นดู โดยที่เขาไม่คิดเลยว่าการยอมตามใจหลานในครั้งนี้จะทำให้เขาเจอคนที่เอ็นดูมากยิ่งกว่าเจ้าหลานรัก
เวลาหนึ่งเดือน...เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ความคิดเห็น |
---|