2

ตอนที่ 2 นายกำนัลของอาฟรอส


ตอนที่ 2 นายกำนัลของอาฟรอส

แม้เพราพนาบอกว่าใครจะบ้ามาทำกับข้าวให้ตั้งแต่หกโมงเช้า แต่คนไม่อยากบ้าก็มาถึงตอนเจ็ดโมงเช้าอยู่ดี ตอนนี้ ชายหนุ่มจึงกำลังลำเลียงยกถุงพลาสติกหลายใบลงจากรถแท็กซี่ บรรดาข้าวของที่ประกอบไปด้วยเครื่องปรุงพื้นฐานที่ทุกบ้านควรมีอย่างน้ำตาล น้ำปลา ซีอิ๋ว เกลือ ผงชูรส พริกไทย น้ำมัน ในไซซ์ขนาดครัวเรือน เพราะเสียค่ารถทั้งที เจ้าตัวเลยเอาให้คุ้ม

นอกจากนั้นยังมีเนื้อหมู เนื้อไก่ ผักสดอีกหลายชนิดจนเรียกได้ว่าพะรุงพะรัง

“ไม่ลืมอะไรนะน้อง

“ไม่ลืมครับพี่ ขอบคุณมาก”

หนุ่มหล่อส่งยิ้มให้กับคนขับที่ช่วยลงมารับข้าวของไปวางหน้าบ้าน กวาดสายตามองไปทั่วคันรถแล้วไม่พบถุงพลาสติกใบใดเหลืออยู่ มีเพียงหม้อใบกลางที่คลุมด้วยถุงพลาสติกในมือเขาแค่ใบเดียว แต่...หนักเอาเรื่อง

เมนูที่คนเอาแต่ใจเรียกร้องมาไงล่ะ

แม้ว่าเพ้นท์จะได้เลิกงานวันแรกไวอย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันไม่ได้หมายความว่าหมดเวลาทำงาน เพราะนายจ้างเขามอบภารกิจเอาไว้ให้ เพ้นท์จึงต้องไปเดินซูเปอร์มาเก็ตอีกหนึ่งรอบ ต่อด้วยตลาดสด จนพวกน้องๆ ยังถามเลยว่าบ้านเราจะมีญาติมากินเลี้ยงเหรอ ทำไมซื้อของมาเยอะแยะ จากนั้นก็เริ่มต้นทำสิ่งที่ได้รับคำสั่งมา...ต้มสตูไง

ใจจริงเพ้นท์อยากจะซื้อก้อนสตูที่ขายตามซูเปอร์มาเก็ตมาโยนลงหม้อ เคี่ยวพร้อมผักกับเนื้อวัวจริงๆ แต่มันดูถูกตัวเองไปหน่อย ยิ่งได้ยินอาฟรอสชมว่าอร่อย ไฟเลยลุกพรึ่บ จัดการตุ๋นเนื้อน่องกับเอ็นวัวอยู่หลายชั่วโมง ต้มน้ำสต๊อก แล้วเพราะมันเป็นอาหารที่ต้องใช้เวลา นานๆ เลยทำที เขาเลยจัดการต้มมันซะหม้อไซซ์ใหญ่สุดที่บ้านมีเพื่อแบ่งไว้ให้ครอบครัวทานด้วย

กว่าทุกอย่างจะเสร็จก็ดึกดื่น พอเช้ามาก็เลยรีบคว้าหม้อที่แบ่งไว้ คลุมพลาสติกกันกลิ่นฟุ้งในรถแท็กซี่ แล้วมาที่บ้านหลังนี้ เพื่อ...เคี่ยวต่อ

ถ้าเขามีปัญญาซื้อเนื้อวากิวญี่ปุ่นก็อีกเรื่อง แต่นี่เนื้อวัวไทยที่รู้สรรพคุณกันดีว่าเหนียวเคี้ยวยาก และด้วยความอยากให้อาฟรอสได้ทานอาหารอร่อยๆ เพ้นท์เลยลงทุนขนาดนี้

เขาก็รู้ล่ะนะว่าที่ได้งานนี้มาเพราะเพื่อนช่วย แถมเงินเดือนยังสูงจนปฏิเสธไม่ได้ แต่เพราะไม่ใช่คนโง่ เขาจึงรู้อีกไงว่าที่ได้เงินขนาดนี้ก็เพราะเพื่อนอีกนั่นแหละ จะให้หน้าด้านรับเงินแล้วทำชุ่ยๆ ก็ไม่ใช่นิสัย ดังนั้น เพ้นท์จึงใช้เวลาในการต้มเนื้อครุ่นคิดไปด้วย และตัดสินใจ

นายกำนัลก็นายกำนัลวะ งานนี้จะไม่ทำให้เสียชื่อไอ้เพลิงที่แนะนำมา!

หากตอนนี้เขากำลังมีปัญหา

“ทำไมของมันเยอะงี้หว่า”

ท่าทางจะจัดเต็มมากไปหน่อย ข้าวของที่ขนมาจึงไม่ใช่จำนวนที่ผู้ชายคนเดียวจะแบกเข้าไปรอบเดียวไหว แต่ในเมื่อเอามาเอง ชายหนุ่มก็ได้แต่รับชะตากรรม ขนทั้งหมดนั่นเข้าไปในบ้านหลังใหญ่อยู่สามรอบ แล้วก็พบว่าทั้งบ้าน...เงียบกริบ

อาฟรอสคงยังไม่ตื่น

ในเมื่อทางนั้นบอกว่าให้ใช้กุญแจเข้ามาได้ เพ้นท์ก็ถือว่าเป็นคำอนุญาต แต่เขาเองก็ไม่กล้าเดินเล่นไปทั่วบ้านของคนที่เพิ่งรู้จัก เลยได้แต่หมกอยู่ในห้องครัว ตั้งไฟอ่อนเคี่ยวสตูต่อ แล้วก็เก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ พับถุงพลาสติกไว้เผื่อเป็นถุงขยะ จัดพื้นที่ในตู้เย็นจนใส่ของที่ซื้อมาได้จนครบ แล้วก็...นั่งแกร่ว

แม้จะหยิบโทรศัพท์มาเล่นเกมก็แล้ว เช็กไลน์ก็แล้ว หรือดูยูทูปก็แล้ว เจ้าของบ้านก็ยังไม่มีท่าทีจะลงมาเสียที จนคนที่ตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งวุ่นวายบ้านคนอื่นเริ่มทนไม่ไหว

บ้านชั้นล่างคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

“ขออนุญาตนะครับ”

ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอหนึ่งที

เพ้นท์เริ่มสำรวจจากห้องนั่งเล่น เมื่อวานเขาก็คิดว่าที่นี่มีเฟอร์นิเจอร์น้อย พอมีเวลาค่อยๆ ดู มันก็น้อยจริงๆ ดูเหมือนจะมีแค่ชิ้นหลักๆ อย่างโซฟา โทรทัศน์เครื่องใหญ่ติดผนัง ชั้นวางของติดผนัง (ที่ไม่ค่อยมีของ) พรมผืนใหญ่ ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนบ้านตัวอย่างมากกว่าบ้านที่มีคนอยู่จริงๆ

จากนั้นก็เดินผ่านห้องกินข้าวไปทะลุห้องซักรีดที่มีเครื่องซักผ้ากับตะกร้าผ้าที่ดูเหมือนยังไม่ได้ซัก แต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไรให้สำรวจเพราะห้องหลายห้องปิดประตูเอาไว้ ชายหนุ่มเลยวนรอบบ้านหนึ่งรอบ ชื่นชมกับทิวไผ่สีเขียวสดที่แสนสบายตา แล้ววกกลับมาที่ห้องครัวอีกครั้ง

“ทนไม่ได้ว่ะ”

พอหย่อนก้นลงนั่งได้ไม่กี่นาที เพ้นท์ก็ลุกขึ้นอีกจนได้ แล้วกลับไปที่ห้องซักรีด จัดการแยกผ้าสีกับผ้าขาว แล้วโยนลงเครื่องมันซะเลย

เขามันพี่คนโตที่ทำงานบ้านมาแล้วทุกอย่างนี่

หากตากผ้าก็แล้ว สตูเนื้อก็อร่อยพร้อมทานชนิดเนื้อนุ่มละลายในปากก็แล้ว เจ้าของบ้านก็ยังไม่ลงมาสักที จนชักไม่แน่ใจว่าตกลงอยู่บ้านหรือเปล่า

เบอร์ก็ไม่มี โทรถามไอ้เพลิงดีมั้ย

“ไม่ได้อีก ป่านนี้ตื่นยังก็ไม่รู้”

พอก้มมองนาฬิกาก็ส่ายหัวดิก เพราะยังไม่เที่ยง วันหยุดแบบนี้ไอ้เพลิงไม่ตื่นหรอก แล้วมันก็ไม่เคยอายซะล่ะที่จะเล่าให้เขากับแอนเดรียฟังว่าพี่สินธุ์เด็ดแค่ไหน ทำเอามันไม่มีแรงลุกในวันถัดมา ซึ่งปิดเทอมแบบนี้...ขืนโทรไปแล้วมันครางให้ฟังก็แย่น่ะสิ

อย่าคิดว่าไอ้เพลิงไม่กล้าเชียวนะ เชื่อเถอะว่าต่อให้มันปฏิบัติภารกิจกับพี่สินธุ์อยู่ มันก็กล้ารับสาย!

สุดท้ายคนที่บอกว่าจะไม่เพ่นพ่านก็เลยยกมือไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางอีกที แล้วเดินขึ้นชั้นสอง

“อาฟรอสครับ อาอยู่บ้านมั้ยครับ ผม...เอ่อ เพ้นท์มาแล้วนะครับ”

ร่างเพรียวตะโกนบอก กวาดสายตามองไปรอบชั้นสองก็พบกับห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่อีกห้อง ตรงกลางห้องมีโต๊ะสนุ๊กตัวใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า และประตูหลายบาน บ้างเปิดบ้างปิด

“อาครับ อาอยู่บ้านมั้ย”

เพ้นท์ละล้าละลังอยู่ตรงบันไดอีกหลายนาที แต่ก็ตัดสินใจไปชะโงกหน้าดูในห้องที่บานประตูเปิดเอาไว้ห้องแรกเป็นห้องน้ำ ห้องที่สองเป็นห้องเก็บของ กระทั่งห้องที่สามที่แง้มประตูเอาไว้ เขาก็พบห้องนอนสักที จนอดด่าตัวเองไม่ได้ว่าไม่ทันสังเกตไอความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ลอยออกมาได้ยังไง

และก็เจอจนได้...ก้อนขยุ้มๆ บนเตียงนอนหลังใหญ่

โอเค อาอยู่บ้าน แค่ยังไม่ตื่น กลับไปเฝ้าครัวได้แล้ว

เพ้นท์ก็อยากทำอย่างนั้นหรอกนะ แต่...หนาวฉิบหาย!

มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะกวาดสายตามองหาแผงควบคุมอุณหภูมิ เดินไปดูด้วยความใคร่รู้ เพราะขนาดเขาเข้ามาไม่ถึงนาทียังสั่น แล้วคนที่นอนอยู่ไม่หนาวได้ไงไหว นี่อาเล่นนอนคลุมถึงจมูก เหลือแค่ดวงตาที่ปิดสนิท

16 องศา

“บ้าไปแล้ว!”

เพราพนาอุทาน ถลึงตามองตัวเลขบนนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เพราะต่อให้ชอบอากาศเย็นยังไง ตั้งไว้ขนาดนี้ไม่ป่วยก็บ้าแล้ว

ข้างนอกห้องมัน 29 องศานะ ต่างกันตั้ง 13 องศาจนมือมันไปเอง

ปิ๊บๆๆๆๆๆๆ

เพ้นท์กระหน่ำกดรัวจนมาอยู่ที่ 23 องศา

จริงๆ ตัวเลขนี้ยังมองว่าสูงไปเลย แต่ติดว่ายังเกรงใจเจ้าของบ้าน ขืนเป็นญาติกันจริงๆ นี่บ่นไม่ยั้งแล้ว

“อื้อ” หากเสียงกดไม่ยั้งก็ไปปลุกเจ้าของบ้านที่ส่งเสียงงึมงำ ขยับหัวนิดหน่อย จนผ้านวมมันเลื่อนลงมาที่ปลายคาง จนเห็นดวงตาคู่คมที่หรี่ปรือสู้แสง

“เพ้นท์เหรอ”

“ครับอา ขอโทษนะครับที่ปลุก งั้นผมลงไปข้างล่างนะ” เพราพนาว่าเสียงเบา แล้วทำท่าจะหมุนตัวออกจากห้อง แต่...

“ปรับแอร์ฯ กลับให้อาด้วย”

คนเพิ่งตื่นบอกโทนแหบต่ำ แต่น้ำเสียงนี่เอาแต่ใจกันเห็นๆ เลย

“นี่ก็ 23 แล้วครับ ต่ำกว่านี้เดี๋ยวแข็งตาย”

“อาชอบเย็นๆ ปรับกลับให้ด้วย” คนสั่งว่าแล้วก็พลิกตัวนอนต่อ แต่คนฟังงี้ขมวดคิ้วฉับ

เพ้นท์ก็รู้หรอกว่าไม่ใช่เรื่อง รู้หรอกว่าเพิ่งรู้จักกัน แต่ด้วยนิสัยของพี่คนโต ดูแลมาแล้วทั้งเพื่อนเอาแต่ใจ ทั้งคุณตาแสนดื้อ ทั้งน้องๆ ตอนวัยกำลังซน แล้วนี่เป็นอาของไอ้เพลิง จนเผลอเหมารวบว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ด้วยอีกคน มันก็เลยอดไม่ได้ที่จะหาวิธีจัดการ

ใช่ เขาเป็นห่วง แต่ก็หมั่นไส้พวกดื้อแบบนี้ด้วย

“ปรับสิ” คุณอาที่เคารพรักของไอ้เพลิงยังสั่งเสียงงัวเงีย

“ก็ได้ครับ”

เพ้นท์ปรับกลับอุณหภูมิเดิม แต่จากที่จะเดินกลับไปชั้นล่าง ชายหนุ่มก็วกมายังข้างเตียง มองก้อนผ้านวมขนาดใหญ่ที่ส่งเสียงว่าดีมากอย่างพอใจ แล้ว...ยิ้ม

พรึ่บ

“อื้อออออ”

จากนั้นก็ทำการกระชากผ้านวมทั้งผืนออกจากร่างสูง ดึงทีเดียวก็หล่นมากองกับพื้นห้อง ปล่อยให้คนชอบหนาวในชุดนอนขดตัวเป็นก้อนกลม สองมือยกขึ้นกอดอก ปรือตามามองด้วยสีหน้าหงุดหงิด จนเพ้นท์ยิ้มหวาน

“เห็นว่าอาชอบเย็นๆ ก็เลยคิดว่าผ้าห่มคงไม่มีประโยชน์ ผมเอาลงไปซักให้นะครับ”

“เอาผ้าห่มอาคืนมา”

ในใจก็แอบกลัวสีหน้าแบบนี้ แต่เพราะความเป็นห่วงมีมากกว่าก็เลยส่ายหน้า

ตอนนี้ไม่ป่วย แต่นอนแบบนี้ทุกวันมันต้องป่วยจนได้ล่ะน่า

พอสั่งสอนคนดื้อเรียบร้อยแล้วก็ก้มลงไปรวบผ้านวมมาขยุ้มเป็นก้อนกลม กอดเอาไว้ จนไม่ทันเห็นว่าคนงัวเงียขมวดคิ้วฉับ แต่ปาก...กระตุกขึ้น

“ได้ เอาผ้าห่มอาไปก็ได้” เพ้นท์เกือบยิ้มกับชัยชนะในการปราบคนดื้อ แต่...

หมับ!

“เฮ้ย!!!”

งานนี้ร้องเสียงดังลั่น เพราะอาฟรอสเด้งตัวขึ้นมา คว้าข้อมือแล้วกระชาก จนคนที่ตั้งตัวไม่ทันถลาเข้าไปตามแรงดึง ปล่อยทั้งผ้านวม ทั้งตัวเองหล่นปุเข้าไปในอ้อมกอดที่รอรับอยู่ก่อนแล้ว ปากร้องเสียงดัง เงยหน้าหมายจะประท้วง

“คิดจะเล่นกับอาน่ะเร็วไปร้อยปี”

หากต้องเจอกับรอยยิ้มเหนือกว่าของอาฟรอส!

ผู้ชายที่กอดทั้งตัวเขาทั้งผ้านวมจนแนบแน่น!

“อาฟรอส ปล่อยผม ปล่อยนะ”

ตอนแรกเพ้นท์ก็ตกใจหรอก แต่ที่ร้องโวยวายจนไม่สนมารยาทไม่ใช่เพราะเขินอายแทบบ้าที่ได้สบตากับอดีตพระเอกดัง แต่เพราะอดีตดาราที่ว่ากำลังรัดตัวเขาแน่นด้วยท่อนแขนยังกับคีบเหล็ก อีกทั้งผ้านวมที่กะจะใช้จัดการอาฟรอสกลับพันรอบตัวเขา ปิดหน้าจนแทบหายใจไม่ออก

งานนี้ไม่ได้เขิน บอกได้เลยว่าร้องเอาชีวิตรอด

“ไม่ปล่อย อากำลังลงโทษเด็กที่ริอาจจะสั่งสอนอา” เขารู้สึกว่าอาฟรอสพูดอยู่ห่างหูนิดเดียว แต่เพ้นท์ไม่สนใจ ไม่ได้รู้สึกว่าเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง นอกจากพยายามตะเกียดตะกายให้พ้นจากผ้านวมมรณะ แต่ใครจะรู้ล่ะว่าอาฟรอสแรงเยอะขนาดนี้

“ผมเปล่านะ อานั่นแหละ นอนแบบนี้อยากให้หวัดกินเหรอไง”

“หวัดจะกินหรือไม่ก็เรื่องของอา”

“ไม่ใช่เรื่องของผม แต่ผมเป็นห่วง! ปล่อยนะอาฟรอส ผมหายใจไม่ออก!”

ไม่รู้เพราะกลัวเป็นฆาตกรฆ่าคนหรือเปล่า อาฟรอสถึงยอมดึงผ้านวมให้พ้นใบหน้า จนเพ้นท์ได้เห็นสีหน้าแปลกใจ กับฟังคำถามที่ไม่รู้จะถามไปทำไม

“ห่วงทำไมกับแค่คนเพิ่งเจอกัน”

คนหน้าแดงจัด (เพราะออกแรงสู้) ก็โต้กลับเสียงดัง

“ก็อาเป็นอาของไอ้เพลิง ผมเรียกอาว่าอาก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพเหมือนกัน ผมก็ห่วงสิ” ถ้าเขาไม่ใช่คนช่างดูแล ป่านนี้ไม่มีทางคอยวิ่งไปทำอะไรให้ไอ้เพลิงกินเพราะกลัวมันขาดสารอาหารตายหรอก

ว่าแล้วก็ถลึงตามองอีกที เพราะรัดจนหายใจไม่ออกแล้วเนี่ย

“เหมารวบงั้นเลย” อาฟรอสเลิกคิ้ว

“ก็งั้นแหละ”

เพ้นท์ยังคงดิ้นขลุกขลักเพื่ออิสรภาพ แต่อาฟรอสก็ยังยืนยันจะกอดอยู่แบบนั้น มีเพียงดวงตาสองคู่ที่สู้กันไม่ถอย ความเงียบปกคลุมชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วอาฟรอสก็ยอมคลายอ้อมกอดออก

แต่มันแค่คลาย ไม่ได้ปล่อย

“เอาซะอาตื่นเต็มตาเลย”

อาฟรอสยิ้ม แบบที่คนฟังโต้กลับทันควัน

“อาก็ควรจะตื่นได้แล้ว เที่ยงแล้วมั้งเนี่ย”

“จู้จี้นะเรา”

“ผมจะจู้จี้ก็เรื่องของผม”

“ก็เพ้นท์เป็นเพื่อนของเพลิง อาก็ถือว่าเป็นหลานอาเหมือนกัน อาก็เลยบอกด้วยความเป็นห่วงไง”

“...”

นี่กูรู้สึกไปเองมั้ยว่าประโยคมันคุ้นๆ

“นั่นคำพูดผม”

“จดลิขสิทธิ์หรือยัง”

เพ้นท์กะพริบตาปริบ รู้สึกเหมือนถูกเอาคืนอย่างไรอย่างนั้นจนริมฝีปากเม้มเข้าหากันเรื่อยๆ มองสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนว่าเริ่มสนุก แล้วเขาก็ดันฉุกใจคิดไงว่าเถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ แล้วด้วยความที่อยู่กับไอ้เพลิงมานาน มันมีวิธีที่ดีกว่า

“โอเค ผมขอโทษครับที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับการนอนของอา ผมผิดเองที่ไปปรับแอร์ฯโดยพละการ อาจะโกรธผมก็ไม่ผิด ก็ผมจู้จี้เรื่องของอาจริงๆ นี่นา” เพ้นท์บอกด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด ทำให้คนฟังที่กำลังสนุกสนานกับการแกล้งเพื่อนหลานชะงัก ดวงตาฉายแววแปลกใจที่เขาไม่เถียงกลับ สองมือที่กอดแน่นก็คลายออกโดยไม่รู้ตัว และนั่นก็ทำให้เพ้นท์ไม่ลังเลเลยที่จะกลิ้งไปอีกฝั่ง ลุกขึ้นยืนอย่างว่องไว

“อ้อ ผมไม่จด ถ้าอาอยากใช้ก็ใช้ไปเถอะครับ” แล้วก็ส่งยิ้มให้

อาฟรอสดูอึ้งไปเลย

“นึกว่าซื่อ ร้ายเหมือนกันนะเรา”

เพ้นท์ยิ้มกว้าง ไม่ลืมที่จะคว้าผ้านวมมากอดเอาไว้ด้วย

เมื่อกี้เล่นซะกูหัวกระเซิงเลย เรื่องอะไรจะคืนให้ งานนี้ไม่ห่วงแล้ว หมั่นไส้ล้วนๆ

“ก็ถ้าอาเป็นเพื่อนสนิทไอ้เพลิงมาสามปี อาก็จะเรียนรู้เองล่ะครับว่าควรจะทำตัวยังไง”

“แต่นี่เพิ่งรู้จักอาได้สองวัน เรียนรู้เร็วไปนะ”

“แต่ผมรู้สึกว่านานกว่านั้น” เพ้นท์ว่าแค่นั้น แล้วก็อุ้มผ้านวมออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่อะไร เมื่อกี้เกือบตายจริงๆ นะนั่น

ส่วนทำไมถึงว่านาน ก็ไม่ใช่ว่าเขาเกิดระลึกชาติได้ว่าเคยรู้จักกันมาแต่ชาติปางก่อน แต่เพราะเขาเจอแต่คนแบบนี้มาตลอดต่างหากล่ะ

ดื้อรั้น เอาแต่ใจ มารยาร้อยเล่มเกวียน

ไม่ใช่แค่ไอ้เพลิงหรอกนะ ลองอาฟรอสไปเจอน้องฝาแฝดเขาสิ เจ้าพวกนั้นร้ายกว่านี้เยอะ

ท่าทางของคนที่หอบผ้านวมไปอย่างผู้กำชัย ทำให้เจ้าของบ้านได้แต่ลุกขึ้นมามองตามหลัง ยกมือลูบปลายคางด้วยแววตา...พอใจ

“ไม่เขินเลยสักนิด อื้อ ใช้ได้”

เพ้นท์ไม่ได้รู้เลยว่าเมื่อก่อนเคยมีทั้งชายและหญิงอยากมาหยอกล้อกับอาฟรอสมากมายแค่ไหน แต่คนที่มีโอกาสนั้นกลับไม่รู้สึกอะไรไม่พอ ยังมองหนุ่มหล่อหุ่นเซ็กซี่เป็นญาติผู้ใหญ่แสนเอาแต่ใจที่ต้องดูแลเป็นพิเศษอีกนั่น แล้วแบบนี้จะไม่ทำให้ผู้ชายคนนี้สนใจได้ยังไง

ใช่ ฟรอสเบื่อเรื่องชู้สาว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สนใจพอเจอคนที่เสน่ห์ของตนไม่มีผล

เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้เล่นด้วยได้ ผ่อนคลายได้ ทำตัวแบบที่เป็นตัวเองยังไงก็ได้

หลังจากที่ต้องปวดหัวกับความสัมพันธ์กับอดีตภรรยาไม่เว้นแต่ละวัน การเจอคนแบบนี้ทำให้เขารู้สึกสนุกขึ้นมา

เพื่อนของหลานชายทำให้สนใจ แม้จะไม่ใช่แง่ของชู้สาว แต่ความสนใจก็คือความสนใจอยู่ดี

“ใช้ได้”

อีกครั้งที่ชายหนุ่มเอ่ย แล้วเดินไปปิดแอร์ฯอย่างทนหนาวไม่ไหว

ครั้งนี้เขาพ่ายแพ้เด็กที่อายุน้อยกว่าตั้ง 18 ปีเลยนะเนี่ย

หากความพ่ายแพ้นี้เรียกรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าหล่อเหลา

 

อื้อหือ ไม่ใช่เล่นๆ เลย

นี่เป็นอีกครั้งที่ฟรอสอุทานกับตัวเอง หลังจากที่ตักสตูรสชาติเข้มข้นเข้าปากไปคำโต ตาคมก็หันไปมองคนที่ยังวุ่นวายอยู่ในครัว ปากก็เคี้ยวเนื้อวัวที่นุ่มจนแทบไม่ต้องใช้แรงกัดไปด้วย ซึมซับรสชาติที่ไม่ได้หากันง่ายๆ นึกรู้ว่าเจ้าสตูหม้อนี้ไม่ได้เพิ่งทำก่อนที่เพ้นท์จะขึ้นไปปลุกเขา

ชายหนุ่มได้กินของอร่อยมาแล้วมากมาย แต่ไม่อยากเชื่อว่าสตูหม้อนี้ขึ้นไปติด Top 10 ในใจได้อย่างง่ายดาย

“รสชาติโอเคมั้ยครับ”

เมื่อวานเพ้นท์ดูไม่มั่นใจ แต่วันนี้เพื่อนหลานยิ้มกว้างอย่างนึกรู้ว่าเขาต้องชม แล้วก็เดาถูกเสียด้วย

“อร่อย”

ฟรอสไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่จะมาผูกใจเจ็บที่ถูกเด็กกระชากผ้านวม ใครทำดีเขาก็ต้องชม และอาหารมื้อนี้ก็ดีจริง

เท่านั้น เด็กขี้ห่วงก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ดูปลาบปลื้มเสียยิ่งกว่าตอนที่เขานอนจ้องหน้าระยะประชิดไม่รู้กี่เท่าตัว จนรู้สึกเอ็นดูอยู่ไม่น้อย

“มากินด้วยกันสิ” ฟรอสกวักมือเรียก ซึ่งคนฟังก็ยอมตักข้าวมานั่งกินด้วยแต่โดยดี

“ผมน่าจะซื้อขนมปังเข้ามาด้วย น่าจะเข้ากันนะครับอา”

เมื่อวานเพ้นท์ยังดูเกร็งๆ แต่หลังจากเจอเหตุการณ์ยื้อผ้าห่มไปเมื่อครู่ เด็กน้อยดูผ่อนคลายกับเขาลงเยอะ จนใจด้านที่เป็นผู้ใหญ่ก็เอ็นดูอยู่หรอก แต่ด้านที่ยังหนุ่มแน่นกลับลดความมั่นใจฮวบฮาบ

นี่เขาแก่ขนาดที่เด็กรุ่นนี้ไม่สนใจแล้วจริงเหรอ

“เออ อาว่าจะถามอยู่พอดี ข้าวของที่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ เมื่อวานอายังไม่ได้จ่ายให้เลย” ชายหนุ่มมองหน้าเด็กที่กำลังกินอาหารฝีมือตัวเองด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม แต่เขาก็สังเกตนะว่าข้าวของในห้องครัวมันเยอะขึ้น อย่างน้อยพวกเครื่องปรุงก็วางเรียงอยู่แถวเตา

“อ้อ ผมเก็บบิลไว้ให้แล้วครับ อาจะดูเลยมั้ย”

พอเขาพยักหน้า อีกฝ่ายก็วางมือจากช้อนแล้วเดินไปคว้ากระเป๋าเป้ ดึงบิลสองสามใบออกมา

“มันมีทั้งของที่ซื้อจากซูเปอร์ฯ แต่บางอย่างผมซื้อจากตลาด ผมเลยจดรายการของไว้ให้อาฟรอสดูครับ อาเช็กได้นะว่าผมซื้อมาจริงหรือเปล่า” คนฟังรับมากวาดสายตาดูผ่านๆ ไม่ได้เช็กจริงจัง เพราะหลานชายเขาเป็นคนฉลาด ไม่มีทางการันตีแน่ถ้าเพ้นท์ไว้ใจไม่ได้

“งั้นอาให้ไว้หมื่นนึงแล้วกัน จะได้ไม่ต้องมาคอยเบิก หมดเมื่อไหร่ก็บอก”

“ผมซื้อมาก่อนแล้วค่อยเบิกทีหลังดีกว่าครับ ผมกลัวเอาเงินไปปนกัน” เพ้นท์บอกอย่างไม่แน่ใจ จนคนฟังหัวเราะ โบกกระดาษในมือไปมา

“เขียนละเอียดยิบขนาดนี้ยังจะกลัวอีกเหรอ ไม่บอกก่อนอานึกว่าเรียนบัญชี”

สิ่งที่อยู่ในมือเขาละเอียดชนิดที่เศษสตางค์ยังใส่ไว้ให้เลย ซึ่งมันทำให้คาดเดาได้ระดับหนึ่งว่าเด็กคนนี้เป็นคนยังไง

มีระเบียบแหละแน่นอน ซึ่งไม่มีใครเกลียดคนที่ทำงานเป็นหรอก

“อีกอย่าง อาไม่อยากให้ใครว่าได้ว่าให้เด็กออกให้ก่อน”

หากอีกฝ่ายยังดูลังเล

“หมื่นนึงเยอะไปครับอา แค่ค่าอาหารเดือนเดียว”

ฟรอสขมวดคิ้ว แล้วหัวเราะ แต่ไม่ใช่ความรื่นรมย์ เป็นเสียงหัวเราะเย็นๆ เมื่อนึกถึงใครอีกคน

‘พี่ให้มาเท่านี้จะไปพอกินอะไร บ้านนี้มีตั้งกี่ชีวิต’

เขาเคยให้ค่ากับข้าวในบ้านอย่างเดียวอยู่ที่ห้าหมื่น แต่เมียเก่าก็บอกว่าไม่พอ ทั้งที่ในบ้านมีคนงานแค่สองคนและเมียเก่าเขาเท่านั้น ตัวฟรอสเองไม่เคยอยู่กิน เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ แต่เพราะได้ชื่อว่าสามี เขาก็รับผิดชอบในส่วนของเขา และเพื่อการตัดปัญหา เขาเลยให้เงินเมียเก่าเดือนละแสนห้า เอาไปบริหารจัดการเอง แต่อีกฝ่ายก็ยังบอกว่าไม่พอๆ อยู่ตลอด

ชายหนุ่มอาจจะมีเงิน แต่ไม่ได้มีเยอะขนาดที่จะให้ถลุงเล่นอย่างที่เมียเก่าคิด เขาก็ต้องทำงานเหมือนคนอื่นๆ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็คงไม่มีวันพอ

พวกหลานๆ เคยบอกว่าชีวิตเขามีเรื่องผิดพลาดแค่สองครั้ง

ครั้งแรกคือรักครั้งเก่าที่เกือบทำให้เป็นบ้า

ครั้งที่สองและคาดว่าเป็นครั้งสุดท้ายคือการแต่งงานกับจูนเพื่อตัดปัญหา

คำว่า ‘ตัดปัญหา’ คงไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกจริงๆ นั่นแหละ

“เอ่อ ผมถือไว้ก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวสิ้นเดือนเหลือเท่าไหร่ผมเอามาคืนอาแล้วกัน”

ฟรอสหันกลับมามองเด็กอีกคน แล้วพบว่าเขาจมกับความคิดมากไปหน่อยจนเผลอแสดงออกทางสีหน้า เพราะเด็กน้อยรีบบอกเสียงเบา หัวหดผิดกับเมื่อเช้า

ความใสๆ ซื่อๆ ของเด็กล่ะมั้งที่ปัดไล่ความหงุดหงิดออกจากหัวใจ

“เอางี้ อาให้ไปเลยไม่ต้องคืน ถ้าใช้น้อยก็ถือว่าได้ทิปเยอะ ถ้าใช้เยอะก็เท่าทุน” ฟรอสรู้จากเพลิงตั้งแต่ต้นแล้วว่าเด็กคนนี้ต้องการเงิน ก็ถือว่าเป็นเหตุผลที่ให้เพิ่มจากข้อตกลงตอนแรก แต่เพ้นท์กลับส่ายหัว

“ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ”

คนฟังหัวเราะ แต่คราวนี้เป็นเพราะขบขัน

“แลกกับอย่ามาปรับแอร์ฯตอนอานอน อ้อ อย่าขโมยผ้าห่มอาไปด้วยล่ะ นั่นผืนโปรด”

เพ้นท์กะพริบตาปริบ แล้วเขาก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กคนนี้ส่ายหน้าขวับ

“งั้นผมไม่เอาครับ อานอนแบบนั้นเดี๋ยวร่างกายก็แย่กันพอดี” แสดงว่าถ้าเจอเขาทำแบบนั้นอีกก็จะปรับอีกสินะ

“เอาน่า มันร่างกายอา อารู้ดี”

“แต่พี่พายจ้างผมมาดูแลอานะครับ” เด็กน้อยอ้างถึงหลานชายคนโต จนว่ากลับขำๆ

“จ้างมาทำกับข้าวให้อากิน ไม่ใช่จ้างมาปรับอุณหภูมิแอร์ฯ”

“แต่ไอ้เพลิงบอกให้ผมมาเป็นนายกำนัลอานะ ผมรับปากเพื่อนมาแล้วว่าต้องดูแลอาให้ดีที่สุด ผมก็ต้องทำสิ”

“นายอะไรนะ!”

ฟรอสสาบานได้ว่าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก นายกำนันเกี่ยวอะไรกับเขา เขาไม่ได้เป็นลูกบ้านของเจ้าเด็กนี่สักหน่อย ซึ่งเพ้นท์ก็ยิ้มแห้ง ดูเขินๆ กับไอ้ชื่อตำแหน่งประหลาดนั่นไม่น้อย

“นายกำนัลเหมือนนางกำนัลอะอา คนดูแลอาไง”

คนฟังส่ายหัวขวับ ชักไม่แน่ใจว่าหลานห่วงเรื่องที่เขาหย่าจนเพี้ยนหรือเปล่า

“นายกำนัล? งั้นอาว่าเพลิงหมายถึงคนใช้นะ ไม่ใช่คนดูแล”

“มันก็ความหมายเหมือนกัน”

เขาว่าไม่ใช่นะ คนใช้ที่ไหนมาเถียงกับเจ้านายแบบนี้ แต่ก็...ช่างเถอะ

“งั้นตกลงว่าผมถือเงินจากอาไปหมื่นนึงนะครับ ผมจะสรุปให้อารู้ยอดทุกวัน พอสิ้นเดือนผมก็คืนเงินที่เหลือ” พอเขานิ่ง เพ้นท์ก็สรุปรวบรัดอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนอกจากเมนูเนื้อ อามีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษมั้ย”

คราวนี้ฟรอสยิ้มเจ้าเล่ห์

“อะไรก็ได้เหรอ”

รอยยิ้มของเด็กน้อยหายไปแล้ว เหมือนจะรู้ชะตากรรม

“ก็...ส่วนใหญ่”

เพ้นท์ทำท่าจะเอ่ยเสริมกันไว้ก่อน แต่ไม่ทันเขาไง

“งั้นผัดเผ็ดหน่อไม้”

“จนได้” คนตัวโตตลกกับท่าครวญครางของอีกฝ่าย แต่ร่างเพรียวก็ยอมกัดฟันบอกต่อ

“พรุ่งนี้ผมซื้อมาให้” แต่คนอยากกินหน่อไม้ส่ายหัว

“ไม่เอา อาอยากกินฝีมือเพ้นท์ นี่อย่าบอกนะว่านอกจากจะไม่ฟังอาเรื่องแอร์ฯแล้ว ยังบอกว่าทำกับข้าวไม่ได้อีก ไหนว่าเป็นนายกำนัลของอาไง อาต้องการแค่นี้ทำให้ไม่ได้เหรอ” เขาเอาตำแหน่งนั่นวกกลับไป จนเด็กน้อยกะพริบตาปริบ เริ่มเม้มปากเข้าหากันแน่นขึ้นทุกทีอย่างจนมุม

“ผมไม่รู้ว่าผมจะหาซื้อหน่อไม้สดได้มั้ย”

แล้วบอกด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ จนคนทางนี้ถามกลับด้วยน้ำเสียงใสซื่อ

“ไหนว่าเป็นนายกำนัลอาไง อาบอกว่าอยากกินมาหลายวันแล้วนะ แค่นี้ทำไม่ได้เหรอ สงสัยต้องไปคุยกับเจ้าพายเจ้าเพลิงเรื่องสัญญาจ้างกันใหม่แล้ว”

เพ้นท์หน้าเสียไปแล้ว และถ้าเขามองไม่ผิด เด็กน้อยตาเริ่มปริ่มๆ น้ำ

ตอนแรกเถียงกันไม่เห็นกลัว พอบอกจะเลิกจ้างนี่ทำท่าจะงอแง

น่าเอ็นดูจริงๆ

นายพัทธ์ธีระหัวเราะในลำคอ เพราะเห็นทีเขาจะได้คำโปรดคำใหม่แล้ว

“ว่าไงนายกำนัล”

“ผม...ผมจะฟ้องกรมแรงงานว่าโดนนายจ้างกลั่นแกล้ง”

“งั้นอาจะฟ้องกรมสุขภาพว่าคนดูแลปล่อยให้อานอนหนาว”

เขามองตาเด็กน้อยอย่างเอาแต่ใจ และเชื่อมั้ยว่าคำขู่ไร้สาระที่ไม่รู้ว่าถูกกรมหรือเปล่าทำให้อีกฝ่ายพึมพำเสียงงอน

“ผมจะพยายามหามาทำให้ แต่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้หรือเปล่านะ”

ฟรอสหัวเราะ ทั้งที่นึกแปลกใจ...เขาเคยสนุกกับการแกล้งเด็กด้วยเหรอ

ไม่นะ ที่ผ่านมาก็มีแต่ปลอบมีแต่โอ๋หลาน ไม่คิดเหมือนกันว่าการแกล้งเด็กวัยเท่าหลานจะสนุกขนาดนี้

ไม่สิ ไม่ใช่เพื่อนหลาน นี่มันนายกำนัลของเขา ต้องตามใจเขานี่นะ หึๆ ชักชอบแล้วสิ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น